“มิใช่บอกจะมอบเรื่องนี้ให้หม่อมฉันหรือเพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ลูดคิ้วของเขาที่ขมวดอยู่ให้เรียบ “ยังไม่ถึงเวลาเลยนะเพคะ”นางอวดฟันขาวเรียงตัวสวย “เตรียมทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ขาดสิ่งสำคัญสุดท้าย”“ทั้งหมดคืออะไร? สิ่งสำคัญคืออะไร?” ตงฟางหลีพูดขึ้น “หลังจบราชกิจเช้าวันนี้ เสด็จพ่อรั้งข้าถามไถ่สถานการณ์โดย
ฉินเหยี่ยนเย่ว์กำลังฟังคำพูดทั้งหมดของพวกเขาไม่แปลกใจเลยที่ตงฟางหลีจะโกรธมากขนาดนี้ ข่าวลือเหล่านี้มันเกินไปจริง ๆจวนเหลยอันโหวไม่ได้เห็นจวนอ๋องเจ็ดอยู่ในสายตาเลย กลุ่มคนที่เชื่อข่าวลือเองก็กล้าการจัดการโดยพลการ การเก็บตัวเกินไปนั้นก็มิใช่เรื่องดีไป๋โค้วได้ยินแล้วโกรธมาก “พระชายา ไยถึงไม่ปฏิเสธกล
“ปีศาจขโมยเด็กไปแล้ว” มีคนในกลุ่มฝูงชนตะโกนขึ้น “พวกเราปล่อยให้นางทำเช่นนี้ไม่ได้นะ”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว อย่าให้นางพาคนไปอยู่ใต้จมูกของเราได้”“พี่ชายสองสามคนตรงนั้น มา บุกไปกับข้า”“ไป๋โค้ว ผู้ใดที่กล้าเข้ามาใกล้ ถอดแขนขาของผู้นั้นออก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์สั่งอย่างเยียบเย็น “แล้วก็พาพวกเขาไปศาลาว่าการได้เล
หลังจากที่ท่านเจ้าเมืองรับคดี ทุกคนก็แตกตื่นโกลาหลหลายร้อยคนต่างพากันมุงดู เจ้าพูดข้าคุย เสียงดังจนเหลือทน“เงียบ” ท่านเจ้าเมืองเคาะไม้ปลุกสติลงกับโต๊ะเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการกระแทกไม้โบยลงบนพื้น ก่อให้เกิดเสียงดังที่น่าตะลึงงันความศักดิ์สิทธิ์ของศาลาว่าการทำให้ผู้คนตกตะลึง และในที่สุดกลุ่มผู้คนก็เง
ไป๋โค้วพุ่งความโกรธทั้งหมดที่สะสมในช่วงสองสามวันมานี้ไปยังแรงตบฉาดนี้ได้ยินเพียงเสียงดังก้อง ใบหน้าของฮูหยินเหลยอันโหวถูกตบจนยู่ ฟันหลุดไปหนึ่งซี่ เลือดกบปากชั่วขณะหนึ่งควบคุมที่เกิดเหตุได้ยากลำบาก“บังอาจ” ท่านเจ้าเมืองคิดไม่ถึงว่าไป๋โค้วจะลงมือในศาล ใบหน้าของเขามืดมนยิ่งนัก รีบยกไม้ปลุกสติกระแทก
ทันทีที่คำพูดของฉินเหยี่ยนเย่ว์ดังขึ้นมา เหล่าผู้คนที่เชื่อข่าวลือนอกศาลาว่าการก็นึกถึงเหตุการณ์นั้นออกเช่นกัน“ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ รถม้าของฮูหยินเหลยอันโหวพังอยู่บนถนน เพราะชื่อเสียงไม่ดีของนางจึงไม่มีผู้ใดอยากช่วยเหลือ เพียงยืนดูเรื่องขบขันเท่านั้น ต่อมามีคนใจดีพยุงนางขึ้น ได้ยินว่าพานางไปรักษา”
“ฮูหยินเหลยอันโหว ท่านมีอะไรจะพูดหรือไม่?” ท่านเจ้าเมืองถาม“ใต้เท้า รถม้าของข้าพังอย่างมีเงื่อนงำแอบแฝง ตอนแรกยังดี ๆ อยู่เลย แต่เหตุใดจู่ ๆ ถึงพังได้เล่า?” ฮูหยินเหลยอันโหวชี้ไปยังฉินเหยี่ยนเย่ว์ “ต้องเป็นนางแน่นอน เป็นนางที่จงใจพังมัน”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ส่ายศีรษะใต้หล้านี้ ยังมีคนที่ทั้งโง่ทั้งเลวอ
“ข้าเชื่อฮูหยินเหลยอันโหว” ขณะที่ทุกคนกำลังสั่นคลอน สตรีผู้หนึ่งอุ้มลูกเดินออกมา “ข้าเองก็เป็นแม่คนเช่นกัน แม้ว่าเสือจะดุร้ายแต่ก็ไม่กินลูกของมัน ไม่มีแม่คนไหนจะทำเรื่องเช่นนี้กับลูกของตนหรอก”คำพูดของสตรีผู้นั้นกระทบความรู้สึกคนจำนวนไม่น้อยฉินเหยี่ยนเย่ว์ถอนหายใจเงียบ ๆ อยู่ในใจดวงตาของสตรีผู้นั้
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได