วิ่งออกจากเรือนหานเฟิงในคราวเดียว เหวี่ยงประตูห้องแล้ววิ่งไปที่โต๊ะ สองมือจับขอบโต๊ะแน่น ภายในห้องที่มืดสลัวและเงียบ เมื่อครู่รู้สึกว่าลมหายใจของตนเองหนักและไม่บริสุทธิ์ในหัว ก้อนแป้งสีขาวที่นุ่มนิ่มสองก้อนปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน…ลมหายใจของเขาแน่นอีกครั้ง ปฏิกิริยาที่ผิดปกติทำให้เขาหงุดหงิดมากพลันโคจรกำลังภายใน กดลงสู่หน้าท้องแต่ไม่เพียงไม่สามารถระงับ กลับกันยิ่งขยายออกราวกับระเบิด แพร่กระจายไปทั่วร่างอยู่เหนือการควบคุมครั้งแรกในประวัติศาสตร์แม้แต่เขาก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกนี้ พลันเขาถีบโต๊ะพลิกคว่ำอย่างฉุนเฉียว และตามมาด้วยเก้าอี้ จานฝนหมึก สมุดพับ พู่กันและสิ่งของอื่นๆ ทุกอย่างตกระเนระนาดลงพื้นเรือนข้างเยว่เอ๋อร์ตักน้ำมาหนึ่งกะละมัง กลับพบว่าท่านอ๋องไม่อยู่แล้ว เงยหน้าขึ้นก็ประสานเข้ากับดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้นของพระชายานางร้อนตัวเล็กน้อย “พระชายา…”นางไม่ได้ตั้งใจนะ…ฉู่เชียนหลึจ้องนางอย่างลึกซึ้ง ถอนหายใจแล้วกล่าว “เฮ้อ ผู้หญิงเมื่อถึงคราวออกเรือน ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่”“เจ้าพูดความจริงกับข้า เจ้าชอบอ๋องเฉินใช่หรือไม่? หากเจ้าชอบเขา ข้าก็จะยกเขาให้เจ้า”“!”
ค่ำคืนนี้ เฟิงเยว่เสวียนนอนเพียงลำพัง ยากจะเข้าสู่การหลับใหล…ฉู่เชียนหลีได้รับบาดเจ็บจนหมดแรง นอนจนตะวันโด่งฟ้า ก็ถูกเสียงพูดคุยรบกวนจนตื่นบาดแผลที่ก้นหายดีแล้วสามส่วน ไม่ได้เจ็บมากเช่นนั้นแล้ว นางลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง สวมรองเท้าปักลายดอกไม้แล้วลงจากเตียง ประคองร่างกายกับผนัง ขยับออกไปทีละก้าวอย่างยากลำบากเมื่อเดินไปถึงหน้าประตู ก็เห็นเยว่เอ๋อร์กำลังสนทนากับเซียวจือฮว่า“พระชายารอง พระชายายังไม่ตื่นจริงๆ เจ้าค่ะ”“แดดส่องก้นแล้วยังไม่ตื่นหรือ?”“ใครเป็นคนกำหนดว่าแดดส่องก้นแล้วห้ามนอนต่อ?” ฉู่เชียนหลีพูดแทรกเซียวจือฮว่าเงยหน้ามอง แม้มีความไม่พอใจเสี้ยวหนึ่งแล่นผ่านแววตา แต่ก็ข่มไว้เงียบๆ พลันก้าวเท้าเข้าไปในห้องพร้อมกับสาวใช้ตนเอง“พี่หญิง” นางทักทายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนคนโบราณว่าไว้ ง้างมือไม่ตบผู้ยิ้มตอบฉู่เชียนหลีหาวหนึ่งที “เยว่เอ๋อร์ ไปเตรียมอาหารเช้าให้ข้าเถอะ”เยว่เอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากหันไปมองพระชายารองเซียวสองสามวินาที จึงจะถอนสายบัวถอยออกไปเซียวจือฮว่ายิ้ม “เหตุใดพี่หญิงจึงนอนจนถึงป่านนี้? เป็นเพราะไม่สบายหรือ? เหมือนว่าเมื่อคืนข้าจะได้ยินเสียงอะไร…”
