รถม้าจอดสนิทแล้ว สองพ่อลูกค่อยๆ ลงจากรถโดยมีคนรับใช้มาคอยช่วยถือสัมภาระให้ด้วยกิริยานอบน้อม หมอไม่ใช่อาชีพที่คนทั่วไปนับถือนัก แต่เมื่อเห็นกิริยาของคนรับใช้จวนแม่ทัพแล้ว แสดงว่าได้รับการอบรมมาดี มู่ฟางเหนียงเดินตามแผ่นหลังของบิดา คฤหาสน์หลังงามหรือแม้แต่บ้านไร้หลังคานางล้วนผ่านมาหมดแล้วจึงไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นออกไป มีเพียงท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เดินตามทางที่พ่อบ้านเดินนำไปถึงห้องพัก นางก็ได้ยินเสียงกลั้นสะอื้นของหญิงวัยกลางคน มู่ฟางเหนียงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความเข้าใจความรู้สึกนี้ คนบนเตียงนั้นคงเป็นที่รักของคนที่รายล้อมอยู่
หมอมู่หยางซัวยกมือประสานคารวะแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง แม่ทัพเพียงผงกศีรษะรับ
“เป็นข้าที่ต้องขอบคุณที่ท่านมากลางดึกเช่นนี้”
“คนเจ็บคนป่วยล้วนรอไม่ได้ ท่านแม่ทัพอย่าได้เกรงใจไปเลย”
หมอมู่หยางซัวเดินเข้าไปใกล้เตียงของคนเจ็บ เพราะอาการสาหัสจึงไม่มีม่านโปร่งบังตามธรรมเนียม ทว่าเพียงเห็นใบหน้าซีดเซียวของคนที่นอนหายใจรวยรินก็ต้องสะดุ้ง อาการตื่นตกใจของท่านหมอมู่ทำให้ท่านแม่ทัพขมวดคิ้วด้วยเข้าใจว่าอาการของลูกสาวบุญธรรมคงหนักหนาแน่แล้ว
“ฟางเหนียง” มู่หยางซัวเรียกลูกสาว
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” นางเดินเข้าไปหาตามคำเรียก เพราะหลายครั้งที่คนเจ็บคนป่วยเป็นหญิง นางจะได้รับหน้าที่จับชีพจรหรือตรวจวินิจฉัยแทนบิดา แต่พอเห็นหญิงสาวที่อยู่บนที่นอน นางก็อ้าปากค้าง
“พี่สาว” ฟางเหนียงทั้งตกใจปนดีใจ ดีใจที่ได้พบและตกใจที่นางอยู่ในห้องนี้ แสดงว่าฐานะของนางไม่ธรรมดาแน่นอน
“พวกท่านรู้จักลูกสาวของเรารึ” เสียงฮูหยินอี้ซิ่วถามพลางเช็ดน้ำตา
“ลูกสาว?” ฟางเหนียงถามอย่างลืมรักษามารยาท พอนึกได้ก็รีบอธิบาย “สองปีก่อนข้าน้อยขึ้นเขาไปหาสมุนไพรแล้วหลงป่าอยู่สามวันสามคืน สวรรค์เมตตาให้พี่หลิ่งหลินมาพบและช่วยพาข้าน้อยกลับบ้าน นับตั้งแต่นั้นพี่หลิ่งหลินก็มักมาหาเป็นเพื่อนเล่นข้าน้อยเสมอเจ้าค่ะ”
“นั่นแหละนาง นางเป็นเช่นนี้เสมอ ชอบช่วยผู้อื่น แต่ไม่รู้คราวนี้ไปล่วงเกินผู้ใดเข้าจึงบาดเจ็บหนักเช่นนี้”
มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เพียงมองตาก็เข้าใจกัน นางจึงเชิญให้ทุกคนออกจากห้องพักนี้ไปก่อน
“ท่านพ่อ นี่จะเกี่ยวกับที่พี่หลิ่งหลินไปหาไข่มุกหมื่นราตรีหรือไม่” เมื่อไม่มีใครแล้วนางก็รีบพูดอย่างร้อนใจ
“สงบใจหน่อยเหนียงเอ๋อร์” ผู้เป็นพ่อปรามเบาๆ “อาการบาดเจ็บคล้ายกับที่ต้าซื่อเคยได้รับมา แต่ดูเหมือนนางจะโดนพิษ มาเถอะ เจ้าช่วยพ่อจับชีพจรนางก่อน”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวนั่งลงตรวจชีพจร อธิบายอาการให้บิดาฟัง
