นางกำนัลสาลินีได้นำพาพระโอรสของราชาเมษากับราชินีสีวิกา เดินลัดเลาะหลบมุมตลอดทาง จนมาถึงข้างๆ ตำหนักของชายามาริสา เธอรออยู่พักหนึ่งมันฑนานางกำนัลร่วมรุ่นมาพร้อมพระโอรสของอนุชาเมฆากับชายามาริสา
“ข้ารอตั้งนานนึกว่าเอ็งไม่มาแล้ว ยังดีที่พระโอรสไม่ร้องเลย” นางกำนัลสาลินีเอ่ยขึ้นด้วยใจระทึกมองซ้ายมองขวา แล้วมององค์ชายแสนอาภัพที่เธออุ้มมา
“เอาน่าอย่าพูดมากเลยเอาเด็กมาสลับกัน” นางกำนัลนำพระโอรสที่ซ่อนมาในตะกร้าผ้าออกมา
นางกำนัลสาลินีและนางกำนัลมัฑนาต่างสลับพระโอรสกันตรงนั้น แต่สายตาทั้งสองก็ไมวายมองรอบๆ บริเวณ ด้วยความกลัวใครจะมาพบเห็น
“เอ่อ เอ็งออกมาได้อย่างไงไม่มีทหารเหรอ” นางกำนันสาลินีถาม
“มี แต่ทหารที่เฝ้ารู้จักกันก็เลยพอเอาออกมาได้”
“เอ้านี่ คือแหวนที่มเหสีสีวิกามอบไว้ให้องค์ชาย”
“อือ”
มัณฑรับแหวนไว้แล้วรีบพาองค์ชายเข้าไปในพระตำหนักอย่างทันท่วงที ส่วนสาลินีไม่รอช้ารีบน้ำองค์ชายที่สลับเปลื่ยนไปยังตำหนักราชินีสีวิกาเช่นเดียวกัน ซึ่งกว่าจะไปถึงก็ใช้เวลานานพอสมควร เพราะต้องหลบเหล่าทหารที่กำลังออกตระเวน
เมื่อสาลินีมาถึงยังตำหนักของราชินีสาลินี เธอรีบน้ำพระโอรสของอนุชาเมฆากับชายามาริสาวางไว้ข้างกายราชินีสีวิกา
“ช่างน่ารัก แต่น่าเสียดาย” ราชินีสีวิการู้สึกเศร้าใจในทันที
ราชินีสีวิกาเพียงแค่พูดจบประโยคนี้ เธอก็ได้ยินเสียงพังประตูเข้ามา และสิ่งที่เธอเห็นตรงหน้าคืออนุชาเมฆากับพระสวามีของเธอ ที่ถูกคุมตัวจากอนุชาเมฆาพร้อมเหล่าทหารหลายนาย
“องค์ชายช่างน่ารักอย่างนี่กะไร แต่น่าเสียดายพ่อแม่ไร้ความสามารถ จึงทำให้องค์ชายต้องสิ้นอายุขัยในอีกไม่ช้านี้” อนุชาเมฆาหัวเราะเสียงดังลั่น
“เมฆานั่นคือโอรสของข้าและเป็นหลานของเจ้านะ ข้าขอร้องถ้าอยากราชบัลลังก์ข้าพร้อมยกให้เจ้าทุกสิ่งทุกอย่าง ขอเพียงปล่อยมเหสีและองค์ชายข้าขอตายตรงนี้ก็ได้”
“มันต้องตัดรากถอนโคนไม่ใช่เหรอ อย่าอะไรให้มากความ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่าหวังว่าข้าจะปล่อยเสือเข้าป่าไปเลย มันอันตรายต่อราชบัลลังก์ข้า ทหารดูแลพระเชษฐา กับพระเชษฐินีและนัดดาของข้าอย่าให้คาดสายตา พรุ่งนี้ค่อยประหารไม่ให้เหลือซาก” อนุชาเมฆาหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ
“เอาล่ะ เดี๋ยวข้าต้องรีบไปดูโอรสของข้าที่กำเนิดมาด้วยความโชคดี และจะเป็นรัชทายาทต่อองค์ต่อไป”
สายตาของอนุชาเมฆามองราชาเมษากับราชินีสีวิกาด้วยความเย้ยหยัน เพราะในที่สุดเขาก็ก่อกบฏสำเร็จอย่างง่ายดาย โดยแท่บจะไม่เสียเลือดเนื้อแม้แต่น้อย หลังจากนั้นอนุชาเมฆาก็เดินออกจากห้องบรรทมพร้อมกับเหล่าทหารที่ต้องเฝ้าอยู่หน้าห้อง
“ข้าหลงผิดไว้ใจคนชั่ว ถ้าข้าเชื่อเอ็งสักนิดคงไม่มีวันนี้หรอก” ราชาเมษานั่งลงด้วยความกลัดกลุ้มอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็หันมามองพระโอรสของตัวเอง
“ลูกพ่อ เอ็งวาสนาน้อยเหลือเกิน เกิดมาในยามที่บ้านเมืองสงบสุข แต่กับมีการก่อกบฎเอ็งต้องรับกรรมในครั้งนี้ด้วย”
“เสด็จพี่น้องมีเรื่องจะบอกพระองค์เพคะ”
“เอ็งมีเรื่องอันใดจะบอกข้า”
“คือ เด็ก เอ่อ”
ในขณะที่ราชินีสีวิกากำลังจะบอกความจริง ก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุนอยู่หน้าห้อง เพียงไม่นานประตูนั้นก็พังทลายจนเปิดออก พร้อมกับชายหนุ่มกับยำสูงใหญ่
“แม่ทัพกรกฏ” ราชาเมษาเอ่ยขึ้นทันที
“พระองค์ทั้งสองเชิญตามเสด็จกระหม่อมมาด้วยพระเจ้าค่ะ”
“ไปไหน”
“หลบหนีก่อนพระเจ้าค่ะ”
“ข้าเป็นราชาจะไม่มีวันทำเช่นนั้นเด็ดขาด เอ็งพาเมียกับลูกข้าไปก็เพียงพอ”
“ไม่ได้พระเจ้าค่ะ ไม่มีเวลาที่ตัดสินใจอะไรทั้งนั้น อย่าให้ทหารที่คอยปกป้องพระองค์ต้องเสียชีวิตโดยไม่ได้อะไรกลับมา กระหม่อมคิดว่าทหารของเราจะต้านทานไว้ได้ไม่นานหรอกพระเจ้าค่ะ”
ราชาเมษากับราชินีสีวิกาไม่มีทางเลือกอื่นใด จำเป็นต้องทำตามความต้องการแม่ทัพกรกฏแต่โดยดี มีเพียงแต่ราชินีสีวิกาที่ยังว้าวุ่นจิตใจ เพราะโอรสที่นอนอยู่ข้างกาย ไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของพระองค์
