จวินเย่เสวียนวางแก้วลง มองไปที่จวินฉู่หลี "วันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?"หลายวันนี้ จวินเย่เสวียนอยู่นอกเมืองตลอดวันนี้กลับมาเห็นสีหน้าของจวินฉู่หลีดีขึ้นไม่น้อยวิชาการแพทย์ของเด็กคนนั้น ดูจะเก่งกาจยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ซะอีกแต่กลับไม่รู้เลยว่าอาจารย์นางคือใคร แล้วไปเรียนมาจากที่ไหน"ร่างกายเบาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ราวกับว่าได้เกิดใหม่ "คำพูดของจวินฉู่หลีไม่ได้เกินไปเลย""เขาพูดยิ้มๆ "เมื่อครู่ตอนที่กินหมูผัดน้ำแดง ก็ได้รสหวานหอมด้วย"จวินเย่เสวียนเกร็งปลายนิ้วเล็กน้อย มองเขาเรื่องที่เป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับคนอื่น อย่างรสหวาน สำหรับจวินฉู่หลีถือเป็นเรื่องยากที่ไม่ปกติ!สิบกว่าปีมาแล้ว เขา นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้สัมผัสถึงรสชาติหวาน?"ไม่ขมแล้วเหรอ?" ถึงจวินเย่เสวียนจะยังมองหน้าเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในดวงตากลับมีร่องรอยของความตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยจวินฉู่หลียิ้มให้บางๆ "ก็ยังขมอยู่นิดหน่อย แต่ว่ารับรสหวานได้ชัดเจน ซีเออร์บอกว่า วันหลังรอให้ข้าดีขึ้นกว่านี้จะปรับรายการอาหารให้ข้าได้ฟื้นฟูการรับรส"ประสาทสัมผัสการรับรสของเขาไม่ปกติมานานมาแล้ว แล้วเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรแต่คิดไม่ถึงเลย
ดึกแล้วจวินฉู่หลีมาส่งกู้อวิ๋นซีกลับถึงหอหนิงซีด้วยตัวเองเขาเดินช้ามาก ราวกับว่าถ้าเดินเร็วแล้ว เส้นทางนี้จะสิ้นสุดลงเร็วอย่างนั้นแต่กู้อวิ๋นซีกลับรู้สึกเหนื่อยแล้ว นางหาวติดต่อกันสองครั้ง"ซีเออร์" จู่ๆ จวินฉู่หลีก็เรียกชื่อนางกู้อวิ๋นซีหยุดเดิน หันหน้าไปมองเขา "มีอะไรเหรอ? หรือว่าไม่สบายตรงไหน?""ร่างกายของเจ้าเองก็อ่อนแอมาก ยังจะห่วงคนอื่นอีก"คำพูดของจวินฉู่หลีไม่รู้ว่าพูดด้วยความตำหนิหรือว่าปวดใจ"ข้าแข็งแรงดีมาก กลัวอะไร?" กู้อวิ๋นซียกรอยยิ้มให้ ตาโค้งเป็นรูปพระจันทร์รอยยิ้มที่สดใสนี้ เป็นใครก็ดูไม่ออกว่าภายใต้รอยยิ้มของนางจะเป็นหัวใจที่บอบช้ำจวินฉู่หลีเองก็ดูไม่ออก เพียงแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากของนางแล้ว ในใจของเขากลับรู้สึกขมขื่นเจ็บปวดขึ้นมาอีกไม่นานนางก็ไม่ใช่ของเขาแล้วหนึ่งเดือนเขารู้ ขอเพียงตัวเขาเอ่ยปากขอ ท่านพี่สี่ก็ไม่มีทางปฏิเสธท่านพี่สี่มักเสียสละให้เขาเสมอ ตั้งแต่เล็กจนโต เสียสละให้เสมอเหมือนกับเป็นคนที่คอยรับหน้าที่ป้องกันลมฝนให้กับทุกคนในครอบครัว แต่ตัวเองดันเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุดคนนั้นแหละท่านพี่สี่ก็คือคนที่คอบแบกรับทุกอย่างคนนั้น
