“ข้าไม่มีทางลงเอยกับท่านโหวน้อย ท่านปล่อยข้าไปเถอะ...”นางตาแดงชายหนุ่มดวงตาหมอง ย่อตัวลง บีบคางของนาง “เหตุใดถึงต้องทำท่าทางเหมือนข้ารังแกเจ้าอยู่ตลอดด้วย?”เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาไม่ได้แตะต้องนางแม้แต่ปลายผม เพียงแค่พูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น นางก็ตาแดงเสียแล้วในสายตาของนาง ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนเลวร้ายเช่นนี้“คนที่ควรจะปล่อยข้าไป ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ อวิ๋นอิง”เขาเหลือบตาลงจ้องมองนาง นิ้วมือที่หยาบกร้าน ลูบไล้ไปตามโครงหน้าของนางอย่างเบามือทุกตารางนิ้วทุกจุดดวงตาค่อย ๆ ล้ำลึกขึ้น “เห็นเจ้ากับท่านโหวน้อยอยู่ด้วยกัน หัวเราะอย่างมีความสุขกันแบบนั้น ข้าเองก็ควรจะรู้สึกดีใจแทนเจ้า จางเฟยก็ควรจะมีดีใจมากเช่นกัน”“อย่างไรเสีย สุสานของเขา ก็อยู่ไม่ไกล”อวิ๋นอิงตัวสั่นไปทั้งตัว รูม่านตาหดเล็กลงจางเฟยอยู่แถวนี้...“เขาตายไปนานขนาดนั้นแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยไปเยี่ยมเขาเลยสักครั้ง เพราะอะไร? รู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ? กลัวว่าเมื่อได้เห็นสุสานของเขา ตอนกลางคืนนอนฝันร้ายหรือ?”“ข้าเปล่า...”นางรีบส่ายหน้า “จิ่งอี้ ข้าไม่ได้ทำให้เขาตาย!”สายตาของจิ่งอี้หมองลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่ปลายนิ้วม
ชายหนุ่มคร่อมอยู่บนตัวของนาง จับสายคาดเอวของนางเอาไว้ ปลายนิ้วจับแล้วกระชากออกรูม่านตาของนางกดลง ในดวงตามีความหวาดกลัวปรากฏออกมาแวบหนึ่ง รีบคว้าเสื้อผ้าเอาไว้ รีบถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว“ไม่เอา! จิ่งอี้ ไม่เอา...”เขาจับข้อเท้าของนางเอาไว้นางดิ้นไม่หลุด หนีไม่พ้น“จะเอาหรือไม่เอา ไม่ได้อยู่ที่เจ้า” เขาลากตัวนางลงมาพร้อมรอยยิ้มเย็นชา สูดกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากร่างกายของนาง บีบคางของนางยิ้มอย่างโหดเหี้ยม“ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน ข้าคิดถึงรสชาติบนตัวของเจ้าขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว ความรู้สึกมีความสุขในการเอาชนะคนหนึ่งได้ ก็เหมือนกับแมวไล่จับหนู จ้องมองหนูดิ้นรน แล้วก็ค่อย ๆ จมลงสู่ความสิ้นหวังและความมืดมน ความรู้สึกมีความสุขในตอนนี้ ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้”นางกลั้นหายใจ เบ้าตาแดงน้ำตาไหลพรากเขาโหดร้ายมากจริง ๆถูกเขาจับตามอง นางไปสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว ถึงขนาดที่ไม่กล้าแม้กระทั่งตาย นางได้อยู่ในความมืดมิดแล้ว ไม่ได้เห็นแสงตะวันไปชั่วชีวิตแล้วฝ่ามือใหญ่ของเขา ปิดดวงตาของนางเอาไว้“อย่าใช้สายตาแบบนี้จ้องมองข้า อวิ๋นอิง ข้าไม่เคยรังแกเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าติดค้างข้า”
