ชายหนุ่มคร่อมอยู่บนตัวของนาง จับสายคาดเอวของนางเอาไว้ ปลายนิ้วจับแล้วกระชากออกรูม่านตาของนางกดลง ในดวงตามีความหวาดกลัวปรากฏออกมาแวบหนึ่ง รีบคว้าเสื้อผ้าเอาไว้ รีบถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว“ไม่เอา! จิ่งอี้ ไม่เอา...”เขาจับข้อเท้าของนางเอาไว้นางดิ้นไม่หลุด หนีไม่พ้น“จะเอาหรือไม่เอา ไม่ได้อยู่ที่เจ้า” เขาลากตัวนางลงมาพร้อมรอยยิ้มเย็นชา สูดกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากร่างกายของนาง บีบคางของนางยิ้มอย่างโหดเหี้ยม“ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน ข้าคิดถึงรสชาติบนตัวของเจ้าขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว ความรู้สึกมีความสุขในการเอาชนะคนหนึ่งได้ ก็เหมือนกับแมวไล่จับหนู จ้องมองหนูดิ้นรน แล้วก็ค่อย ๆ จมลงสู่ความสิ้นหวังและความมืดมน ความรู้สึกมีความสุขในตอนนี้ ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้”นางกลั้นหายใจ เบ้าตาแดงน้ำตาไหลพรากเขาโหดร้ายมากจริง ๆถูกเขาจับตามอง นางไปสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว ถึงขนาดที่ไม่กล้าแม้กระทั่งตาย นางได้อยู่ในความมืดมิดแล้ว ไม่ได้เห็นแสงตะวันไปชั่วชีวิตแล้วฝ่ามือใหญ่ของเขา ปิดดวงตาของนางเอาไว้“อย่าใช้สายตาแบบนี้จ้องมองข้า อวิ๋นอิง ข้าไม่เคยรังแกเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าติดค้างข้า”
หลิงเชียนอี้จับมือของอวิ๋นอิงไว้ ทั้งสองนั่งอาบแดดอยู่ตรงริมธารน้ำในหุบเขา เท้าของหลิงเชียนอี้จุ่มอยู่ในน้ำ พลางเตะน้ำเล่นไปด้วย“เมื่อก่อนข้าหัวเราะเยาะป้าจางที่อาศัยอยู่ข้างสถานศึกษาส่วนตัว นางเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นตั้งแต่เด็ก กลับสามารถทำความสะอาดบ้านได้อย่างสะอาดสะอ้านเสมอ และยังมีฝีมือการทำอาหารที่ดีมาก สามีของเขาสอบติด ได้เป็นขุนนางเล็กๆ”“ได้ยินมาว่ามีคุณหนูของครอบครัวหนึ่งยินดีแต่งงานกับเขา สนับสนุนเขาเดินบนเส้นทางขุนนาง แต่เขาปฏิเสธ และไม่เป็นขุนนาง แต่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือของสถานศึกษาส่วนตัว ความสัมพันธ์ของเขากับป้าจางดีมาก”“แล้วก็น่ะ เมื่อก่อนตอนที่ข้าเรียนหนังสือ…”เขาพูดตรงนี้ พูดตรงนั้น บางครั้งก็กุมท้องหัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก เล่าเรื่องที่น่าสนใจในอดีตไปพลาง“อวิ๋นอิง เจ้ายังจำตอนแม่ข้าตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ข้าหึงหวงจนหนีออกจากบ้านได้หรือไม่?”“ตอนนี้อายุน้องสาวของข้าเกือบครึ่งขวบแล้ว ร้องอุแว้ๆ ทั้งวัน น่ารักมาก ครั้งหน้าพวกเราลองกลับไปเยี่ยมนางเถอะ พ่อแม่ข้าก็คิดถึงเจ้า”“เมื่อเทียบกับอุ้มลูกสาว พ่อแม่ข้าอยากอุ้มหลานชายยิ่งกว่า”อวิ๋นอิงห
