ภายในหุบเขา ทิวทัศน์ดีมาก หลิงเชียนอี้วิ่งตามอวิ๋นอิงไปทั่วทุกที่ อวิ๋นอิงจะสลัดก็สลัดไม่ออก จนปัญญาแล้วองครักษ์ลับที่คอยอารักขาที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับเมื่อเห็นแล้ว ต่างพากันส่ายหน้าท่านโหวน้อยผู้นี้ หน้าไม่อายจริง ๆ“อวิ๋นอิง เจ้าวิ่งเร็วขนาดนี้ เป็นเพราะเตรียมที่จะหนีไปกับข้าใช่หรือไม่?”“รอข้าด้วย!”“ดูสิ ทางนั้นมีกระต่าย! เราไปล่ามันกันเถอะ!”หลิงเชียนอี้ไล่ตามอวิ๋นอิง จับข้อมือของนาง ไปตัดกระบองที่ทั้งยาวและตรงในป่ามาสองท่อน เหลาปลายด้านหนึ่งจนแหลมคม“นี่ไว้ใช้แทงปลาไม่ใช่หรือ?” อวิ๋นอิงถาม“สามารถใช้แทงกระต่ายได้เช่นกัน” หลิงเชียนอี้ลับมีด ทดสอบระดับความคมของไม้กระบอง“กระต่ายน่ารักขนาดนั้น เดิมทีพวกมันก็มีชีวิตอยู่ที่นี่อย่างอิสระ แต่เป็นเพราะการบุกรุกของพวกเรา และต้องประสบกับภัยพิบัติ อย่างไรเสียก็อย่าทำร้ายพวกมันเลย”“ถ้าอย่างนั้นกระบองของข้าเหลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่แทงกระต่ายแล้วจะให้แทงอะไร? แทงเจ้างั้นหรือ?”“?”อวิ๋นอิงเบิกตากว้างหลังจากหลิงเชียนอี้พูดออกมา ก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติทันที รีบเอามือปิดปากเขาไม่ได้เจตนา!“หลิงเชียนอี้!”อวิ๋นอิงอดกลั้นเอาไ
“ข้าไม่มีทางลงเอยกับท่านโหวน้อย ท่านปล่อยข้าไปเถอะ...”นางตาแดงชายหนุ่มดวงตาหมอง ย่อตัวลง บีบคางของนาง “เหตุใดถึงต้องทำท่าทางเหมือนข้ารังแกเจ้าอยู่ตลอดด้วย?”เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาไม่ได้แตะต้องนางแม้แต่ปลายผม เพียงแค่พูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น นางก็ตาแดงเสียแล้วในสายตาของนาง ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนเลวร้ายเช่นนี้“คนที่ควรจะปล่อยข้าไป ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ อวิ๋นอิง”เขาเหลือบตาลงจ้องมองนาง นิ้วมือที่หยาบกร้าน ลูบไล้ไปตามโครงหน้าของนางอย่างเบามือทุกตารางนิ้วทุกจุดดวงตาค่อย ๆ ล้ำลึกขึ้น “เห็นเจ้ากับท่านโหวน้อยอยู่ด้วยกัน หัวเราะอย่างมีความสุขกันแบบนั้น ข้าเองก็ควรจะรู้สึกดีใจแทนเจ้า จางเฟยก็ควรจะมีดีใจมากเช่นกัน”“อย่างไรเสีย สุสานของเขา ก็อยู่ไม่ไกล”อวิ๋นอิงตัวสั่นไปทั้งตัว รูม่านตาหดเล็กลงจางเฟยอยู่แถวนี้...“เขาตายไปนานขนาดนั้นแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยไปเยี่ยมเขาเลยสักครั้ง เพราะอะไร? รู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ? กลัวว่าเมื่อได้เห็นสุสานของเขา ตอนกลางคืนนอนฝันร้ายหรือ?”“ข้าเปล่า...”นางรีบส่ายหน้า “จิ่งอี้ ข้าไม่ได้ทำให้เขาตาย!”สายตาของจิ่งอี้หมองลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่ปลายนิ้วม