หลิงเชียนอี้จับมือของอวิ๋นอิงไว้ ทั้งสองนั่งอาบแดดอยู่ตรงริมธารน้ำในหุบเขา เท้าของหลิงเชียนอี้จุ่มอยู่ในน้ำ พลางเตะน้ำเล่นไปด้วย“เมื่อก่อนข้าหัวเราะเยาะป้าจางที่อาศัยอยู่ข้างสถานศึกษาส่วนตัว นางเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นตั้งแต่เด็ก กลับสามารถทำความสะอาดบ้านได้อย่างสะอาดสะอ้านเสมอ และยังมีฝีมือการทำอาหารที่ดีมาก สามีของเขาสอบติด ได้เป็นขุนนางเล็กๆ”“ได้ยินมาว่ามีคุณหนูของครอบครัวหนึ่งยินดีแต่งงานกับเขา สนับสนุนเขาเดินบนเส้นทางขุนนาง แต่เขาปฏิเสธ และไม่เป็นขุนนาง แต่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือของสถานศึกษาส่วนตัว ความสัมพันธ์ของเขากับป้าจางดีมาก”“แล้วก็น่ะ เมื่อก่อนตอนที่ข้าเรียนหนังสือ…”เขาพูดตรงนี้ พูดตรงนั้น บางครั้งก็กุมท้องหัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก เล่าเรื่องที่น่าสนใจในอดีตไปพลาง“อวิ๋นอิง เจ้ายังจำตอนแม่ข้าตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ข้าหึงหวงจนหนีออกจากบ้านได้หรือไม่?”“ตอนนี้อายุน้องสาวของข้าเกือบครึ่งขวบแล้ว ร้องอุแว้ๆ ทั้งวัน น่ารักมาก ครั้งหน้าพวกเราลองกลับไปเยี่ยมนางเถอะ พ่อแม่ข้าก็คิดถึงเจ้า”“เมื่อเทียบกับอุ้มลูกสาว พ่อแม่ข้าอยากอุ้มหลานชายยิ่งกว่า”อวิ๋นอิงห
อวิ๋นอิงเผลอหัวเราะ ถือชามไว้ เพิ่งจิบไปได้หนึ่งคำ เมื่อได้กลิ่นคาวของกุ้งแห้ง ก็รู้สึกปั่นป่วนในกระเพาะสีหน้าเปลี่ยนฉับพลันอยากอาเจียน แต่อดกลั้นไว้สุดชีวิต“เป็นอะไร? เจ้าไม่ชอบหรือ?” หลิงเชียนอวี้ถาม“ข้า…ข้านั่งรถม้ามาตลอดทาง ถนนบนเขาขรุขระ ข้ายังรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก ขออภัย พระสนมถงเฟย ฝีมือของท่านเยี่ยมมาก”“ไม่เป็นอะไร ไม่สบายก็พักผ่อนเร็วๆ เถอะ เพิ่งมาถึงที่นี่ครั้งแรก อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ อีกสองสามวันก็ดีเอง” ถงเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม“อืม!”อวิ๋นอิงไม่มีความอยากอาหาร หลังจากกินข้าวสองคำ ก็ลุกไปแล้วยามราตรีของหุบเขา เงียบมากในคืนฤดูร้อน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ดวงดาวกะพริบส่องแสงเป็นระยะ ในหุบเขาที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ท้องฟ้าของที่นี่ไม่มีเสียงแห่งความวุ่นวาย ไม่มีกลิ่นของควันไฟ ไม่มีแสงเทียนปนเปื้อน สวยงามเหมือนภาพวาดงามเกินความบรรยาย!อวิ๋นอิงไม่กล้ากลับห้อง และไม่กล้านอน ถึงขั้นไม่กล้าอยู่คนเดียวมักจะมีเสียงของจิ่งอี้ดังขึ้นที่ข้างหู‘กลางคืน ข้าจะมาหาเจ้า’เสียงที่เย็นชานั่น มีความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้าไปในวิญญาณแฝงอยู่ ทำให้นางรู้สึกกังว