“น่าจะเกิดจากพิษของไข่มุกหมื่นราตรี”
“มียารักษาหรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ”
คราวนี้บิดาเข้ามาตรวจอาการเองอีกครั้ง และก็ตรงกับที่ลูกสาวรายงานไป “โชคดีที่พิษถูกสกัดจนกระอักออกมาบางส่วนแล้ว เราช่วยนางขับพิษที่เหลือก็น่าจะปลอดภัย”
“เช่นนั้นแล้วเหตุใดบรรดาแพทย์ทหารจึงรักษามิได้ล่ะเจ้าคะท่านพ่อ”
“ก็มิใช่ทุกคนที่จะรู้จักพิษไข่มุกหมื่นราตรี เราต่างเคยได้ยินสรรพคุณของไข่มุกหมื่นราตรี แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าที่เจ้าตัวหอยมุกนี้เคลือบพิษป้องกันตนเองไว้ นางไปนำไข่มุกหมื่นราตรีอย่างไรก็ต้องโดนพิษที่เปลือกของมันอยู่ดี”
“แต่ว่า...คนที่นำไข่มุกราตรีมารักษาคุณชายเฉินเป็นผู้หญิงที่มาจากเมืองหลวง พี่หลิ่งหลินหุนหันออกไปในคราวนั้นก็หายไปนานเกือบสิบวัน ข้าเองก็เป็นห่วงแต่จนใจจะออกตามหา ทีแรกก็คิดว่าจะขอร้องท่านพ่อให้มาลองสอบถามที่จวนแม่ทัพจ้าว ก็บังเอิญได้มาพบเสียก่อน” แต่ได้พบสภาพนี้ นางไม่ดีใจเลยสักนิด
“เอาเถอะๆ เจ้าไปต้มยาให้พ่อก่อน พ่อจะฝังเข็มในนาง ให้เลือดลมไหลเวียนเป็นปกติ”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวรับคำสั่งแล้วหยิบล่วมยาของท่านพ่อออกมา หน้าห้องมีคนรอฟังอาการด้วยความกระวนกระวายใจ
“พี่สาว เอ๊ย! ท่านหญิงถูกพิษไข่มุกหมื่นราตรี ข้าน้อยต้องไปต้มยาให้ท่านหญิง ขอโปรดให้คนนำทางด้วยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็มีหนทางรักษาแล้วละสิ” ฮูหยินอี้ซิ่วเช็ดน้ำตา “ชุนเอ๋อร์ เจ้าไปช่วยแม่นางน้อยต้มยาให้คุณหนูที”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
ชุนเอ๋อร์รับคำสั่งแล้วพามู่ฟางเหนียงไปทางห้องครัวเพื่อจะได้ต้มยาให้คุณหนู นางคอยช่วยเหลือมู่ฟางเหนียงทุกอย่างด้วยความเต็มใจ ซึ่งน้อยครั้งนักที่มู่ฟางเหนียงจะได้เจอ เพราะแค่พูดว่าเป็นหมอหญิงแล้ว คนทั่วไปก็มักมองอย่างดูแคลน นางชินเสียแล้ว แต่ขณะเดียวกันนางเองก็ได้พบน้ำใจมากมายตอบแทนการดูแลพวกเขายามเจ็บไข้
“เอ่อ พี่สาว...ท่านหญิงบาดเจ็บได้อย่างไรเจ้าคะ” นางลองถามดู
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชุนเอ๋อร์เป็นหญิงรับใช้ประจำตัวเคอหลิ่งหลิน พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ “คุณหนูของข้าชอบออกไปนอกจวน ทำอะไรมิมีใครรู้ใครเห็น ก่อนไปข้าก็รั้งคุณหนูไม่ทัน นางเพียงแค่ยิ้มแล้วบอกว่าจะรีบกลับมา แต่ไม่คิดว่าคุณหนูจะกลับมาสภาพเช่นนี้”
“ท่าทางพี่สาวจะรักคุณหนูมากนะเจ้าคะ”
“ถ้าข้าเจ็บแทนได้ข้าก็ยินดี ข้าเองก็ได้คุณหนูช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะถูกขายไปอยู่ที่ไหน ไม่ได้กินอิ่มนอนหลับมีเสื้อผ้าใส่เช่นนี้หรอก”
