นันทินีกล่าวเสียงเครือดวงตาของหล่อนเป็นรอยแดงก่ำนิดๆ นั่นเองทำให้เจตต์ขยับเข้าใกล้และจับไหล่ของหล่อนเอาไว้เขาก้มหน้าลงไปจนใกล้
“เรื่องเมื่อก่อนก็คือเรื่องเมื่อก่อน แต่ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันไม่เหมือนกันแล้ว ทุกอย่างมันก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปนี่ไม่ใช่เหรอนุ่น”
“ใช่ค่ะ...ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนหมดแล้ว ก็อย่างที่นุ่นบอกยังไงคะว่าระหว่างนุ่นกับคุณน่ะมันแทบไม่หลงเหลืออะไรไว้อีกแล้ว” หล่อนพูดน้ำเสียงเศร้าสร้อย นัยน์ตาคอยต่จะมีน้ำรื้นขึ้นมา นึกโกรธที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
บทที่ 23
“ก่อนหน้านี้ตอนที่เราอยู่ด้วยกันเราสองคนก็ผูกพันกันแค่ทางกายแต่เรื่องหัวใจเราสองคนไม่เคยสื่อสารถึงกันถ้าคุณจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงมันก็ใช่นะคะแต่จะบอกอะไรให้นะคะ ระหว่างคุณกับนุ่นน่ะมันไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอกค่ะ เมื่อก่อนคุณไม่ได้รักไม่ได้ใยดีนุ่นยังไงเดี๋ยวนี้มันก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่อย่างนั้น”
“ก็ถ้าผมบอกว่าความคิดของผมเมื่อก่อนกับตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วคุณจะเชื่อผมหรือเปล่า”
“นุ่นเชื่อเฉพาะกับคนที่มีความจริงใจให้คนอื่นก็เท่านั้นแต่นุ่นจะไม่มีวันเชื่อใจคนที่ไม่เคยจริงจังกับใคร คนไม่เคยคิดที่จะจริงจังกับผู้หญิงคนไหนนอกจากเห็นผู้หญิงเป็นของเล่น นุ่นไม่มีวันเชื่อใจคนที่เป็นอย่างนั้นอีกแล้วล่ะค่ะ”
“เอาเถอะคุณอาจยังไม่เชื่ออะไรผมตอนนี้แต่คิดว่าวันหนึ่งคุณต้องเชื่อใจผมได้ไว้วางใจผม ที่ผ่านมาคุณอาจจะรับรู้ในบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เป็นความจริงแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณได้รับรู้มันคุณก็จะรู้ว่าระหว่างคุณกับผมทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว”
“ปล่อยเถอะค่ะ นุ่นจะออกไปดูแท็กซี่ข้างนอก”
“ผมจะไปส่งคุณเอง ไม่ต้องเรียกแท็กซี่เสียเวลาหรอก คุณอาจจะกลับบ้านดึกมากกว่านี้ก็เป็นได้ แล้วมันก็ไม่ได้ปลอดภัยเลย ผมไม่อยากจะต้องให้คุณไปอยู่ในสภาพแบบนั้นถ้าคุณไม่ห่วงตัวเองก็ต้องห่วงลูกของคุณ”
พูดแล้วเจตต์ก็ดึงมือหญิงสาวให้เดินตามเขาออกไปนันทินีไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากต้องเดินตามเขาออกไปทั้งที่เขายังจูงมือหล่อน หากแต่มันก็ไม่ได้เป็นที่สังเกตสำหรับใครในภัตตาคารนั้นคนอื่นๆ ก็คิดว่าเป็นสามีภรรยาที่มากินอาหารมื้อค่ำกันกระทั่งเขาพาหลอนไปส่งที่บ้านซึ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กๆอยู่ในซอยที่เงียบสงบ รถคันหรูของเจตน์ไปจอดที่หน้ารั้วประตูบ้านแต่พ่อนั่นที่นี่ก้าวลงจากรถเขาก็เปิดประตูลงมา
“เอากุญแจมาเถอะนุ่น ผมจะเปิดประตูบ้านให้”
เจตต์กล่าว เขาเดินเข้าไปหยุดยืนเคียงข้างหญิงสาวที่ทำท่าจะใช้กุญแจไขประตูบ้าน นันทินีกำพวงกุญแจเอาไว้แน่น
“บ้านของนุ่น นุ่นเปิดเองได้ค่ะไม่เป็นไรหรอกนะคะมันเป็นแค่งานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง คนท้องก็ทำได้ค่ะ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะเพียงแต่ผมอยากจะทำให้ก็เท่านั้นเอากุญแจมานี่เถอะเดี๋ยวผมจะเปิดประตูรั้วบ้านให้”
