หลังจากสูญเสียภรรยาไป มู่หยางซัวก็พาบุตรสาวเพียงคนเดียวที่ภรรยาทิ้งไว้เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าออกเดินทางรอนแรมเร่ร่อนไร้จุดหมาย เพียงเพื่อใช้วิชาแพทย์ของตนรักษาผู้อื่น
มู่ฟางเหนียงไม่เคยนึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตนเอง กลับเรียนรู้วิชาแพทย์จากบิดาและช่วยเหลือเป็นดั่งมือขวา ไม่เพียงแค่เรื่องการรักษา นางยังต้องทำหน้าที่ของลูกสาวที่ต้องดูแลปรนนิบัติบิดาด้วย จนกระทั่งสองปีก่อนบิดาได้ข่าวว่าทางชายแดนมีสงคราม ชาวบ้านเดือดร้อนหนักหนา มู่ฟางเหนียงติดตามบิดาไปโดยไม่คัดค้าน เมื่อไปถึงนางกับบิดาก็โชคดีได้รู้จักกับเศรษฐีใจบุญ เมื่อรู้เจตนาของบิดาจึงให้เรือนไม้หลังเก่าเป็นที่พักอาศัยและเป็นโรงหมอสำหรับรักษาคนเจ็บคนป่วย แต่เนื่องจากสองพ่อลูกไม่ได้ทรัพย์สินอะไรติดตัวมากนัก ก็ได้ท่านเศรษฐีช่วยดูแลแบ่งปันอาหารมาให้ ชาวบ้านยากจนซ้ำอยู่ในสภาวะสงคราม ยาจึงเป็นสิ่งสูงค่า นางตัดสินใจเข้าไปหาสมุนไพรเพื่อให้บิดาได้ใช้เป็นยารักษาคนเจ็บ ทว่า...นางกลับหลงป่าอยู่สามวัน ในขณะที่กำลังสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็พบหญิงสาวท่าทางโผงผาง แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มสดใส “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” “ข้า...ข้า ข้าหลงทาง” นางร้องไห้สะอึกสะอื้น ดีใจที่ได้เจอคนเสียที “ไม่ต้องกลัว ข้าจะไปส่งแล้วกัน บ้านเจ้าอยู่ไหนล่ะ” “บ้านข้าเป็นโรงหมอ บ้านหมอมู่หยางซัว” “ข้าเคยได้ยินชื่อ... มาเถอะ เดี๋ยวค่ำมืดแล้วจะเดินทางลำบาก” นางยื่นมือมาตรงหน้าให้จับพยุงตัว แต่มู่ฟางเหนียงหมดแรงจนลุกไม่ขึ้น “เอาละ งั้นเจ้าขึ้นหลังข้า ข้าแบกลงเขาเอง” “แต่ว่า...” “ไม่ต้องแต่อะไรแล้ว ข้าไม่อยากกลับจวนแม่ทัพจ้าวค่ำนัก ข้าต้องไปดูแลม้าของท่านแม่ทัพอีก” “เจ้าค่ะ” นางยอมทำตามที่สั่งอย่างว่าง่าย หญิงสาวแบกนางขึ้นหลัง เดินลงเขาท่าทางสบายๆ ไม่หนักอะไรเลย “ข้าขอทราบชื่อผู้มีพระคุณได้หรือไม่” “เรียกข้าว่าเคอหลิ่งหลินเถอะนะ” นางหัวเราะเสียงดัง “ดูท่าทางเจ้าอายุน้อยกว่าข้า ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ” “สิบสี่เจ้าคะ” “ยังเด็กอยู่เลยนี่ เจ้าขึ้นเขามาทำอะไรคนเดียวล่ะ” “ข้ามาหาสมุนไพรไปให้ท่านพ่อ” พูดแล้วนางก็ทำท่าจะร้องไห้อีก ไม่เคยจากบิดานานขนาดนี้มาก่อน “อย่าร้องสิ เดี๋ยวเสื้อข้าก็เปียกหมดหรอก” นางหัวเราะไม่ได้จะดุหรือตำหนิ “เจ้าค่ะ ท่านผู้มีพระคุณ” “ไม่เอาๆ เรียกข้าว่าพี่สาวเถอะ ข้ามีน้องชายแล้ว ตอนนี้อยากมีน้องสาวบ้าง” “เอ่อ...” นางอึกอัก เพิ่งเจอกันครู่เดียวจะให้เรียกสนิทสนมอย่างนั้นเลยหรือ “พี่สาว ลองเรียกซิ” “พี่สาว” “ดีมาก หากใครรังแกเจ้าก็บอกข้า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง คราวหน้าถ้าเจ้าจะขึ้นเขาอีก ข้าจะมาเป็นเพื่อน” “ได้รึเจ้าคะ” “ได้สิ ข้าเป็นพี่ ย่อมมีหน้าที่ดูแลน้อง” เดินทางเร่ร่อนกับบิดามาหลายปี เพิ่งเคยมี ‘พี่สาว’ ก็ครั้งนี้เอง จากที่ร้องไห้เพราะความหวาดกลัว ตอนนี้นางกลับหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ มู่ฟางเหนียงเอนหน้าซบกับบ่าของหญิงสาวด้วยความอ่อนเพลีย เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้จนกระทั่งรู้สึกว่าคนที่แบกนางอยู่หยุดเดินและมีเสียงพูดคุย “บ้านท่านหมอมู่ใช่หรือไม่” “ฟางเหนียง! ฟางเหนียง!” “ท่านพ่อ” ลูกสาวที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นแล้วส่งเสียงเรียกขาน ทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝันไป หญิงสาวย่อตัวลงให้ฟางเหนียงลงจากหลัง เขารีบเข้าไปประคองลูกสาวที่เนื้อตัวมอมแมม “เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา พ่อนึกว่าจะเสียเจ้าไปแล้ว” “ข้า...ข้า..” “นางหลงป่า” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนคนที่อ้ำอึ้งอยู่ “หลงป่า? เจ้าเข้าไปทำอะไรในป่า” “ข้า...ข้า...” “นางไปหาสมุนไพร ท่านลุงอย่าได้ดุนางเลย นางอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้ท่าน” เป็นเคอหลิ่งหลินอีกนั่นแหละที่เอ่ยตอบแทนเด็กสาวที่เวลานั้นอายุสิบสี่ปี “ฟางเหนียง ถ้าเจ้าเป็นอะไรไป พ่อจะเอาหน้าที่ไหนไปพบแม่ของเจ้าที่ปรโลก” “ท่านพ่อ ฟางเหนียงผิดไปแล้ว” นางสำนึกผิด “แต่ข้าโชคดีที่ได้พี่หลิ่งหลินมาช่วยไว้” “ฮืม...คนเราพบกันเพราะมีวาสนา” เคอหลิ่งหลินยืดอกด้วยท่าทางภูมิใจ “ข้าแอบไปฝึกเพลงขลุ่ยในป่าถึงได้เจอน้องฟางเหนียง” “น้องฟางเหนียง?” ท่านหมอมู่เอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยิน “ก็นางอายุน้อยกว่าข้า ข้าก็เลยยินดีที่จะเป็นพี่สาวให้นาง ข้าเคอหลิ่งหลินอยู่ในเมืองนี้แหละ ถ้าน้องฟางเหนียงอยากเข้าป่าไปหาสมุนไพรอีก ข้าจะพาไปเอง ข้าเติบโตในป่า ชำนาญเรื่องเส้นทางในหุบเขาดี” “งั้นครั้งหน้าข้าคงต้องรบกวนพี่หลิ่งหลินอีกนะ” “ครั้งหน้า! เจ้ายังจะกล้าไปอีกเรอะ! แค่นี้พ่อก็แทบจะสิ้นใจอยู่แล้ว!” “อย่ากังวลไปเลยท่านลุง ข้าเคอหลิ่งหลินจะดูแลน้องฟางเหนียงเอง” นางพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเป็นปกติราวกับเคยชินกับเรื่องเช่นนี้ “แต่ข้าว่าตอนนี้ท่านลุงให้น้องฟางเหนียงได้พักผ่อนก่อนจะดีกว่า ส่วนข้าก็ต้องกลับบ้านแล้วเช่นกัน” “บ้านเจ้าอยู่ที่ใดรึ” “บิดามารดาของข้าตายจากไปหลายปี ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่จวนแม่ทัพจ้าว” นับตั้งแต่วันนั้น ชีวิตที่เรียบง่ายของมู่ฟางเหนียงก็มีเคอหลิ่งหลินเข้ามาเป็น ‘พี่สาว’ ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ล่วงผ่านมาสองปี ปีที่นางอายุสิบหกพอดี.