ชายหนุ่มคร่อมอยู่บนตัวของนาง จับสายคาดเอวของนางเอาไว้ ปลายนิ้วจับแล้วกระชากออกรูม่านตาของนางกดลง ในดวงตามีความหวาดกลัวปรากฏออกมาแวบหนึ่ง รีบคว้าเสื้อผ้าเอาไว้ รีบถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว“ไม่เอา! จิ่งอี้ ไม่เอา...”เขาจับข้อเท้าของนางเอาไว้นางดิ้นไม่หลุด หนีไม่พ้น“จะเอาหรือไม่เอา ไม่ได้อยู่ที่เจ้า” เขาลากตัวนางลงมาพร้อมรอยยิ้มเย็นชา สูดกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากร่างกายของนาง บีบคางของนางยิ้มอย่างโหดเหี้ยม“ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน ข้าคิดถึงรสชาติบนตัวของเจ้าขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว ความรู้สึกมีความสุขในการเอาชนะคนหนึ่งได้ ก็เหมือนกับแมวไล่จับหนู จ้องมองหนูดิ้นรน แล้วก็ค่อย ๆ จมลงสู่ความสิ้นหวังและความมืดมน ความรู้สึกมีความสุขในตอนนี้ ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้”นางกลั้นหายใจ เบ้าตาแดงน้ำตาไหลพรากเขาโหดร้ายมากจริง ๆถูกเขาจับตามอง นางไปสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว ถึงขนาดที่ไม่กล้าแม้กระทั่งตาย นางได้อยู่ในความมืดมิดแล้ว ไม่ได้เห็นแสงตะวันไปชั่วชีวิตแล้วฝ่ามือใหญ่ของเขา ปิดดวงตาของนางเอาไว้“อย่าใช้สายตาแบบนี้จ้องมองข้า อวิ๋นอิง ข้าไม่เคยรังแกเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าติดค้างข้า”
หลิงเชียนอี้จับมือของอวิ๋นอิงไว้ ทั้งสองนั่งอาบแดดอยู่ตรงริมธารน้ำในหุบเขา เท้าของหลิงเชียนอี้จุ่มอยู่ในน้ำ พลางเตะน้ำเล่นไปด้วย“เมื่อก่อนข้าหัวเราะเยาะป้าจางที่อาศัยอยู่ข้างสถานศึกษาส่วนตัว นางเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นตั้งแต่เด็ก กลับสามารถทำความสะอาดบ้านได้อย่างสะอาดสะอ้านเสมอ และยังมีฝีมือการทำอาหารที่ดีมาก สามีของเขาสอบติด ได้เป็นขุนนางเล็กๆ”“ได้ยินมาว่ามีคุณหนูของครอบครัวหนึ่งยินดีแต่งงานกับเขา สนับสนุนเขาเดินบนเส้นทางขุนนาง แต่เขาปฏิเสธ และไม่เป็นขุนนาง แต่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือของสถานศึกษาส่วนตัว ความสัมพันธ์ของเขากับป้าจางดีมาก”“แล้วก็น่ะ เมื่อก่อนตอนที่ข้าเรียนหนังสือ…”เขาพูดตรงนี้ พูดตรงนั้น บางครั้งก็กุมท้องหัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก เล่าเรื่องที่น่าสนใจในอดีตไปพลาง“อวิ๋นอิง เจ้ายังจำตอนแม่ข้าตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ข้าหึงหวงจนหนีออกจากบ้านได้หรือไม่?”“ตอนนี้อายุน้องสาวของข้าเกือบครึ่งขวบแล้ว ร้องอุแว้ๆ ทั้งวัน น่ารักมาก ครั้งหน้าพวกเราลองกลับไปเยี่ยมนางเถอะ พ่อแม่ข้าก็คิดถึงเจ้า”“เมื่อเทียบกับอุ้มลูกสาว พ่อแม่ข้าอยากอุ้มหลานชายยิ่งกว่า”อวิ๋นอิงห
อวิ๋นอิงเผลอหัวเราะ ถือชามไว้ เพิ่งจิบไปได้หนึ่งคำ เมื่อได้กลิ่นคาวของกุ้งแห้ง ก็รู้สึกปั่นป่วนในกระเพาะสีหน้าเปลี่ยนฉับพลันอยากอาเจียน แต่อดกลั้นไว้สุดชีวิต“เป็นอะไร? เจ้าไม่ชอบหรือ?” หลิงเชียนอวี้ถาม“ข้า…ข้านั่งรถม้ามาตลอดทาง ถนนบนเขาขรุขระ ข้ายังรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก ขออภัย พระสนมถงเฟย ฝีมือของท่านเยี่ยมมาก”“ไม่เป็นอะไร ไม่สบายก็พักผ่อนเร็วๆ เถอะ เพิ่งมาถึงที่นี่ครั้งแรก อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ อีกสองสามวันก็ดีเอง” ถงเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม“อืม!”อวิ๋นอิงไม่มีความอยากอาหาร หลังจากกินข้าวสองคำ ก็ลุกไปแล้วยามราตรีของหุบเขา เงียบมากในคืนฤดูร้อน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ดวงดาวกะพริบส่องแสงเป็นระยะ ในหุบเขาที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ท้องฟ้าของที่นี่ไม่มีเสียงแห่งความวุ่นวาย ไม่มีกลิ่นของควันไฟ ไม่มีแสงเทียนปนเปื้อน สวยงามเหมือนภาพวาดงามเกินความบรรยาย!อวิ๋นอิงไม่กล้ากลับห้อง และไม่กล้านอน ถึงขั้นไม่กล้าอยู่คนเดียวมักจะมีเสียงของจิ่งอี้ดังขึ้นที่ข้างหู‘กลางคืน ข้าจะมาหาเจ้า’เสียงที่เย็นชานั่น มีความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้าไปในวิญญาณแฝงอยู่ ทำให้นางรู้สึกกังว
“อย่านะ…ช่วยด้วย…”มือของอวิ๋นอิงโบกสะบัดและเหวี่ยงอย่างตื่นตระหนก สีหน้าซีดเซียวไร้ร่องรอยเลือด ราวกับฝันเห็นปีศาจร้าย ตกใจจนมือเท้าเย็นเฉียบฉู่เชียนหลีก็ตกใจเล็กน้อยเช่นกัน“อวิ๋นอิง ตื่นสิ! เจ้าเป็นอะไรกันแน่!”“ปล่อยข้า…ปล่อยข้า…”เมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินเสียงพึมพำของนางชัดเจน ก็อึ้งไปครู่หนึ่งปล่อยนาง…ตั้งแต่งานเลี้ยงอาหารค่ำในบ้านตระกูลกู้คืนนั้น อวิ๋นอิงก็ผิดปกติมาโดยตลอด มักจะเหม่อลอย ไม่เป็นตัวเอง เหมือนเปลี่ยนไปเป็นอีกคนนางให้จิ่งอี้ไปตรวจสอบ แต่ไม่พบอะไรเลยตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?ใครกำลังขู่นาง? ใครทำให้นางกลายเป็นเช่นนี้?ฉู่เชียนหลีจับมือที่เย็นเฉียบของนางไว้แน่น ทำให้นางรู้สึกปลอดภัย แล้วโน้มตัวไปที่ข้างปากของนาง ฟังอย่างตั้งใจ“อวิ๋นอิง ใครกำลังขู่เจ้า? เจ้าฝันเห็นอะไร? บอกข้า!”อวิ๋นอิงส่ายศีรษะอย่างหวาดกลัว“อย่าเข้ามา…ไปให้พ้น…ไปให้พ้น…”จวนเฟิงเหรินที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่อัปมงคลมาก คนที่ถูกส่งตัวเข้าจวนเฟิงเหริน ล้วนเป็นคนของราชวงศ์ที่ทำผิดอย่างมหันต์ และไม่สมควรได้รับการให้อภัย โดยทั่วไปคนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ จะไม่มีโอกาสได้ออกไปอีกเป
