“ข้า...”ความคิดเวียนวนอยู่ภายในหัวสมองของรองแม่ทัพเจียงเนื่องจากมาอย่างกะทันหัน ตอนนั้นท่านอ๋องหน้าตึงไม่รู้ว่าท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร แต่ว่าพระชายาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ก็น่าจะเกิดความขัดแย้งกับท่านอ๋องกระมังดังนั้นเขามีความคิดที่เฉียบไว กล่าว“อันที่จริง ข้าน้อยนำข่าวคราวที่น้อยคนนักจะทราบมาบอกแก่พระชายา”ฉู่เชียนหลีนั่งลงไป ยกถ้วยชาขึ้นอย่างเกียจคร้าน “อย่างนั้นหรือ?”รองแม่ทัพเจียงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กล่าว“พระชายาไม่ค่อยคลุกคลีกับท่านอ๋อง อาจจะไม่ทราบว่าอันที่จริงท่านอ๋องไม่ได้ชอบพระชายารองเซียว ที่เขารับพระชายารองเซียว เป็นเพียงเพราะนางแซ่เซียวเท่านั้น”จากประสบการณ์ที่โสดมายี่สิบแปดปีของเขา สามีภรรยาทะเลาะกัน จะต้องเป็นเพราะความรักอย่างแน่นอนความรัก ก็จะต้องเกี่ยวข้องกับสตรีฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่เรือนหมิงเยว่ ท่าทีของเซียวจือฮว่าเย่อหยิ่ง มั่นใจในตัวเอง และเคยเอ่ยถึงเรื่องของแซ่ ‘เซียว’ ด้วย“แซ่เซียวนี้มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”“เซียว เป็นแซ่ของเซียวกุ้ยเฟย ผู้พระมารดาของท่านอ๋องขอรับ!”พระชายารองเซียวเป็นคนในตระกูลของเซียวกุ้ย
เฟิงเย่เสวียนยืนอยู่ด้านนอกห้อง ฉู่เชียนหลียืนอยู่ด้านในห้อง มีแค่ธรณีประตูเตี้ย ๆ ที่กั้นระหว่างพวกเขาสองคน ระยะห่างเพียงแค่สิบกว่าเซนติเมตร ระยะใกล้มาก ๆ ใกล้ถึงขนาดที่เพียงแค่ก้าวเดียว ก็สามารถเข้าไปในอ้อมอกของอีกฝ่ายได้ดวงตาทั้งสองคู่สบตากันอยู่กลางอากาศ ชั่วพริบตาเดียว อากาศหยุดนิ่ง ทุกอย่างบริเวณรอบ ๆ เงียบสงบ...หนึ่งวินาทีสองวินาทีสามวินาทีชายหนุ่มเม้มริมฝีปากบาง แล้วก็เม้มแน่นขึ้น ลูกกระเดือกเคลื่อนไหวขึ้นลง เตรียมตัวอยู่นาน ในที่สุดของถึงตอนที่เอ่ยปาก ประตูสองบานนั้นเหวี่ยงทันทีปัง...น้ำเสียงทั้งดังชัดเจน ทั้งกังวาน ราวกับประตูได้ปิดใส่ใบหน้าของเขาเขา “...”ตอนนี้ ศักดิ์ศรีของเขาที่เขาได้ลดท่าทีอันสูงส่งลงแล้ว ราวกับถูกฉู่เชียนหลีได้กดลงบนพื้นแล้วบดขยี้ตั้งแต่เด็ก เขาก็เป็นคนเย่อหยิ่ง มีพรสวรรค์พิเศษ ความสามารถโดดเด่น ได้รับความรักความโปรดปราน ในความเข้าใจของเขา มีเพียงคำว่า‘พระราชทาน’ ไม่เคยมีคำว่าขอโทษกับอธิบายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เขาอยากอธิบาย แต่กลับถูกหยามเช่นนี้สีหน้าของเขาตึงราวจนน่าเกลียดราวกับกินแมลงวันเข้าไป ลมหายใจติดขัดอยู่ในลำคอ เดิ