“ไม่มีเวลาไปกันก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ”
ราชินีสีวิกาจึงตามน้ำปล่อยให้สาลินีนางกำนัลคู่ใจอุ้มลูกศัตรูไปด้วย ส่วนพระองค์ราชาเมษาประคองร่างอันอ่อนระทวยเดินตามแม่ทัพกรกฏไป โดยเหล่าทหารล้อมหน้าล้อมหลังคอยปกป้องให้ทั้งสามปลอดภัย
แม่ทัพกรกฏพาทั้งสามพระองค์ฝ่าวงล้อมเหล่าทหารกบฏเกือบสำเร็จ แต่แล้วก็ต้องพบกับแม่ทัพวิหคที่อยู่ฝ่ายอนุชาเมฆาขว้างกันไว้ไม่ให้หนีไปไหน
“คุ้มกันทั้งสามพระองค์ไว้ด้วย” แม่ทัพกรกฏไม่รอช้าเข้าประจันหน้าต่อสู้กับเหล่าทหารแม่ทัพวิหค
ในส่วนของราชาเมษาคิดว่าหนีไปสามคนน่าจะไม่รอด เขาจึงอยากให้พระโอรสของตัวเองปลอดภัย ราชาเมษาจึงคิดการณ์จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับแม่ทัพกรกฏ ราชาเมษาจึงหันมาตรัสกับมเหสีคู่ชีวิต
“เอ็งกับลูกหนีไปก่อน”
“หม่อมฉันไม่ไปจะอยู่สู้จนตัวตายกับพระองค์ ส่วนพระโอรสของเราหม่อมฉันจะให้สาลินีพาหนีไป”
“น้องพี่”
“เสด็จพี่ไม่ต้องตรัสอะไรอีก สาลินีพาพระโอรสหนีไป”
ราชินีสีวิกามองสาลินีนางกำนัลคู่ใจในเชิงข้อร้อง ส่วนนางก็ไม่เข้าใจความหมายในสายตาของราชินีสีวิกา แต่นางก็ไม่มีทางเลือกจีงรีบวิ่งหนีไป โดยมีเหล่าทหารคอยคุ้มกันอยู่หลายนาย ราชินีสีวิการู้ตัวดีในสภาพนี้เธอไม่สามารถที่จะเดินทางไปไหนได้ไกล จึงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะหนีไป
ราชินีสีวิกามองเหล่าทหารสองฝ่ายสู้รบฟาดฟันกันอย่างดุเดือด เพียงเวลานี้สายตาของเธอก็หรี่ลงเพราะเธอเสียเลือดมากจนเกินไป ในเวลาไม่นานร่างอันอ่อนระทวยก็ล้มลงกองกับพื้น พร้อมลมหายใจที่หรี่ลง ดวงตาที่มองเห็นเพียงน้อยนิดเห็นภาพตรงหน้า ที่สวามีของเธอถูกธนูยิงใส่ร้ายนับสิบดอกจนล้มลงนอนกับพื้น และแน่นิ่งไม่ขยับร่างแต่อย่างใด เช่นเดียวกับเธอที่ลมหายใจอ่อนลงทีละน้อยจนท้ายที่สุดไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวเข้าไปภายในร่างกาย พร้อมกับสายตาตาที่หรี่ลงจนปิดสนิท
ในอีกฝากฝั่งความสั่นคลอนเริ่มมาเยือน เมื่อแม่ทัพวิหคกลับเข้ามาในเมือง เพราะอนุชาเมฆาไม่ไว้ใจแม่ทัพวิหค เขาจึงเรียกอำมาตย์มงคลเข้ามาปรึกษาหารือในพระตำหนักชายามัณฑนา
“อำมาตย์เอ็งคิดว่าแม่วิหคจะซ้อนแผนเราไหม”
“กระหม่อมก็ไม่แน่ใจพระเจ้าค่ะ เพราะแม่ทัพวิหคมักใหญ่ใฝ่สูง ขนาดเราไม่ให้เข้ามาในวัง มันยังบังอาจขัดคำสั่ง แต่มันก็เป็นผลดีกับเราเหมือนกัน เพราะแม่ทัพวิหคได้ฆ่าแม่ทัพกรกฏ พร้อมกับราชาเมษาและราชินีสีวิกาตายไปแล้ว แต่พระโอรสนางกำนัลได้พาหนีไปได้”
“เรื่องนั้นไว้ก่อน คิดเรื่องโอรสของข้าดีกว่า ถ้าเกิดศึกภายในอีกลูกข้าจะเป็นอันตราย” อนุชาเมฆามองพระโอรสของตัวเอง
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาพระเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะนำพระโอรสไปอยู่ที่อื่นก่อน แล้วค่อยกลับมาตอนโต เพื่อความปลอดภัยของพระโอรส ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น พระโอรสจะได้ไม่เป็นอันตราย”
“เอ็งจะเอาไปที่ไหน หรือว่าเป็นที่วัด”
“ไม่ใช่พระเจ้าค่ะ รับรองที่นี่จะฝีกปรือให้พระโอรสเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว เมื่อพระโอรสได้กลับมา จะได้เอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน”
“ข้าไว้ใจเอ็ง เพราะอยู่ที่วังอาจจะอยู่ไม่ถึงตอนโต เอาล่ะเอ็งเอาลูกข้าไปตอนที่ชายาของข้าหลับอยู่”
“พระเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน เอาธำรงของข้าไว้ติดตัวองค์ชายด้วย” อนุชาถอดแหวนอันล้ำค่ายื่นให้อำมาตย์มงคล
“พระเจ้าค่ะ”
“มัณฑนาเอ็งตามไปดูแลลูกของข้าด้วยก็แล้วกัน”
“เพคะ” มันฑนารู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที เพราะเธอกลัวจะผิดฝาผิดตัวอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อเธอได้รับมอบหมายดูแลพระโอรส ซึ่งจะทำให้เธอสามารถบอกความจริงได้ภายในอนาคต
อำมาตย์มงคลรับแหวนวงนั้นมา และหันไปมองมัณฑนานางกำนัลให้เดินตาม และทั้งสามก็หายไปในพริบตา แต่ใจของอนุชาเมฆาก็หายตามพระโอรสของตัวเองไปด้วย
“มึงคิดอะไรไอ้โสภณ” เสือเข้มตะโกนใส่ข้างหูของกัสอย่างดัง
“คิดถึงวันพรุ่งนี้” กัสถอนหายใจเอือกใจ ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่ตกใจเสียงของเสือเข้มมากว่า
“กลัวเหรอ แต่กูก็อยู่กับมึงจะกลับไปใย”
กัสไม่ได้กลัวแต่อย่างใด เพียงแต่คิดว่าจะจัดการอย่างไรในวันพ
รุ่งนี้ เพราะกัสต้องเจอทั้งแม่ทัพวิหค พร้อมเหล่าอำมาตย์ที่จะมาเข้าเฝ้า ก่อนราชาภิเษกเป็นราชาแห่งเมืองเมฆาบุรี
ยิวหยิบโน้ตบุ๊คมาเปิดดูแต่เป็นที่น่าเสียดาย มันสามารถที่จะติดได้เนื่องจากวันนั้นล้มกระแทกจนเสียหาย ยิวถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเขาต้องทำงานส่งอาจารย์ และอีกอย่างหนึ่งด้วยความอยากรู้ว่ากัสได้บันทึกหรือทำอะไรไว้ในนี้บ้างยิวจึงพับโน๊ดบุ๊คไว้ตามเดิม และกะว่าช่วงเย็นจะเอาไปซ่อม แต่ติดปัญหาคือเขาไม่มีเงินพอที่จะนำไปซ่อม เขาจึงหยิบโทรศัท์มือถือของกัสมาเปิดดู ซึ่งได้ล็อครหัสไว้จึงทำให้ไม่สามารถเปิดได้ มีเพียงรับสายอย่างเดียวแค่นั้น ยิวจึงลองนำวันเดือนปีเกิดของกัสมาใส่ ซึ่งก็ได้ผลทันทีมือถือเครื่องนี้ปลดรหัสได้ แต่นั่นไม่เท่ากับภาพหน้าปกเป็นรูปของพีค ยิวจึงเกิดความอยากรู้ต่อไปเขาจึงเปิดดูในแกเลอรี่ ซึ่งในนั้นมีแต่ภาพพีคเต็มไปหมดดวงตาอันกลมโตของยิวได้หลับลง พร้อมจินตนาการเรื่องราวของกัสว่าเป็นอย่างไรบ้างก่อนหน้านี้ ซึ่งในหัวของเขาก็เห็นแต่หน้าพีคอยู่เพียงผู้เดียว พอเขาลืมตาขึ้นมาก็ได้ยินเสียงมือถือดังขึ้น เขารีบดูทันทีซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นพีคนั่นเอง“อยู่ห้องไหมน้องกัส”“อยู่พี่พีคมีอะไรหรือเปล่า”“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่โทรถามเฉยๆ ถ้าอยู่พี่จะไปหา”“พี่มีธุระอะไรเหรอ”“จะไปหาต้องมีธุระด้วยใช่ไหม”“เป
กัสนั่งนิ่งๆ ก่อนที่จะไปท้องพระโรง เขาคิดย้อนเหตุการณ์เมื่อเสือเข้มพามาถึงยังหมู่บ้านกองโจร ซึ่งคนละที่กับซุ้มเสือเข้ม เพียงแค่เข้าไปถึงแม้จะไม่ประหลาดใจ แต่ก็ต้องอึ้งกับผู้คนในที่แห่งนี้ ที่มีหลากหลายอายุคละกันไป และมีการฝีกปรือฝีดาบอย่างขะมักเขม้น แต่เขาก็พยายามมองผ่านและเดินตามเสือเข้าไปข้างใน“แม่นมข้ากลับมาแล้ว” เสือเข้มวิ่งเข้าไปกราบแท่บเท้าของ มัณฑนานางกำนัลเก่าแห่งเมืองเมฆาบุรี“หายไปนายมากเลยนะ แม่อดคิดถึงเอ็งไม่ได้เลย เอ้า แล้วพาใครมาด้วยล่ะนะ” มัณฑนามองมายังกัสที่ยืนนิ่ง แต่แล้วเมื่อเห็นสายตาของมัณฑนาเขาก็ต้องนั่งลงแต่โดยดี“เพื่อนข้าเอง” เสือเข้มอมยิ้ม“เพื่อนเอ็งเป็นใครกัน ทำไมผิวพรรณยังกับคนในรั้วในวัง รูปร่างก็บอบบางยังกับอิสตรี เอ็งไปรู้จักกับเขาได้อย่างไรกัน”“ข้าเจอโดยบังเอิญชื่อโสภณ เป็นโอรสลับๆ ของสนมแห่งเมืองโสรยานคร”กัสรู้สึกประดักประเด่อพอสมควร เพราะเขากับเสือเข้มได้ตกลงตอนเดินทางมาที่แห่งนี้ ความคิดเช่นเดิมได้เกิดครั้งแรกที่เขาได้เจอแม่ทัพวิศรุฒ แต่ได้ปดมดเท็จว่าเป็นองค์ชายโสภณ กัสจึงทำตามเช่นเคยซึ่งเสือเข้มก็เห็นพ้องไม่ทัดทาน“อ่อ องค์ชายตกยาก คงจะเป็นคนองค์ชา
เป็กผู้ช่ำชองในยามราตรี เขาไม่เคยพลาดแม้แต่ศุกร์เสาร์ทุกค่ำคืน เป็นนักเที่ยวตัวยงที่ใครเห็นก็ต้องจำได้ นอกจากพ่อรวยรูปหล่อสายเปย์อีกต่างหาก จึงมีหลายคนเข้ามาพัวพันไม่ขาดสาย เมื่อเป็กพายิวมาเที่ยว จึงมีสายตาหลายคู่จ้องมองด้วยความอิจฉา แต่ยิวหาสนใจไม่ถึงแม้จะไม่ค่อยคุ้นชินในโลกปัจจุบันเท่าไรนัก แต่เขาก็ไม่หวาดหวั่นอะไรทั้งสิ้น“เป็นไงบ้างมาเปิดหูเปิดตา” เป็กยื่นแก้วเพื่อชน“ก็โอเคนะ เป็นครั้งแรกที่เราได้มา รู้สึกว่าน่าสนใจกว่าเมืองโบราณอีก” ยิวเผลอคำพูดที่ไม่พึงประสงค์ออกมา“เมืองโบราณอะไร” เป็กมีสีหน้าที่มึนงง“อ่อ เปล่า