อวิ๋นอิงเผลอหัวเราะ ถือชามไว้ เพิ่งจิบไปได้หนึ่งคำ เมื่อได้กลิ่นคาวของกุ้งแห้ง ก็รู้สึกปั่นป่วนในกระเพาะสีหน้าเปลี่ยนฉับพลันอยากอาเจียน แต่อดกลั้นไว้สุดชีวิต“เป็นอะไร? เจ้าไม่ชอบหรือ?” หลิงเชียนอวี้ถาม“ข้า…ข้านั่งรถม้ามาตลอดทาง ถนนบนเขาขรุขระ ข้ายังรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก ขออภัย พระสนมถงเฟย ฝีมือของท่านเยี่ยมมาก”“ไม่เป็นอะไร ไม่สบายก็พักผ่อนเร็วๆ เถอะ เพิ่งมาถึงที่นี่ครั้งแรก อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ อีกสองสามวันก็ดีเอง” ถงเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม“อืม!”อวิ๋นอิงไม่มีความอยากอาหาร หลังจากกินข้าวสองคำ ก็ลุกไปแล้วยามราตรีของหุบเขา เงียบมากในคืนฤดูร้อน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ดวงดาวกะพริบส่องแสงเป็นระยะ ในหุบเขาที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ท้องฟ้าของที่นี่ไม่มีเสียงแห่งความวุ่นวาย ไม่มีกลิ่นของควันไฟ ไม่มีแสงเทียนปนเปื้อน สวยงามเหมือนภาพวาดงามเกินความบรรยาย!อวิ๋นอิงไม่กล้ากลับห้อง และไม่กล้านอน ถึงขั้นไม่กล้าอยู่คนเดียวมักจะมีเสียงของจิ่งอี้ดังขึ้นที่ข้างหู‘กลางคืน ข้าจะมาหาเจ้า’เสียงที่เย็นชานั่น มีความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้าไปในวิญญาณแฝงอยู่ ทำให้นางรู้สึกกังว
“อย่านะ…ช่วยด้วย…”มือของอวิ๋นอิงโบกสะบัดและเหวี่ยงอย่างตื่นตระหนก สีหน้าซีดเซียวไร้ร่องรอยเลือด ราวกับฝันเห็นปีศาจร้าย ตกใจจนมือเท้าเย็นเฉียบฉู่เชียนหลีก็ตกใจเล็กน้อยเช่นกัน“อวิ๋นอิง ตื่นสิ! เจ้าเป็นอะไรกันแน่!”“ปล่อยข้า…ปล่อยข้า…”เมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินเสียงพึมพำของนางชัดเจน ก็อึ้งไปครู่หนึ่งปล่อยนาง…ตั้งแต่งานเลี้ยงอาหารค่ำในบ้านตระกูลกู้คืนนั้น อวิ๋นอิงก็ผิดปกติมาโดยตลอด มักจะเหม่อลอย ไม่เป็นตัวเอง เหมือนเปลี่ยนไปเป็นอีกคนนางให้จิ่งอี้ไปตรวจสอบ แต่ไม่พบอะไรเลยตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?ใครกำลังขู่นาง? ใครทำให้นางกลายเป็นเช่นนี้?ฉู่เชียนหลีจับมือที่เย็นเฉียบของนางไว้แน่น ทำให้นางรู้สึกปลอดภัย แล้วโน้มตัวไปที่ข้างปากของนาง ฟังอย่างตั้งใจ“อวิ๋นอิง ใครกำลังขู่เจ้า? เจ้าฝันเห็นอะไร? บอกข้า!”อวิ๋นอิงส่ายศีรษะอย่างหวาดกลัว“อย่าเข้ามา…ไปให้พ้น…ไปให้พ้น…”จวนเฟิงเหรินที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่อัปมงคลมาก คนที่ถูกส่งตัวเข้าจวนเฟิงเหริน ล้วนเป็นคนของราชวงศ์ที่ทำผิดอย่างมหันต์ และไม่สมควรได้รับการให้อภัย โดยทั่วไปคนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ จะไม่มีโอกาสได้ออกไปอีกเป