“อย่านะ…ช่วยด้วย…”มือของอวิ๋นอิงโบกสะบัดและเหวี่ยงอย่างตื่นตระหนก สีหน้าซีดเซียวไร้ร่องรอยเลือด ราวกับฝันเห็นปีศาจร้าย ตกใจจนมือเท้าเย็นเฉียบฉู่เชียนหลีก็ตกใจเล็กน้อยเช่นกัน“อวิ๋นอิง ตื่นสิ! เจ้าเป็นอะไรกันแน่!”“ปล่อยข้า…ปล่อยข้า…”เมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินเสียงพึมพำของนางชัดเจน ก็อึ้งไปครู่หนึ่งปล่อยนาง…ตั้งแต่งานเลี้ยงอาหารค่ำในบ้านตระกูลกู้คืนนั้น อวิ๋นอิงก็ผิดปกติมาโดยตลอด มักจะเหม่อลอย ไม่เป็นตัวเอง เหมือนเปลี่ยนไปเป็นอีกคนนางให้จิ่งอี้ไปตรวจสอบ แต่ไม่พบอะไรเลยตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?ใครกำลังขู่นาง? ใครทำให้นางกลายเป็นเช่นนี้?ฉู่เชียนหลีจับมือที่เย็นเฉียบของนางไว้แน่น ทำให้นางรู้สึกปลอดภัย แล้วโน้มตัวไปที่ข้างปากของนาง ฟังอย่างตั้งใจ“อวิ๋นอิง ใครกำลังขู่เจ้า? เจ้าฝันเห็นอะไร? บอกข้า!”อวิ๋นอิงส่ายศีรษะอย่างหวาดกลัว“อย่าเข้ามา…ไปให้พ้น…ไปให้พ้น…”จวนเฟิงเหรินที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่อัปมงคลมาก คนที่ถูกส่งตัวเข้าจวนเฟิงเหริน ล้วนเป็นคนของราชวงศ์ที่ทำผิดอย่างมหันต์ และไม่สมควรได้รับการให้อภัย โดยทั่วไปคนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ จะไม่มีโอกาสได้ออกไปอีกเป
ครึ่งเดือนต่อมา ชีวิตค่อนข้างสงบและมั่นคงจวนอ๋องเฉินมีอ๋องติ้งค่อยดูแล แม้ฉู่เชียนหลีไม่อยู่ที่จวน อ๋องติ้งก็จัดการจวนอ๋องเฉินได้อย่างมีระบบระเบียบ สงบสุขเหมือนปกติอีกด้านหนึ่ง เฟิงเจิ้งหลีพลางตามหาฉู่เชียนหลี พลางอาศัยโอกาสตอนที่เฟิงเย่เสวียนไม่อยู่เมืองหลวง ชักชวนหาคนมาเป็นพวกของตัวเองอย่างเปิดเผยในเวลาครึ่งเดือนกว่า มีแต่ชื่อเสียงที่ดีงามในราชสำนักวังหลวงตำหนักต้าเฉิน“ฝ่าบาท คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงอกสั่นขวัญแขวน ถูกอ๋องหลีไขคดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ! คนร้ายถูกจับ ราษฎรสามารถนอนหลับอย่างสบายใจแล้ว” ขุนนางท่านหนึ่งกล่าวด้วยความปลื้มปีติขุนนางใหญ่อีกท่านกล่าว“เขตตะวันออกเกิดภัยตั๊กแตน อ๋องหลีใช้เงินของตัวเองช่วยเหลือราษฎร การกระทำที่เห็นแก่ส่วนรวมเช่นนี้ คุ้มค่าแก่การเป็นตัวอย่างของพวกกระหม่อม…”“อ๋องหลีเขา…”เหล่าขุนนางเจ้าหนึ่งคำ ข้าหนึ่งคำ เล่าคุณความดีของอ๋องหลีในราชสำนัก เต็มไปด้วยคำชื่นชมในหมู่ราษฎร มีแต่เสียงชื่นชมชั่วขณะ อ๋องหลีได้ใจราษฎรอย่างล้นหลามบนราชบัลลังก์ ฮ่องเต้มองอ๋องหลีที่ยืนอยู่หน้าขุนนางนับร้อย กล่าวชมด้วยรอยยิ้ม“หลีเอ๋อร์ทำได
