คนชุดดำกลุ่มหนึ่ง พวกเขาวิ่งเข้ามาถึงข้างกายของชายชรา กระแทกฉู่เชียนหลีจนกระเด็น เมื่อเห็นชายชราเสียชีวิตแล้ว บนใบหน้าก็แสดงสีหน้าที่เจ็บปวดยิ่งออกมาเขาได้ล่วงลับไปแล้วในระหว่างที่กำลังเสียใจ คนชุดดำคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงตื่นตกใจ“ป้ายของท่านเจ้าสำนัก...เหตุใดจึงอยู่ในมือเจ้า?!”ทันใดนั้น ดวงตาหลายคู่ก็มองมาที่ฉู่เชียนหลีอย่างพร้อมเพรียงกันคิดว่าคนเหล่านี้จะต้องเป็นคนของสำนักอู๋จี๋แน่นอนฉู่เชียนหลีนำคำพูดของชายชราพูดให้ฟังรอบหนึ่ง ทุกคนเบิกดวงตากว้าง สีหน้ายากจะเชื่อ ยิ่งไม่มีทางยอมรับ“เป็นไปไม่ได้!”“เจ้าสำนักจะเลือกสตรีนางหนึ่งมาเป็นผู้นำทุกคน?”“หากให้ข้าพูด ศิษย์พี่ใหญ่ถึงจะเป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรม...”“เรื่องที่จำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วน คือการฝังศพเจ้าสำนัก ทะเลาะอะไรกัน?”ท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงที่สุขุมเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปีคนหนึ่ง เขาสวมทะมัดทะแมงชุดสีดำ ใบหน้าเย็นชา เหน็บกระบี่ที่เอว ผมสีดำรวบสูง กลิ่นอายทั่วทั้งตัวยิ่งหนาวเหน็บ ราวกับภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งเหมือนว่าคำพูดของเขามีอิทธิพลมากทีเดียว ทันทีที่เขาเอ่ยปาก ทุกคนก็เงีย
ฉู่เชียนหลีถูกสั่นสะเทือนจนรู้สึกแย่ จ้องมองนักฆ่าด้านหลังที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ กลุ่มนั้น แทบจะมองเห็นความโหดเหี้ยม เย็นชาและความอาฆาตแค้นบนใบหน้าของพวกเขาเที่ยวนี้ซี้แหงแก๋แล้วไม่ใช่การมีปากเสียงกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนในจวนอ๋องเฉิน แล้วก็ไม่ใช่การท้าประลองกันในค่ายทหาร แต่เป็นยุทธภพ เป็นการเลียเลือดจากคมมีด เป็นเรื่องที่หากสู้ไม่ชนะก็จะต้องตายตายจริง ๆ นะ!ฉู่เชียนหลีมือเท้าเย็น น้ำเสียงตื่นตระหนกเล็กน้อย“พวกเจ้าไม่ได้เป็นองค์กรยุติธรรมหรือ? เหตุใดจึงถูกไล่ฆ่าเล่า?”ภายใต้บ่า จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่ง“ก็เป็นเพราะยุติธรรมเกินไป เปิดโปงเรื่องราวมากมาย ทำลายผลประโยชน์ของคนจำนวนมาก ถึงได้ถูกตามไล่ฆ่า”“แต่ว่า เจ้าสำนัก ท่านชินก็พอแล้ว หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน พวกเราต้องวิ่งหนีทั้งหมดสามร้อยวัน”ฉู่เชียนหลีถลึงตา “!”คุณพระช่วย!เดิมทีคิดว่าสำนักอู๋จี๋จะเก่งกาจมาก สุดยอดมากเหมือนกับในโทรทัศน์ อู๋จี๋มีคำสั่ง ทั่วทั้งยุทธภพไล่ฆ่า สมาชิกทั้งหมดเคลื่อนไหว ต่อให้หนีไปสุดขอบโลกก็ไม่มีประโยชน์ผลสุดท้ายก็คือสถานที่ใครเห็นก็ลงมือ...ถูกบังคับให้รับช่วงต่อสำนักอู๋จี๋
