ในเมืองหลวงช่วงตอนต้นของความเจริญรุ่งเรือง ตามถนนใหญ่และตรอกเล็กเต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมา เสียงตะโกนเรียกลูกค้า เสียงร้องขายของ เสียงต่อราคา ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างครึกครื้น ท่ามกลางเงาผู้คนที่ทับซ้อนกัน มีร่างเพรียวบาง กำลังเดินอย่างไร้จุดหมายใกล้เวลาพลบค่ำ สีท้องฟ้าค่อนข้างมืดมัว ภายใต้แสงพระอาทิตย์ยามอัสดง ก้อนเมฆดำปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าฝนกำลังจะตกแล้ว“ลูกรัก เลิกเล่นได้แล้ว ควรกลับบ้านแล้ว...”“ท่านอาหลี่ ยังทำธุระไม่เสร็จหรือ?”“กลับบ้านเก็บเสื้อผ้าแล้ว...”บรรดาชาวบ้านแต่ละคนเดินกันอย่างรวดเร็ว เดินกันขวักไขว่ แต่ร่างที่เดินอยู่นั้น เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอาการงุนงงยิ่ง ไม่มีทิศทาง ไม่มีจุดหมายฉู่เชียนหลีมองไปด้านหน้า จ้องมองใบหน้าของชาวบ้านแต่ละคนพวกเขาบางคนกลับบ้าน บางคนดูแลลูก สองสามีภรรยาช่วยกันทำงาน แต่ละคนมีครอบครัวที่ต่างกันไป ทั้งครึกครื้นทั้งอบอุ่นหัวใจมากขนาดนั้นตัวอาศัยอยู่ในต่างโลก เพียงลำพังท่านพ่อไม่โปรดปราน ท่านแม่ไม่รัก ไม่มีพี่น้อง ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีแม้กระทั่งคนที่จะพูดด้วยนางเข้ากับโลกใบนี้ไม่ได้ฝนตกแล้วเม็ดฝนละเอียดลอยเข้าปะทะใบหน้าตามกระ
ฉู่เชียนหลีจ้องมองเขาอย่างเลื่อนลอย คนนี้เป็นคนแรกที่ดีต่อนางในต่างโลกนี้...“ท่านเป็นใคร?”ตอนนั้นเจอเขาที่ในวัง บัดนี้เจอเขาที่บนถนนอีกครั้งชายหนุ่มไม่พูดจา แกะลูกกวาด หยิบลูกกวาดสีชมพูเขียวเม็ดหนึ่งออกมา ลูกกวาดรสพุทราเขียวผสมนมวัว ยื่นเข้าไปใกล้ริมฝีปากของนางเล็กน้อย“อู๋หมิงจือเป้ย[footnoteRef:1]” [1: อู๋หมิงจือเป้ย หมายถึง บุคคลนิรนาม] “ใต้หล้ายังมีคนที่มีชื่อแปลกประหลาดขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ? แซ่อู๋ ชื่อหมิงจือเป้ย?”“…”ฉู่เชียนหลีเห็นชายหนุ่มสำลัก รู้สึกว่าตลกขบขันรวมทั้งลูกกวาด หวาน ๆ เปรี้ยว ๆ“ขอบคุณ!”อารมณ์ของนางดีขึ้นเล็กน้อยทันที มือทั้งสองข้างยันขั้นบันไดข้างหลังเอาไว้ แล้วเงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มด้วยท่าทางสบาย ๆ“ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ตอนที่ข้าเคยเห็นท่าทางจนตรอกของท่าน ท่านก็เคยเห็นท่าทางจนตรอกที่สุดของข้า ท่านต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามพูดกับผู้ใดเด็ดขาด”ท่าทางนางร้องไห้จะต้องอัปลักษณ์มากแน่ ๆ “อืม ไม่พูด” ชายหนุ่มอารมณ์ดีมาก น้ำเสียงอ่อนโยน“เกี่ยวก้อยสัญญา”ฉู่เชียนหลียกมือขวาขึ้น ยื่นนิ้วก้อยออกมาแล้วเกี่ยวกันมุมริมฝีปากของชายหนุ่มฉีกยิ้ม ก้าวไปข้างหน
“หานเฟิง!”ภายใต้เสียงคำสั่ง หานเฟิงก็พาคนไปตามหานางทันที เวลาไม่เกินครึ่งชั่วยาม ก็ตามหาร่องรอยของพระชายา——โรงเตี๊ยมไหลฝู“ท่านอ๋อง ท่านออกไปหรือไม่ขอรับ?” หานเฟิงจ้องมองสีหน้าของชายหนุ่ม หางตาเหลือบมองฝนตกหนักที่ด้านนอกหน้าต่าง ค่ำคืนวันฝนตกที่มัวหมอง เอ่ยถามอย่างระมัดระวังเฟิงเย่เสวียนเม้มริมฝีปาก ความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจ ก็เซื่องซึมลงอย่างฉับพลันในเมื่ออยู่ในโรงเตี๊ยม นั่นก็หมายความว่าไม่มีเรื่องอะไรในเมื่อนางไม่เป็นไร เหตุใดจึงต้องไปตามหา?กล่าวเสียงเย็นชา “นางหนีออกจากบ้าน ยังต้องให้ข้าไปตามหา? ให้นางโอหังมากกว่าเดิมหรือ?”“คนที่ตามหานางคือเยว่เอ๋อร์ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ข้าเพียงแค่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือนางเท่านั้น” เขาเอ่ยเสียงเย็นก่อนจะกลับไปนั่ง“ขอบคุณท่านอ๋องเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอ๋องเจ้าค่ะ!” เยว่เอ๋อร์กล่าวขอบคุณอย่างรีบร้อน วิ่งฝ่าสายฝนที่รินลงมาห่าใหญ่ออกไปหานเฟิงไม่กล้าพูดมาก ก้มหน้ายืนอยู่ด้านข้างเฟิงเย่เสวียนถือฎีกาขึ้นมา แต่กลับอ่านไม่เข้าหัวสักเท่าไหร่ เมื่อพลิกเปิดไปได้สองหน้า ใจกระวนกระวาย เสียงฝนตกซ่า ๆ ทำให้เขายิ่งกลุ้มใจยิ่งขึ้นอ่าน
ฝนห่านี้ตกหนึ่งคืนเต็ม ๆ เพิ่งจะหยุดลงเมื่อตอนรุ่งสาง พระอาทิตย์ขึ้น อากาศหลังฝนตกเย็นสบายและสดชื่นเฟิงเย่เสวียนยืนอยู่ที่ห้องหนังสือมาตลอดทั้งคืน สายลมยามเช้าพัดปะทะบนใบหน้า ใบหน้าของเขาเย็นชาราวกับมีน้ำค้างเคลือบเอาไว้ หนาวเหน็บจนทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้หานเฟิงยืนอยู่ด้านหลัง แอบนวดขาทันใดนั้น ชายหนุ่มเอ่ย“สาวใช้ของพระชายายังไม่กลับมาหรือ?”หานเฟิงยืนตัวตรงทันที แอบกล่าวในใจ ‘ท่านอยากจะถามถึงพระชายาจะถามมาตรง ๆ ไม่ได้ใช่หรือไม่? เหตุใดจึงต้องอ้อมขนาดนี้?’“ข้าน้อยจะไปดูเดี๋ยวนี้ขอรับ”ถูกบังคับให้ยืนมาทั้งคืน ในที่สุดก็ได้ขยับแล้ว ทันทีที่ขยับเท้า ขาทีชาจนเกือบจะหกล้ม รีบเกร็งร่างกายทันที เริ่มหายใจ และก้าวเดินออกไปด้วยร่างกายที่แข็งทื่อหลังจากผ่านไปสองเค่อหานเฟิงก็กลับมา “แม่นางเยว่เอ๋อร์กล่าวว่า นางอยากจะปรนนิบัติพระชายาอยู่ที่โรงเตี๊ยมไหลฝู ไม่กลับมาแล้วขอรับ”“...”ทันทีที่พูดจบ ลมหายใจของชายหนุ่มก็หนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิมหานเฟิงขนหัวลุกติดตามนายท่านมานานหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นนายท่านท่าทางบึ้งตึงขนาดนี้มาก่อนเมื่อก่อน ตอนที่นายท่านเกิดโทสะ ซ้อมคน สังหารคน เ
โครม!ชายหนุ่มพุ่งตัวเข้ามา นำศีรษะของนางกอดไว้ในอ้อมแขนนางนั่งอยู่บนเก้าอีก ศีรษะกลับถูกใครบางคนกอดเอาไว้แน่น ลำคอเกือบจะถูกเด็ดทิ้งกล่าวเสียงอู้อี้ “ปล่อยข้า!”“ฉู่เชียนหลี ไม่เจอกันตั้งนานเจ้าไม่คิดถึงข้าเลยเชียวหรือ” น้ำเสียงของชายหนุ่มรีบร้อนฉู่เชียนหลีหน้าตึง ออกแรงดึงลำคอของตัวเอง “เจ้าปล่อยข้าก่อน”“ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว!”“...”ฉู่เชียนหลียกเท้าขึ้น แล้วเตะเข้าไปที่ข้อพับของชายหนุ่มอย่างรุนแรง จนหัวเข่าข้างหนึ่งของชายหนุ่มคุกลงไปบนพื้น เหลือบดวงตาโตที่ไร้เดียงสาคู่นั้นขึ้น จ้องมองนางอย่างน้อยใจ“ฉู่เชียนหลี ทำไมเจ้าต้องร้ายกับข้าด้วย...”เป็นหลิงเชียนอี้หลิงเชียนอี้เป็นบุตรชายของพี่สาวอ๋องเฉิน เขามีใบหน้าคล้ายกับอ๋องเฉินหลายส่วน เมื่อมองเห็นใบหน้านี้ สายตาของฉู่เชียนหลีก็เย็นชาขึ้นมา สีหน้าก็ดูแย่ลงไปเช่นเดียวกัน“เจ้ามาทำไม?” น้ำเสียงเย็นชา“มาเล่นกับเจ้านะซิ! ข้ารู้จักสถานที่เที่ยวเล่นสนุก ๆ มากมาย พวกเราไปด้วยกันเถอะ” ชายหนุ่มยิ้มตาหยี“ไม่ไป”ฉู่เชียนหลีปฏิเสธอย่างเย็นชา ไม่เหลือพื้นที่ให้หารือเลยแม้แต่น้อย“ไปนะ ๆ วันนี้อากาศดีขนาดนี้ เหมาะแก่การล่าสั
“เจ้าก็ไปจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่เสียตอนนี้ ไปพูดกับอัครมหาเสนาบดีฉู่ให้ชัดเจน นับตั้งแต่ฉู่เชียนหลีออกไป ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจวนอ๋องเฉิน ถ้าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่ก็อย่ามาหาเรื่องที่จวนอ๋อง” น้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง“?”ไร้หัวใจขนาดนี้?กลัวแค่ว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้จริง ๆ หรือ?เหตุใดเขาจึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไร ?หลิงเชียนอี้มองสำรวจใบหน้าที่เย็นชายิ่งของชายหนุ่มอย่างสงสัย “ท่านน้า จะให้พูดเช่นนี้จริงหรือ...”“เจ้ามีความคิดเห็นต่อการตัดสินใจของข้า?” ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปอย่างเย็นชา สายตาคมกริบราวกับใบมีด“!”หลิงเชียนอี้รีบก้มหน้า ไม่กล้าพูดมาก สาวเท้าวิ่งหนีหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่หานเฟิงเดินเข้ามาอย่างเบาฝีเท้า และระมัดระวัง เหลือบมองสีหน้าของชายหนุ่มเล็กน้อย เอ่ยอย่างระวัง“นายท่าน เรียกคนมารวมตัวเรียบร้อยแล้ว สามารถออกเดินทางไปรังโจรได้แล้วขอรับ”ชายหนุ่มเหลือบตามองทันที เอ่ยเสียงเย็นชา“เรื่องของรังโจรรีบขนาดนี้เชียว?”หานเฟิงตะลึงงันไปทันที “!”“เป็นถึงแคว้นใหญ่ ขุนนางบุ๋นบู๊มากมาย มีข้าเพียงคนเดียวที่ไปรังโจรได้หรือไร?”หาน
“ข้า...”ความคิดเวียนวนอยู่ภายในหัวสมองของรองแม่ทัพเจียงเนื่องจากมาอย่างกะทันหัน ตอนนั้นท่านอ๋องหน้าตึงไม่รู้ว่าท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร แต่ว่าพระชายาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ก็น่าจะเกิดความขัดแย้งกับท่านอ๋องกระมังดังนั้นเขามีความคิดที่เฉียบไว กล่าว“อันที่จริง ข้าน้อยนำข่าวคราวที่น้อยคนนักจะทราบมาบอกแก่พระชายา”ฉู่เชียนหลีนั่งลงไป ยกถ้วยชาขึ้นอย่างเกียจคร้าน “อย่างนั้นหรือ?”รองแม่ทัพเจียงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กล่าว“พระชายาไม่ค่อยคลุกคลีกับท่านอ๋อง อาจจะไม่ทราบว่าอันที่จริงท่านอ๋องไม่ได้ชอบพระชายารองเซียว ที่เขารับพระชายารองเซียว เป็นเพียงเพราะนางแซ่เซียวเท่านั้น”จากประสบการณ์ที่โสดมายี่สิบแปดปีของเขา สามีภรรยาทะเลาะกัน จะต้องเป็นเพราะความรักอย่างแน่นอนความรัก ก็จะต้องเกี่ยวข้องกับสตรีฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่เรือนหมิงเยว่ ท่าทีของเซียวจือฮว่าเย่อหยิ่ง มั่นใจในตัวเอง และเคยเอ่ยถึงเรื่องของแซ่ ‘เซียว’ ด้วย“แซ่เซียวนี้มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”“เซียว เป็นแซ่ของเซียวกุ้ยเฟย ผู้พระมารดาของท่านอ๋องขอรับ!”พระชายารองเซียวเป็นคนในตระกูลของเซียวกุ้ย
เฟิงเย่เสวียนยืนอยู่ด้านนอกห้อง ฉู่เชียนหลียืนอยู่ด้านในห้อง มีแค่ธรณีประตูเตี้ย ๆ ที่กั้นระหว่างพวกเขาสองคน ระยะห่างเพียงแค่สิบกว่าเซนติเมตร ระยะใกล้มาก ๆ ใกล้ถึงขนาดที่เพียงแค่ก้าวเดียว ก็สามารถเข้าไปในอ้อมอกของอีกฝ่ายได้ดวงตาทั้งสองคู่สบตากันอยู่กลางอากาศ ชั่วพริบตาเดียว อากาศหยุดนิ่ง ทุกอย่างบริเวณรอบ ๆ เงียบสงบ...หนึ่งวินาทีสองวินาทีสามวินาทีชายหนุ่มเม้มริมฝีปากบาง แล้วก็เม้มแน่นขึ้น ลูกกระเดือกเคลื่อนไหวขึ้นลง เตรียมตัวอยู่นาน ในที่สุดของถึงตอนที่เอ่ยปาก ประตูสองบานนั้นเหวี่ยงทันทีปัง...น้ำเสียงทั้งดังชัดเจน ทั้งกังวาน ราวกับประตูได้ปิดใส่ใบหน้าของเขาเขา “...”ตอนนี้ ศักดิ์ศรีของเขาที่เขาได้ลดท่าทีอันสูงส่งลงแล้ว ราวกับถูกฉู่เชียนหลีได้กดลงบนพื้นแล้วบดขยี้ตั้งแต่เด็ก เขาก็เป็นคนเย่อหยิ่ง มีพรสวรรค์พิเศษ ความสามารถโดดเด่น ได้รับความรักความโปรดปราน ในความเข้าใจของเขา มีเพียงคำว่า‘พระราชทาน’ ไม่เคยมีคำว่าขอโทษกับอธิบายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เขาอยากอธิบาย แต่กลับถูกหยามเช่นนี้สีหน้าของเขาตึงราวจนน่าเกลียดราวกับกินแมลงวันเข้าไป ลมหายใจติดขัดอยู่ในลำคอ เดิ