เซียวจือฮว่าได้ยินแล้วแอบปลื้มปีติในใจที่แท้เป็นห่วงนางนี่เองเมื่อก่อน ทุกครั้งที่อยู่กับฉู่เชียนหลี ฉู่เชียนหลีมักจะรังแกนาง ทุกครั้งที่ฉู่เชียนหลีรังแกนาง ท่านอ๋องก็จะออกตัวเพื่อนาง ลงโทษฉู่เชียนหลีอย่างหนักมุมปากนางโค้งงอ ในใจหวานปานน้ำผึ้ง กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน“เช้านี้ ฮว่าเอ๋อร์ได้ยินข่าวคราวมา สงสัยว่าเหมือนพระชายาจะได้รับบาดเจ็บ ฮว่าเอ๋อร์เป็นห่วง ก็เลยตั้งใจมาเยี่ยมพี่หญิงน่ะ”เป่าอวี้เดินออกมาหนึ่งก้าวพร้อมกับกล่องผ้าแพรในมือ นางถอนสายบัวกล่าว“ท่านอ๋อง นี่คือยาน้ำค้างหยกที่พระชายารองมอบให้พระชายาเจ้าค่ะ”“ฮืม?” เฟิงเย่เสวียนเลิกคิ้วเขารู้จักยาน้ำค้างหยก เป็นของดีที่หายากมาก เมื่อทามันบนร่างกาย สามารถทำให้ผิวพรรณเรียบเนียนราวไข่ไก่ที่ปอกเปลือก และยังมีสรรพคุณรักษาแผลเป็นได้ยินมาว่านี่เป็นของเก็บสะสมที่ล้ำค่าของเซียวจือฮว่า เจ็ดแปดปีมานี้ เก็บไว้มาโดยตลอด แม้กระทั่งตนเองก็ไม่ยอมใช้“ฮว่าเอ๋อร์มอบของมีค่าเช่นนี้ให้พระชายา ช่างมีใจยิ่งหนัก”ให้นางผู้หญิงบ้านั่นใช้มันทาก้นได้พอดีแม้บาดแผลอยู่ตรงบั้นท้าย ปกติจะมองไม่เห็น แต่สตรีทั่วหล้ามีคนใดบ้างไม่รักสวยรักงาม
เซียวจือฮว่าคาดคิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะไปหยิบกล่องผ้าแพร เห็นยาน้ำค้างหยกที่ตกแตก ไม่ต้องพูดถึงว่าปวดใจเพียงใดนางจำใจนำยาน้ำค้างหยกที่เก็บสะสมมาแปดปีออกมาเซ่น เพียงเพื่อสามารถใส่ร้ายป้ายสีฉู่เชียนหลี แล้วเอะอะโวยวายอีกนิด ให้ท่านอ๋องอาศัยโอกาสนี้หย่านาง แต่ความจริงกลับอยู่เหนือความคาดหมายของนาง…นางจำเป็นต้องอดกลั้นความปวดใจ กัดฟันกล่าว“ในเมื่อตกแตกแล้วก็ช่างเถอะ ของเก่าไม่ไป ของใหม่ไม่มา!”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้ว “เอ๋? ฟังจากคำพูดของน้องหญิงเซียว จะมอบยาน้ำค้างหยกให้ข้าอีกขวดใช่หรือไม่?”เซียวจือฮว่ายังไม่ได้เอ่ยปาก นางก็พูดเสริมอีกคำแล้ว“เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณน้องเซียวล่วงหน้า ทำให้น้องเซียวต้องสิ้นเปลืองแล้ว”“...?”เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาน้ำค้างหยกแพงเพียงใด?เจ้ารู้สรรพคุณของมัน รู้ว่าหายากมากเพียงใดหรือไม่?แปดปีมานี้ นางมีสะสมแค่ขวดเดียวเท่านั้น นางจะไปหาอีกหนึ่งขวดมาจากที่ใด? แต่ต่อหน้าท่านอ๋อง หากนางไม่ตอบตกลง ไม่เท่ากับถูกฉีกหน้าหรอกหรือ?บัดซบ!เซียวจือฮว่าติดอยู่ตรงกลางทันที กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางโมโหจนแอบกัดฟันแน่น“ท่านอ๋อง ฮว่าเอ๋อร์นึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระ กลับก่อนแล