เยว่เอ๋อร์กลับถึงหุบเขา ก็ใกล้พลบค่ำแล้ว นางหิ้วตะกร้าไว้ พลางก้มหน้า สองมือกำตะกร้าแน่นแล้วคลายออกเป็นระยะ ดูกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด“เยว่เอ๋อร์?”“หา?!”เสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำเอานางเงยหน้าด้วยความตกใจ เกือบกระโดดลอยตัวขึ้นในห้องครัวถงเฟยสวมผ้ากันเปื้อน มือซ้ายถือตะหลิว เอียงศีรษะมองมาทางนาง“คิดอะไรอยู่หรือ? แค่ซื้อเห็ดก็ไปตั้งนาน รีบเอามา เย็นนี้ข้าจะตุ๋นไก่”“เจ้าค่ะ…”เยว่เอ๋อร์ก้มศีรษะ เม้มปากแน่น ก้าวเท้าเข้าไปในห้องครัวถงเฟยนำเห็ดหอมออกจากตะกร้า หลังจากล้างจนสะอาด ก็หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วไปยุ่งอยู่ที่หลังเตาแล้ว เดินไปเดินมา ดูมีความสุขเลยทีเดียวเยว่เอ๋อร์มองดูแผ่นหลังที่ยุ่งอยู่กับการทำอาหารของนาง สองมือจิกชายเสื้อ เม้มปากไม่หยุด… นางอ้าปาก อยากพูดแต่ก็อดกลั้นเอาไว้ในแววตาเต็มไปด้วยความลังเลยืนอยู่ตรงนั้นสองนาทีเต็มๆ…ตอนที่ถงเฟยมองมา นางรีบหมุนกายวิ่งออกไป พลันสังเกตเห็นไก่เป็ดห่านที่ถูกขังอยู่ในกรง สายตาเหี้ยมเกรียม ในที่สุดก็ตัดสินใจแล้วนางเปิดกรงออกเป็นช่องเล็กๆ คว้าข้าวสาลี่มาหนึ่งกำมือแล้วโยนออกไปทันใดนั้นไก่ก็บิน และมีเป็ดกับห่านวิ่งต
จิ่งอี้เดินเข้ามา“ตอนนี้ยังไม่มืด เจ้าลองไปดูที่หลังหุบเขาหน่อย หาสมุนไพรแก้หวัดมาสองสามอย่าง ต้มสองส่วน แล้วส่งไปให้อวิ๋นอิงหนึ่งส่วน”ฉู่เชียนหลีกล่าว“อวิ๋นอิงมีท่านโหวน้อยค่อยดูแล ข้าไม่ไปทางนั้นแล้ว เดี๋ยวข้าดูเยว่เอ๋อร์เอง”จิ่งอี้พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก็ไปหาสมุนไพรหลังหุบเขาที่ห่างออกไปร้อยกว่าเมตรแล้วเพิ่งมาหุบเขาครั้งแรก ทรัพยากรมีจำกัด ไม่สะดวกเหมือนจวนอ๋องเฉินฉู่เชียนหลีกลับไปที่ห้องของตนเอง นำผ้าห่มของตนเองมาคลุมบนตัวเยว่เอ๋อร์ไว้อย่างแน่นหนาเยว่เอ๋อร์จะลุกขึ้นทันที“พระชายา ข้าไม่เอาเจ้าค่ะ ข้าห่มแล้ว กลางคืนท่านจะห่มอะไร?”“นอนดีๆ”ฉู่เชียนหลีกดหัวไหล่ของนาง “ตอนนี้เจ้าโดนลมไม่ได้ เจ้าพักฟื้นไปก่อน คืนนี้ข้าไปนอนกับเสด็จแม่”“วันหลังอย่าไปที่ลำธารอีก เรื่องแทงปลาปล่อยให้ผู้ชายไปทำ ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างเจ้าแค่ยืนดูอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”นางกล่าวกำชับถงเฟยไม่อยู่ น่าจะยังจับไก่ไม่เสร็จ ฉู่เชียนหลีเทน้ำร้อนหนึ่งแก้วจากหม้อดินเผาในห้องครัว ยกมาให้เยว่เอ๋อร์เยว่เอ๋อร์ถือแก้วร้อนๆ ไว้ ฝ่ามืออุ่นทันทีมองดูน้ำที่มีไอร้อนพวยพุ่งออกมา ดวงตาพร่ามัวเล็กน้อย“