นันทินียังอิดออดหล่อนยังไม่ยอมยื่นกุญแจให้แต่แล้วก็เผลอทำกุญแจหล่นจากมือตกลงบนพื้นขณะนั้นเองพอทำท่าจะก้มลงก็ทำได้ลำบากเพราะท้องที่เริ่มยื่นออกมา เจตต์จึงต้องเป็นคนก้มลงหยิบกุญแจบ้านให้ เขาลุกขึ้นยืนและชูกุญแจให้หล่อนดู
“บอกแล้วไงว่าผมจะเปิดประตูรั้วบ้านให้ เห็นไหมล่ะว่าบางอย่างคนท้องก็ทำไม่ได้ ผมว่าเวลาคุณจะก้มเก็บของก็คงจะลำบากน่ะอย่างน้อยที่สุดถ้ามีผมก็พอจะได้ช่วยอะไรคุณได้บ้างใช่ไหมล่ะ”
“ตอนที่ไม่มีคุณ นุ่นอยู่คนเดียวก็ทำอะไรด้วยตัวเองได้นะคะ อย่างถ้าตอนนี้ถ้าไม่มีคุณนุ่นก็ก้มลงเก็บได้ค่ะกับอีแค่กุญแจเท่านั้น”
เจตต์ยิ้มอย่างนึกเอ็นดู “อย่าดื้อนักเลยนะเข้าบ้านกันเถอะ”
พูดจบเขาก็ไขกุญแจประตูรั้วบ้านเข้าไป พอเปิดประตูรั้วแล้วเขาก็หันมาประคองหญิงสาวให้เดินเข้าไปในบ้านมันทำให้นันทินีเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด หล่อนยังคิดถึงคืนวันเก่าๆ ที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาหากแต่เสี้ยววินาทีความเจ็บปวดจากสิ่งที่เจ็บได้ทำไว้กับเธอมันก็พุ่งพล่านขึ้นมาอีกนั่นที่มีเดินเข้าไปในบ้านโดยมีเจ็บประคองด้วยการใช้มือทั้งสองโอบไหล่ของหล่อนเอาไว้เมื่อเข้าไปด้านในเขาก็เป็นคนเปิดไฟให้และพาหล่อนไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขกเขาทำราวกับว่าหล่อนเป็นเจ้าหญิง
เจตต์พยายามเอาใจหล่อนทุกอย่าง...นี่เขาหวังอะไรกันแน่นะ นันทินีนึกในใจด้วยความคลางแคลงสงสัยกระทั่งเขาเดินไปปิดประตูบ้านและกลับเข้ามานั่งที่โซฟาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหญิงสาว นันทินีค่อยๆ เอนหลังพิงโซฟาท่าทีของหล่อนอยู่ในสายตาของเขาโดยตลอด
วันนี้นันทินีมาถึงที่ทำงานแต่เช้าเมื่อคืนหล่อนนอนไม่ค่อยหลับ กระสับกระส่ายอยู่ตลอดทั้งคืน บอกตัวเองไม่ได้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ มันมีหลายแง่หลายมุม มีหลายเรื่องราวที่ทำให้ต้องคิดโดยที่หญิงสาวก็ไม่รู้ตัวเลยว่าใต้จิตสำนึกของหล่อนเกิดความเครียดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้เพียงว่าคิดถึงเจตต์จับหัวใจ แต่ไม่สามารถที่จะโทรหาเขาได้ ไม่สามารถที่จะไปหาเขาหรือกอดเขาในเวลาที่หล่อนคิดถึงเหมือนอย่างคนรัก เหมือนผู้หญิงที่อยู่กับผู้ชายเป็นคู่รักโดยทั่วไป เธอได้แต่เตือนตัวเองว่าตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็เป็นได้เพียงแค่นางบำเรอ เป็นได้เพียงแค่ผู้หญิงที่คอยปรนเปรอรสสวาทเวลาที่เขาต้องการอย่างถึงอกถึงใจ หลังจากนั้นเธอก็เป็นได้แค่เศษขยะสำหรับเจตต์ก็เท่านั้น ไม่อาจแสดงความเป็นเจ้าของเพราะเป็นเรื่องต้องห้าม ขณะที่นันทินีเดินไปยังโต๊ะทำงานของหล่อนแต่ยังไม่ทันได้นั่งลงก็ต้องชะงักเมื่อประตูห้องเปิดออกและเศษก้าวเข้ามา“สวัสดีค่ะท่านประธาน”หล่อนเอ่ยทักทายหากแต่เจตต์กลับเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของเขาโดยที่ไม่ยอมหันมามองหน้าเลขาสาว ไม่ยอมตอบอะไรกลับมา มันทำให้หล่อนรู้สึกแปลกใจหากแต่ก็พยายามที่จะไม่คิดอ
