เฟิงเย่เสวียนยืนอยู่ด้านนอกห้อง ฉู่เชียนหลียืนอยู่ด้านในห้อง มีแค่ธรณีประตูเตี้ย ๆ ที่กั้นระหว่างพวกเขาสองคน ระยะห่างเพียงแค่สิบกว่าเซนติเมตร ระยะใกล้มาก ๆ ใกล้ถึงขนาดที่เพียงแค่ก้าวเดียว ก็สามารถเข้าไปในอ้อมอกของอีกฝ่ายได้ดวงตาทั้งสองคู่สบตากันอยู่กลางอากาศ ชั่วพริบตาเดียว อากาศหยุดนิ่ง ทุกอย่างบริเวณรอบ ๆ เงียบสงบ...หนึ่งวินาทีสองวินาทีสามวินาทีชายหนุ่มเม้มริมฝีปากบาง แล้วก็เม้มแน่นขึ้น ลูกกระเดือกเคลื่อนไหวขึ้นลง เตรียมตัวอยู่นาน ในที่สุดของถึงตอนที่เอ่ยปาก ประตูสองบานนั้นเหวี่ยงทันทีปัง...น้ำเสียงทั้งดังชัดเจน ทั้งกังวาน ราวกับประตูได้ปิดใส่ใบหน้าของเขาเขา “...”ตอนนี้ ศักดิ์ศรีของเขาที่เขาได้ลดท่าทีอันสูงส่งลงแล้ว ราวกับถูกฉู่เชียนหลีได้กดลงบนพื้นแล้วบดขยี้ตั้งแต่เด็ก เขาก็เป็นคนเย่อหยิ่ง มีพรสวรรค์พิเศษ ความสามารถโดดเด่น ได้รับความรักความโปรดปราน ในความเข้าใจของเขา มีเพียงคำว่า‘พระราชทาน’ ไม่เคยมีคำว่าขอโทษกับอธิบายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เขาอยากอธิบาย แต่กลับถูกหยามเช่นนี้สีหน้าของเขาตึงราวจนน่าเกลียดราวกับกินแมลงวันเข้าไป ลมหายใจติดขัดอยู่ในลำคอ เดิ
ยาสลบระเบิดออก ทุกคนสูดเข้าไปในร่างกายไม่มากก็น้อย อย่างไม่ทันได้ระวังตัว ภายในสองวินาที แขนขาก็ไร้เรี่ยวแรงล้มลงบนพื้นนักฆ่าหกคน คนแก่หนึ่งคน ล้มลงทั้งหมด...พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองไปด้วยความประหลาดใจ เห็นสตรีร่างบางในชุดสีขาว สวมผ้าคลุมหน้า“เจ้า...เป็นใคร...เหตุใดจึงต้องยุ่งเรื่องชาวบ้าน...”หัวหน้านักฆ่าจ้องมองสตรีชุดขาวด้วยสายตาดุร้าย แต่ร่างกายที่อ่อนเพลีย ทำให้เขาไม่มีแรงโจมตี ทำได้แค่เพียงถลึงตามอง ไม่มีภัยคุกคามใด ๆฉู่เชียนหลีกวาดสายตามองทุกคนอย่างเมินเฉยแวบหนึ่ง “เดินผ่านมาเท่านั้น”นางไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใคร ย่อมไม่อยากทำร้ายใครเช่นกันยาสลบห่อนี้ทุกคนได้ดมแล้ว เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมา ตาแก่คนนี้หนีได้ก็หนี ถ้าหนีไม่ได้ละก็ นั่นก็คือลิขิตสวรรค์นางหันหลังกลับ เตรียมที่จะเดินออกไป“แม่ แม่นางช้าก่อน...”ด้านหลัง มีเสียงที่อ่อนแอจนถึงขีดสุดของชายชราฉู่เชียนหลีหันหน้ากลับไป ก็เห็นชายชราคนนั้นกุมบาดแผลที่บริเวณท้องเอาไว้ เลือดสีแดงอาบมือจนแดงเถือก สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ พูดเพียงสั้น ๆ สองสามคำ ในปากก็มีเลือดไหลออกมาไม่หยุดแค่มองก็รู้ว่าชายชราคนนี้คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นา