สนุกดีเราไปเต้นกันไหม”“อะไรนะ เราไม่อยากเชื่อเลยนายจะชวนเราไปเต้น นายเปลื่ยนไปหรือว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของนายว่ะ” เป็กหัวเราะ“ไม่ได้เปลื่ยนนี่แหละตัวจริง ที่เห็นก่อนหน้านี้ตัวปลอม แอ๊บไว้ไงแต่ไม่เห็นมีใครชอบเลย เป็นตัวของตัวเองดีกว่า” ยิวเสแสร้งแกล้งพูดเพราะในความจริงเป็นร่างของคนอื่น เพียงแต่เขาแค่มาอาศัยอยู่ในร่างนี้เท่านั้น“ร้ายนะ แกล้งเงียบถ้ารู้ว่านายเป็นแบบนี้เราจีบตั้งนานแล้ว”“อะไรนะ” ยิวรู้สึกมึนงงและสับสนกับคำพูดของเป็ก“ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยล่ะ เ
เมื่อแม่ทัพมาถึงชายแดนเมืองเมฆาบุรี ก็เริ่มตั้งค่ายทันทีโดยมีจอมผู้เชี่ยวเป็นคนออกแบบ และวางผังทุกอย่างตามท่านแม่ทัพวิศรุฒออกคำสั่งมาก่อนหน้านี้ โดยหาไม้ไผ่มาทำเป็นที่หลับนอน และกิ่งไม่ขนาดใหญ่เป็นรั้วรอบบริเวณ กว่าจะเสร็จจนเกือบมืดค่ำแต่เพราะเป็นความร่วมมือร่วมใจเขาของเหล่าบรรดาทหาร ทุกอย่างจึงผ่านไปด้วยดีไม่มีข้อตกบกพร่องแต่อย่างใดแม่ทัพวิศรุฒยืนมองพระจันทร์คืนเต็มดวง สายตาของเขาได้มองพระจันทร์แต่ความคิดนั้นมีหลากหลายกว่านั้น การมาครั้งนี้มีแผนใจอีกอย่างหนึ่ง ด้วยความเป็นมาของแม่ทัพหนุ่มนั้นคลุมเครือ ขนาดพ่อแม่บุญธรรมอย่างอำมาตย์วิษณุกับนางแม้นยังไม่ทราบที่มาเลยมืออันหยาบกร้านหยิบแหวนทองอันล่ำค่า ที่สลักชื่อเมษาไว้ในวงแหวน ทำให้แม่ทัพวิศรุฒสงสัยว่าตัวเองเป็นลูกใครกัน เท่าที่จำความได้ ก็โตมาในครอบครัวของท่านอำมาตย์วิษณุ เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น แม่ทัพวิศรุฒไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตัวเองเป็นใครความเศร้าความเหงาเริ่มเข้ามาเกาะกินใจ เพราะแม่ทัพวิศรุฒอดคิดถึงโสภณชายหนุ่มที่เขาอยากได้เป็นเมีย แต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มีเพียงความคิดเท่านั้น นี่เป็นอีกเรื่องที่ต้องแก้ไข แต่ยังไม่หนักเท่ากับยกท
เสียงเคาะประตูดังสนั่งเพราะหลายครั้งที่ไม่มีการตอบรับ เมื่อดังมากขึ้นยิวจึงรู้สึกตัวและพยุงร่างลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู“พี่ก็เป็นห่วงเคาะเรียกตั้งนานไม่เปิดสักที กำลังจะโทรหาอยู่พอดีเลยกัสก็เปิดประตู”“พี่พีคมีอะไรเหรอ เข้ามาก่อนก็ได้” หัวยุ่งๆ หน้าบูดๆ เดินมายังเตียงนอนด้วยความมึนๆ“พี่เจนนี่ให้พี่มาหาต่อบทกับกัส เพราะวันนั้นกัสยังไม่เข้าถึงบท ทำไมเมื่อก่อนกัสเล่นดีกว่านี้มาก” พีคนั่งลงข้างๆ ที่เก้าอี้“อือ เดี่ยวยิว โอ้ ไม่ใช่ เดี๋ยวกัสไปอาบน้ำก่อนนะ” เมื่อยิวพูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังห้องน้ำยิวพยายามครุ่นคิดเรื่องราวเมื่อคืนในระหว่างอยู่ในห้องน้ำ เขาเปิดฝักบัวราดน้ำลงทั่วเรือนร่าง ยิวจำได้รางๆ ว่าเป็กมาส่งหลังจากนั้นจำอะไรไม่ได้อีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีตอนพีคมาเรียกในเมื่อจำอะไรไม่ได้มากยิวจึงไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไป เขาจึงรีบอาบน้ำอย่างรวดเร็วและออกไปข้างนอก เร่งใส่เสื้อผ้าแล้วมานั่งใกล้ๆ พีคที่กำลังนั่งอ่านบทอยู่“จะต่อฉากไหนล่ะ” ยิวพูดขึ้นห้วนๆ“เรามีกันแค่สองคน ก็ต้องซ้อมฉากอยู่กันสองคนนั่นแหละ แล้วซ่อมต่อฉากจากเมื่อวานก่อนนะ”“ได้” ยิวเดินไปหยิบบทของตัวเองขึ้นมาอ่าน และพร้อ
ค่ำคืนอันอันครื่นเครงก่อนไปสนามรบ มีสาวงามมากหน้าหลายตามาปรนเปรอกัสหรือองค์ชายเมธีกับเสือเข้ม กัสนั้นปฏิเสธไปทำทีท่าว่าจะพักผ่อน ทีแรกเสือเข้มยังสนใจสาวงามอยู่ เมื่อจัณฑ์เข้าปากความรู้สึกนั้นจางหายไป เขาดันมองกัสว่าสวยงามยังอิสตรี จึงเป็นเหตุไล่สาวงามออกไปหมดไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียว จนกัสรู้สึกใคร่สงสัยเกิดอะไรขึ้น เพราะในนิยายไม่เป็นเช่นนี้“นายเป็นอะไรเสือเข้ม” กัสถาม“ข้าจำได้ว่าเมืองของเอ็งผู้ชายกับผู้ชายมีอะไรกันได้” เสือเข้มเดินเข้ามาใกล้ๆ กัส“นายจะบ้าเหรอ เราไม่เคยพูดเลยนายคิดไปเองมากกว่ามั้ง”“อย่ามาปดข้าเลยไอ้โสภณ” เสือเข้มเข้ามานั่งใกล้ๆ กัสที่เริ่มขยับออกห่างไปทีละนิดกัสพยายามรื้อฟื้นความจำเมื่อครั้งเขียนนิยาย นึกไปได้ไม่นานเขาจำได้ทันทีได้เขียนไว้เช่นนั้นจริง แต่กับเสือเข้มไม่ได้คิดจะมีอะไรแบบนี้ เขายังจำโครงเรื่องอยู่“ข้ารู้แล้วแหละ ตอนข้าพาเอ็งมาจากแม่ทัพวิศรุฒ ข้าเห็นพวกเอ็งนอนกอดกัน ข้าอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง เพราะหน้าตาเอ็งเหมือนอิสตรี บางทีสวยกว่าอีกเพราะผิวพรรณเอ็งงามเหลือเกิ น จึงไม่แปลกใจแม่ทัพวิศรุฒนั้นถึงรักใคร่เสนห่าเอง”“นายพูดอะไรเรื่อยเปื่อย”“ไม่เรื่อยเปื่อย
ยิวเปิดโน๊คบุ๊คแล้วลองใช้งาน ซึ่งเป็นที่พอใจแกเขาอย่างมาก แต่ข้อมูลหลายอย่างนั้นได้หายไปหมดไม่มีเหลือ แต่เขาไม่ใคร่สนใจอะไรมากนัก เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา เพราะในปัจจุบันนี้เป็นยิวเท่านั้น ก่อนหน้านี้กัสจะเป็นอย่างไรเขาไม่อยากจะรับรู้ในระหว่างที่เขากำลังท่องอินเทอร์เน็ต และกำลังจะเข้าไปดูนิยายที่เขาอ่านนั้นยังอยู่ไหม นักเขียนกำลังจะเขียนไปอย่างไร ถึงแม้เขาไม่ได้เข้าไปอยู่ในนิยายแล้วแต่ยังอยากรู้เรื่องราวต่อไปอีกว่าเป็นเช่นไร แต่แล้วต้องหยุดความคิดไว้ที่เดิม เพราะเสียงเคาะประตูดังขึ้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าเป็นพีคหรือเขื่อนกันแน่ เนื่องด้วยวันนี้ได้นัดทั้งสองมาที่ห้องเพื่อต่อบทละคร ก่อนที่จะไปซ้อมจริงในมหาวิทยาลัยอีกหลายวันข้างหน้าคนที่มาถึงก่อนเป็นพีค ซึ่งเขามาซ้อมบทกับยิวบ่อยกว่าเขื่อน เพราะด้วยเขื่อนต้องไปทำงานพาร์ทไทม์ และอีกอย่างหนึ่งพีคเริ่มมีความรู้สึกดีๆ กับยิว ขึ้นมาทุกขณะเพราะช่วงก่อนหน้านี้เป็นกัสตัวจริงนิสัยค่อนข้างนิ่งๆ ไม่ได้มีความน่ารักร่าเริงแจ่มใสอย่างเฉกเช่นปัจจุบัน“วันนี้เราจะมาต่อบทอะไรดีล่ะ” ยิวเอ่ยขึ้น“วันพี่ได้นัดเขื่อนมาด้วยนะ เห็นว่าเดี๋ยวจะมาเองบอกจะไ
หลังจากกัสกับเสือเข้มได้มีความสัมพันธ์กันนั้น ในส่วนของกัสไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แค่เสียตัวเพื่อผลประโยชน์ และอีกอย่างกัสต้องรีบออกเดินทางไปยังชายแดน เพื่อทำสงครามกับเมืองศิลานคร โดยมีแม่ทัพวิศรุฒเป็นมารอรบอยู่หลายวันแล้วในระหว่างพักแรมกลางทางในป่าดงดิบที่ยังไปไม่ถึงชายแดนนั้น เสือเข้มได้เข้ามาหากัสในร่างองค์ชายเมธี ซึ่งอยู่ในกระโจมเพียงลำพังและนั่งครุ่นคิดถึงเหตุการณ์วันข้างหน้า เพราะต้องเผชิญกับแม่ทัพวิศรุฒ นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมากสำหรับเขา“เอ็งคิดอะไรอยู่องค์ชายเมธี” เสือเข้มขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ จนเนื้อแนบเนื้อ เพราะยังติดใคร่สวาทอันแปลกใหม่อย่างมาก“คิดเมื่อไปถึงชายแดนแล้วข้าจะทำอย่างไร ข้าสู้รบไม่เป็นเลยแม้แต่การใช้ดาบข้ายังไม่เคย แล้วนี่รองแม่ทัพวิจารณ์มาด้วยอีก ดูสีหน้าท่าทางแววตาคอยจ้องจับผิดข้าตลอดเวลา”“เอ็งจับดาบไม่เป็น แต่เอ็งเริ่มพูดภาษาของพวกข้าแล้ว”กัสไม่ได้สนใจในข้อนี้เท่าไร เพราะเป็นเรื่องปกติเมื่อต้องอยู่สภาพแวดล้อมแบบไหน ก็ต้องปรับตัวเข้าให้ได้ เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง“เรื่องนั้นไม่ต้องพูดหรอก มาพูดเรื่องทำศึกสงครามดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ก็จะถึงชายแดนแล้วไม่ใ