เนื่องจากการหนีเอาชีวิตรอดมาเป็นเวลานาน ร่างกายของพวกเขาต่างก็มีบาดแผลไม่มากก็น้อย แต่ละคนสีหน้าเหนื่อยล้า เต็มไปด้วยความอ่อนเพลียฉู่เชียนหลีถอนหายใจช่างเถอะ ในเมื่อเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้แล้ว จะทิ้งขว้างก็ไม่ได้ ในเมื่อมาแล้ว ก็ให้มาเถอะ“อดีตเจ้าสำนักได้ล่วงลับไปแล้ว ต่อไปพวกเจ้าก็เชื่อฟังคำสั่งของจิ่งอี้” นางมองชายหนุ่มที่ชื่อจิ่งอี้ออกว่ามีความเป็นผู้นำในกลุ่มนี้ คิดว่าเขาต้องเป็นลูกศิษย์คนโตของอดีตเจ้าสำนักแน่นอน เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของทุกคนจิ่งอี้ประหลาดใจเล็กน้อยฉู่เชียนหลีหยิบป้ายเจ้าสำนักที่เปื้อนเลือดอันนั้นวางไว้ในมือของเขา“ต่อไปเจ้าเป็นคนดูแลสำนักอู๋จี๋”“เจ้าสำนัก?!”ทุกคนต่างตกตะลึงตอนที่ทราบว่าหญิงสาวที่อัปลักษณ์คนนี้จะต้องกลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ของพวกเขา พวกเขากังวลว่าหญิงสาวคนนี้จะอยากได้สำนักอู๋จี๋ จึงพากันเป็นปรปักษ์แต่หญิงสาวกลับแสดงความใจกว้างสุขุมออกมา ทำให้พวกเขารู้สึกละอายเป็นอย่างยิ่งเป็นพวกเขาใช้ความคิดที่ต่ำช้ามาคาดเดาจิตใจของวิญญูชน...จิ่งอี้ไม่รับ นำป้ายเจ้าสำนักคืนใส่ในมือของฉู่เชียนหลี “ข้าเชื่อในการเลือกของอดีตเจ้าสำนัก คนที่เขาเลือกด้ว
ถึงตอนพลบค่ำ ในที่สุดฉู่เชียนหลีก็ทำงานเสร็จ จัดแจงทุกอย่างให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว ลากร่างกายที่เหนื่อยล้ากลับมายังโรงเตี๊ยมไหลฝู แต่กลับจับเรื่องหนึ่งได้แบบความรู้สึกช้า :อดีตเจ้าสำนักถ่ายทอดสุดยอดวรยุทธ์กับเคล็ดวิชาเหมันต์ให้แก่นาง แต่นางใช้ไม่เป็นนี่ ลืมถามจิ่งอี้ไปเลยแต่ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา กลับถูกหายไปพร้อมกับการหัวเราะของนางโง่จริงคนพวกนั้นทั้งผอม ทั้งขี้โรค ทั้งบาดเจ็บ ทั้งพิการ มีท่าทางเหมือนจะเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพที่ไหน?ไม่แน่ว่าสำนักอู๋จี๋นี้อาจจะเป็นสถานที่ไร้ชื่อเสียงที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง สุดยอดวรยุทธ์ก็ไม่มีอยู่จริง เคล็ดวิชาเหมันต์เป็นของปลอมทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ยังทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อดูแลคนกลุ่มนี้ แม้แต่ตัวนางเองยังรู้สึกว่าตัวเองโง่ฉู่เชียนหลีนวดคลึงตรงตำแหน่งระหว่างคิ้ว ถอนหายใจเบา ๆ อย่างเหนื่อยล้า ยกขาก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมทันใดนั้น บนถนนด้านหลัง ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งโซซัดโซเซเข้ามา“พระชายา แย่แล้ว!”สะดุดขั้นบันไดล้มลงไปนั่งบนพื้น เลือดไหลซึมออกมาจากบนแขนฉู่เชียนหลีรีบเข้าไปประคองเขาขึ้นมา มือเพียงแค่ใช้มือคลำทีเดียว ก็รู้ทั