คนชุดดำกลุ่มหนึ่ง พวกเขาวิ่งเข้ามาถึงข้างกายของชายชรา กระแทกฉู่เชียนหลีจนกระเด็น เมื่อเห็นชายชราเสียชีวิตแล้ว บนใบหน้าก็แสดงสีหน้าที่เจ็บปวดยิ่งออกมาเขาได้ล่วงลับไปแล้วในระหว่างที่กำลังเสียใจ คนชุดดำคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงตื่นตกใจ“ป้ายของท่านเจ้าสำนัก...เหตุใดจึงอยู่ในมือเจ้า?!”ทันใดนั้น ดวงตาหลายคู่ก็มองมาที่ฉู่เชียนหลีอย่างพร้อมเพรียงกันคิดว่าคนเหล่านี้จะต้องเป็นคนของสำนักอู๋จี๋แน่นอนฉู่เชียนหลีนำคำพูดของชายชราพูดให้ฟังรอบหนึ่ง ทุกคนเบิกดวงตากว้าง สีหน้ายากจะเชื่อ ยิ่งไม่มีทางยอมรับ“เป็นไปไม่ได้!”“เจ้าสำนักจะเลือกสตรีนางหนึ่งมาเป็นผู้นำทุกคน?”“หากให้ข้าพูด ศิษย์พี่ใหญ่ถึงจะเป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรม...”“เรื่องที่จำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วน คือการฝังศพเจ้าสำนัก ทะเลาะอะไรกัน?”ท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงที่สุขุมเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปีคนหนึ่ง เขาสวมทะมัดทะแมงชุดสีดำ ใบหน้าเย็นชา เหน็บกระบี่ที่เอว ผมสีดำรวบสูง กลิ่นอายทั่วทั้งตัวยิ่งหนาวเหน็บ ราวกับภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งเหมือนว่าคำพูดของเขามีอิทธิพลมากทีเดียว ทันทีที่เขาเอ่ยปาก ทุกคนก็เงีย
ฉู่เชียนหลีถูกสั่นสะเทือนจนรู้สึกแย่ จ้องมองนักฆ่าด้านหลังที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ กลุ่มนั้น แทบจะมองเห็นความโหดเหี้ยม เย็นชาและความอาฆาตแค้นบนใบหน้าของพวกเขาเที่ยวนี้ซี้แหงแก๋แล้วไม่ใช่การมีปากเสียงกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนในจวนอ๋องเฉิน แล้วก็ไม่ใช่การท้าประลองกันในค่ายทหาร แต่เป็นยุทธภพ เป็นการเลียเลือดจากคมมีด เป็นเรื่องที่หากสู้ไม่ชนะก็จะต้องตายตายจริง ๆ นะ!ฉู่เชียนหลีมือเท้าเย็น น้ำเสียงตื่นตระหนกเล็กน้อย“พวกเจ้าไม่ได้เป็นองค์กรยุติธรรมหรือ? เหตุใดจึงถูกไล่ฆ่าเล่า?”ภายใต้บ่า จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่ง“ก็เป็นเพราะยุติธรรมเกินไป เปิดโปงเรื่องราวมากมาย ทำลายผลประโยชน์ของคนจำนวนมาก ถึงได้ถูกตามไล่ฆ่า”“แต่ว่า เจ้าสำนัก ท่านชินก็พอแล้ว หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน พวกเราต้องวิ่งหนีทั้งหมดสามร้อยวัน”ฉู่เชียนหลีถลึงตา “!”คุณพระช่วย!เดิมทีคิดว่าสำนักอู๋จี๋จะเก่งกาจมาก สุดยอดมากเหมือนกับในโทรทัศน์ อู๋จี๋มีคำสั่ง ทั่วทั้งยุทธภพไล่ฆ่า สมาชิกทั้งหมดเคลื่อนไหว ต่อให้หนีไปสุดขอบโลกก็ไม่มีประโยชน์ผลสุดท้ายก็คือสถานที่ใครเห็นก็ลงมือ...ถูกบังคับให้รับช่วงต่อสำนักอู๋จี๋