“นุ่นไม่ได้ให้ท่านะคะ ท่านประธานควรจะเปลี่ยนคำพูดซะใหม่เพราะบุรินทร์เป็นแค่เพื่อนร่วมงานของนุ่นเท่านั้น นุ่นไม่เคยคิดอะไรกับเขามากเกินกว่าความเป็นเพื่อนเลยนะคะ”“ให้มันได้อย่างที่พูดเถอะนะ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่คุณบอกผมหรือเปล่าเพราะดูท่าทางคุณเองก็อาจจะเบื่อลีลาของผู้ชายคนเดิม ๆ อย่างผมแล้วก็เป็นได้ บางทีการได้หารสชาติใหม่ ๆ มันอาจจะทำให้คุณมีความสุขและซาบซ่ามากขึ้นกว่าเดิมซะอีก!”คำบริภาษของเจตต์ทำให้นันทินีถึงกับสะอึกเพราะหล่อนนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะก่นว่าได้เจ็บแสบถึงขนาดนี้ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะพูดอะไรออกมาประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง อิงอรก้าวเข้ามา นักศึกษาฝึกงานสาวต้องชะงักเมื่อเห็นว่าทั้งสองยืนประจันหน้ากันอยู่ที่โต๊ะของเลขานุการสาว“ขะ...ขอโทษด้วยนะคะท่านประธาน...พี่นุ่น...อรเข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าคะเนี่ย”อิงอรเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วหล่อนแสดงความประหม่าออกมาขนาดนั้น เจตต์หันกลับมายังนักศึกษาฝึกงานสาว สีหน้าของเขาแปลกเปลี่ยนไปน้ำเสียงของเขาถูกกดให้ต่ำลงและฟังดูราบเรียบเหมือนเป็นปกต
นันทินีกลับหอพักตรงเวลาหลังเลิกงานตอนเย็น ขณะก้าวออกมาจากลิฟท์ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นบุรินทร์ยินรออยู่ก่อนแล้วที่หน้าประตูลิฟท์ พอเห็นเพื่อร่วมงานสาวเขาก็ยิ้มออก“นุ่น...กำลังจะกลับแล้วเหรอ”“ใช่จ้ะ...แต่วันนี้บุรินทร์คงไม่ต้องไปส่งนุ่นหรอกนะ”“ผมก็กะจะบอกเหมือนกันว่าวันนี้คงไปส่งนุ่นไม่ได้เพราะมีงานด่วนเข้ามา ต้องรีบเคลียร์ให้เสร็จไม่อย่างนั้นจะลากยาวถึงพรุ่งนี้”“ถ้าอย่างนั้นบุรินทร์ก็รีบไปทำงานก่อนเถอะนะ นุ่นกลับเองได้ไม่เป็นไร”“นุ่น...” บุรินทร์เรียกหญิงสาวพร้อมทั้งดึงมือของนันทินีเอาไว้ เธอชะงักขณะกำลังจะเดินผ่านเขาไป“มีอะไรเหรอบุรินทร์”“ช่วงนี้ผมเห็นนุ่นหน้าตาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่สบายหรือว่ามีเรื่องหนักใจบ้างมั้ย”“นุ่นก็สบายดีนะ บุรินทร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”หล่อนพูดแต่รู้สึกถึงความอบอุ่นเมื่อเขาบีบมือเรียวบางในอุ้งมือหนาใหญ่เบาๆ“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจนุ่นบอกผมได้นะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือผมก็พร้อมและเต็มใจช่วยนุ
พอเขาพูดจบนันทินีก็หันไปมองรอบๆเหมือนหาอะไรบางอย่าง เจตต์จึงถามว่า“คุณหาอะไรน่ะ”“นุ่นก็หาของของนุ่นสิคะ ของที่นุ่นจะต้องย้ายออกจากห้องพักที่นี่น่ะค่ะ แล้วมันไปอยู่ไหนหมดแล้วคะท่านประธาน”“ผมให้คนย้ายของของคุณไปไว้ที่ใหม่หมดแล้ว ทั้งเสื้อผ้าทั้งของใช้ของคุณและก็อย่างที่พนักงานหอพักบอกคุณนั่นแหละค่าเช่าห้องผมก็เคลียร์ให้จนหมดแล้วคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอะไรอีกแล้ว”“ท่านประธานทำอะไรไม่ถามกันสักคำเลยนะคะว่านุ่นอยากจะให้เป็นแบบนี้ไหม อยากจะย้ายที่อยู่หรือเปล่า”“จำเป็นต้องถามด้วยเหรอในเมื่อผมเป็นเจ้านายของคุณผมมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจหรือทำอะไรก็ได้ นี่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งและคุณต้องปฏิบัติตาม”คำพูดของเจตต์แสดงไม่เห็นว่าเขากำลังใช้อำนาจและเขากำลังบีบบังคับหล่อนหากแต่ว่านันทินีก็ไม่สามารถที่จะแสดงความคิดเห็นอะไรออกมานอกจากต้องทำตามคำสั่งของเขาด้วยการเดินตามเจตต์ออกไป หล่อนขึ้นรถของเขาด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนเรียบเฉยแต่เก็บซ่อนความปั่นป่วนและความไม่สบายใจเอาไว้ข้างใน หล่อนเหลือบมอง