“อืม” มู่ฟางเหนียงพยักหน้ารับ หูฟังแต่มือก็ง่วนอยู่กับการเคี่ยวยา มิผิดหรอก คนดีๆ อย่างพี่เคอหลิ่งหลินต้องปลอดภัยแน่นอน
“พี่สาวเจ้าคะ ข้ารบกวนท่านนำน้ำร้อนสักอ่างไปให้ท่านพ่อของข้าที ข้าเคี่ยวยาอีกสักครู่จะตามไป”
“ได้ๆ ข้าจะนำน้ำร้อนไปก่อน เดี๋ยวข้าจะมารับเจ้านะ เจ้าไม่เคยเข้าจวนเดี๋ยวจะหลงทาง”
“เจ้าค่ะ”
พูดว่าหลงทาง นางก็ยิ้มฝืนไปทันที ข้อด้อยที่สุดของนางคือนิสัยหลงทิศและจำทางไม่ได้นี่แหละตอนที่ยังเด็กกว่านี้ นางมักหลงทางอยู่บ่อยๆ แม้จะพยายามจดจำแค่ไหน ระยะทางใกล้หรือไกลนางก็หลงอยู่เสมอ พ่อจะถักสร้อยร้อยกระพรวนใส่ข้อมือให้ อย่างน้อยก็ได้ยินเสียงเวลาที่นางเดินไปไหนมาไหน นางฝึกฝนท่องตำรายาและจดจำการกดจุดฝังเข็มได้อย่างแม่นยำ ทว่ากลับหลงทางง่ายยิ่งกว่าเด็กเจ็ดแปดขวบเสียอีก ยิ่งพยายามก็รู้สึกว่ายิ่งทำให้แย่ลง แอบบำรุงตัวเองด้วยสมุนไพรแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หลงทิศน้อยลงสักนิด นานวันเข้าก็เริ่มถอดใจ นางจึงเลี่ยงที่จะไม่ไปไหนคนเดียว แม้หัวใจของนางจะโบยบินไปในท้องฟ้าแล้วก็ตามยาเคี่ยวได้ที่แล้ว แต่ยังไม่มีคนมารับนาง หัวคิ้วขมวดยุ่ง เอาอย่างไรดี ยาควรดื่มตอนที่ยังร้อนอยู่ เอาเถอะ ถือออกไปก่อน คนในจวนมีเยอะแยะ นางถามทางกับใครก็ได้ เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ประคองชามยาออกไป อาจเพราะว่าดึกแล้ว ในจวนถึงเงียบนัก เงียบไม่เท่าไหร่แต่นางไม่เห็นใครที่จะถามทางได้สักคนใจเย็นหน่อยฟางเหนียง เมื่อครู่เดินผ่านอะไรมาบ้างนะ ค่อยๆ นึกและเดินตามทางเดิมซิหญิงสาวสงบใจแล้วเดินตามทางที่ตัวเองคิดว่าเดินผ่านมาเมื่อครู่ ขณะ
มู่ฟางเหนียงค่อยๆ ลงจากบันไดแล้วยืนเท้าเอวจ้องหน้าบิดาก่อนจะเปิดรอยยิ้มสดใสออกมา “เห็นท่านพ่อจ้องลูกตั้งนานแล้ว ท่านจะพูดอะไรก็พูดมาเถิด” หญิงสาวหัวเราะออกมา นางมักยิ้มและหัวเราะง่ายเช่นนี้ ผิดกับบิดาที่มักมีสีหน้าเรียบนิ่งและดูสงบเยือกเย็น “เจ้านี่นะ พ่อยังไม่ทันพูดก็มารู้ความคิดพ่อเสียแล้ว” บิดาถอนหายใจเบาๆ และคลี่ยิ้มที่มุมปาก “ลูกไม่รู้ว่าท่านพ่อคิดอะไร” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “รู้แค่ว่าท่านมีเรื่องอยู่ในใจแต่ปากหนักมิกล้าเอ่ย” “หน้าตาพ่อดูออกขนาดนั้นเลยรึ” ผู้เป็นพ่อหัวเราะขึ้นมา “ถ้าเป็นคนป่วยก็เห็นอาการชัดเลยละเจ้าค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส การที่ในโรงหมอไม่มีผู้อื่น ทำให้นางไม่ต้องคอยระวังรักษากิริยาตัวเองให้เรียบร้อยนัก “ว่าแต่ท่านพ่อมีเรื่องอันใดเจ้าคะ อย่าให้ลูกเดาอยู่เลย” มู่หยางซัวถอนหายใจแล้วยกมือดึงเอาเศษใบไม้บนศีรษะของลูกสาวออกอย่างเบามือ “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วเหนียงเอ๋อร์” “ท่านพ่อแก่ขนาดหลงลืมอายุลูกสาวคนเดียวได้อย่างไรกัน” นางเบ้ปากน้อยๆ “ใช่ๆ พ่