เนื่องจากการหนีเอาชีวิตรอดมาเป็นเวลานาน ร่างกายของพวกเขาต่างก็มีบาดแผลไม่มากก็น้อย แต่ละคนสีหน้าเหนื่อยล้า เต็มไปด้วยความอ่อนเพลียฉู่เชียนหลีถอนหายใจช่างเถอะ ในเมื่อเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้แล้ว จะทิ้งขว้างก็ไม่ได้ ในเมื่อมาแล้ว ก็ให้มาเถอะ“อดีตเจ้าสำนักได้ล่วงลับไปแล้ว ต่อไปพวกเจ้าก็เชื่อฟังคำสั่งของจิ่งอี้” นางมองชายหนุ่มที่ชื่อจิ่งอี้ออกว่ามีความเป็นผู้นำในกลุ่มนี้ คิดว่าเขาต้องเป็นลูกศิษย์คนโตของอดีตเจ้าสำนักแน่นอน เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของทุกคนจิ่งอี้ประหลาดใจเล็กน้อยฉู่เชียนหลีหยิบป้ายเจ้าสำนักที่เปื้อนเลือดอันนั้นวางไว้ในมือของเขา“ต่อไปเจ้าเป็นคนดูแลสำนักอู๋จี๋”“เจ้าสำนัก?!”ทุกคนต่างตกตะลึงตอนที่ทราบว่าหญิงสาวที่อัปลักษณ์คนนี้จะต้องกลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ของพวกเขา พวกเขากังวลว่าหญิงสาวคนนี้จะอยากได้สำนักอู๋จี๋ จึงพากันเป็นปรปักษ์แต่หญิงสาวกลับแสดงความใจกว้างสุขุมออกมา ทำให้พวกเขารู้สึกละอายเป็นอย่างยิ่งเป็นพวกเขาใช้ความคิดที่ต่ำช้ามาคาดเดาจิตใจของวิญญูชน...จิ่งอี้ไม่รับ นำป้ายเจ้าสำนักคืนใส่ในมือของฉู่เชียนหลี “ข้าเชื่อในการเลือกของอดีตเจ้าสำนัก คนที่เขาเลือกด้ว
ถึงตอนพลบค่ำ ในที่สุดฉู่เชียนหลีก็ทำงานเสร็จ จัดแจงทุกอย่างให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว ลากร่างกายที่เหนื่อยล้ากลับมายังโรงเตี๊ยมไหลฝู แต่กลับจับเรื่องหนึ่งได้แบบความรู้สึกช้า :อดีตเจ้าสำนักถ่ายทอดสุดยอดวรยุทธ์กับเคล็ดวิชาเหมันต์ให้แก่นาง แต่นางใช้ไม่เป็นนี่ ลืมถามจิ่งอี้ไปเลยแต่ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา กลับถูกหายไปพร้อมกับการหัวเราะของนางโง่จริงคนพวกนั้นทั้งผอม ทั้งขี้โรค ทั้งบาดเจ็บ ทั้งพิการ มีท่าทางเหมือนจะเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพที่ไหน?ไม่แน่ว่าสำนักอู๋จี๋นี้อาจจะเป็นสถานที่ไร้ชื่อเสียงที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง สุดยอดวรยุทธ์ก็ไม่มีอยู่จริง เคล็ดวิชาเหมันต์เป็นของปลอมทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ยังทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อดูแลคนกลุ่มนี้ แม้แต่ตัวนางเองยังรู้สึกว่าตัวเองโง่ฉู่เชียนหลีนวดคลึงตรงตำแหน่งระหว่างคิ้ว ถอนหายใจเบา ๆ อย่างเหนื่อยล้า ยกขาก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมทันใดนั้น บนถนนด้านหลัง ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งโซซัดโซเซเข้ามา“พระชายา แย่แล้ว!”สะดุดขั้นบันไดล้มลงไปนั่งบนพื้น เลือดไหลซึมออกมาจากบนแขนฉู่เชียนหลีรีบเข้าไปประคองเขาขึ้นมา มือเพียงแค่ใช้มือคลำทีเดียว ก็รู้ทั