หญิงสาวมองผู้เป็นพ่อกินอาหารมื้อเย็นด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าบิดากินอาหารได้มากนางก็พลอยเบิกบาน เพราะนี่เป็นหน้าที่ของลูกสาวอย่างนางที่ต้องดูแลปรนนิบัติผู้ให้กำเนิดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “นั่งมองพ่อกินแล้วเจ้าจะอิ่มหรือไม่” “เห็นท่านพ่อกินข้าวได้มาก ลูกก็พลอยอิ่มไปด้วย” “เจ้าทำอะไร พ่อก็กินทั้งนั้นละ” ผู้เป็นบิดาส่ายหน้าไปมา แต่ลูกสาวทำหน้าโอดครวญ “ท่านพ่อนี่ขี้เหนียวจริง จะชมฝีมือการทำอาหารของลูกสักคำมิได้หรือไร” “เจ้าก็ย่อมรู้อยู่ว่าฝีมือทำอาหารของเจ้าไม่ธรรมดา” ผู้เป็นพ่อพูดน้ำเสียงเนิบช้า แต่ลอบมองบุตรสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู “หลายปีมานี่ ลำบากเจ้าจริงๆ” “ลูกบ่นลำบากรึ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “ลูกโชคดีที่มีท่านพ่อเช่นท่าน” “พูดจาเอาใจพ่ออย่างนี้ จะเอาอะไรจากพ่อเล่า” “ท่านพ่อ ไยท่านคิดเช่นนั้นเล่า ลูกก็แค่เป็นห่วงท่านพ่อ วันทั้งวันต้องเคี่ยวยา ไหนจะต้องตรวจคนเจ็บป่วยอีก ลูกก็อยากให้ท่านพ่อได้พักผ่อน กินข้าวอิ่มท้องก็เท่านั้นเอง” “เอาละ ยังไงเรื่องอาหารการกินของพ่อก็อ
รถม้าจอดสนิทแล้ว สองพ่อลูกค่อยๆ ลงจากรถโดยมีคนรับใช้มาคอยช่วยถือสัมภาระให้ด้วยกิริยานอบน้อม หมอไม่ใช่อาชีพที่คนทั่วไปนับถือนัก แต่เมื่อเห็นกิริยาของคนรับใช้จวนแม่ทัพแล้ว แสดงว่าได้รับการอบรมมาดี มู่ฟางเหนียงเดินตามแผ่นหลังของบิดา คฤหาสน์หลังงามหรือแม้แต่บ้านไร้หลังคานางล้วนผ่านมาหมดแล้วจึงไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นออกไป มีเพียงท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เดินตามทางที่พ่อบ้านเดินนำไปถึงห้องพัก นางก็ได้ยินเสียงกลั้นสะอื้นของหญิงวัยกลางคน มู่ฟางเหนียงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความเข้าใจความรู้สึกนี้ คนบนเตียงนั้นคงเป็นที่รักของคนที่รายล้อมอยู่ หมอมู่หยางซัวยกมือประสานคารวะแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง แม่ทัพเพียงผงกศีรษะรับ “เป็นข้าที่ต้องขอบคุณที่ท่านมากลางดึกเช่นนี้” “คนเจ็บคนป่วยล้วนรอไม่ได้ ท่านแม่ทัพอย่าได้เกรงใจไปเลย” หมอมู่หยางซัวเดินเข้าไปใกล้เตียงของคนเจ็บ เพราะอาการสาหัสจึงไม่มีม่านโปร่งบังตามธรรมเนียม ทว่าเพียงเห็นใบหน้าซีดเซียวของคนที่นอนหายใจรวยรินก็ต้องสะดุ้ง อาการตื่นตกใจของท่านหมอมู่ทำให้ท่านแม่ทัพขมวดคิ้วด้วยเข้าใจว่าอาการของลูกสาวบุญธ