วันไหว้พระจันทร์คืนนี้ในวังมีงานเลี้ยงแต่วันนี้ในท้องพระโรงตำหนักยงหยางของฝ่าบาท บรรยากาศกดดันสุดๆ"ฝ่าบาท เสวียนอ๋องโหดเหี้ยมเป็นนิสัย เมื่อวานฆ่าล้างจวนของใต้เท้าอวิ๋น บีบให้ใต้เท้าอวิ๋นต้องผูกคอฆ่าตัวตาย ไม่เว้นแม้กระทั่งลูกและภรรยาในจวน!""ฝ่าบาท ต่อให้ใต้เท่าอวิ๋นจะมีความผิด แต่โทษไม่ถึงขั้นต้องฆ่าล้างจวนพ่ะย่ะค่ะ การกระทำของเสวียนอ๋อง ช่วงทำให้คนเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน""ฝ่าบาท กองทัพของเสวียนอ๋องที่เฝ้ารักษาการที่เมืองเตี๋ย เมื่อหลายวันก่อนได้ทำลายชนเผ่าหนึ่งของฉือทู แต่ก่อนหน้านั้น เจิ้งอ๋องได้ไปคุยสนธิสัญญากับฉือทูเรียบร้อยแล้ว ความจริงทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องรบกันด้วยซ้ำพ่ะย่ะค่ะ""เสวียนอ๋องนำทัพ ตอนนี้ฉือทูทำสงครามกับเมืองเตี๋ย ประชาชนเดือดร้อน เสียงคร่ำครวญดังไปทั่ว ต่างล้วนด่าว่าเสวียนอ๋องโหดเหี้ยมไร้เมตตา""ฝ่าบาท วิธีการของเสวียนอ๋องมัน...โหดร้ายเกินไป หนานหลิงเราเป็นแคว้นที่มีเมตตา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ความเมตตาของหนานหลิงจะอยู่ที่ไหนพ่ะย่ะค่ะ?""ใช่แล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แคว้นใกล้เคียงที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจะมองแคว้นเราอย่างไร? ชื่อเสียงเรื่องความเมตตาข
จวินเย่เสวียนได้รับโองการด่วนจากฝ่าบาทเรียกตัวกลับตอนที่ก้าวขาเข้าไป ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่น เมื่อถอดเสื้อเกราะออกมา กลิ่นคาวเลือดก็พุ่งมาเตะจมูกในท้องพระโรง มีขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่มากกว่า เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดจากร่างกายของจวินเย่เสวียนลอยมาเข้าจมูก แต่ละคนก็ยิ่งหวาดกลัวกันเข้าไปใหญ่"เสด็จพ่อ"จวินเย่เสวียนมาหยุดอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ ใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยคาวเลือดขันทีขั้นผู้น้อยพูดออกไปอย่างระมัดระวังว่า "ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านอ๋องรีบเข้าพบโดยด่วยหลังจากกลับมาถึงเมืองหลวง ท่านอ๋องยังไม่ทันได้ไปอาบน้ำ..."ฝ่าบาทโบกมือ ขันทีชั้นผู้น้อยคนนั้นก็ถอยร่นออกไปทันทีสายตาเย็นชาของจวินเย่เสวียน กวาดมองไปยังทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงนี้วันนี้เจิ้งอ๋องไม่อยู่ คนพวกนี้ ช่างน่าสนใจเหลือเกิน แต่ละคนล้วนเป็นคนที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับเจิ้งอ๋องทั้งนั้นเขาหัวเราะเย้ยหยันออกมา "ทุกท่าน กำลังหาเรื่องอะไรข้าอยู่อย่างนั้นเหรอ?"ทุกคนต่างพากันก้มหน้างุด เมื่อครู่ยังแย่งกันพูดไม่หยุดอยู่เลย ตอนนี้ ไม่กล้าพูดกันสักคำเสวียนอ๋องมีกลิ่นเลือดเต็มตัว อีกทั้งท่าทีเย็นชาหยิ่งยโสนั่นอีก ช่