ยาสลบระเบิดออก ทุกคนสูดเข้าไปในร่างกายไม่มากก็น้อย อย่างไม่ทันได้ระวังตัว ภายในสองวินาที แขนขาก็ไร้เรี่ยวแรงล้มลงบนพื้นนักฆ่าหกคน คนแก่หนึ่งคน ล้มลงทั้งหมด...พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองไปด้วยความประหลาดใจ เห็นสตรีร่างบางในชุดสีขาว สวมผ้าคลุมหน้า“เจ้า...เป็นใคร...เหตุใดจึงต้องยุ่งเรื่องชาวบ้าน...”หัวหน้านักฆ่าจ้องมองสตรีชุดขาวด้วยสายตาดุร้าย แต่ร่างกายที่อ่อนเพลีย ทำให้เขาไม่มีแรงโจมตี ทำได้แค่เพียงถลึงตามอง ไม่มีภัยคุกคามใด ๆฉู่เชียนหลีกวาดสายตามองทุกคนอย่างเมินเฉยแวบหนึ่ง “เดินผ่านมาเท่านั้น”นางไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใคร ย่อมไม่อยากทำร้ายใครเช่นกันยาสลบห่อนี้ทุกคนได้ดมแล้ว เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมา ตาแก่คนนี้หนีได้ก็หนี ถ้าหนีไม่ได้ละก็ นั่นก็คือลิขิตสวรรค์นางหันหลังกลับ เตรียมที่จะเดินออกไป“แม่ แม่นางช้าก่อน...”ด้านหลัง มีเสียงที่อ่อนแอจนถึงขีดสุดของชายชราฉู่เชียนหลีหันหน้ากลับไป ก็เห็นชายชราคนนั้นกุมบาดแผลที่บริเวณท้องเอาไว้ เลือดสีแดงอาบมือจนแดงเถือก สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ พูดเพียงสั้น ๆ สองสามคำ ในปากก็มีเลือดไหลออกมาไม่หยุดแค่มองก็รู้ว่าชายชราคนนี้คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นา
คนชุดดำกลุ่มหนึ่ง พวกเขาวิ่งเข้ามาถึงข้างกายของชายชรา กระแทกฉู่เชียนหลีจนกระเด็น เมื่อเห็นชายชราเสียชีวิตแล้ว บนใบหน้าก็แสดงสีหน้าที่เจ็บปวดยิ่งออกมาเขาได้ล่วงลับไปแล้วในระหว่างที่กำลังเสียใจ คนชุดดำคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงตื่นตกใจ“ป้ายของท่านเจ้าสำนัก...เหตุใดจึงอยู่ในมือเจ้า?!”ทันใดนั้น ดวงตาหลายคู่ก็มองมาที่ฉู่เชียนหลีอย่างพร้อมเพรียงกันคิดว่าคนเหล่านี้จะต้องเป็นคนของสำนักอู๋จี๋แน่นอนฉู่เชียนหลีนำคำพูดของชายชราพูดให้ฟังรอบหนึ่ง ทุกคนเบิกดวงตากว้าง สีหน้ายากจะเชื่อ ยิ่งไม่มีทางยอมรับ“เป็นไปไม่ได้!”“เจ้าสำนักจะเลือกสตรีนางหนึ่งมาเป็นผู้นำทุกคน?”“หากให้ข้าพูด ศิษย์พี่ใหญ่ถึงจะเป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรม...”“เรื่องที่จำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วน คือการฝังศพเจ้าสำนัก ทะเลาะอะไรกัน?”ท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงที่สุขุมเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปีคนหนึ่ง เขาสวมทะมัดทะแมงชุดสีดำ ใบหน้าเย็นชา เหน็บกระบี่ที่เอว ผมสีดำรวบสูง กลิ่นอายทั่วทั้งตัวยิ่งหนาวเหน็บ ราวกับภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งเหมือนว่าคำพูดของเขามีอิทธิพลมากทีเดียว ทันทีที่เขาเอ่ยปาก ทุกคนก็เงีย