ทันใดนั้น พวกโจรภูเขาวิ่งเข้าไปโอบล้อมอย่างรวดเร็ว แสงไฟส่องสว่างในยามราตรี สาดส่องเงาคนที่ซ่อนตัวอยู่หานเฟิงรีบยกดาบพุ่งออกไป ต่อสู้กับโจรภูเขากลุ่มนั้นแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงว่ากันตามวรยุทธ์ หานเฟิงติดตามอ๋องเฉินมานานหลายปี เข้าสนามรบฆ่าฟันศัตรู รอดชีวิตมาหลายครั้ง โจรภูเขากลุ่มนี้ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแต่...พวกเขาใช้พิษพิษร้ายสาดไปทางหานเฟิงทีละกำมือ หานเฟิงจำต้องแบ่งสมาธิเพื่อหลบหลีก จึงได้รับบาดเจ็บจากกระบี่อย่างไม่ทันระวังฉึก…“อุ๊ก!”เขาเจ็บปวด โซซัดโซเซถอยหลังไปสามก้าว พวกโจรภูเขาจึงฉวยโอกาส วิ่งไปหาเงาดำที่อยู่ด้านหลังก้อนหินนั้น“นายท่าน!”ดาบใหญ่ในมือโจรภูเขายกขึ้นสูง ฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม เมื่อเห็นว่าอ๋องเฉินกำลังมีภัย ก็มีผงสีขาวสาดเข้ามาจากกลางอากาศซ่า!หมอกสีขาวลอยขึ้น เมื่อเจอกับไฟก็ระเบิดออก “โอ๊ย!”เปลวไฟสาดกระเซ็น พวกโจรภูเขาได้รับบาดเจ็บโดยที่ไม่ทันระวังตัว รีบโยนคบเพลิงในมือออกไปด้วยความตกใจ ใช้เท้ากระทืบอย่างรวดเร็วเมื่อเปลวไฟดับลง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมองอีกที ที่เดิม ยังมีร่องรอยของอ๋องเฉินอยู่อีกที่ไหนกัน?ผู้ชายที่ท่าทางเป็นหัวหน้าสีหน้าโหด
เขาพยายามถ่างเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น ในระหว่างความพร่ามัว เห็นเค้าโครงร่างที่คุ้นเคยอย่างพร่าเลือนภายในสายตาที่เลือนราง เค้าโครงของหญิงสาวค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นดวงตา จมูก ริมฝีปาก แก้ม...เขามองเห็นนางกอดเขาเอาไว้ โถมตัวมาบนร่างกายของเขาอย่างร้อนใจ ปากที่ขยับกำลังพูดอะไรบางอย่างอย่างรีบด่วน ทั้งหมดนี้ หัวใจของเขาราวกับถูกอะไรบางอย่างมาเติมจนเต็มเปี่ยมริมฝีปากบางเผยอออกอย่างอ่อนแอ ในขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินหญิงสาวเอ่ย“เฟิงเย่เสวียน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านค่อยยังชั่วแล้วหรือไม่? ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจ!”“ท่านมีแรงยกมือหรือไม่? ถ้าไม่อย่างนั้นท่านเขียนหนังสือหย่าให้ข้าก่อน!”“...”ทันทีที่ชายหนุ่มอ้าปาก ทันใดนั้นก็หายใจไม่ออก ลมหายใจติดขัด คอพับหมดสติไปเลย“นายท่าน!”หานเฟิงร้อนใจขึ้นมาแล้ว“พระชายา ข้าได้ขับพิษร้ายทั้งหมดออกมาให้นายท่านแล้ว ทำไมนายท่านยังหมดสติไปอีก เขาจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? จะมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่!”เขาร้อนใจจนถามออกมารวดเดียวหลายคำถามฉู่เชียนหลีพลิกเปิดเปลือกตาของเฟิงเย่เสวียน เมื่อเห็นสีริมฝีปากของเขากลับมาเป็นปกติ เลือดที่ปลายนิ้วจากสีดำข้น ก