ครึ่งเดือนต่อมา ชีวิตค่อนข้างสงบและมั่นคงจวนอ๋องเฉินมีอ๋องติ้งค่อยดูแล แม้ฉู่เชียนหลีไม่อยู่ที่จวน อ๋องติ้งก็จัดการจวนอ๋องเฉินได้อย่างมีระบบระเบียบ สงบสุขเหมือนปกติอีกด้านหนึ่ง เฟิงเจิ้งหลีพลางตามหาฉู่เชียนหลี พลางอาศัยโอกาสตอนที่เฟิงเย่เสวียนไม่อยู่เมืองหลวง ชักชวนหาคนมาเป็นพวกของตัวเองอย่างเปิดเผยในเวลาครึ่งเดือนกว่า มีแต่ชื่อเสียงที่ดีงามในราชสำนักวังหลวงตำหนักต้าเฉิน“ฝ่าบาท คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงอกสั่นขวัญแขวน ถูกอ๋องหลีไขคดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ! คนร้ายถูกจับ ราษฎรสามารถนอนหลับอย่างสบายใจแล้ว” ขุนนางท่านหนึ่งกล่าวด้วยความปลื้มปีติขุนนางใหญ่อีกท่านกล่าว“เขตตะวันออกเกิดภัยตั๊กแตน อ๋องหลีใช้เงินของตัวเองช่วยเหลือราษฎร การกระทำที่เห็นแก่ส่วนรวมเช่นนี้ คุ้มค่าแก่การเป็นตัวอย่างของพวกกระหม่อม…”“อ๋องหลีเขา…”เหล่าขุนนางเจ้าหนึ่งคำ ข้าหนึ่งคำ เล่าคุณความดีของอ๋องหลีในราชสำนัก เต็มไปด้วยคำชื่นชมในหมู่ราษฎร มีแต่เสียงชื่นชมชั่วขณะ อ๋องหลีได้ใจราษฎรอย่างล้นหลามบนราชบัลลังก์ ฮ่องเต้มองอ๋องหลีที่ยืนอยู่หน้าขุนนางนับร้อย กล่าวชมด้วยรอยยิ้ม“หลีเอ๋อร์ทำได
เยว่เอ๋อร์กลับถึงหุบเขา ก็ใกล้พลบค่ำแล้ว นางหิ้วตะกร้าไว้ พลางก้มหน้า สองมือกำตะกร้าแน่นแล้วคลายออกเป็นระยะ ดูกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด“เยว่เอ๋อร์?”“หา?!”เสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำเอานางเงยหน้าด้วยความตกใจ เกือบกระโดดลอยตัวขึ้นในห้องครัวถงเฟยสวมผ้ากันเปื้อน มือซ้ายถือตะหลิว เอียงศีรษะมองมาทางนาง“คิดอะไรอยู่หรือ? แค่ซื้อเห็ดก็ไปตั้งนาน รีบเอามา เย็นนี้ข้าจะตุ๋นไก่”“เจ้าค่ะ…”เยว่เอ๋อร์ก้มศีรษะ เม้มปากแน่น ก้าวเท้าเข้าไปในห้องครัวถงเฟยนำเห็ดหอมออกจากตะกร้า หลังจากล้างจนสะอาด ก็หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วไปยุ่งอยู่ที่หลังเตาแล้ว เดินไปเดินมา ดูมีความสุขเลยทีเดียวเยว่เอ๋อร์มองดูแผ่นหลังที่ยุ่งอยู่กับการทำอาหารของนาง สองมือจิกชายเสื้อ เม้มปากไม่หยุด… นางอ้าปาก อยากพูดแต่ก็อดกลั้นเอาไว้ในแววตาเต็มไปด้วยความลังเลยืนอยู่ตรงนั้นสองนาทีเต็มๆ…ตอนที่ถงเฟยมองมา นางรีบหมุนกายวิ่งออกไป พลันสังเกตเห็นไก่เป็ดห่านที่ถูกขังอยู่ในกรง สายตาเหี้ยมเกรียม ในที่สุดก็ตัดสินใจแล้วนางเปิดกรงออกเป็นช่องเล็กๆ คว้าข้าวสาลี่มาหนึ่งกำมือแล้วโยนออกไปทันใดนั้นไก่ก็บิน และมีเป็ดกับห่านวิ่งต