“อย่าชวนทะเลาะด้วยเลยดีกว่านะคะท่านประธาน ขนาดนี้นุ่นน่ะก็สับสนจะแย่ แล้วก็บอกไม่ถูกเลยค่ะว่านุ่นคุณจะรู้สึกยังไงกันแน่ที่ท่านประธานทำแบบนี้”“คุณก็ต้องรู้สึกเหมือนอย่างที่คุณเคยรู้สึกกับผมเมื่อก่อนนั่นแหละนุ่น”พูดจบเขาก็ดึงได้น้อยเข้าไปในอ้อมแขน เขากอดเธอแน่นและก้มหน้าลงไปหาเพื่อจุมพิตหล่อนจุดความวาบหวามและซาบซ่านที่ริมฝีปากบอบบางนุ่มนวลราวกำมะหยี่เหมือนดังเช่นทุกครั้งและน่าแปลกใจที่นันทินีเองก็ไม่ได้ขัดขืนเขา หล่อนรู้สึกราวกับว่าเจตต์กำลังเติมเต็มอารมณ์โดดเดี่ยวที่เกิดขึ้นเมื่อวันสองวันมานี้ แต่แล้วชั่วครู่เจตต์ก็ถอนริมฝีปากออก หล่อนรีบผละห่าง“ท่านประธานไม่รู้สึกเหนื่อยเหรอคะ?”หล่อนถาม เขาเองจ้องมองด้วยความแปลกใจ“ทำไมผมจะต้องเหนื่อย”“ก็วันนี้ท่านประธานเดินทางไปต่างจังหวัดแล้วก็จะต้องทำงานทั้งวัน นุ่นคิดว่าท่านประธานคงจะเหนื่อยมากกว่าวันปกติที่อยู่ในออฟฟิศซะอีกนะคะ”“ผมก็แค่ไปพบลูกค้า พูดคุยกันไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ มีอะไรที่ผมต้องเหนื่อย”“แต่นุ่
คำพูดของเจตต์ทำให้นันทินียิ่งหน้าแดงซ่าน หล่อนไม่รู้ว่าจะตอบโต้เขากลับไปยังไงก็ในเมื่อเขาพูดออกมานั้นมันเป็นความจริงทุกอย่าง ท่านประธานหนุ่มหล่อยกยิ้มมุมปากก่อนที่เขาจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูบนชั้นวาง เขาถอดเสื้อเชิ้ต กางเกงบ็อกเซอร์ออกโดยที่ไม่สนใจว่านันทินีกำลังยืนมองทุกท่วงท่าของเขา หล่อนหน้าแดงไปถึงใบหูทั้ง ๆ ที่ก็เคยเห็นเขาเปลือยเปล่าต่อหน้าหลายครั้งต่อหลายหน แต่วันนี้มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดออกไป อาจเป็นเพราะหล่อนไม่เคยอยู่กับเขาในห้องพักแบบสองต่อสองนอกจากที่ทำงานเพราะโดยปกติแล้วเจตต์ไม่เคยพาหล่อนไปหาความสุขตามห้องพักหรือโรงแรมข้างนอกเพราะเขาไม่ต้องการให้เป็นที่สังเกตของใคร ๆ สถานที่เสพสุขระหว่างเขากับหล่อนก็มีแต่โต๊ะทำงาน เก้าอี้ทำงาน โซฟาในออฟฟิศ บนพื้นพรมและห้องน้ำในออฟฟิศส่วนตัวของท่านประธานก็เท่านั้น ความรู้สึกตอนนี้จึงเป็นความนึกคิดที่แปลกประหลาดและมันทำให้หล่อนตื่นเต้นทั้งก็ประหม่า ในเวลาเดียวกันนันทินียืนมองท่านประธานของหล่อนนุ่งผ้าขนหนูกระทั่งพอมารู้ตัวอีกทีเขาก็เดินมาหยุดตรงหน้า“อาบน้ำพร้อมกันไหม”คำถามของเขาทำให้หญิงสาวต้องหลบตามอง
“ซี๊ดดดด....โอยยยยย....โอยยยย...ดูดเก่งจริง ๆ ทูนหัวดูดเก่งแบบนี้เดี๋ยวก็แตกในปากกันพอดี....อ่าส์....ซี๊ดดดดด”เจตต์ส่งเสียงอย่างได้อารมณ์ เขาก้มลงดูภาพสุดสยิวที่นันทินีกำลังกลืนเจ้าโลกยาวใหญ่เข้าไปเต็มอุ้งปาก ดูดจนแก้มตอบและรูดปากเข้าออกอย่างช่ำชองชำนาญ หล่อนไม่ได้ชำนาญมาจากไหน แต่มันเป็นประสบการณ์ที่ได้จากเจ้านายหนุ่ม เขาสอนให้หล่อนรู้จักการทำออรัล เซ็กส์อย่างถึงพริกถึงขิง ทำให้หล่อนรู้ว่าจุดอ่อนไหวของผู้ชายอยู่ที่ปลายลิ้นของผู้หญิงเมื่อมันไปสัมผัสกับเนื้อหนังแข็งแกร่ง เจตต์แทบทรงตัวยืนไม่ไหว เขาเสียวเข้าไส้จนต้องร้องบอกว่า“ยะ...หยุดก่อนเถอะ...ลงอ่างกันดีกว่า...ผมทนไม่ไหวแล้วนุ่น”นันทินีไม่ขัดใจ หล่อนยินยอมให้เขาอุ้มไปวางในอ่างจากุชชี่ น้ำในนั้นเย็นฉ่ำแต่ไม่สามารถดับความร้อนในกายของสองหนุ่มสาวได้ ความสุขแล่นพล่านในเลือดหนุ่มสาวที่โผเข้ากอดก่ายกันและกันท่ามกลางบรรยากาศชวนฝันในห้องน้ำหรูหราของหักพักราคาแพงระยับ นันทินีแยกขาอ้ากว้างและยินยอมให้เจ้านายสอดใส่ลำกายเข้าไปจนมิดลำใหญ่ หล่อนนอนอยู่เบื้องล่าง มือทั้งสองจับขอบอ่าง แอ่นร่างขึ้นรอง