ดวงตาของชายหนุ่มชะงักทันทีหย่า...หย่า...นางเดินทางมาไกลเช่นนี้ ที่แท้ไม่ใช่เพื่อเขา แต่กังวลว่าหากเขาตายแล้วจะเขียนหนังสือหย่าไม่ได้คำพูดที่นางเคยกล้าเพียงแค่เก็บงำเอาไว้ในใจ ตอนนี้กล้าพูดออกมาตรง ๆ แล้ว แต่เขาไม่ได้ดีใจมากเขาที่เคยคิดอยากจะหย่านางทุกขณะ ตอนนี้มีโอกาสแล้ว แต่เขากลับไม่ค่อยยินดีเท่าใดนักเฟิงเย่เสวียนเม้มริมฝีปากอย่างอ่อนแอ ค้ำพื้นหญ้าเอาไว้ นั่งตรงตัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่กำจัดพิษแล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร มีเพียงแค่อาการอ่อนแอเล็กน้อยเท่านั้นเขากระแอมสองที “ข้ารู้ว่าเจ้ายังโมโหอยู่...”“ข้าไม่ได้โมโห ข้าใจกว้างมาก ข้ามีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาก จนเรือสามารถกลับลำในท้องข้าได้[footnoteRef:1] ท่านอ๋องไม่ต้องคิดมาก แล้วก็ไม่ต้องระแวง ท่านอย่าได้ใช้ความคิดของท่านมาตัดสินข้าตามอำเภอใจ ขอบคุณ ใบหน้าข้าเขียนคำว่าดีใจอยู่เต็มไปหมด” [1: มีน้ำใจ ใจกว้าง] เขาเพิ่งจะพูดเพียงประโยคเดียว และยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ ก็ถูกแย้งด้วยถ้อยคำมากมายจุกอยู่ในลำคอจ้องมองใบหน้าที่ ‘ดีใจ’ เป็นอย่างยิ่งจริง ๆ ของหญิงสาว ราวกับว่าขอเพียงแค่เขาพูดอีกเพียงหนึ่งประโยค นางจะย
ฉู่เชียนหลีเอ่ยปากกล่าว “ท่านอ๋องช่างเป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจเสียจริง ท่านคำนึงถึงประชาชนเช่นนี้ ถึงยอมเสียสละให้ร่างกายตนเองบาดเจ็บ ชาวบ้านได้รู้จะต้องซาบซึ้งใจยิ่งเป็นแน่”“ข้าเองก็ซาบซึ้งใจมากเช่นกัน ท่านช่างมีน้ำใจยิ่งนัก ผู้ชายที่จิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ล้วนมีเสน่ห์ยิ่ง”นางกะพริบดวงตาสีดำขลับทั้งสองข้าง สีหน้านั้น น้ำเสียงนั้น จริงใจเป็นอย่างยิ่งเฟิงเย่เสวียนไม่เชื่อแม้แต่คำเดียวในเวลาเดียวกัน ก็ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจนาง ได้ยินนางด่าเขาเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ คิดไม่ถึงว่าจะรู้สึกดีใจ...ที่ไม่ได้มีมานานมากแล้วหานเฟิงพูดแทรกกลั้วหัวเราะ “ถูกต้อง ๆ พระชายา นายท่านดีขนาดนี้ ท่านก็อย่าหย่ากับเขาเลย”พลาดจากนายท่านไป ใต้หล้านี้ จะหาผู้ชายดีขนาดนี้ได้จากที่ไหนอีก?ฉู่เชียนหลีเหลือบตามองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “หานเฟิง เจ้าฉลาดมากจริง ๆ”——ฉันกำลังด่าเฟิงเย่เสวียนว่าโง่ ฉันชื่นชมเขาเหรอ? เมื่อกี้ฉันกำลังชื่นชมเขาเหรอ?ทันทีที่หานเฟิงได้ยิน ก็ยิ้มอย่างดีใจยิ่งกว่าเดิม“ขอบคุณพระชายาที่ชื่นชม ขอบคุณพระชายา!”“...”เฟิงเย่เสวียนรู้สึกหงุดหงิด ทันใดนั้นก็ยกเท้าเตะเข้าไปที่ก้นของห
คืนแรกที่ออกจากเมืองหลวงฉู่เชียนหลีนอนไม่หลับ…เมืองหลวงอันไกลโพ้นที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำอูหลาน วังหลวงจุดเทียนสว่างไสวในยามค่ำคืนที่มืดมิด เหล่านางกำนัลถือโคมไฟ ก้มหน้าเดินผ่านยังเงียบๆ ไม่มีใครกล้าพูดมากตำหนักเจาหยางทุกที่มืดมิด ไร้ผู้คน และไม่มีเทียนแม้แต่เล่มเดียว เหมือนกับถูกความมืดกลืนกิน เงียบราวกับดินแดนไร้ผู้คนแต่ท่ามกลางความมืดนั่น กลับมีเสียงหายใจเย็นๆ สายหนึ่งเบาจนแทบไม่ได้ยิน เฟิงเจิ้งหลีนั่งอยู่บนบันได ร่างกายของเขากลมกลืนกับความมืดจนมองเห็นแทบไม่ชัด ดวงตาคู่นั้นฉายแสงในความมืด ราวกับจมอยู่ในเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุดในอดีตที่นี่เคยมีเสียงหัวเราะของเด็กๆ เคยมีรอยยิ้มของนาง ท่าทางที่อ่อนโยนของนาง และเสียงอันนุ่มนวลที่พูดคุยกับเขา ภาพเหล่านั้นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดยังคงอยู่ในสมองของเขา ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาชัดเจนมากตราตรึงมากนางเคยพูด อยู่ข้างกายเขา รู้สึกสบายใจมากนางเคยพูด จื่อเยี่ยชอบเขา นางก็จะดีกับเขานางเคยพูด…คำพูดไพเราะนางเป็นคนพูด เรื่องใจร้ายก็นางเป็นคนทำล้วนเป็นนาง!ฉู่เชียนหลี!โกหกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเชื่อครั้งแล้วครั้
“คุณหนูอย่าคิดมาก แม้องค์หญิงแคว้นหนานยวนท่านนี้น่ารังเกียจไปบ้าง แต่นางทำงานเสร็จ ก็น่าจะกลับแคว้นแล้ว ก็แค่เจอกันชั่วคราว ทำอะไรไม่ได้หรอก” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมฉู่เชียนหลีไม่ได้คิดมากอย่างไรก็ตามผู้ชายอย่างเฟิงเย่เสวียนที่อายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาโดดเด่น มีฐานะมีอิทธิพล สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง มีผู้หญิงมากมายชอบก็เป็นเรื่องปกติถ้านางจะถือสา คนมากมายเช่นนั้น จะถือสาไหวได้อย่างไร?นางนึกถึงเรื่องของกู่แพทย์ มองจิ่งอี้อย่างจริงจัง เห็นสีหน้าของเขาค่อนข้างซีดเหมือนคนป่วย ก็รู้แล้วว่าเขากำลังใช้ร่างกายตัวเองเลี้ยงกู้แพทย์“เลี้ยงรอดหรือไม่?” นางถามเบาๆมีการบันทึกในตำราโบราณ กู่แพทย์ชนิดนี้อ่อนแอเลี้ยงยาก เผลอไม่ระวังนิดเดียวก็จะตาย สิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็เปล่าประโยชน์จิ่งอี้หลุบตา เสียงเบามาก“เลี้ยงแล้วสามสิบกว่าตัว ในที่สุดก็เลี้ยงรอดสองตัว…”กู่แพทย์สองตัวนี้ ตอนนี้ถูกเขาเก็บไว้ในหน้าอก พกติดตัวไปทุกที่ ต่อให้เป็นเวลานอน ก็จะนำออกมาดูเป็นระยะกลัวว่าพลั้งเผลอนิดเดียว พวกมันก็จะตายฉู่เชียนหลีเหลือบมอง “อวิ๋นอิงรู้หรือไม่?”“นางไม่รู้ขอรับ คุณหนู อย่าพูดถ
เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีใบหน้างดงาม การแต่งกายดูขี้เล่นแต่ยังคงสูงศักดิ์ มัดมวยผมและถักเปียหางม้า ซึ่งบ่งบอกว่านางยังไม่แต่งงาน กระโดดออกมาปรากฏตัว ท่าทางที่สดใสร่าเริงนั่น ทำให้ดูเข้าถึงได้ง่ายมากฉู่เชียนหลีเหลือบมอง“เจ้าคือ…”“ข้าชื่อจวินลั่วยวน เป็นองค์หญิงแคว้นหนานยวน”นางแนะนำตัวเอง เสียงนั่นเหมือนนกขมิ้นที่บินออกจากหุบเขา สดใสไพเราะ“อ๋องเฉินกับฮ่องเต้ตงหลิงสู้กัน เสด็จพ่อให้ข้ามาช่วยอ๋องเฉินที่เจียงหนาน ก็เพราะข้าแทรกแซง ฮ่องเต้ตงหลิงจึงให้ความสำคัญกับศึกเมืองเทียนสู่เป็นพิเศษ และลงสนามรบด้วยตัวเอง”ไม่เช่นนั้น ยังไม่สามารถล่อฮ่องเต้ตงหลิงออกมาได้ล่อเสือออกจากถ้ำ พระชายาอ๋องเฉินจึงสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยพูดถึงก็ล้วนเป็นผลงานของนางฉู่เชียนหลีเข้าใจแล้วองค์หญิงของแคว้นหนานยวนท่านนี้ ได้ยินมานานแล้วว่าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของฮ่องเต้หนานยวน เป็นแก้วตาดวงใจที่เหมือนไข่มุกงามบนฝ่ามือ ถูกเอาใจใส่อย่างดีตั้งแต่เด็ก“รบกวนองค์หญิงแล้ว” นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ถือเป็นมารยาทจวินลั่วยวนประหลาดใจเล็กน้อย “?”แค่นี้?ไม่มีแล้ว?พูดแค่สี่คำก็แสดงความขอบค
เด็กน้อยที่ดูกลัวๆ ในตอนแรก เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหมือนกับเจอที่พึ่งพิง เบ้าตาแดงก่ำ มุดเข้าไปในอ้อมแขนของนาง“อุแว้!”ร้องไห้เสียงดังนางกลัวมากแม่ของนางไม่อยู่ นางถูกคนรับใช้โยนไปโยนมา กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ และยังไม่กล้าร้องไห้ เพราะไม่มีใครกล่อมนางอย่างอ่อนโยนและอดทนเหมือนท่านแม่ในที่สุดก็ได้กลิ่นที่คุ้นเคยแล้วไม่สามารถควบคุมความน้อยใจที่กดเอาไว้ได้อีกต่อไป ปล่อยโฮร้องไห้“ฮือๆ…”สองมือจับเสื้อฉู่เชียนหลี มุดเข้าไปในอกของนางก็ร้องไห้อวิ๋นอิงยกมือขวาขึ้น รีบรับรองทันที “พระชายาวางใจได้ ตอนที่ท่านไม่อยู่ พวกเราดูแลลู่ฉินอย่างดี ไม่มีใครรังแกนางแน่นอน นางน่าจะคิดถึงท่านมาก จึงร้องไห้เช่นนี้”“ท่านไม่รู้หรอก แม้ลู่ฉินยังเล็ก แต่นางรู้ว่าใครเป็นใคร นางจะเอาท่านคนเดียว พึ่งพาท่าน คิดถึงท่าน”หัวใจฉู่เชียนหลีละลายตั้งแต่เด็กคนนี้เกิดมา นางเลี้ยงเองกับมือมาโดยตลอด และความเชื่อใจและการพึ่งพาที่เด็กมีต่อนาง ก็คือการตอบแทนที่ดีที่สุด“ไม่ร้องนะ”นางเช็ดน้ำตาเบาๆ “แม่กลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่ไปอีกแล้ว”ในเมื่อเฟิงเจิ้งหลีกับฉู่เจียวเจียวไม่เอาเด็กคนนี้ นางเลี้ยงเอง“แม่…”เสียง
ท้ายที่สุดเฟิงเจิ้งหลีก็ไม่ได้ลงมือกองทัพทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันในระยะไกลทั้งเช่นนี้เฟิงเย่เสวียนกอดฉู่เชียนหลีไว้ จับเชือกบังเหียนม้าแน่น ขี่ม้าจากไปเฟิงเจิ้งหลียืนอยู่ที่ข้างแม่น้ำ ร่างกายที่บอบบางถูกลมเย็นพัดจนเสื้อคลุมพลิ้วไหว สีหน้าซีดเผือด แววตาอ่อนล้า มุมปากยังมีคราบเลือด ยืนมองนิ่งๆ ทั้งเช่นนี้…มอง…รอหลังจากขบวนของอ๋องเฉินหายลับตา เขายังคงยืนอยู่ข้างแม่น้ำ เนิ่นนานก็ไม่ขยับสองเท้าหนักเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว สายตามองตรงไปข้างหน้ากลิ่นอายรอบตัวขรึมมาก สีหน้าแยกไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธชั่วขณะ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากหรือเข้าไป…เจียงหนาน เมืองน้ำ[1] อากาศเย็นสบาย สภาพแวดล้อมดีมากขบวนตรงไปที่ทำเนียบ“ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!”“พระชายา?!”เมื่อคนที่เข้ามาต้อนรับเห็นฉู่เชียนหลี แต่ละคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อน แต่หลังจากนั้นก็ดีใจ“พระชายากลับมาแล้ว!”“พระชายากลับมาแล้ว!”เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังก้องไปทั่วท้องฟ้า จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วอวิ๋นอิง จิ่งอี้ เฟิ่งหราน คนมากมายรีบมาไม่เจอครึ่งปี มิตรภาพยังคงอยู่“พระชายา ในที่สุ