ครึ่งเดือนต่อมา ชีวิตค่อนข้างสงบและมั่นคงจวนอ๋องเฉินมีอ๋องติ้งค่อยดูแล แม้ฉู่เชียนหลีไม่อยู่ที่จวน อ๋องติ้งก็จัดการจวนอ๋องเฉินได้อย่างมีระบบระเบียบ สงบสุขเหมือนปกติอีกด้านหนึ่ง เฟิงเจิ้งหลีพลางตามหาฉู่เชียนหลี พลางอาศัยโอกาสตอนที่เฟิงเย่เสวียนไม่อยู่เมืองหลวง ชักชวนหาคนมาเป็นพวกของตัวเองอย่างเปิดเผยในเวลาครึ่งเดือนกว่า มีแต่ชื่อเสียงที่ดีงามในราชสำนักวังหลวงตำหนักต้าเฉิน“ฝ่าบาท คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงอกสั่นขวัญแขวน ถูกอ๋องหลีไขคดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ! คนร้ายถูกจับ ราษฎรสามารถนอนหลับอย่างสบายใจแล้ว” ขุนนางท่านหนึ่งกล่าวด้วยความปลื้มปีติขุนนางใหญ่อีกท่านกล่าว“เขตตะวันออกเกิดภัยตั๊กแตน อ๋องหลีใช้เงินของตัวเองช่วยเหลือราษฎร การกระทำที่เห็นแก่ส่วนรวมเช่นนี้ คุ้มค่าแก่การเป็นตัวอย่างของพวกกระหม่อม…”“อ๋องหลีเขา…”เหล่าขุนนางเจ้าหนึ่งคำ ข้าหนึ่งคำ เล่าคุณความดีของอ๋องหลีในราชสำนัก เต็มไปด้วยคำชื่นชมในหมู่ราษฎร มีแต่เสียงชื่นชมชั่วขณะ อ๋องหลีได้ใจราษฎรอย่างล้นหลามบนราชบัลลังก์ ฮ่องเต้มองอ๋องหลีที่ยืนอยู่หน้าขุนนางนับร้อย กล่าวชมด้วยรอยยิ้ม“หลีเอ๋อร์ทำได
เยว่เอ๋อร์กลับถึงหุบเขา ก็ใกล้พลบค่ำแล้ว นางหิ้วตะกร้าไว้ พลางก้มหน้า สองมือกำตะกร้าแน่นแล้วคลายออกเป็นระยะ ดูกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด“เยว่เอ๋อร์?”“หา?!”เสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำเอานางเงยหน้าด้วยความตกใจ เกือบกระโดดลอยตัวขึ้นในห้องครัวถงเฟยสวมผ้ากันเปื้อน มือซ้ายถือตะหลิว เอียงศีรษะมองมาทางนาง“คิดอะไรอยู่หรือ? แค่ซื้อเห็ดก็ไปตั้งนาน รีบเอามา เย็นนี้ข้าจะตุ๋นไก่”“เจ้าค่ะ…”เยว่เอ๋อร์ก้มศีรษะ เม้มปากแน่น ก้าวเท้าเข้าไปในห้องครัวถงเฟยนำเห็ดหอมออกจากตะกร้า หลังจากล้างจนสะอาด ก็หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วไปยุ่งอยู่ที่หลังเตาแล้ว เดินไปเดินมา ดูมีความสุขเลยทีเดียวเยว่เอ๋อร์มองดูแผ่นหลังที่ยุ่งอยู่กับการทำอาหารของนาง สองมือจิกชายเสื้อ เม้มปากไม่หยุด… นางอ้าปาก อยากพูดแต่ก็อดกลั้นเอาไว้ในแววตาเต็มไปด้วยความลังเลยืนอยู่ตรงนั้นสองนาทีเต็มๆ…ตอนที่ถงเฟยมองมา นางรีบหมุนกายวิ่งออกไป พลันสังเกตเห็นไก่เป็ดห่านที่ถูกขังอยู่ในกรง สายตาเหี้ยมเกรียม ในที่สุดก็ตัดสินใจแล้วนางเปิดกรงออกเป็นช่องเล็กๆ คว้าข้าวสาลี่มาหนึ่งกำมือแล้วโยนออกไปทันใดนั้นไก่ก็บิน และมีเป็ดกับห่านวิ่งต
สองวันต่อจากนั้น ค่อนข้างสงบเพียงแต่สงครามกำลังจะปะทุขึ้นแล้ว เมื่อครึ่งเดือนก่อน อ๋องเฉินยึดเมืองเจียหนานได้ในคราวเดียว เพื่อโต้ตอบ ฮ่องเต้หลีเลือกที่จะร่วมมือกับแคว้นซีอวี้ ได้รับม้าศึก อาวุธ และยอดทหารที่หนึ่งคนสามารถสู้สิบคน เตรียมพร้อมลงสนามรบทุกเมื่อ สงครามดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ“กลับมาอย่างปลอดภัยนะ”ฉู่เชียนหลีผูกสายรัดเอวของเสื้อเกราะอ่อน สวมเสื้อเพ้าชั้นนอก และจัดแจงให้เฟิงเย่เสวียน ก่อนออกเดินทาง