ทันใดนั้น พวกโจรภูเขาวิ่งเข้าไปโอบล้อมอย่างรวดเร็ว แสงไฟส่องสว่างในยามราตรี สาดส่องเงาคนที่ซ่อนตัวอยู่หานเฟิงรีบยกดาบพุ่งออกไป ต่อสู้กับโจรภูเขากลุ่มนั้นแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงว่ากันตามวรยุทธ์ หานเฟิงติดตามอ๋องเฉินมานานหลายปี เข้าสนามรบฆ่าฟันศัตรู รอดชีวิตมาหลายครั้ง โจรภูเขากลุ่มนี้ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแต่...พวกเขาใช้พิษพิษร้ายสาดไปทางหานเฟิงทีละกำมือ หานเฟิงจำต้องแบ่งสมาธิเพื่อหลบหลีก จึงได้รับบาดเจ็บจากกระบี่อย่างไม่ทันระวังฉึก…“อุ๊ก!”เขาเจ็บปวด โซซัดโซเซถอยหลังไปสามก้าว พวกโจรภูเขาจึงฉวยโอกาส วิ่งไปหาเงาดำที่อยู่ด้านหลังก้อนหินนั้น“นายท่าน!”ดาบใหญ่ในมือโจรภูเขายกขึ้นสูง ฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม เมื่อเห็นว่าอ๋องเฉินกำลังมีภัย ก็มีผงสีขาวสาดเข้ามาจากกลางอากาศซ่า!หมอกสีขาวลอยขึ้น เมื่อเจอกับไฟก็ระเบิดออก “โอ๊ย!”เปลวไฟสาดกระเซ็น พวกโจรภูเขาได้รับบาดเจ็บโดยที่ไม่ทันระวังตัว รีบโยนคบเพลิงในมือออกไปด้วยความตกใจ ใช้เท้ากระทืบอย่างรวดเร็วเมื่อเปลวไฟดับลง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมองอีกที ที่เดิม ยังมีร่องรอยของอ๋องเฉินอยู่อีกที่ไหนกัน?ผู้ชายที่ท่าทางเป็นหัวหน้าสีหน้าโหด
เขาพยายามถ่างเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น ในระหว่างความพร่ามัว เห็นเค้าโครงร่างที่คุ้นเคยอย่างพร่าเลือนภายในสายตาที่เลือนราง เค้าโครงของหญิงสาวค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นดวงตา จมูก ริมฝีปาก แก้ม...เขามองเห็นนางกอดเขาเอาไว้ โถมตัวมาบนร่างกายของเขาอย่างร้อนใจ ปากที่ขยับกำลังพูดอะไรบางอย่างอย่างรีบด่วน ทั้งหมดนี้ หัวใจของเขาราวกับถูกอะไรบางอย่างมาเติมจนเต็มเปี่ยมริมฝีปากบางเผยอออกอย่างอ่อนแอ ในขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินหญิงสาวเอ่ย“เฟิงเย่เสวียน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านค่อยยังชั่วแล้วหรือไม่? ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจ!”“ท่านมีแรงยกมือหรือไม่? ถ้าไม่อย่างนั้นท่านเขียนหนังสือหย่าให้ข้าก่อน!”“...”ทันทีที่ชายหนุ่มอ้าปาก ทันใดนั้นก็หายใจไม่ออก ลมหายใจติดขัด คอพับหมดสติไปเลย“นายท่าน!”หานเฟิงร้อนใจขึ้นมาแล้ว“พระชายา ข้าได้ขับพิษร้ายทั้งหมดออกมาให้นายท่านแล้ว ทำไมนายท่านยังหมดสติไปอีก เขาจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? จะมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่!”เขาร้อนใจจนถามออกมารวดเดียวหลายคำถามฉู่เชียนหลีพลิกเปิดเปลือกตาของเฟิงเย่เสวียน เมื่อเห็นสีริมฝีปากของเขากลับมาเป็นปกติ เลือดที่ปลายนิ้วจากสีดำข้น ก
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋
ตอนที่ตื่น ก็เป็นเที่ยงของวันใหม่แล้ว เฟิงเย่เสวียนรู้จักเตียงนานแล้ว หลังจากฉู่เชียนหลีกินอะไรง่ายๆ ก็ไปที่สำนักหมอหลวง หมกมุ่นอยู่กับตำราแพทย์พริบตาเดียวก็กลางคืนแล้วนางกำนัลมารายงาน ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว ฉู่เชียนหลีไปตำหนักผานหลง ฮ่องเต้นอนตัวเกร็งอยู่บนเตียง นิ้วมือหยิกงอ ร่างกายครึ่งหนึ่งแข็งเหมือนท่อนไม้ ปากก็เบี้ยวจนมีน้ำลายไหลยืดเขาเบิกตากว้างจนลูกตาแทบทะลักออกมาแล้ว นางกำนัลที่ปรนนิบัติกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไปปรนนิบัติฉู่เชียนหลีเดินเข้ามา“ฝ่าบาททรงฟื้นเมื่อไร”“เมื่อหนึ่งเค่อก่อนเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบ“ดื่มโอสถหรือยัง?”“หนึ่งวันสามมื้อ ป้อนตรงเวลาเจ้าค่ะ”“อืม”นางเดินไปที่หน้าเตียง จับชีพจรของฮ่องเต้ ลักษณะชีพจรคงที่ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ร่างกายได้รับหญ้าหมาเฟ้ยมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายชาจนไม่ตอบสนอง อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี จึงจะสามารถสลายหญ้าหมาเฟ้ยเหล่านี้หมดถึงเวลา ก็สามารถกลับมาเป็นปกติ“ดูแลดีๆ ต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายตลอดอย่างน้อยสองคน” นางกำชับนางกำนัลเวลานี้เอง ที่นอกประตู อวิ๋นอิงอุ้มน้องสาวมาแล้ว“พระชายา ท่านเอาแต่ยุ่งทั้งวัน ลู่ฉิ
ฉู่เชียนหลีมองนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า อ๋องหลีก็ไม่สามารถก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าจัดการเจ้าอย่างไรจึงจะดี?”ถ้าไม่มียาอายุวัฒนะ อ๋องหลีจบสิ้นไปนานแล้วและยาชนิดนี้ก็มาจากมือของอูหนูอูหนูยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ยืดอกหลังตรง การแสดงออกบนใบหน้าไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ถ่อมตน นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ย่อมไม่กลัว“จะฆ่าจะแกง เชิญตามสะดวก”นางเงยหน้า หลับตา“เจ้าเป็นผู้ช่วยที่ดีของอ๋องหลี ข้าฆ่าเจ้าทั้งเช่นนี้ จะไม่เสียดายแย่หรือ?” ฉู่เชียนหลีเดินไปที่ตรงหน้านาง “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำอะไรกับฝ่าบาท? เหตุใดจู่ๆ เขาก็เป็นอัมพาตเฉียบพลัน”อูหนูย่อมไม่อยากพูดไม่รอนางเอ่ยปาก ฉู่เชียนหลีเสริมอีกประโยค“ตายเป็นแค่ผลลัพธ์อย่างหนึ่ง แต่ขั้นตอนการตาย ควรตายอย่างไร ขึ้นอยู่กับข้า”“เจ้าสามารถปากแข็ง แต่ปากแข็งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ และยังจะเพิ่มความเจ็บปวด เจ้าเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรเลือกอย่างไร”อูหนู “...”ข่มขู่อย่างโจ่งแจ้งถ้าหากนางยอมพูด มอบความตายที่ไม่เจ็บปวดให้นางถ้าหากนางไม่ยอมพูด คิดวิธีทรมานสารพัด เพื่อทำให้นางยอมพูด สุดท้ายก็ตายอยู่