หน้าหลัก / โรแมนติก / บุปผาต้องมนตร์ / Chapter 5. เมื่อไรนางจะฟื้น

แชร์

Chapter 5. เมื่อไรนางจะฟื้น

            มู่ฟางเหนียงค่อยๆ ลงจากบันไดแล้วยืนเท้าเอวจ้องหน้าบิดาก่อนจะเปิดรอยยิ้มสดใสออกมา 

            “เห็นท่านพ่อจ้องลูกตั้งนานแล้ว ท่านจะพูดอะไรก็พูดมาเถิด” หญิงสาวหัวเราะออกมา นางมักยิ้มและหัวเราะง่ายเช่นนี้ ผิดกับบิดาที่มักมีสีหน้าเรียบนิ่งและดูสงบเยือกเย็น

            “เจ้านี่นะ พ่อยังไม่ทันพูดก็มารู้ความคิดพ่อเสียแล้ว” บิดาถอนหายใจเบาๆ และคลี่ยิ้มที่มุมปาก

            “ลูกไม่รู้ว่าท่านพ่อคิดอะไร” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “รู้แค่ว่าท่านมีเรื่องอยู่ในใจแต่ปากหนักมิกล้าเอ่ย”

            “หน้าตาพ่อดูออกขนาดนั้นเลยรึ” ผู้เป็นพ่อหัวเราะขึ้นมา

            “ถ้าเป็นคนป่วยก็เห็นอาการชัดเลยละเจ้าค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส การที่ในโรงหมอไม่มีผู้อื่น ทำให้นางไม่ต้องคอยระวังรักษากิริยาตัวเองให้เรียบร้อยนัก

            “ว่าแต่ท่านพ่อมีเรื่องอันใดเจ้าคะ อย่าให้ลูกเดาอยู่เลย”

            มู่หยางซัวถอนหายใจแล้วยกมือดึงเอาเศษใบไม้บนศีรษะของลูกสาวออกอย่างเบามือ “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วเหนียงเอ๋อร์”

            “ท่านพ่อแก่ขนาดหลงลืมอายุลูกสาวคนเดียวได้อย่างไรกัน” นางเบ้ปากน้อยๆ

            “ใช่ๆ พ่อย่อมแก่ลงทุกวัน ถึงได้เป็นห่วงว่าจนเวลานี้พ่อคนนี้ยังไม่มีทรัพย์สินอันใดให้ลูกสาวคนเดียวอย่างเจ้าเลย หากวันหน้าเจ้าแต่งงานออกเรือนไปจะได้มีสินส่วนตัวบ้าง”

            “สมบัติที่ท่านพ่อให้ลูกมานั้นล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดแล้วเจ้าค่ะ” นางยิ้ม แววตาเป็นประกายดุจมีดวงดาวพราวระยับในแววตาของนาง “ความรู้ที่ท่านพ่อให้นั้น สามารถทำให้ลูกเลี้ยงตัวเองได้ทั้งชีวิต”

            ผู้เป็นพ่อได้ยินก็ยิ้มปลื้ม แต่กระนั้นก็ยังไม่วางใจนัก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อ พ่อที่ไหนที่ไม่มีแม้กระทั่งบ้านสักหลังให้ลูกอยู่ ไม่มีแม้กระทั่งเครื่องประดับให้ลูกสักชิ้น

            “ท่านพ่ออย่าคิดมากสิ ทุกวันที่ลูกคัดลอกตำรายาให้ท่านก็ได้ทบทวนความรู้ ทุกครั้งที่ได้ติดตามท่านออกตรวจรักษาก็เสมือนได้ฝึกฝนตนเอง เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครให้ลูกได้เท่าท่านพ่ออีกแล้ว แล้วเช่นนี้จะเรียกว่าท่านพ่อมิได้ให้อะไรแก่ลูกได้อย่างไรกัน”

            “แต่เจ้าเป็นหญิง อย่างไรในวันข้างหน้าเจ้าก็ต้องแต่งงาน”

            “เหตุใดท่านพ่อคิดจะผลักไสลูกเล่า ท่านพ่อไม่อยากให้ลูกอยู่ด้วยแล้วใช่หรือไม่” หญิงสาวทำกระเง้ากระงอด “ลูกไม่คิดว่าท่านพ่อจะมีความคิดเช่นนี้” นางถลึงตาใส่ “ลูกของท่านคนนี้เป็นหญิงที่ตั้งปณิธานแล้วว่าจะเป็นหมอหญิงที่ผู้อื่นดูแคลน และลูกก็ไม่มีความคิดจะแต่งงานออกเรือน ลูกจะอยู่ดูแลปรนนิบัติท่านพ่อไปชั่วชีวิต”

            “ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ สักวันเจ้ามีคนรักแล้วก็จะลืมพ่อคนนี้”

            “งั้นท่านก็แต่งงานใหม่ก่อนสิ แล้วลูกจึงจะวางใจยอมแต่งงานบ้าง” นางหัวเราะออกมา

            “พ่ออายุมากแล้ว ซ้ำยังเป็นหมอจนๆ ใครจะมาสนใจ”

            “โถๆ ท่านพ่อ ท่านพ่อของลูกทั้งหนุ่มและหล่อเหลา มีหญิงสาวนับไม่ถ้วนหมายปองท่าน ไม่รังเกียจที่ท่านมีลูกติดและยากจน”

            “เอาละๆ เลิกพูดเรื่องของพ่อเถิด” บิดาส่ายหน้าไปมา จนใจเพราะไม่เคยเถียงลูกสาวชนะได้สักครั้งครา