“จริง ๆ แล้วอรก็เห็นพี่บุรินทร์อยู่บ่อย ๆ นะคะเพียงแต่ไม่เคยทำความรู้จักแล้วก็ไม่ทราบด้วยว่าพี่บุรินทร์น่ะทำงานอยู่ที่แผนกไหน แต่อรก็สังเกตเห็นด้วยนะคะว่าพี่บุรินทร์สนิทกับพี่นุ่นใช่ไหมคะ”“ก็ใช่นะ พี่เป็นเพื่อนที่สนิทกับนุ่น บางทีเราก็จะมากินข้าวกลางวันด้วยกัน แต่ระยะหลัง ๆ นี่นุ่นเขางานเยอะก็เลยไม่ค่อยมีเวลาที่จะได้คุยกันสักเท่าไหร่”“ถ้าอย่างนั้นอรก็คงไม่ผิดสินะคะ...ขอโทษทีนะคะอรอาจจะละลาบละล้วงถามในเรื่องที่ไม่ควรจะถาม คืออรเห็นว่าพี่บุรินทร์สนิทกับพี่นุ่น เห็นคุยกันบ่อย ๆ ตอนแรกนึกว่าที่นุรนเป็นแฟนกับพี่บุรินทร์ซะอีกนะคะ”คำพูดของนักศึกษาฝึกงานสาวทำให้คนฟังเงียบไปชั่วอึดใจ สิ่งที่หล่อนมองเห็นจากแววตาของบุรินทร์ทำให้อิงอรรู้สึกว่าเขากำลังมีความกังวลกับคำพูดของหล่อน อาจไม่ใช่ความไม่ชอบแต่ดูเหมือนเขามีเรื่องที่กำลังตรึกตรองอยู่ในใจและหล่อนก็มองคนประเภทนี้ออกซะด้วย “พี่บุรินทร์คะ อย่าหาว่าอรละลาบละล้วงพูดเรื่องส่วนตัวของพี่บุรินทร์กับพี่นุ่นเลยนะคะ อรมองเหมือนที่คนทั่วไปมองเลยค่ะ อรคิดว่าพี่บุรินทร์เป็นแฟนกับพี่นุ่น อัน
“บุรินทร์ เป็นคนพาเด็กคนนั้นไปพบผมในวันนั้นที่เขาได้รู้ความจริง เขาให้เด็กคนนั้นรับสารภาพต่อหน้าว่าทำเรื่องอะไรไว้บ้างและเขาก็เป็นคนอัดคลิปวีดีโอทั้งหมด ตอนแรกผมก็โกรธมากเลยนะพอรู้ว่าอิงอรเป็นคนสร้างเรื่องขึ้นมา ตอนแรกเด็กคนนั้นพยายามที่จะขอโทษผม บอกว่าสำนึกผิดแล้วกับเรื่องทุกอย่างที่ทำไปแต่ถึงยังไงผมก็คิดว่าผมจะต้องให้บทเรียนอะไรสักอย่างหนึ่งให้อิงอรได้จดจำเอาไว้ว่าทีหลังอย่าไปทำแบบนี้กับใครอีกอย่างเด็ดขาดเพราะถ้าหากผมแสดงความเห็นใจและปล่อยเธอไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลยมันก็จะไม่เกิดบทเรียนกับเธออย่างเด็ดขาด”“แล้วคุณจะทำยังไงกับอิงอรเหรอคะ?”“ผมให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลรายงานความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของอิงอรกลับไปยังมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่อิงอรวางแผนจัดฉากให้ผมต้องเสียชื่อหรอกนะ”“แล้วมันจะมีผลอะไรกับอิงอรหรือเปล่าล่ะคะ”“มันก็มีผลมากพอสมควรนะ เพราะว่าผมให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลรายงานทางมหาวิทยาลัยแจ้งให้เด็กคนนี้ย้ายที่ฝึกงานและเรื่องนี้อาจารย์ที่รับผิดชอบวิชาฝึกงานก็รับทราบทั้งหมดแล้วและตอนนี้เด็กคนนั้