ฉู่เชียนหลีถูกสั่นสะเทือนจนรู้สึกแย่ จ้องมองนักฆ่าด้านหลังที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ กลุ่มนั้น แทบจะมองเห็นความโหดเหี้ยม เย็นชาและความอาฆาตแค้นบนใบหน้าของพวกเขาเที่ยวนี้ซี้แหงแก๋แล้วไม่ใช่การมีปากเสียงกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนในจวนอ๋องเฉิน แล้วก็ไม่ใช่การท้าประลองกันในค่ายทหาร แต่เป็นยุทธภพ เป็นการเลียเลือดจากคมมีด เป็นเรื่องที่หากสู้ไม่ชนะก็จะต้องตายตายจริง ๆ นะ!ฉู่เชียนหลีมือเท้าเย็น น้ำเสียงตื่นตระหนกเล็กน้อย“พวกเจ้าไม่ได้เป็นองค์กรยุติธรรมหรือ? เหตุใดจึงถูกไล่ฆ่าเล่า?”ภายใต้บ่า จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่ง“ก็เป็นเพราะยุติธรรมเกินไป เปิดโปงเรื่องราวมากมาย ทำลายผลประโยชน์ของคนจำนวนมาก ถึงได้ถูกตามไล่ฆ่า”“แต่ว่า เจ้าสำนัก ท่านชินก็พอแล้ว หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน พวกเราต้องวิ่งหนีทั้งหมดสามร้อยวัน”ฉู่เชียนหลีถลึงตา “!”คุณพระช่วย!เดิมทีคิดว่าสำนักอู๋จี๋จะเก่งกาจมาก สุดยอดมากเหมือนกับในโทรทัศน์ อู๋จี๋มีคำสั่ง ทั่วทั้งยุทธภพไล่ฆ่า สมาชิกทั้งหมดเคลื่อนไหว ต่อให้หนีไปสุดขอบโลกก็ไม่มีประโยชน์ผลสุดท้ายก็คือสถานที่ใครเห็นก็ลงมือ...ถูกบังคับให้รับช่วงต่อสำนักอู๋จี๋
เนื่องจากการหนีเอาชีวิตรอดมาเป็นเวลานาน ร่างกายของพวกเขาต่างก็มีบาดแผลไม่มากก็น้อย แต่ละคนสีหน้าเหนื่อยล้า เต็มไปด้วยความอ่อนเพลียฉู่เชียนหลีถอนหายใจช่างเถอะ ในเมื่อเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้แล้ว จะทิ้งขว้างก็ไม่ได้ ในเมื่อมาแล้ว ก็ให้มาเถอะ“อดีตเจ้าสำนักได้ล่วงลับไปแล้ว ต่อไปพวกเจ้าก็เชื่อฟังคำสั่งของจิ่งอี้” นางมองชายหนุ่มที่ชื่อจิ่งอี้ออกว่ามีความเป็นผู้นำในกลุ่มนี้ คิดว่าเขาต้องเป็นลูกศิษย์คนโตของอดีตเจ้าสำนักแน่นอน เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของทุกคนจิ่งอี้ประหลาดใจเล็กน้อยฉู่เชียนหลีหยิบป้ายเจ้าสำนักที่เปื้อนเลือดอันนั้นวางไว้ในมือของเขา“ต่อไปเจ้าเป็นคนดูแลสำนักอู๋จี๋”“เจ้าสำนัก?!”ทุกคนต่างตกตะลึงตอนที่ทราบว่าหญิงสาวที่อัปลักษณ์คนนี้จะต้องกลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ของพวกเขา พวกเขากังวลว่าหญิงสาวคนนี้จะอยากได้สำนักอู๋จี๋ จึงพากันเป็นปรปักษ์แต่หญิงสาวกลับแสดงความใจกว้างสุขุมออกมา ทำให้พวกเขารู้สึกละอายเป็นอย่างยิ่งเป็นพวกเขาใช้ความคิดที่ต่ำช้ามาคาดเดาจิตใจของวิญญูชน...จิ่งอี้ไม่รับ นำป้ายเจ้าสำนักคืนใส่ในมือของฉู่เชียนหลี “ข้าเชื่อในการเลือกของอดีตเจ้าสำนัก คนที่เขาเลือกด้ว