ชายหนุ่มในชุดผ้าแพรอันหรูหราหลายคนสองมือของพวกเขาเกาะอยู่บนกำแพงและเขย่งเท้า ชะโงกศีรษะครึ่งหนึ่งมองเข้าไปในเรือน พลางกระซิบกระซาบวิจารณ์กัน“ได้ยินมาว่าอ๋องเฉินพานางไปร่วมงานเลี้ยงฉลองชัยด้วย…”“ไม่น่าใช่นะ ข้าได้ยินมาว่านางแต่งเข้าจวนอ๋องเฉินสามเดือนกว่าแล้ว ยังไม่เคยได้รับความโปรดปราน…”“ไหนให้ข้าดูหน่อย…”เด็กหนุ่มในชุดผาวสีน้ำเงินคนหนึ่งเกาะกำแพง ทำท่าออกกำลังกายดึงร่างกายขึ้นข้างบน ปีนขึ้นกำแพงได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันยืนอย่างมั่นคง ก็เจ็บที่หัวเข่าฉับพลัน“อ๊า!”ทันใดนั้น เขาล้มหน้าคว่ำลงไปจนเกิดเสียงดังทุ้ม ‘ตุบ’ ตกเข้าไปในกำแพงเรือนอย่างแรงเด็กหนุ่มสองคนที่อยู่บนกำแพงสะดุ้งตกใจ เมื่อกำลังจะเข้าไปดึงคน กลับเห็นร่างเงาที่เพรียวบางสายหนึ่งเดินออกมาอย่างเชื่องช้า พวกเขารีบหดคอวิ่งหนีราวกับเด็กซนเห็นผู้ปกครองทันทีสหาย ช่วยตัวเองก็แล้วกันนะ!ฉู่เชียนหลีเก็บหนังสติ๊กเข้าไปในกำไลเฉียนคุน นางคว้าเมล็ดแตงโมบนโต๊ะมาหนึ่งกำมือ แล้วเอ็นหลังพิงขอบประตูอย่างเกียจคร้าน แทะเมล็ดแตงโมพลางกวาดสายตามองเด็กหนุ่มที่ล้มหน้าคว่ำอยู่บนพื้นอย่างสบายๆเขาอายุประมาณสิบห้าสิบหก แต่งกายด้วยเสื้อ
เรือนหานเฟิง“อ๊า!”เสียงกรีดร้องที่น่าเวทนาดังฉีกอากาศ เห็นเพียงชายชุดดำคนหนึ่งถูกแขวนกลับหัวบนโครงไม้ แส้ยาวเส้นหนึ่งถูกฟาดลงไป เนื้อหนังปริแตก ลึกจนมองเห็นกระดูกแล้วก็ราดต่อด้วยน้ำพริกอีกหนึ่งกะละมัง“อ๊า!”เสียงร้องยิ่งน่าเวทนา ฉากที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดน่าสยดสยองหานเฟิงโยนกะละมังไม้ทิ้งอย่างเยือกเย็น พลันบีบคางชายชุดดำคนนั้น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“พูด! ใครส่งเจ้ามาลอบสังหารอ๋องเฉิน?”ชายชุดดำคนนี้ก็คือมือสังหารที่สกัดกั้นรถม้าของจวนอ๋องเฉินเมื่อคืน และเป็นคนที่แทงฉู่เชียนหลีบาดเจ็บเช่นกันภายใต้ความเจ็บปวด ชายชุดดำเจ็บจนแทบหมดสติ ลมหายใจติดขัด ราวกับพร้อมจะขาดใจทุกเมื่อ แต่ปากของเขาปิดสนิท ต่อให้ถูกทรมานก็ไม่พูดแม้แต่คำเดียวเฟิงเย่เสวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ[footnoteRef:1]อย่างสบายๆ มีหนังสือที่ถูกกางออกในมือหนึ่งเล่ม เขาพลิกอย่างไม่ใส่ใจหนึ่งหน้า พลางกล่าวอย่างเฉยเมย [1: เก้าอี้ไท่ซือ เก้าอี้ไม้โบราณจีน] “ในเมื่อปากแข็ง เช่นนั้นก็ลงทัณฑ์เลาะกระดูกจนตาย”ชายชุดดำเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวปีศาจ!นี่มันทรมานตายทั้งเป็นยิ่งกว่าฆ่าเขาโดยตรง!หานเฟิงหยิบมีดส