น้ำเสียงตอนท้ายของนันทินีเศร้าสร้อยลงจนทำให้เจ็บรู้สึกสะท้อนในหัวใจของเขา เจตต์ดึงมือของหล่อนมากุมไว้ เขาก้มลงจูบหลังมือนุ่มลื่นของหล่อนอีกครั้งและเงยหน้าขึ้น“ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่ผิดคำพูดของตัวเองผมก็เหมือนกัน จริงๆ แล้วผมผิดคำพูดของตัวเองมาตั้งนานแล้วเพียงแต่ผมอาจจะยังเป็นคนดื้อรั้นและทิฐิไม่เคยยอมรับตัวเองและการที่ผมเป็นคนแบบนี้ก็เกือบจะทำให้ผมต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป”“คุณไม่เคยผิดคำพูดหรอกค่ะคุณเจตต์ คุณเป็นอย่างที่คุณเคยบอกฉันและฉันก็จะต้องยอมรับมัน เพียงแต่ฉันผิดเองที่ทำยังไงก็ทำใจยอมรับไม่ได้เลย คุณเจตน์คะเรื่องระหว่างคุณกับอิงอรฉันจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวเรื่องฉันตั้งใจและว่าการที่ฉันยอมลาออกมาจากบริษัทของคุณก็เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้มีทางเลือกและตัดสินใจเพราะฉันรู้ดีว่าคุณไม่เคยรักฉันมาตั้งแต่แรก เราต่างคนต่างมีความรู้สึกที่ดีต่อกันให้มันจบลงเพียงเท่านี้แล้วฉันก็จะไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น”“ถ้าอย่างนั้นคุณยอมรับกับผมมาก่อนได้ไหมว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้มีผู้ชายคนใหม่ และเด็กในท้องก็เป็นลูกของผม”น
“นุ่นเต็มใจจะอยู่อย่างนั้น และมันก็เหมาะสมกับนุ่นแล้วค่ะ”“ผมอาจจะเคยรู้สึกอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกเหมือนเก่า ผมคิดว่าควรพาคุณมาในที่ที่คุณอยากมา มาอย่างคนรักที่อยู่กันอย่างครอบครัว”“เราไม่ใช่ครอบครัวหรอกค่ะ เราเป็นแค่คนเคยรู้จักกัน”“เมื่อก่อนผมว่าคุณเป็นคนว่าง่าย แต่บทจะใจแข็งคุณก็ไม่ยอมใครง่าย ๆ เหมือนกันนะ...โอเค...ผมยอมแล้วล่ะ ไม่ว่าคุณอยากจะประชด หรือด่าว่าผมตรง ๆ ผมก็จะไม่ตอบโต้หรือคัดค้าน”“แล้วจะบอกนุ่นได้หรือยังคะว่า นอกจากการที่คุณอยากพานุ่นมาที่นี่คุณมีอะไรที่อยากบอกนุ่นอีก”“เยอะแยะมากมาย มันเยอะมาก ๆ จริง ๆ จนผมคิดว่าถ้าคุณได้รับรู้สิ่งนี้เรื่องที่ค้างคาระหว่างเราจะได้คลี่คลายเสียที”เขาพูดสั้น ๆ แต่นันทินีกลับมองไปทางอื่น ทำราวกับว่าหล่อนไม่อยากสนใจและไม่อยากรับฟังที่เขาพูด“นุ่น...หันมามองผมหน่อยจะได้ไหม?”“มีอะไรก็ว่ามาสิคะ” หล่อนหันกลับมาจ้องหน้าเขาตรงๆ เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วใจแทบละลายแต่
นันทินีตื่นขึ้นและเตรียมตัวไปทำงานในตอนเช้า หล่อนทำอะไรได้อย่างเชื่องช้าลงมากขึ้นทุกขณะก็เพราะสรีระของหล่อนที่เปลี่ยนไป ท้องที่เริ่มยื่นออกมามากขึ้นทุกที หล่อนรู้สึกได้ถึงแรงดิ้นของทารกในครรภ์ซึ่งหลังจากการไปตรวจครั้งล่าสุดทำให้นันทินีรู้ว่ากำลังจะมีลูกผู้ชายและนันทินีนึกในใจแล้วว่าหล่อนจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรและนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นันทินีมีความสุขมากที่สุดในเวลานี้นอกเหนือจากบางเวลาที่ยังนึกถึงผู้ให้กำเนิดเด็กในท้องของหล่อน นันทินีไม่ปฏิเสธว่าหลายครั้งก็ยังคิดถึงเจตต์ยังคิดถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมา นันทินีพยายามโกหกเขาไปว่าหลังได้งานใหม่ก็มีสามีใหม่ทั้งที่จริงแล้วหล่อนท้องก่อนที่จะลาออกจากบริษัทด้วยซ้ำและเด็กในท้องก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาหากแต่เมื่อเรื่องราวมันมาถึงตอนนี้แล้วจะให้หล่อนกลับไปอ้างสิทธิ์ว่าเด็กในท้องเป็นลูกของท่านประธานบริษัทใหญ่ได้ยังไง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเรื่องของนักศึกษาฝึกงานสาวคนนั้นที่ไปมีความสัมพันธ์กับท่านประธานบริษัทมันก็ยิ่งทำให้หล่อนเจ็บปวดและแทบไม่อยากนึกถึงให้ร้าวรานหัวใจ นันทินีแต่งตัวเสร็จแล้วก็เปิดประตูรั้วบ้านออกไปหากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็