ถึงตอนพลบค่ำ ในที่สุดฉู่เชียนหลีก็ทำงานเสร็จ จัดแจงทุกอย่างให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว ลากร่างกายที่เหนื่อยล้ากลับมายังโรงเตี๊ยมไหลฝู แต่กลับจับเรื่องหนึ่งได้แบบความรู้สึกช้า :อดีตเจ้าสำนักถ่ายทอดสุดยอดวรยุทธ์กับเคล็ดวิชาเหมันต์ให้แก่นาง แต่นางใช้ไม่เป็นนี่ ลืมถามจิ่งอี้ไปเลยแต่ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา กลับถูกหายไปพร้อมกับการหัวเราะของนางโง่จริงคนพวกนั้นทั้งผอม ทั้งขี้โรค ทั้งบาดเจ็บ ทั้งพิการ มีท่าทางเหมือนจะเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพที่ไหน?ไม่แน่ว่าสำนักอู๋จี๋นี้อาจจะเป็นสถานที่ไร้ชื่อเสียงที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง สุดยอดวรยุทธ์ก็ไม่มีอยู่จริง เคล็ดวิชาเหมันต์เป็นของปลอมทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ยังทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อดูแลคนกลุ่มนี้ แม้แต่ตัวนางเองยังรู้สึกว่าตัวเองโง่ฉู่เชียนหลีนวดคลึงตรงตำแหน่งระหว่างคิ้ว ถอนหายใจเบา ๆ อย่างเหนื่อยล้า ยกขาก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมทันใดนั้น บนถนนด้านหลัง ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งโซซัดโซเซเข้ามา“พระชายา แย่แล้ว!”สะดุดขั้นบันไดล้มลงไปนั่งบนพื้น เลือดไหลซึมออกมาจากบนแขนฉู่เชียนหลีรีบเข้าไปประคองเขาขึ้นมา มือเพียงแค่ใช้มือคลำทีเดียว ก็รู้ทั
ทันใดนั้น พวกโจรภูเขาวิ่งเข้าไปโอบล้อมอย่างรวดเร็ว แสงไฟส่องสว่างในยามราตรี สาดส่องเงาคนที่ซ่อนตัวอยู่หานเฟิงรีบยกดาบพุ่งออกไป ต่อสู้กับโจรภูเขากลุ่มนั้นแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงว่ากันตามวรยุทธ์ หานเฟิงติดตามอ๋องเฉินมานานหลายปี เข้าสนามรบฆ่าฟันศัตรู รอดชีวิตมาหลายครั้ง โจรภูเขากลุ่มนี้ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแต่...พวกเขาใช้พิษพิษร้ายสาดไปทางหานเฟิงทีละกำมือ หานเฟิงจำต้องแบ่งสมาธิเพื่อหลบหลีก จึงได้รับบาดเจ็บจากกระบี่อย่างไม่ทันระวังฉึก…“อุ๊ก!”เขาเจ็บปวด โซซัดโซเซถอยหลังไปสามก้าว พวกโจรภูเขาจึงฉวยโอกาส วิ่งไปหาเงาดำที่อยู่ด้านหลังก้อนหินนั้น“นายท่าน!”ดาบใหญ่ในมือโจรภูเขายกขึ้นสูง ฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม เมื่อเห็นว่าอ๋องเฉินกำลังมีภัย ก็มีผงสีขาวสาดเข้ามาจากกลางอากาศซ่า!หมอกสีขาวลอยขึ้น เมื่อเจอกับไฟก็ระเบิดออก “โอ๊ย!”เปลวไฟสาดกระเซ็น พวกโจรภูเขาได้รับบาดเจ็บโดยที่ไม่ทันระวังตัว รีบโยนคบเพลิงในมือออกไปด้วยความตกใจ ใช้เท้ากระทืบอย่างรวดเร็วเมื่อเปลวไฟดับลง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมองอีกที ที่เดิม ยังมีร่องรอยของอ๋องเฉินอยู่อีกที่ไหนกัน?ผู้ชายที่ท่าทางเป็นหัวหน้าสีหน้าโหด