โอบเอวของเขาไม่ยอมปล่อยเป็นเวลานานเฟิงเย่เสวียนลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง“อยู่บ้านดูแลเว่ยซีกับจื่อเยี่ยให้ดี อย่างมากข้าไปสองวันก็กลับ”“ระวังตัวด้วย”“อืม”จูบกลางหว่างคิ้วของนาง ถือกระบี่เดินจากไปฉู่เชียนหลีไปส่งถึงประตูใหญ่ กระทั่งมองไม่เห็นแผ่นหลังของเขา จึงจะกลับจวนร่างกายของอวิ๋นอิงฟื้นตัวได้ดี สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก มีกู่แพทย์คอยบำรุงรักษา สุขภาพของนางค่อยๆ ดีขึ้น และไม่กระอักเลือดแล้ว“พระชายา งานเลี้ยงอายุครบหนึ่งปีของเว่ยซีกับจื่อเยี่ย จะเชิญใครบ้างเจ้าค่ะ?” อวิ๋นอิงกำลังวางแผนพริบตาเดียว ยังเหลืออีกเจ็ดวัน เจ้าเด็กน้อยทั้งสองก็จะอายุหนึ่งปีแล้วเวลาผ่านไปเร็วมาก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนฉับพลัน กลิ่นอายรอบกายขรึมลง มีความตื่นตระหนกสายหนึ่งแลบผ่านแววตาอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวไม่นานก็สงบลง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“นี่ท่านพูดอะไรของท่าน!”นางสะบัดมือของจวินชิงอวี่หลุด ลุกขึ้นยืน ทั่วร่างเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกปรักปรำ“ข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่าน ท่านกลับคิดว่าข้าทำเรื่องที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้? เสด็จพี่สาม ก่อนที่ท่านจะพูด เคยถามใจตัวเองดูหรือไม่!”นางคำรามออกมาอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ดวงตาก็กลายเป็นสีแดงไปแล้วจวินชิงอวี่รักนางมาก ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยตำหนินางแม้แต่คำเดียวแต่…“ยวนเอ๋อร์ เดิมทีคนที่วางยา เป็นคนตัดฟืนของทำเนียบเจียงหนาน รับคำสั่งจากฮองเฮาตงหลิง วางยาพิษทำร้ายพี่น้องฝาแฝด ถูกพระชายาอ๋องเฉินจับได้”“แต่เมื่อวานเจ้าส่งคนไปทำเนียบ คนตัดฟืนคนนี้ก็มาอยู่ที่ศาลาพักม้าแล้ว”“กลางคืน เสด็จแม่ก็ถูกพิษแล้ว”นำทั้งหมดนี้มาเชื่อมโยงกัน จะไม่ให้เขาสงสัยได้อย่างไร?จวินลั่วยวนเบิกตากว้าง“ข้าเป็นห่วงความร่วมมือของแคว้นหนานยวนกับอ๋องเฉิน ส่งคนไปลองถามดู ท่านกลับคิดว่าข้าติดสิ
ความจริงเป็นไปตามที่ฉู่เชียนหลีคาดการณ์หลังจากจวินชิงอวี่ตามจวินลั่วยวนทัน ปลอบใจนางอยู่นาน เขารับประกันและใช้คำพูดดีๆ สารพัด จึงจะสามารถทำให้น้องสาวหายโกรธกลับถึงศาลาพักมา ก็พลบค่ำแล้วฮองเฮาหนานยวนฟื้นแล้ว“เสด็จแม่ ท่านฟื้นแล้ว!”“เสด็จแม่ ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่? เจ็บคอหรือไม่?”