วันนี้กู้อวิ๋นซีติดตามพระสนมหรงเข้าวังไปตั้งแต่เช้าแล้ว ไปกินเจ สวดมนต์เป็นเพื่อนไทเฮาหลังจากทานมื้อกลางวันเสร็จ พระสนมหรงก็พาจวินฉู่หลีกลับไปพักผ่อนที่ตำหนัก ส่วนไทเฮารั้งตัวของกู้อวิ๋นซีเอาไว้คนเดียว ลากนางให้มาศึกษาหนังสือสวดมนต์ด้วยกันศึกษาทีก็กินเวลาไปชั่วโมงกว่าเมื่อไทเฮารู้สึกเหนื่อยล้าก็ปล่อยตัวของกู้อวิ๋นซีออกมา ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาบ่ายแล้วเลยเวลาง่วงมาแล้ว ดังนั้นหลังจากที่กู้อวิ๋นซีพอไทเฮาเข้านอนเรียบร้อย นางก็ไปเดินเล่นในตำหนักของไทเฮาแทนรู้สึกหิวนิดหน่อย เดิมทีคิดอยากจะออกไปหาอะไรกิน แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินพวกนางกำนัลและขันทีกำลังซุบซิบอะไรกันอยู่"ได้ยินว่าครั้งนี้เสวียนอ๋องบาดเจ็บกลับมาหนักมาก รอยแผลนั้น ขนาดฝ่าบาทยังตกใจเลย""ข้าเองก็ได้ยินมา ได้ยินว่าเสวียนอ๋องถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกกลางท้องพระโรง พวกขุนนางเฒ่าพวกนั้นก็ต่างตกใจกันหมด""ภัยเกิดจากปาก ระวังคำพูดของเจ้าหน่อย" มีคนพูดเตือนขึ้นมาแต่เด็กคนนั้นกลับไม่พอใจ เห็นชัดว่ากำลังพูดอย่างโมโห"ข้าก็แค่พูดความจริง พวกเจ้าไม่รู้อะไร ข้าได้ยินพี่เสี่ยวชุนบอกว่า ก่อนที่เสวียนอ๋องจะเข้ามา แต่ละคนต่างก็กำลังพูด
กู้อวิ๋นซีให้เยียนเป่ยเอากล่องยามาให้ จากนั้นก็เริ่มลงมือจัดการบาดแผลให้กับจวินเย่เสวียนบนร่างกายของเขามีแต่บาดแผลเต็มไปหมด ทั้งแผลใหม่แผลเก่า ก่อนหน้านี้นางก็รู้ตั้งนานแล้ว เขามีบาดแผลเต็มไปหมดจนนับไม่หวาดไม่ไหวตอนนี้ มีแผลใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกแล้วไม่น้อยดูแล้วช่างน่าหวาดกลัวซะเหลือเกินเยียนเป่ยตักน้ำอาบมา ครั้งนี้ เป็นความต้องการของกู้อวิ๋นซีเองที่ต้องการจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเขาเองไม่ใช่ว่านางอยากที่จะใกล้ชิดกับจวินเย่เสวียน แต่ว่า คนสารเลวนี่...จากที่กู้อวิ๋นซีรู้จักกับเขามา ถ้าให้เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง เกรงว่าเขาจะต้องก้าวลงไปในอ่างน้ำทั้งตัวเลยแน่ๆลงไปแช่ทั้งตัวโดยไม่สนใจว่าบาดแผลบนตัวว่าจะยังมีเลือดไหลอยู่หรือไม่ใต้หล้านี้ทำไมถึงมีคนที่หยาบกระด้างเช่นเขาอยู่ได้?"บาดแผลพวกนี้ตั้งหลายวันแล้ว เหตุใดถึงไม่ทำแผล?"หลังจากที่อาบน้ำให้เขาเสร็จ กู้อวิ๋นซีก็บอกให้เขาพิงตัวไปกับหัวเตียง นางถือยาและเริ่มทำการล้างแผลให้กับเขา"ไม่มีคนทำให้" จวินเย่เสวียนตอบกลับอย่างเย็นชากู้อวิ๋นซีชะงักปลายนิ้วไปเล็กน้อย พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ "ขอเพียงเสวียนอ๋องพูดคำเดียว ผู้หญิงค