ฉู่เชียนหลีเห็นว่าเวลาพอประมาณแล้ว นางโยนเปลือกเมล็ดแตงโมที่อยู่ในมือทิ้ง ตบชายเสื้อผ้าที่ยับย่น หลังจากปรับอารมณ์ของตนเอง ก็ก้าวเท้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฟิงเย่เสวียนพลันทักษะการแสดงสิงร่าง เบ้าตาแดงโดยตรง“สวรรค์! ท่านอ๋อง เขาเป็นหลานชายของท่านหรือ? ข้าไม่เคยพบท่านโหวน้อย จึงไม่รู้จักสถานะของเขา ชั่วขณะจึงล่วงเกิน…”“ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่รู้จักคนในราชวงศ์ ล่วงเกินบุคคลที่มีสถานะสูงกว่า ไม่คู่ควรเป็นพระชายาอ๋องเฉินโดยแท้”นางจับชายเสื้อของเขาไว้ ยกใบหน้าที่น่าสงสารขึ้น เสียงสะอึกสะอื้น ท่าทางเหมือนคนยอมรับผิดทุกอย่างสายตาของเฟิงเย่เสวียนครึ้มลงทันที แทบรอไม่ไหวที่จะไปจากจวนอ๋องเฉินมากเช่นนี้เลยหรือ?ในแคว้นตงหลิง ไปจากเขา นางจะไปหาผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างเขาได้ที่ใดอีก?อย่าไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี“ไม่เป็นไร” เขากล่าวอย่างเฉยเมยคำหนึ่งฉู่เชียนหลีตะลึงงันครู่หนึ่ง นางกดขี่ท่านโหวน้อย ให้เขาเช็ดพื้นกวาดฝุ่น รังแกเขาอย่างน่าสังเวชเช่นนั้น เขากลับไม่โกรธ?ไม่ควรจะเป็นแบบนี้นี่นาตามหลักแล้ว ภายใต้ความโกรธเขาควรจะพูดว่า‘ฉู่เชียนหลี เจ้ารังแกท่านโหวน้อย ก็เท่ากับ
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!ตลอดหลายปีมานี้ ยังไม่เคยมีหญิงคนใดที่เข้าตาเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉู่เชียนหลีที่หน้าตาอัปลักษณ์ไร้ความงาม!พลันแววตาเฟิงเย่เสวียนเย็นชา สะบัดแขนเสื้อจากไปโดยไม่สนใจฉู่เชียนหลีอีกฉู่เชียนหลี “?”เดี๋ยวก็บอกจะเปลี่ยนยา เดี๋ยวก็ทำหน้าบึ้ง เดี๋ยวก็เดินจากไปอย่างโมโห เหตุใดผู้ชายคนนี้เปลี่ยนหน้าเหมือนพลิกหนังสือเลย แปลกประหลาดเป็นอย่างที่คิด จิตใจผู้ชายเหมือนเข็มใต้มหาสมุทร ไม่อาจคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะ หมุนกายกลับเข้าห้องเฟิงเย่เสวียนเดินออกจากประตูเรือน เมื่อกำลังจะจากไป หางตาก็เหลือบกลับไปมองแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ ก็เห็นฉู่เชียนหลีประคองกำแพง เดินโอนเอนโซเซอย่างระมัดระวังไม่ให้โดนบาดแผล ท่าทางเจ็บปวดลำบากมากคิ้วดาบของเขาขมวด ไม่รู้ทำไม เขาก้าวเท้ายาวราวกับปีศาจสิงสู่กลับไปโอบเอวของนางไว้“ว้าย!”ถีบประตู เข้าห้องฉู่เชียนหลีสะดุ้งตกใจ “ท่านอ๋องกลับมาอีกทำไม?”เมื่อเห็นเฟิงเย่เสวียนอุ้มนางตรงไปที่ตั่งนอน ร่างกายหดเกร็ง “ข้าเปลี่ยนยาเองได้!”“อย่าขยับ” แขนของเขากอดนางไว้อย่างมั่นคง และหลีกเลี่ยงบาดแผลได้อย่างมีไหวพริบ น้ำเสียงที่ทุ่มต่ำมีความเผด็จการแ