ศีรษะที่กระแทกลงบนโน๊ตบุ๊ค ทำให้ได้แรงกระเทือนสลบวูบไปชั่วครู่ เมื่อได้สติดวงตาคู่นี้จึงลืมขึ้นทันที พร้อมหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก ซึ่งเห็นชายหนุ่มที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนรู้จัก แต่แล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนาน เพราะผู้ชายตรงหน้าหันมามอง และรู้ได้ทันทีว่าเป็นเป็ก“ถึงเราจะโกรธนาย แต่สิ่งที่นายให้เราทำ เราก็จะทำให้นายเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อเป็กพูดจบเขาก็เดินออกจากประตูไปในทันใด พร้อมปิดประตูจนเสียงดังลั่นสนั่นมือน้อยๆ กำที่ศีรษะสายตามองไปรอบๆ ดวงตาคู่นั้นถึงกับเบิกโพลงทันใด เพราะสิ่งที่เห็นเป็นห้องนอนอันคุ้นเคย มือนั้นรีบมาจับศีรษะและบริเวณลำคอทันใด“เรายังไม่ตาย” ยิวพูดขึ้นลอยๆ แล้วความแปลกใจและตื่นตระหนกยิวคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ตอนอยู่ลานประหาร สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือแค่รับสัมผัสจากคมดาบเพียงชั่ววินาที หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่นิด ยิวคิดวนมาวนไปหลายรอบพร้อมหันหน้าไปมา จนเห็นโน๊คบุ๊คเปิดอยู่เขาจึงจับเม้าท์คลิกเปิดดูทันใด และสิ่งที่เขาเห็นเป็นคลิปวีดีโอตัวเขาเองกับพีคกำลังนอนกอดกัน“อะไรกันนี่ มันไม่ใชเรานี่หน่า” ยิวปิดวีดีโอนั้นทันทีเมื่อปิดวีดีโอเสร็จเขาได้เห็นเว็บเขี
ข่าวทำสงครามของแม่ทัพวิศรุฒรบชนะดังไปทั่วแคว้นแดนดิน ทั้งสองเมืองต่างเฉลิมฉลองอึกทึกครึกโครม เพราะในช่วงเวลานี้ได้เป็นพันธมิตรกัน หลังจากงานอันเป็นมงคลได้ผ่านไป แม่ทัพวิศรุฒซึ่งในเวลานี้เป็นราชาวิศรุฒ ได้ทราบข่าวร้ายในทันใด เมื่อจอมได้รีบมาบอกข่าวนี้ทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวไม่ดี“พระองค์ ราชาศิลาจะประหารชีวิตองค์ชายเมธีพระเจ้าค่ะ” จอมหน้านิ่วคิ้วขมวด“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลใดเล่า” แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าวิตกกังวลยิ่งนัก“ได้ข่าวมาองค์ชายเมธีได้ฆ่าองค์ชายศิธาตายพระเจ้าค่ะ”“ไม่น่าใช่ อ่อนแอขนาดนั้น”“กระหม่อมก็ไม่รู้ แต่สายรายงานข่าวมาเช่นนี้พระเจ้าค่ะ พระองค์จะทำเช่นไรข้าอดเป็นห่วงองค์ชายเมธีไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวจริงอย่างน้อยพระองค์ท่านก็มีบุญแก่กระหม่อม”“ไม่ต้องห่วงข้าจะกลับเมืองศิลานคร แต่ข้าจะขี่ม้าไปคนเดียว เพราะจะได้ไวขึ้นกว่าไปเป็นกองทัพ”“กระหม่อมขอเสด็จตามไปด้วยนะพระเจ้าค่ะ”“ได้ ออกเดินทางวันนี้เลยเดี๋ยวไม่ทันการณ์” ราชาวิศรุฒถอนหายใจเฮือกใหญ่“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมไปเตรียมม้าและข้าวของจำเป็นก่อนนะพระเจ้าค่ะ”“อืม”“กระหม่อมทูลลา”ราชาวิศรุฒยืนนิ่งครุ่นคิดและหวาดหวั่
กัสหยุดเขียนนิยายไปหลายวัน และเริ่มตีตัวออกห่างเป็กแล้วเข้าหาพีคในช่วงเวลาเดียวกัน ค่ำคืนนี้จึงเป็นแผนเผด็จศึกและเสร็จศึกให้จบสิ้น เขาจึงรีบโทรหาพีคในทันใด“ฮัลโหลมีอะไรหรือเปล่าน้องกัส”“พี่พีค” กัสร้องสะอื้นไห้ออกมา“เป็นอะไรบอกพี่มา”“เป็กเขาทิ้งกัสไปแล้ว เขาบอกเบื่อกัสไม่อยากคบเป็นแฟนอีกต่อไป”มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของกัสแต่ไร้เสียงใดๆ ของพีค จนกัสรู้สึกใจหายและผิดหวังในสิ่งที่ทำลงไปไม่เกิดผล“ใจเย็นๆ ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเหมือนอย่างพี่กับเขื่อนไง อย่าเสียใจไปเลย”“แต่ อืม กัสยังคิดอดไม่ได้ครับ” กัสกลับมาดีใจอีกครั้ง“ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาอย่างนี้พี่จะไปอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็กเลิกกับกัสกันไปแล้ว พี่ไปอยู่ด้วยคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ถ้างั้นรอพี่อยู่ที่ห้องนะอย่าคิดอะไรมาก พี่จะรีบไปเดี่ยวนี้ ทำใจดีๆ ไว้นะน้องกัส”“ครับ ขอบใจพี่พีคมากที่คอยดูแลกัสตลอดมา”“อืม ไม่เป็นไร”เมื่อพีคได้วางหูโทรศัพท์มือถือ กัสถึงกับอมยิ้มและเตรียมแผนการต่อไว้อย่างดี หลังจากนั้นกัสนิ่งรอพีคมายังห้องอย่างใจจดใจจ่ออย่างมีความหวัง และคาดฝันในสิ่งที่วางแผนไว้ ซึ่งเวลาที่เฝ้ารอไม่ได้นานมา