จิ่งอี้เดินเข้ามา“ตอนนี้ยังไม่มืด เจ้าลองไปดูที่หลังหุบเขาหน่อย หาสมุนไพรแก้หวัดมาสองสามอย่าง ต้มสองส่วน แล้วส่งไปให้อวิ๋นอิงหนึ่งส่วน”ฉู่เชียนหลีกล่าว“อวิ๋นอิงมีท่านโหวน้อยค่อยดูแล ข้าไม่ไปทางนั้นแล้ว เดี๋ยวข้าดูเยว่เอ๋อร์เอง”จิ่งอี้พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก็ไปหาสมุนไพรหลังหุบเขาที่ห่างออกไปร้อยกว่าเมตรแล้วเพิ่งมาหุบเขาครั้งแรก ทรัพยากรมีจำกัด ไม่สะดวกเหมือนจวนอ๋องเฉินฉู่เชียนหลีกลับไปที่ห้องของตนเอง นำผ้าห่มของตนเองมาคลุมบนตัวเยว่เอ๋อร์ไว้อย่างแน่นหนาเยว่เอ๋อร์จะลุกขึ้นทันที“พระชายา ข้าไม่เอาเจ้าค่ะ ข้าห่มแล้ว กลางคืนท่านจะห่มอะไร?”“นอนดีๆ”ฉู่เชียนหลีกดหัวไหล่ของนาง “ตอนนี้เจ้าโดนลมไม่ได้ เจ้าพักฟื้นไปก่อน คืนนี้ข้าไปนอนกับเสด็จแม่”“วันหลังอย่าไปที่ลำธารอีก เรื่องแทงปลาปล่อยให้ผู้ชายไปทำ ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างเจ้าแค่ยืนดูอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”นางกล่าวกำชับถงเฟยไม่อยู่ น่าจะยังจับไก่ไม่เสร็จ ฉู่เชียนหลีเทน้ำร้อนหนึ่งแก้วจากหม้อดินเผาในห้องครัว ยกมาให้เยว่เอ๋อร์เยว่เอ๋อร์ถือแก้วร้อนๆ ไว้ ฝ่ามืออุ่นทันทีมองดูน้ำที่มีไอร้อนพวยพุ่งออกมา ดวงตาพร่ามัวเล็กน้อย“
นางตกเป็นเป้าของเขาแล้ว ชาตินี้จะไม่ปล่อยนางไปเด็ดขาด!เฟิงเจิ้งหลียิ้มอย่างชั่วร้าย ใบหน้าเปล่งแสงแปลกประหลาดแต่อันตราย ยกเท้าเดินเข้าไปหานาง“ห้ามเข้าใกล้พระชายานะ!”เยว่เอ๋อร์ฝืนร่างกายที่วิงเวียนเพราะไม่สบาย พุ่งเข้าไปขวางอยู่ตรงหน้าฉู่เชียนหลี กางแขนทั้งสองข้างออก ป้องฉู่เชียนหลีไว้อย่างแน่นหนา“ใครก็ได้! รีบมาเร็ว! ปกป้องพระชายา!”นางตะโกนเสียงดังแต่ คนถูกล่อออกไปหมดแล้ว…พลันเฟิงเจิ้งหลีสะบัดแขนเสื้อ เหวี่ยงกำลังภายในที่แข็งแกร่งสายหนึ่งออกไป ก็ซัดเยว่เอ๋อร์ที่เป็นหวัดลอยกระเด็นไปข้างหลัง“อ๊ะ!”“เยว่เอ๋อร์!”ฉู่เชียนหลีรีบวิ่งเข้าไป ท้องที่โตเป็นพิเศษขืนร่างกายนางไว้จนแทบนั่งไม่ลง แม้แต่ลุกขึ้นก็ลำบากไม่ทันได้ประคองเยว่เอ๋อร์ เฟิงเจิ้งหลีได้คว้ามาทางนางแล้ว“ห้ามทำร้ายพระชายานะ!”เยว่เอ๋อร์รีบกระโจนเข้าไปกอดขาของอ๋องหลีด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ“พระชายา ท่านรีบหนีไป! รีบไปหาคุณชายจิ่งกับท่านโหวน้อย รีบไป!”“เยว่เอ๋อร์!”“พระชายา ไม่ต้องสนใจข้า ท่านรีบไป!”เยว่เอ๋อร์ฉุดรั้งอ๋องหลีอย่างสุดกำลัง พลันอ้าปาก ก็กัดไปที่ต้นขาของเขาอย่างแรง“ซี้ด….”เฟิงเจิ้งหลีเจ็บ คิ้ว