            “ถ้าเช่นนั้นลูกถามอาการพี่หลิ่งหลินได้หรือไม่เจ้าคะ” นางถามจริงจัง หลังจากวันนั้นแล้วบิดาก็ถูกเชิญไปดูอาการอีกสองครั้ง ยังไม่เห็นวี่แววว่าเคอหลิ่งหลินจะตื่นฟื้น “พี่สาวหลับไปครึ่งเดือนแล้วนะท่านพ่อ”

            “ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากเป็นผู้อื่นคงได้ไปนั่งเจรจากับยมทูตในปรโลกแล้ว”

            “ลูกเป็นห่วงนาง”

น้ำเสียงอ่อนลงและพูดด้วยความจริงใจ นางรอนแรมติดตามบิดาตั้งแต่จำความได้ เคอหลิ่งหลินเป็นผู้หญิงนิสัยประหลาดแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ หลังจากที่นางหลงป่าเกือบตายในคราวนั้น เคอหลิ่งหลินก็แวะเวียนมาหานางเสมอๆ พานางออกไปนอกบ้าน เป็นเพื่อนขึ้นเขาหาสมุนไพร พอคิดถึงตอนนี้นางก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ เคอหลิ่งหลินไม่เคยบอกว่าตนเองเป็นใคร นางก็เข้าใจไปเอง ต่อไปนี้นางคงต้องจ้างใครสักคนนำทางขึ้นเขาหาสมุนไพรแล้ว

            “นางเป็นคนดี ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก”  

            “ท่านพ่อก็ยอมรับว่านางเป็นคนดีแล้วสินะ” มู่ฟางเหนียงแสร้งทำเป็นหรี่ตามองบิดา ก่อนหน้านี้ท่านพ่อไม่ค่อยชอบใจกับนิสัยของเคอหลิ่งหลินนัก เพราะชอบพานางออกไปนอกบ้านโดยไม่บอกกล่าวอยู่เรื่อย แถมยังเรื่องกิริยามารยาทอีก แต่ก็เป็นคนเดียวที่บิดาไว้ใจ

            “เอาอย่างนี้ ครั้งหน้าถ้าคนที่จวนส่งรถม้ามารับ เจ้าก็ไปกับพ่อด้วยก็แล้วกัน”

            “เจ้าค่ะ” นางยิ้มออกมาได้ แล้วก็ทำหน้าครุ่นคิด “แต่ลูกก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมพี่หลิ่งหลินถึงบาดเจ็บหนักเช่นนี้ แล้วทำไมผู้หญิงที่มาจากเมืองหลวงคนนั้นมีไข่มุกหมื่นราตรีมารักษาคุณชายเฉินได้”

            “เจ้ายุ่งเรื่องผู้อื่นเกินไปแล้ว” บิดาปราม

            “คนอื่นที่ไหนล่ะ” นางย่นจมูก

            “เอาละๆ พ่อแตะต้องนางไม่ได้เลยใช่ไหม นี่นะเรอะที่บอกจะอยู่กับพ่อไปชั่วชีวิต”

            “มันเหมือนกันที่ไหนล่ะท่านพ่อ” นางหัวเราะออกมา “ลูกตากสมุนไพรเสร็จแล้วจะไปคัดตำรายาให้ท่านพ่อ ท่านอยากตรวจที่ลูกทำไว้ก่อนแล้วหรือไม่”

“ตำรายาคัดลอกเมื่อใดก็ได้ แต่เจ้ามาเดินหมากกับพ่อสักตาจะเป็นไร”

            “ลูกเดินหมากกับท่านก็แพ้ท่านพ่อทุกที ท่านพ่อต่อเพลงขลุ่ยให้ข้าดีกว่า หรือไม่ก็เป็นหุ่นให้ลูกฝึกฝังเข็ม อ้อ! เมื่อเช้าลูกลองทำขนมจินเด (ขนมงาทอด) ท่านพ่อลองชิมดูหรือยังเจ้าคะ”

            “งั้นพ่อขอเลือกขลุ่ยดีกว่า” ท่านหมอยิ้มเอ็นดูลูกสาว

            “ลูกไปเอาขลุ่ยก่อนนะเจ้าคะ” หญิงสาวหมุนตัวจะไปหยิบขลุ่ยของตนเอง แต่ก็มีคนเข้ามาในโรงหมอ นางแย้มยิ้มต้อนรับ

            “แม่นางน้อย ไม่ทราบว่าท่านหมอมู่อยู่หรือไม่”

            “ท่านพ่ออยู่เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใด ข้าจะไปเรียนท่านพ่อให้ทราบ”

            “ลูกชายข้าตกจากหลังม้า ข้าจะพาเขามาหาท่านหมอ แต่พอขยับหรือจับตัว เขาก็ร้องโอดครวญเจ็บปวดสาหัส ข้าจึงต้องบากหน้ามาเชิญท่านด้วยตัวเอง”

            “โปรดรอสักครู่” นางผงกศีรษะอย่างเข้าใจ หมุนตัวจะเดินไปตามบิดาแต่ท่านพ่อก็เดินมาก่อนแล้ว

            “ทำถูกแล้ว คนตกจากม้าไม่ควรขยับตัวมากนัก มิเช่นนั้นกระดูกอาจเคลื่อนได้” 

            “ท่านหมอจะไปดูอาการลูกชายข้าใช่ไหม?”

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status