เวลาที่แม่ทัพวิศรุฒรอคอยได้มาถึง เมื่อถึงเวลาเขาบุกเข้าไปในเมืองเมฆาบุรีทันที แต่ยังไปไม่ถึงป้อมปราการ ทัพเสือเข้มวิ่งกรู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สองกองทัพต่างวิ่งถือดาบธนูเข้าหากัน เหมือนกับเคืองแค้นกันมาหลายภพหลายชาติเหล่าทหารกองทัพเมืองศิลานครนำทัพโดย แม่ทัพวิศรุฒนั้นร่างกายค่อนข้างแกร่งฝีมือดี เพราะผ่านศึกสงครามและฝึกฝนอย่างหนัก ในทางกลับกันฝีมือของกองทัพเสือเข้มร่างกายได้หาแข็งแกร่งไม่ ฝีมือใช่ว่าจะดีมากมาย แต่ที่ชนะกองทัพของราชาวิหคเพราะรบแบบกองโจร และแผนการอันแยบยล ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีทหารโดยแท้ปะปนมาด้วย แต่หาเทียบเหล่าทหารแม่ทัพวิศรุฒได้ โดยการครั้งนี้มีเสือเข้มนำกองทัพออกรบ แต่บรรดาทหารไม่ได้ออกมาทั้งหมดแม่ทัพวิศรุฒก็รู้ดีเช่นกัน เพราะทราบข่าวจากการสู้รบของเสือเข้มจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาจึงเตรียมการไว้อย่างดี เมื่อเขาได้นำทัพมาถึงกลางสนามรบ แต่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ในทันที เพราะเสือเข้มออกมาสู้ประจันหน้า และพร้อมกับสองข้างฝั่งมีกองโจรดักอยู่ คอยยิ่งธนูไม่ขาดสายถึงเป็นเช่นนั้นแม่ทัพวิศรุฒหากลัวไม่ เพราะสองฝั่งเขาให้จอมและทันเดินทัพออกห่างออกไปไกล เมื่อถึงเวลารบจ
กัสยังไม่ได้เริ่มเขียนนิยายแม้แต่คำเดียว เป็กก็มาถึงยังห้องนอนอย่างรวดเร็ว จึงมีความจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น“เราทำให้นายทุกอย่างเลยนะ ว่าแต่นายจะทำอะไรให้เราบ้างล่ะในคืนนี้” เป็กกอดร่างของยิวไว้แน่นพร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้า ไม่ว่างเว้นแม้แต่ส่วนเดียว“ไปอดอยากมาจากไหน” กัสยังนิ่งเฉยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด“ใช่ อดอยาก อมให้หน่อย” เป็กหยุดสัมผัสเรือนกายของกัสและปลดอาภรณ์ทุกชิ้นออกไม่มีเหลือ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างๆ กัสที่นั่งยิ้มแต่ใจนั้นแสนเบื่อหน่ายกัสไม่สามารถที่จะปฏิเสธการนี้ได้ เขาจึงจับท่อนเอ็นของเป็กที่กำลังแข็งตั้งตระหง่าชูชัน พร้อมกับก้มใบหน้า ใช้ริมฝีปากสัมผัสท่อนเอ็นส่วนปลายสีชมพูอ่อนๆ จากทีแรกรู้สึกเบื่อหน่ายแต่เมื่อเห็นท่อนเอ็น ทำให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้นกัสจึงใช้ปลายลิ้นสัมผัสไล้เลียวนมาวนไปอย่างใคร่กระหาย“อืม อืม อืม” เป็กครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอย่างถึงใจ“จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ” เสียงอมรูดท่อนเอ็นดังอย่างต่อเนื่องริมฝีปากอันเล็กรูดท่อนเอ็นขึ้นลงอย่างช้าๆ และใช้ปลายลิ้นตวัดเลียไปมา พร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของเป็กสั่นสะท้าน ความรู้สึกสยิวท่อนเอ็นอย่างต่อเนื่อง
ยิวนั่งหมดอะไรตายอยากในห้องบรรทมอย่างเงียบเหงา ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ หมดสิ้นหนทางอย่างไร้ที่หมาย เขาถึงกับถอนหายใจถี่ก้มมองลงพื้นด้วยความกลัดกลุ้มในใจอย่างรวดร้าว แต่แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออก ความรู้สึกนั้นได้จางหายไปในทันที เมื่อร่างขององค์ชายศิธาปรากฏ“นั่งเหงาเลยนะองค์ชายเมธี”“ถ้ามาพูดแค่นี้ไม่น่าต้องเสด็จมาก็ได้”“ข้ามีเรื่องจะบอกองค์ชายถึงมานี่ เรื่องนี้ข้าเท่านั้นที่ต้องบอก จะได้สมน้ำสมเนื้อกับองค์ชาย”“เรื่องอะไร” ยิวให้ไปทั้งใบหน้ามององค์ชายศิธาที่ยืนยิ้มอย่างเย้ยหยัน“แม่ทัพวิศรุฒออกเดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีแล้ว”ยิวไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเขารู้สึกใจหายหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับเขาอยู่ที่นี่อย่างไร้ความหมาย“รู้ไหม ทำไมแม่ทัพวิศรุฒถึงไปยังเมฆาบุรี”“ข้าไม่รู้”“เพราะที่เมฆาบุรีเกิดการกบฏอีกครั้ง และคนก่อกบฏก็เป็นเสือเข้ม องครักษ์ขององค์ชายนี่ใช่ไหม”ดวงตาของยิวเบิกโตตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าเสือเข้มจะทำได้จริงๆ และนั่นเขาก็หวั่นๆ ว่าจะเกิดร้ายไม่ดีกับแม่ทัพวิศรุฒ“เพลานี้เมืองเมฆาบุรีกำลังวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าจึงสั่งจัดการให้สิ้นซาก”“บอกข้าทำไม” ยิว