แสงแห่งรุ่งอรุณยามเช้าริบหรี่เวลาหนึ่งคืนเดียว เร่งเดินทางจากเมืองหลวงไปยังแม่น้ำอูหลาน ในช่วงที่ฟ้าใกล้สว่าง คนทั้งกลุ่มข้ามแม่น้ำเมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง จุดที่ไกลออกไป มีขบวนอีกกลุ่มมุ่งหน้ามาอย่างเร่งรีบราวกับกระแสน้ำ สายลมเย็นยามเช้าพัดผ่าน เหมือนกับทัพใหญ่เข้าใกล้ชายแดน บรรยากาศที่กดดันอบอวลกลางอากาศหานเฟิง “นายท่าน อ๋องหลีมาแล้ว…”ขบวนสองกลุ่ม พบกันที่แม่น้ำอูหลานเฟิงเย่เสวียนอยู่บนสะพานเฟิงเจิ้งหลีอยู่บนฝั่งหยาดน้ำฟ้าตก สายน้ำไหลเชี่ยว สาดซัดเข้าฝั่ง หยดน้ำกระเซ็น ในอากาศเต็มไปด้วยความหนาวเย็น สองพี่น้องยืนสบตากันจากระยะที่ห่างกันหลายเมตรอยู่ไกลเกินไป แทบมองไม่เห็นอะไรเลยแต่ก็เหมือนกับว่าพวกเขามองเห็นอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ใช้สายตาประลองกันเงียบๆ“ฝ่าบาท” รองแม่ทัพเอ่ยปาก “นี่คือโอกาสดีในการกำจัดอ๋องเฉิน ถือโอกาสตอนที่พวกเขายังอยู่บนสะพาน พวกเราระเบิดสะพาน ให้พวกเขาตกลงไปในน้ำที่ไหลเชี่ยว ไม่ตายก็เหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!”เขาคิดว่า นี่เป็นวิธีที่เหมาะสมมากอ๋องเฉินข้ามสะพานไปครึ่งหนึ่งแล้ว ต่อให้วิ่งไปอีกฝั่งของแม่น้ำ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งก้านธูปเวลาครึ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร?”นางกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เมื่อห้าวันก่อน ข้าคุยกับเขาแล้ว และจัดการทุกอย่างไว้ให้เขาแล้ว เขาสามารถออกจากวังอย่างราบรื่น นอกเสียจาก…”จู่ๆ นางก็เข้าใจอะไรบางอย่าง เสียงค่อยๆ เบาลงเฟิงเย่เสวียนกล่าวต่อ“เขาไม่อยากไป”ใช่!ไท่ซ่างหวงไม่อยากไปมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยังอาลัยอาวรณ์ หรือเพราะสาเหตุอื่น เขาจึงเลือกที่จะอยู่เมืองหลวงแต่ถ้าหากเขาอยู่เมืองหลวง เฟิงเจิ้งหลีต้องหาเรื่องเขาแน่นอนฉู่เชียนหลีเป็นห่วง หลังจากครุ่นคิด ก็เดินออกไปข้างนอกแล้ว“ไม่ได้ ข้าต้องกลับวังหลวง ทิ้งเขาไว้ในเมืองหลวงเพียงลำพังไม่ได้”“ไม่ทันแล้ว”เฟิงเย่เสวียนจับข้อมือของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ทำให้ทุกคนรู้ตัวแล้ว เกรงว่าตอนนี้คนสนิทของเฟิงเย่เสวียนกำลังมา เขาก็อยู่ระหว่างทางกลับเช่นกัน เสียเวลาไม่ได้แล้ว”กำลังหลักของเขาอยู่ที่เจียงหนานไม่เหมาะที่จะอยู่เมืองหลวงนาน ครึ่งปีมานี้ วิธีการของเฟิงเจิ้งหลีเหี้ยมโหด กำจัดพวกต่อต้าน รวบอำนาจเข้าด้วยกัน เมืองหลวงเป็นถิ่นของเขา อยู่ในถิ่นของเขา พวกเขาเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ
“อ๋อง อ๋องเฉิน…”มองดูเฟิงเย่เสวียนเดินเข้ามาทีละก้าว ร่างกายผู้บัญชาการจางหดเกร็ง เพิ่งอ้าปาก ก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศที่เฉียบคมดังขึ้นเพี๊ยะ!“อ่า!”แส้สีดำแหวกอากาศ ฟาดไปที่ใบหน้าผู้บัญชาการจางตั้งแต่หน้าผากถึงจะจมูกและคาง มีรอยสีเลือดปรากฏขึ้นทั้งลึกทั้งน่ากลัวเขากุมใบหน้า ขดตัวด้วยความเจ็บปวด เสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกฆ่า ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้ ก็โดนฟาดอีกครั้ง“อ่า!”แผ่นหลัง เจ็บอย่างรุนแรงเสื้อผ้าฉีกขาด ผิวหนังปรี่แตกเพี๊ยะเพี๊ยะๆ!“ช่วยด้วย…อ่า!”“อ๊ะ…โปรด โปรดไว้ชีวิต….อ่า!”ผู้บัญชาการจางอยากโต้ตอบ แต่เขาไม่มีโอกาสนี้ และไม่มีความสามารถนี้ อยู่ต่อหน้าเฟิงเย่เสวียน ก็เหมือนกับลูกไก่ตัวหนึ่ง ทำอะไรไม่ได้เลยเขาเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาพื้นไม่มีใครกล้าเข้าไปเหมือนกับที่ผู้บัญชาการจางฟาดเฟิงเย่เสวียนเมื่อครึ่งปีก่อน เฟิงเย่เสวียนฟาดคืนด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบและยังเหี้ยมโหดกว่าด้วยหลังจากถูกฟาดไปหลายสีที ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าเละจนจำไม่ได้ผู้บัญชาการจางทั้งเจ็บทั้งกลัว ประมาณว่ากลัวจนถึงขีดสุด ฟางเส้นสุดท้ายขาด กุมศีรษะกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด“เฟิงเย่เ
เฟิงเย่เสวียน!“อ๋องเฉิน?!”“เฟิงเย่เสวียน!”เมื่อร่างเงาสีหมึกสายนั้นร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง และใบหน้าที่คุ้นเคยแผ่กลิ่นอายอันเย็นเยือก ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตะลึงตกใจประหลาดใจคิดไม่ถึงผ่านไปครึ่งปี อ๋องเฉินกลับถึงเมืองหลวงอีกครั้ง ก้าวสู่บ้านเกิดที่คุ้นเคยแห่งนี้ฉู่เชียนหลีไม่เจอเขามาครึ่งปีเต็มๆ แวบแรก ก็มองเห็นหนวดที่อยู่ใต้คางของเขาแล้วทั้งๆ ที่เพิ่งอายุยี่สิบห้าปี ยังหนุ่ม สุขุม หนักแน่น หนวดสีดำนั่นดูไม่เข้ากับใบหน้าของเขาเลยแปลกๆตลกสบตากันผ่านผู้คนมากมายนางมองเห็นเขาในฝูงชนตั้งแต่แวบแรก แล้วเขาจะมองไม่เห็นนางตั้งแต่แวบแรกหรือ? เขาพุ่งพรวดเข้ามากอดนางไว้ในอ้อมกอด กระชับแขนกอดนางไว้แน่น หมื่นพันคำพูด ทั้งหมดอยู่ในอ้อมกอดที่แน่นหนานี้ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด กลับสื่อความหมายออกมาทั้งหมดการกอดคือสิ่งที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยที่สุด“อีอา!”จื่อเยี่ยน้อยยังถูกฉู่เชียนหลีอุ้มไว้ในอ้อมแขนบิดากอดมารดา ประกบเขาไว้ตรงกลาง ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก โดยเฉพาะหนวดที่อยู่ใต้คาง ตามใบหน้าของเขาจนแดงก่ำแล้วผู้ชายบ้าที่ไหนเนี่ย!โมโห!โบกกำปั้นน้อยๆ ตีใส่ใบหน้าของเฟ