จวินชิงอวี่ถามอย่างประหม่า จวินลั่วยวนรินน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว ทั้งสองเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียง มองมารดาด้วยความห่วงใยฮองเฮาหนานยวนรู้สึกเจ็บแบบแสบร้อนในลำคอ แค่ขยับเล็กน้อยก็เจ็บแสบมาก แม้กลืนน้ำก็เจ็บจนหน้าซีดนางเม้มปาก ไม่พูดสักคำจวินชิงอวี่จับมือของนาง กล่าวอย่างปวดใจ“เสด็จแม่ ท่านไม่ต้องกังวล พวกเราใช้ยาที่ดีที่สุดแล้ว ต้องดีขึ้นแน่นอน ทักษะการแพทย์ของพระชายาอ๋องเฉินเลิศล้ำ มีนางอยู่ ท่านจะต้องหายดีแน่นอน”จวินลั่วยวนพยักหน้า“ใช่แล้ว เสด็จแม่ ท่านก็อย่าเสียใจไปเลย อีกสามถึงห้าปีก็หายแล้ว”“...”คำพูดนี้ ฟังดูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่หากตั้งใจฟัง สำหรับฮองเฮาหนานยวนที่ชอบร้องเพลง ไม่ใช่จงใจพูดเสียดสีหรอกหรือ?ฮองเฮาหนานยวนถือแก้วน้ำ พิงอยู่ตรงหัวเตียง ค่อยๆ หลุบตา พูดไม่ออก และไม่อยา
จวินลั่วยวนตื่นตระหนกแล้วนางคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะตกหลุมพรางของฉู่เชียนหลี ตอนนี้ไม่สามารถทำให้นางตาย และยังทำให้เสด็จพี่สามสงสัย ไม่เพียงไม่ได้อะไรเลย แถมยังเสียอีกต่างหาก“เสด็จ เสด็จพี่สาม…”จบแล้ว!นางจะสูญเสียความรักของเสด็จพี่สามไม่ได้!จะปล่อยให้นางแพศยาฉู่เชียนหลีทำสำเร็จไม่ได้เด็ดขาด!สมองของจวินลั่วยวนแล่นอย่างรวดเร็ว ในเวลาสั้นๆ สองวินาที คิดแผนรับมือได้แล้ว เบ้าตาแดงก่ำโดยตรง มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาที่กลมโต นางกล่าว“เสด็จพี่สาม ดีจังที่ท่านไม่เป็นอะไร!”“ข้าได้ยินซวงซวงบอกว่าท่านกับพระชายาอ๋องเฉินออกมาด้วยกัน และยังมาสถานที่ลับเช่นนี้อีก ข้าคิดว่าพวกท่านทำ…เรื่องอะไรที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้เสียอีก”“ข้าเป็นห่วงท่านจึงตามมา เสด็จพี่สาม ท่านไม่โทษข้ากระมัง?”น้ำตาแห่งความกังวลและไร้เดียงสาไหลออกมาจากหางตาของนางจวินชิงอวี่ชะงักเล็กน้อย“เป็นห่วง?”“ใช่แล้ว ท่านเป็นพี่ชายของข้า พระชายาอ๋องเฉินก็เป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว พวกท่านสองคนอยู่ในห้องเดียวกัน และยังอยู่ด้วยกันนานเช่นนี้ จะไม่ให้คิดมากได้อย่างไร?”ทุกคำพูดของจวินลั่วยวนฟังดูมีเหตุผลมาก“ข้าคิดว่าพวกท่านกำลัง…
หลังจากหัวเราะอย่างเย้ยหยัน นางไม่พูดอะไรอีก โคจรกำลังภายใน ประสานฝ่ามือกับจวินชิงอวี่จวินชิงอวี่รู้สึกเพียงมีกำลังภายในที่เย็นเฉียบสายหนึ่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ความเย็นและความร้อนประสานกัน ปรับสมดุลให้กันและกัน เขารีบหลับตา โคจรเคล็ดวิชาเหมันต์ภายในห้อง เข้าสู่ความเงียบ…นอกประตูองครักษ์ลับเฝ้าไว้นอกประตูใหญ่ รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ แล่นเข้ามาหยุดอยู่ที่ตรงข้ามกับบ้าน มือเล็กๆ ที่ขาวนวลข้างหนึ่งเลิกม่านขึ้น แล้วกระโดดลงมา“ที่นี่หรือ?”จวินลั่วยวนยืนอย่างมั่นคง เงยหน้ามองไปเป็นสถานที่ที่เงียบสงบซวงซวงกล่าวเสียงเบา “เจ้าค่ะองค์หญิง องค์ชายสามกับพระชายาอ๋องเฉินเข้าไปข้างในสามเค่อแล้ว”จวินลั่วยวนหรี่ตา“แม้แต่โรคร้อนก็สามารถรักษา ฉู่เชียนหลีคนนี้พอจะมีความสามารถอยู่บ้าง”ทักษะการแพทย์ดี มีประโยชน์อะไร?สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ?เมื่อวานตอนอยู่หอน้ำชา ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาสองคน เมื่อไรที่เริ่มรักษา ห้ามถูกขัดจังหวะเด็ดขาด จะส่งผลให้กำลังภายในย้อนกลับ ทั้งสองจะกระอักเลือดจนตายขอแค่นางบุกเข้าไป ก็สามารถเอาชีวิตของฉู่เชียนหลีเพียงแต่…น่าเสียดายน่าเสียดายที่เสด็จ
“ดื่มเยอะๆ”“...เสด็จแม่ยังไม่ฟื้นหรือ?”“หมอบอกว่าอาจจะต้องพรุ่งนี้ เสด็จพี่สาม ฉู่เชียนหลีโกหก ไม่ว่าเวลาไหน ท่านก็ห้ามเชื่อคำพูดของนางเด็ดขาด และไม่ว่ายวนเอ๋อร์ทำอะไร ก็ล้วนทำเพราะหวังดีต่อท่านพี่ ยวนเอ๋อร์ให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง”จวินลั่วยวนเงยหน้า กล่าวอย่างจริงจังมากจวินชิงอวี่เชื่อคำพูดของนางอย่างไม่มีเงื่อนไขเขามีแค่น้องสาวคนเดียว เขาไม่ตามใจแล้วใครจะตามใจ? เขาไม่รักแล้วใครจะรัก?“เป็นเด็กดีนะ”วันรุ่งขึ้นตามที่นัดหมายกับฉู่เชียนหลี เดิมทีจวินชิงอวี่ไม่อยากไป ยี่สิบกว่าปีมานี้ มีหมอนับไม่ถ้วนเคยรักษาเขา ไม่มีใครสามารถรักษาโรคร้อนของเขาได้เลยกล่าวอีกนัยคือ เขาไม่เชื่อฉู่เชียนหลี แต่การเดิมพันนั่น…เขาไม่เคยสงสัยยวนเอ๋อร์การเดิมพันนี้ ก็ย่อมไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์ลับกล่าว “องค์ชาย ท่านไปดีกว่า ในแคว้นตงหลิง ไม่มีใครไม่รู้ว่าทักษะการแพทย์ของพระชายาอ๋องเฉินเลิศล้ำ ถ้าหากนางสามารถรักษาได้จริงๆ ต่อไปท่านก็ไม่ต้องเจ็บปวดเพราะโรคกำเริบแล้ว”หลังจากจวินชิงอวี่ครุ่นคิด สุดท้ายก็ตัดสินใจไปชานเมืองบ้านหลังหนึ่งที่เงียบสงบเอี๊ยด…“ท่านมา
“เช่นนั้นพวกเราเหมือนเดิมพันกัน”“เดิมพันก็เดิมพัน!”นอกหอน้ำชาจวินลั่วยวนมาถึง หลังจากสอบถามข้อมูลคร่าวๆ จากเด็กในร้าน ก็ย่องขึ้นไปบนชั้นสอง เข้าใกล้ห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง เพิ่งแนบหูเข้าไป ก็ได้ยินเสียงสนทนาข้างในเสียงของฉู่เชียนหลี“โรคร้อนอันตรายมาก แค่ไม่ระวังเล็กน้อยก็จะกำเริบ ตอนที่ข้ารักษาเจ้า ต้องเปิดจุดชีพจร กรีดเปิดแผลบนมือและเท้าสี่จุด ใช้เลือดของข้าแลกกับเจ้าครึ่งหนึ่ง ในระหว่างนี้ห้ามถูกรบกวนเด็ดขาด”ลดเสียงกล่าวอย่างจริงจัง“ไม่เช่นนั้น กำลังภายในจะย้อนกลับ ห้ามเลือดไม่ได้ ถึงเวลา ข้าจะตาย เจ้าก็เจ้าตาย”จวินลั่วยวนประหลาดใจฉู่เชียนหลีสามารถรักษาโรคร้อน?ยิ่งกว่านั้น!ประเด็นสำคัญคือ!ห้ามถูกขัดจังหวะกลางคันเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นฉู่เชียนหลีกับองค์ชายสามล้วนจะตาย!ฉู่เชียนหลีตายแล้ว ตำแหน่งพระชายาอ๋องเฉินก็ว่าง อยากได้อ๋องเฉิน ก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือแล้วไม่ใช่หรือ?ทันใดนั้น แววตาเร่าร้อนทันทีตื่นเต้นคาดหวังแทบรอไม่ไหวนางกำลังจะเป็นพระชายาอ๋องเฉินแล้ว!การสนทนาภายในห้องกินเวลานานหนึ่งเค่อ ก่อนจะจบลง จวินลั่วยวนรีบวิ่งไปซ่อนตัวที่หัวมุม ประตูห้องเปิดออ
จวินลั่วยวนยกมือทั้งสองข้างขึ้น วางลงไปที่คอของฮองเฮาทันใดนั้น ร่างกายของฮองเฮาหนานยวนขยับเล็กน้อย นางรีบดึงมือกลับ ลุกขึ้นยืน และกลับมาดูเป็นเด็กดีอีกครั้ง“ซวงซวง ทางเสด็จพี่สามของข้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”ซวงซวงวิ่งเข้ามา“เมื่อครู่ทางองครักษ์มารายงาน หลังจากเสด็จพี่สามออกไป เจอสามีภรรยาอ๋องเฉิน ตอนนี้พวกเขาเข้าไปในหอน้ำชาแล้ว ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันลับๆ เจ้าค่ะ”“?”พวกเขายังมีเรื่องให้คุยกันอีกหรือ?เสด็จพี่สามไม่ได้ไปสืบเรื่องของคนร้าย?เหตุใดยังสามารถคุยกับสามีภรรยาอ๋องเฉินดีๆ อีก?คุยอะไรกัน?หรือเป็นความลับที่นางไม่รู้?จวินลั่วยวนไม่อนุญาตให้มีเรื่องที่อยู่เหนือกันควบคุมของนาง กล่าวทันที “ซวงซวง เจ้าเฝ้าเสด็จแม่ไว้ ข้าลองไปดูหน่อย!”“เจ้าค่ะ องค์หญิง!”หอน้ำชาห้องส่วนตัวจวินชิงอวี่นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ สีหน้าดูไม่ดีนัก และยังบึ้งตึงเหมือนจะกินคน กัดฟันจนดังก๊อกๆ“ท่านกล้าบอกว่ายวนเอ๋อร์เป็นคนวางยา!”จ้องฉู่เชียนหลีด้วยความโกรธโมโหมากถ้าหากไม่ใช่เพราะอ๋องเฉินนั่งอยู่ที่ข้างๆ เกรงว่าเขาลงมือโดยตรงแล้วฉู่เชียนหลีกล่าว“ตอนที่พวกเราออกจากศาลาพักม้า องครักษ์ลับ
ฉู่เชียนหลี “องค์หญิงมั่นใจในตัวเองจริงๆ เหมือนจะลืมไปแล้วว่าผู้หญิงที่ถูกอ๋องเฉินโยนออกไปเป็นใคร?”“...”รออ๋องเฉินถีบฉู่เชียนหลีทิ้ง นางจะจับฉู่เชียนหลีมาขังไว้ ทรมานทุกวัน ทำให้นางทรมานยิ่งกว่าตายจวินลั่วยวนเถียงไม่ไหว พลันเบ้าตาแดงก็กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของจวินชิงอวี่ หาที่ปลอบใจตัวเองจวินชิงอวี่ย่อมเข้าข้างน้องสาว“ฉู่เชียนหลี ดูจากพฤติกรรมที่ชอบบีบคั้นคนของเจ้า มันก็ไม่แปลกอะไรที่เจ้าจะสามารถวางยาพิษ”อาศัยเพียงแค่การคาดเดา ก็ตัดสินโทษของนางแล้ว?น่าขำ!พี่น้องคู่นี้ คนหนึ่งหน้าไหว้หลังหลอก อีกคนความรักบังตา ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ“มันน่าอัศจรรย์จริงๆ ที่แคว้นหนานยวนของพวกท่านสามารถพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน”จวินชิงอวี่หน้าบึ้งทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”ปัญหาส่วนตัว ตอนนี้จะลามปามไปถึงบ้านเมืองแล้ว?“ตามที่พูด”“เจ้า!”เขาโมโหจนจะเดินเข้าไปหานางพลันเฟิงเย่เสวียนยกฝ่ามือใหญ่ ดึงนางมาที่ข้างกาย “ข้าตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกอะไร”ทุกคนรีบหันไปมอง รอคอยคำพูดต่อจากนี้เฟิงเย่เสวียนกล่าวอย่างใจเย็น“แคว้นหนานยวนต่ำช้าเช่นนี้ ต่อให้ข้าแพ้ศึกครั้งนี้ ก็ไม่ร่วม