ในเวลานั้น แววตาของเขา มีเพียงความสิ้นหวังนางไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงสิ้นหวังขนาดนี้!ราวกับมือถูกของร้อน นางรีบชักมือกลับมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันระวัง ดันเผลอไปโดนแผลของเขาเข้าจวินเย่เสวียนหลับตาลง คิ้วขมวดมุ่นเจ็บ!เขาไม่ใช่ซากศพ เขาก็รู้สึกเจ็บเป็น!ต่อให้เจ็บจนชาไปแล้ว แต่ก็ยังเจ็บอยู่!"ขอโทษ" เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อที่ผุดซึมขึ้นมาบนใบหน้าของเขา กู้อวิ๋นซีก็รู้ได้เลยว่านางทำให้เขาเจ็บจวินเย่เสวียนยังคงปิดตาอยู่หากว่าไม่ใช่ที่ขมับกับใบหน้าของเขายังคงมีเหงื่อผุดซึมออกมาอยู่ กู้อวิ๋นซียังเข้าใจว่า เขาหลับไปแล้วซะอีกเขากำลังอดทนอยู่ราวกับว่าเขา กำลังอดทนอยู่ตลอดเวลา"ข้า...จะผ่าเปิดบาดแผลแล้วนะ" นางเปิดกระเป๋าที่พกติดตัวอยู่ตลอดออก หยิบเอาเครื่องมือที่ต้องการใช้ทั้งหมดออกมานางถือมีดผ่าตัดไว้ในมือแล้วมองเขา "หากว่าท่านกลัวเจ็บ ข้าจะช่วยหาวิธีเอายาชามาให้ท่าน...""เสด็จย่าจะนอนหลับเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น" เขาพูดเสียงเรียบกู้อวิ๋นซีถอนหายใจออกมาเบาๆเขายังคงคิดแทนนางเมื่อเสด็จย่าตื่น จะต้องมาหานางแน่วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ ตอนบ่ายนางยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ ไม่ม
สุดท้ายจวินเย่เสวียนก็หลับไปเป็นกู้อวิ๋นซีที่แอบใส่ยานอนหลับลงไปในยาที่ทาให้เขาเมื่อเจ็บปวดจนสติเลือนลาง เขาก็หลับไปเลยตอนที่เยียนเป่ยถืออ่างน้ำร้อนเข้ามา กู้อวิ๋นซียังคงเช็ดตัวให้จวินเย่เสวียนอยู่"ท่านอ๋องของพวกเจ้าเป็นสภาพเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว?" นางถามเยียนเป่ยไม่ค่อยเข้าใจ "สภาพนี้...หมายความว่าอย่างไร?""ดูถูกตัวเอง ไม่ถนอมร่างกายของตัวเอง ถึงขนาด..."ปลายนิ้วของกู้อวิ๋นซีชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมามองเยียนเป่ยสีหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ มีเพียงนางคนเดียวที่รู้ นางรู้สึกหนักอึ้งในใจ"ถึงขนาด คิดที่จะยอมทิ้งชีวิตของตัวเองในบางครั้ง..."เยียนเป่ยมือสั่น จนอ่างน้ำในมือเกือบที่จะร่วงหล่นลงบนพื้นโชคดีที่เขามือไวตาไวรีบถือให้มั่นคงหลังจากที่วางอ่างน้ำลง เยียนเป่ยถึงได้พูดว่า "ความจริง...ก็ไม่ได้ต่างจากในอดีตมาก ตอนที่ท่านอ๋องทำศึกก็เป็นแบบนี้ตลอด เพียงแต่ช่วงนี้ หลายวันนี้..."ในใจของเยียนเป่ยก็รู้สึกหนักอึ้งเช่นกันผ่านไปสักพักเขาถึงได้พูดว่า "การปราบกบฎหลายครั้งที่ผ่านมา ท่านอ๋องดูจะใจร้อนรีบบุกไปหน่อย ไม่สนผลที่ตามมา ยอมแลกกับทุกอย่างเพื่อที่จะ