หลังจากสูญเสียภรรยาไป มู่หยางซัวก็พาบุตรสาวเพียงคนเดียวที่ภรรยาทิ้งไว้เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าออกเดินทางรอนแรมเร่ร่อนไร้จุดหมาย เพียงเพื่อใช้วิชาแพทย์ของตนรักษาผู้อื่น มู่ฟางเหนียงไม่เคยนึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตนเอง กลับเรียนรู้วิชาแพทย์จากบิดาและช่วยเหลือเป็นดั่งมือขวา ไม่เพียงแค่เรื่องการรักษา นางยังต้องทำหน้าที่ของลูกสาวที่ต้องดูแลปรนนิบัติบิดาด้วย จนกระทั่งสองปีก่อนบิดาได้ข่าวว่าทางชายแดนมีสงคราม ชาวบ้านเดือดร้อนหนักหนา มู่ฟางเหนียงติดตามบิดาไปโดยไม่คัดค้าน เมื่อไปถึงนางกับบิดาก็โชคดีได้รู้จักกับเศรษฐีใจบุญ เมื่อรู้เจตนาของบิดาจึงให้เรือนไม้หลังเก่าเป็นที่พักอาศัยและเป็นโรงหมอสำหรับรักษาคนเจ็บคนป่วย แต่เนื่องจากสองพ่อลูกไม่ได้ทรัพย์สินอะไรติดตัวมากนัก ก็ได้ท่านเศรษฐีช่วยดูแลแบ่งปันอาหารมาให้ ชาวบ้านยากจนซ้ำอยู่ในสภาวะสงคราม ยาจึงเป็นสิ่งสูงค่า นางตัดสินใจเข้าไปหาสมุนไพรเพื่อให้บิดาได้ใช้เป็นยารักษาคนเจ็บ ทว่า...นางกลับหลงป่าอยู่สามวัน ในขณะที่กำลังสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็พบหญิงสาวท่าทางโผงผาง แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มสดใส “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” “ข้า...ข้า ข้าหลงทาง” นา
หญิงสาวมองผู้เป็นพ่อกินอาหารมื้อเย็นด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าบิดากินอาหารได้มากนางก็พลอยเบิกบาน เพราะนี่เป็นหน้าที่ของลูกสาวอย่างนางที่ต้องดูแลปรนนิบัติผู้ให้กำเนิดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “นั่งมองพ่อกินแล้วเจ้าจะอิ่มหรือไม่” “เห็นท่านพ่อกินข้าวได้มาก ลูกก็พลอยอิ่มไปด้วย” “เจ้าทำอะไร พ่อก็กินทั้งนั้นละ” ผู้เป็นบิดาส่ายหน้าไปมา แต่ลูกสาวทำหน้าโอดครวญ “ท่านพ่อนี่ขี้เหนียวจริง จะชมฝีมือการทำอาหารของลูกสักคำมิได้หรือไร” “เจ้าก็ย่อมรู้อยู่ว่าฝีมือทำอาหารของเจ้าไม่ธรรมดา” ผู้เป็นพ่อพูดน้ำเสียงเนิบช้า แต่ลอบมองบุตรสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู “หลายปีมานี่ ลำบากเจ้าจริงๆ” “ลูกบ่นลำบากรึ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “ลูกโชคดีที่มีท่านพ่อเช่นท่าน” “พูดจาเอาใจพ่ออย่างนี้ จะเอาอะไรจากพ่อเล่า” “ท่านพ่อ ไยท่านคิดเช่นนั้นเล่า ลูกก็แค่เป็นห่วงท่านพ่อ วันทั้งวันต้องเคี่ยวยา ไหนจะต้องตรวจคนเจ็บป่วยอีก ลูกก็อยากให้ท่านพ่อได้พักผ่อน กินข้าวอิ่มท้องก็เท่านั้นเอง” “เอาละ ยังไงเรื่องอาหารการกินของพ่อก็อ