“เหนื่อยเหรอนุ่น?”เขาถามและแสดงสีหน้าเป็นห่วงใย“ไม่ได้เหนื่อยหรอกค่ะเพียงแต่ว่าพอเพิ่งกินอิ่มๆ นุ่นก็จะรู้สึกแน่นๆ ที่ช่วงบนของท้องนี่แหละค่ะ บอกแล้วไงคะว่านุ่นจะกินเยอะไม่ได้ถ้าจะกินก็ต้องแบ่งเป็นอาหารมื้อเล็กๆ แล้วค่อยๆกิน แล้วก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียดด้วยไม่อย่างนั้นก็จะรู้สึกไม่สบายตัวไปทั้งวันเลย บางทีก็พาลจะหายใจไม่ออกด้วย”“แล้วนี่คุณอยู่คนเดียว ถ้าเกิดเป็นลมขึ้นมาแล้วจะทำยังไง”“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ นุ่นมีเบอร์โทรสายด่วนของโรงพยาบาล ก็ให้เขามารับที่บ้านก็ได้ นุ่นอยู่คนเดียวแบบนี้มาตั้งนานเท่าไหร่แล้ว ไม่มีใครก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่คะ”“ที่พูดผมไม่ได้อยากให้คุณประชดประชันผมหรอกนะนุ่นแต่ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ นะ”ทั้งคำพูดสีหน้าและแววตาของเจตต์ที่แสดงออกมาล้วนแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นกังวลและเป็นห่วงในสวัสดิภาพของหล่อนจริงๆ หากแต่นันทินีก็ยังรู้สึกว่าที่เขาทำไปทุกอย่างอาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองผิดก็เท่านั้น สักครู่เจตต์ก็เอ่ยขึ้น“ที่คุณบอกผมว่าคุณอยู่คนเดียวม
นันทินีกล่าวเสียงเครือดวงตาของหล่อนเป็นรอยแดงก่ำนิดๆ นั่นเองทำให้เจตต์ขยับเข้าใกล้และจับไหล่ของหล่อนเอาไว้เขาก้มหน้าลงไปจนใกล้“เรื่องเมื่อก่อนก็คือเรื่องเมื่อก่อน แต่ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันไม่เหมือนกันแล้ว ทุกอย่างมันก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปนี่ไม่ใช่เหรอนุ่น”“ใช่ค่ะ...ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนหมดแล้ว ก็อย่างที่นุ่นบอกยังไงคะว่าระหว่างนุ่นกับคุณน่ะมันแทบไม่หลงเหลืออะไรไว้อีกแล้ว” หล่อนพูดน้ำเสียงเศร้าสร้อย นัยน์ตาคอยต่จะมีน้ำรื้นขึ้นมา นึกโกรธที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยบทที่ 23“ก่อนหน้านี้ตอนที่เราอยู่ด้วยกันเราสองคนก็ผูกพันกันแค่ทางกายแต่เรื่องหัวใจเราสองคนไม่เคยสื่อสารถึงกันถ้าคุณจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงมันก็ใช่นะคะแต่จะบอกอะไรให้นะคะ ระหว่างคุณกับนุ่นน่ะมันไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอกค่ะ เมื่อก่อนคุณไม่ได้รักไม่ได้ใยดีนุ่นยังไงเดี๋ยวนี้มันก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่อย่างนั้น”“ก็ถ้าผมบอกว่าความคิดของผมเมื่อก่อนกับตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วคุณจะเชื่อผมหรือเปล่า”
“ถ้าคุณเจตน์ท้องอย่างผู้หญิงได้คุณเจตก็คงจะเข้าใจนะคะว่าเวลาที่เราตั้งครรภ์เราจะเป็นยังไงบ้าง”“ผมว่าถ้าผมท้องได้จริงๆ ผมก็เต็มใจที่จะท้องแทนภรรยาของผมนะครับเพราะผมคิดว่านั่นคือความสุขของผู้ชาย มันเป็นความพึงพอใจที่เขาจะทำทุกอย่างเพื่อผู้หญิงที่เขารัก การอุ้มท้องถึงแม้ว่ามันจะยากลำบากและมันอาจจะไม่เหมาะสมกับสรีระของผู้ชายแต่ถ้าหากวันหนึ่งเป็นไปได้ผู้ชายท้องแทนผู้หญิงก็คงจะมีผู้ชายหลายล้านคนในโลกเลยนะครับที่อยากจะท้องแทนเมียตัวเอง”“แหม...