พูดว่าหลงทาง นางก็ยิ้มฝืนไปทันที ข้อด้อยที่สุดของนางคือนิสัยหลงทิศและจำทางไม่ได้นี่แหละตอนที่ยังเด็กกว่านี้ นางมักหลงทางอยู่บ่อยๆ แม้จะพยายามจดจำแค่ไหน ระยะทางใกล้หรือไกลนางก็หลงอยู่เสมอ พ่อจะถักสร้อยร้อยกระพรวนใส่ข้อมือให้ อย่างน้อยก็ได้ยินเสียงเวลาที่นางเดินไปไหนมาไหน นางฝึกฝนท่องตำรายาและจดจำการกดจุดฝังเข็มได้อย่างแม่นยำ ทว่ากลับหลงทางง่ายยิ่งกว่าเด็กเจ็ดแปดขวบเสียอีก ยิ่งพยายามก็รู้สึกว่ายิ่งทำให้แย่ลง แอบบำรุงตัวเองด้วยสมุนไพรแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หลงทิศน้อยลงสักนิด นานวันเข้าก็เริ่มถอดใจ นางจึงเลี่ยงที่จะไม่ไปไหนคนเดียว แม้หัวใจของนางจะโบยบินไปในท้องฟ้าแล้วก็ตามยาเคี่ยวได้ที่แล้ว แต่ยังไม่มีคนมารับนาง หัวคิ้วขมวดยุ่ง เอาอย่างไรดี ยาควรดื่มตอนที่ยังร้อนอยู่ เอาเถอะ ถือออกไปก่อน คนในจวนมีเยอะแยะ นางถามทางกับใครก็ได้ เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ประคองชามยาออกไป อาจเพราะว่าดึกแล้ว ในจวนถึงเงียบนัก เงียบไม่เท่าไหร่แต่นางไม่เห็นใครที่จะถามทางได้สักคนใจเย็นหน่อยฟางเหนียง เมื่อครู่เดินผ่านอะไรมาบ้างนะ ค่อยๆ นึกและเดินตามทางเดิมซิหญิงสาวสงบใจแล้วเดินตามทางที่ตัวเองคิดว่าเดินผ่านมาเมื่อครู่ ขณะ
มู่ฟางเหนียงค่อยๆ ลงจากบันไดแล้วยืนเท้าเอวจ้องหน้าบิดาก่อนจะเปิดรอยยิ้มสดใสออกมา “เห็นท่านพ่อจ้องลูกตั้งนานแล้ว ท่านจะพูดอะไรก็พูดมาเถิด” หญิงสาวหัวเราะออกมา นางมักยิ้มและหัวเราะง่ายเช่นนี้ ผิดกับบิดาที่มักมีสีหน้าเรียบนิ่งและดูสงบเยือกเย็น “เจ้านี่นะ พ่อยังไม่ทันพูดก็มารู้ความคิดพ่อเสียแล้ว” บิดาถอนหายใจเบาๆ และคลี่ยิ้มที่มุมปาก “ลูกไม่รู้ว่าท่านพ่อคิดอะไร” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “รู้แค่ว่าท่านมีเรื่องอยู่ในใจแต่ปากหนักมิกล้าเอ่ย” “หน้าตาพ่อดูออกขนาดนั้นเลยรึ” ผู้เป็นพ่อหัวเราะขึ้นมา “ถ้าเป็นคนป่วยก็เห็นอาการชัดเลยละเจ้าค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส การที่ในโรงหมอไม่มีผู้อื่น ทำให้นางไม่ต้องคอยระวังรักษากิริยาตัวเองให้เรียบร้อยนัก “ว่าแต่ท่านพ่อมีเรื่องอันใดเจ้าคะ อย่าให้ลูกเดาอยู่เลย” มู่หยางซัวถอนหายใจแล้วยกมือดึงเอาเศษใบไม้บนศีรษะของลูกสาวออกอย่างเบามือ “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วเหนียงเอ๋อร์” “ท่านพ่อแก่ขนาดหลงลืมอายุลูกสาวคนเดียวได้อย่างไรกัน” นางเบ้ปากน้อยๆ “ใช่ๆ พ่