เมื่อพรรคของอ๋องหลีได้ยินเช่นนี้ ก็กลัวทันทีดูท่าทีของพระชายาอ๋องเฉิน นี่กำลังจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในวังชัดๆ!ฆ่าคนติดต่อกันสองคน ไม่กระพริบตาแม้แต่ทีเดียวเลือดกระเซ็นโดนใบหน้า ก็เย็นเฉียบท่าทางที่ชั่วร้ายเหมือนปีศาจนั่น ทำให้ขุนนางหลายคนเกิดความกลัว ลองถามคนทั่วหล้า จะมีสักกี่คนที่ไม่กลัว? อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวพวกเขาไม่อยากตายขุนนางคนหนึ่งกลัวจนพูดติดอ่าง“อ๋อง อ๋องหลี…อย่างไรเด็กที่อยู่ในมือท่านก็เป็นพระนัดดาองค์โต เป็นสายเลือดของราชวงศ์ ถ้าหากฆ่าเขา ในวันข้างหน้า มลทินของท่านจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เกรงว่าจะถูกคนรุ่นหลังด่าทอต่อๆ กันเป็นหมื่นปี”ขุนนางอีกคนก็กล่าวเสียงสั่น“อ๋องเฉินโปรดพิจารณา…”ถ้าหากสู้กันจริงๆ พวกเขาสู้ไม่ไหวอ๋องเฉินมีฮ่องเต้หนุนหลัง มีกองทัพ มีกำลังทหาร อ๋องเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกด้านในมืออ๋องหลี นอกจากพระนัดดาองค์โต ก็ไม่มีเบี้ยอย่างอื่นแล้ว อีกทั้ง ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทหารองครักษ์เงาของอ๋องเฉินเมื่อไรที่สู้กัน พวกเขาจะตายกันหมดไม่จำเป็นต้องตายไปครั้งหนึ่ง บางครั้ง เมื่อเห็นว่าพอแล้วก
เฟิงเย่เสวียนแค่ขมวดคิ้วทีหนึ่ง ก็ข่มความเจ็บปวดนี้ลงไปผู้บัญชาการจางฟาดอย่างดุร้ายลองคิดดูเขาที่เป็นขุนนางคนหนึ่ง สามารถใช้แส้ฟาดองค์ชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด นี่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด พูดคำนี้ออกไป เขาสามารถอวดสามสิบปียิ่งฟาดยิ่งรู้สึกสนุก ยิ่งฟาดยิ่งแรงเพี๊ยะ!เพี๊ยะๆๆ!ทุกคนร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป อ๋องหลีบ้าไปแล้ว เขาไม่ใช่อ๋องหลีที่เข้าถึงได้ง่ายอีกแล้ว!ฉู่เชียนหลีเพิ่งคิดจะกระโจนเข้าไป ก็ถูกอ๋องหลีสั่งให้คนคุมตัวไปยืนอยู่ข้างๆ บังคับให้นางมองดูต่อหน้าต่อตา“ฉู่เชียนหลี ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจ คนไร้ประโยชน์อย่างเฟิงเย่เสวียน แม้แต่ลูกชายก็ปกป้องไม่ได้ มีประโยชน์อะไร”แววตาเฟิงเจิ้งหลีเปล่งแสงที่บ้าคลั่ง“เขาเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร? ฉู่เชียนหลี เจ้าว่าเจ้าตาบอดใช่หรือไม่? เจ้าดูสภาพที่สะบักสะบอมของเขาตอนนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าก็ยังชอบเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสุนัขตัวเมียที่แพศยา”เขายิ้มอย่างชั่วร้าย สิ่งที่พูดออกมายิ่งไม่น่าฟังทุกคนตาแดง อยากพุ่งเข้าไปสับอ๋องหลีเป็นชิ้นๆ เสีย
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