นี่เขากำลังพูดเรื่องของความรักความผูกพันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงและครอบครัวกันใช่ไหมคะเนี่ย ธิดาเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ซะด้วยสิ”ธิดากล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะจ้องมองเลขาส่วนตัวของหล่อนและเพื่อนหุ้นส่วนทางธุรกิจที่นั่งจ้องหน้ากันหากแต่หล่อนเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีเอะใจหรือระแคะระคายเกี่ยวกับเบื้องหลังของคนทั้งสองนอกจากความรู้สึกที่ว่านี่เป็นการพบกันและพูดคุยกันอย่างมีความสุขก็เท่านั้น“อุ๊ย!...อะไรกันเนี่ยรู้สึกเหมือนกับว่าเพิ่งออกมาจากบริษัทเมื่อตอนนี้เย็น นี่มันจะสองทุ่มแล้วเหรอ เร็วจังเลยนะคะเจตต์”ธิดาแสดงท่าทีเห
“ไม่ค่ะ...รุ่นไม่เคยคิดถึงคุณเลยตอนนี้ในสมองของนุ่นมีแต่เรื่องลูกเท่านั้น คุณไม่เห็นเหรอคะว่าตอนนี้นุ่นท้องกี่เดือนแล้ว”“ก็เห็นอยู่ว่าคุณท้อง 5 เดือนแล้วแต่ที่ผมอยากรู้ก็คือใครเป็นสามีของคุณ”“ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องบอกคุณเลยนะคะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของนุ่นค่ะ ขนาดเรื่องส่วนตัวของคุณนุ่นยังไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายเลย เพราะฉะนั้นเรื่องของนุ่นก็จะต้องเป็นเรื่องส่วนตัวที่คุณไม่มีสิทธิ์ว่าก้าวก่ายด้วยเช่นกันค่ะ”เจตต์กำลังจะอ้าปากพูดต่อหากแต่เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังด้านนอกและดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าใครกำลังจะกลับเข้ามาในห้อง เจตต์ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นและกลับไปนั่งที่เดิมของเขาด้วยความสงบและเยือกเย็น เขาสงบเช่นนั้นหรือ?...เปล่าเลย...ภายนอกของเขาอาจจะดูเย็นเป็นน้ำแข็งหากแต่ข้างในร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกได้ถึงความดื้อรั้นและถือดีของนันทินีอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตอนที่หล่อนทำงานเป็นเลขาของเขานันทินีเหมือนลูกแมวเชื่อง หากแต่เจตก็รู้ดีว่าระหว่างเขากับหล่อนมีสายใยผูกพันที่ร้อยรัดเอาไว้ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะแสดงความไม่สนใจใยดีและยื่นข้อเสนอให้หล่
“เก่งจังเลยนะครับ ท้องห้าเดือนแล้วแต่ยังทำงานเก่งขนาดนี้”“ถึงเลขาของธิดาจะท้องแต่เรื่องงานนี่ขอยกให้เลยล่ะค่ะ นุ่นมีความรับผิดชอบมาก ทำงานเก่ง ตอนมาสมัครงานกับธิดาใหม่ ๆ เขาก็ท้องได้เดือนกว่าเกือบสองเดือนแล้ว แต่ก็รับเขาเอาไว้เพราะเห็นว่าเขามีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่อง เขาเคยผ่านงานกับเจ้านายชาวต่างชาติมาก่อนด้วย”“ผ่านงานกับชาวต่างชาติอย่างนั้นเหรอครับ แล้วไม่ทราบว่าคุณนุ่นเคยทำงานที่ไหนมาก่อนครับ”เจตต์ถาม เป็นคำถามที่ทำให้นันทินีอึ้ง หล่อนพยายามรวบรวมสติ แต่ก่อนตอบคำถามนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นของธิดา หล่อนรีบรับสายก่อนหันมาบอกว่า“เจตต์คะ...ธิดาขอคุยธุระกับหุ้นส่วนสักห้านาทีนะคะ เขาโทรมาจากต่างประเทศค่ะ”พูดจบก็ออกไปจากห้องนั้น นันทินีมองตามก่อนเจตต์รีบลุกขึ้นและขยับมานั่งข้างเลขาสาว หล่อนเบิกตากว้างบทที่ 21“คุณเจตต์...จะทำอะไรคะ?”“ผมไม่ได้ทำอะไร แค่อยากมานั่งใกล้คุณ”“อย่าทำอะไรรุ่มร่า