ค่ำคืนที่หาบทละครเวที พีคกำลังขะมักเขม้นทำอย่างจริงใจ แต่ในช่วงเวลาเดียวกันพีคได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อดูชื่อที่ปรากฏเป็นกัส พีคจึงรีบรับทันทีเพราะปกติไม่เคยโทรมาแต่อย่างใด “ฮัลโหล น้องกัสมีอะไรหรือเปล่า” “มี แต่ กัสไม่อยากบอกพี่เลยครับ” “เรื่องอะไร บอกมาเลยถ้าไม่บอกพี่โกรธจริงๆนะ” “ก็เรื่องของเขื่อนไงครับ คือ ว่า เอ่อ อ่า อืม” “พูดมาเลยว่าเรื่องอะไร” “คือ เรื่องเด็กคนนั้นน่ะของเขื่อน เท่าที่กัสสังเกตหน้าจะมีอะไรมากกว่าเพื่อนร่วมงานอย่างแน่นอน” “พี่ก็สงสัยแต่พี่ไม่มีหลักฐานอะไร” “คือ คืนนี้พี่ลองไปหาเขื่อนที่ห้องพักแบบไม่ให้รู้ตัวสิครับ” “น้องกัสรู้อะไรมาเหรอ” “อืม กัสไม่พูดดีกว่าพี่พีคไปดูเองเถอะ” “อืม ก็ได้ ขอบใจกัสมากนะ” “ไม่เป็นไรครับ” เมื่อพีคกดวางโทรศัพท์มือถือ ก็ขับรถไปหาเขื่อนในทันที โดยไม่บอกกล่าวอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้ค่อนข้างให้ความเชื่อใจกัสมากกว่าเขื่อนเสียอีก พีคขับรถไปอย่างกระวนกระวายยิ่งนัก ด
เสือเข้มผู้โหดเหี้ยมได้มีความรักโดยอย่างไม่ตั้งใจ จากเมื่อก่อนอยากอยู่ไปเรื่อยๆแต่ในปัจจุบันความคิดนั้นได้เปลื่ยนไปอย่างมาก เพราะยิวได้สร้างห้องแห่งรักไว้ในหัวใจ จึงทำให้เสือเข้มเกิดความทะเยอะทะยานอยากได้ยิวมาครอบครองเขาจึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อจะทวงราชบัลลังก์คืนแกตัวเขาและยิว การรวบรวมกำลังพลในค่ายเสือ ถึงจะไม่ได้มากมายเท่ากับกองทัพแห่งเมืองเมฆาบุรี ที่ตอนนี้เปลื่ยนชื่อเป็นเมืองวิหค กว่าที่เสือเข้มจะระดมบรรดาโจรทั่วเมืองเมฆาบุรีได้ใช้เวลานานพอสมควร และได้ติดต่อจากเมืองอื่นๆอีกมากมายเพื่อมาช่วยในครั้งนี้ โดยมีผลตอบแทนพื้นที่บางส่วนให้ไว้อาศัยอยู่ และทรัพย์สินในวังอันมีค่าบางส่วน ในที่สุดวันที่เสือเข้มรอคอยก็มาถึง เขาได้บุกเข้าเมืองเมฆาบุรีแบบกองโจร ไม่ได้ปะชิดสู้ตรงๆ เพราะขืนทำอย่างนั้นไม่มีทางที่จะชนะแม่ทัพวิหคและอำมาตย์มงคลได้อย่างแน่นอน โดยการครั้งนี้เสือเข้มเป็นผู้วางแผนและสั่งการเองทุกอย่าง โดยเริ่มต้นยามค่ำคืนอันเงียบสงัดและเผลอไผลไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์อันร้ายแรงเกิดขึ้น “พี่น้องทุกคนพร้อมกันหรือยัง”เสือเข้มประกาศก้องใกล้ๆเมืองชั
เมื่อไม่ได้มีการซ้อมละครเวทีเขื่อนจนมีเวลาให้กับงานที่ทำมากขึ้น ไม่ว่าจะหลังเลิกงานหรือแม้แต่วันเสาร์อาทิตย์เขื่อนทุ่มเวลานั้นอย่างเต็มที่ จนทำให้ไม่มีเวลาไปมาหาสู่กับพีคอย่างเช่นแต่ก่อน และมีอยู่อีกเหตุหนึ่งนั้นเขื่อนได้มีความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานคนใหม่มากขึ้น ตอนกลับห้องหรือไปไหนหลังจากเลิกงาน ก็ไปด้วยกันตลอดเวลา จึงทำให้ความสัมพันธ์ของพีคกับเขื่อนได้จืดจางลงไปอย่างไม่ค่อยรู้ตัวหลังจากเลิกงานวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขื่อนได้กลับพร้อมกับหนุ่มรุ่นน้อง ที่ได้พึ่งได้มาทำงานได้ไม่นานแต่ความสนิทสนมกันนั้นแสนมาก“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นพี่พีคมารับพี่เขื่อนเลยครับ” เจษเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าใคร่สงสัย และมีความดีใจอยู่พอสมควร“พี่พีคไม่ค่อยว่าง เพราะตั้งแต่ไม่ได้แสดงละครด้วยกัน พี่พีคเขาต้องหาบทละครมาสร้างอีก ช่วงนี้เลยห่างๆ กันไป”“อ่อ ถึงว่าสิทำไมไม่ค่อยเห็นพี่พีค แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะถึงอย่างไงพี่เขื่อนยังมีผมอยู่เป็นเพื่อน” เจษอมยิ้มนิดๆ“อืม” เขื่อนไม่ได้พูดอะไรต่อจากนี้ ได้แต่ยืนรอรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่จะกลับห้อง“โชคดีนะ ที่เราสองคนอยู่ใกล้ๆ ขึ้นรถสายเดียวกัน” เจษยังยืนยิ้มอยู่ไม่วาย“พ