เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!ตลอดหลายปีมานี้ ยังไม่เคยมีหญิงคนใดที่เข้าตาเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉู่เชียนหลีที่หน้าตาอัปลักษณ์ไร้ความงาม!พลันแววตาเฟิงเย่เสวียนเย็นชา สะบัดแขนเสื้อจากไปโดยไม่สนใจฉู่เชียนหลีอีกฉู่เชียนหลี “?”เดี๋ยวก็บอกจะเปลี่ยนยา เดี๋ยวก็ทำหน้าบึ้ง เดี๋ยวก็เดินจากไปอย่างโมโห เหตุใดผู้ชายคนนี้เปลี่ยนหน้าเหมือนพลิกหนังสือเลย แปลกประหลาดเป็นอย่างที่คิด จิตใจผู้ชายเหมือนเข็มใต้มหาสมุทร ไม่อาจคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะ หมุนกายกลับเข้าห้องเฟิงเย่เสวียนเดินออกจากประตูเรือน เมื่อกำลังจะจากไป หางตาก็เหลือบกลับไปมองแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ ก็เห็นฉู่เชียนหลีประคองกำแพง เดินโอนเอนโซเซอย่างระมัดระวังไม่ให้โดนบาดแผล ท่าทางเจ็บปวดลำบากมากคิ้วดาบของเขาขมวด ไม่รู้ทำไม เขาก้าวเท้ายาวราวกับปีศาจสิงสู่กลับไปโอบเอวของนางไว้“ว้าย!”ถีบประตู เข้าห้องฉู่เชียนหลีสะดุ้งตกใจ “ท่านอ๋องกลับมาอีกทำไม?”เมื่อเห็นเฟิงเย่เสวียนอุ้มนางตรงไปที่ตั่งนอน ร่างกายหดเกร็ง “ข้าเปลี่ยนยาเองได้!”“อย่าขยับ” แขนของเขากอดนางไว้อย่างมั่นคง และหลีกเลี่ยงบาดแผลได้อย่างมีไหวพริบ น้ำเสียงที่ทุ่มต่ำมีความเผด็จการแ
จนกระทั่งพลบค่ำ จุดชีพจรคลายออกเองฉู่เชียนหลีที่คงท่าเดิมไว้สามชั่วยามเต็มเหนื่อยจนอ่อนล้า พริบตาที่สามารถขยับตัว ร่างกายเหมือนถูกสูบแรงทั้งหมดออกไป นางนอนคว่ำลงบนเตียงอย่างอ่อนปวกเปียก น้ำตาหลั่งไหลออกมาทันทีหลั่งน้ำตาดั่งสายน้ำพลันก็เริ่มร้องเพลงด้วยความเสียใจ“หักหลังความรักของฉัน เธอเป็นหนี้ทางจิตสำนึก ท้ายที่สุดฉันที่ถูกรังแกอย่างน่าสังเวช น้ำตาก็ไหลรินลงมา…”เยว่เอ๋อร์กุมปากอย่างปวดใจ เบ้าตาแดงก่ำพระชายาที่น่าสงสาร…ท่านอ๋องปฏิบัติต่อพระชายาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?ฉู่เชียนหลีที่เรี่ยวแรงกลับมาบ้างแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น กินข้าวหมดไปห้าชามในอึดใจเดียว จึงจะรู้สึกว่าพลังชีวิตกลับมาเล็กน้อย นางนั่งหน้ากระจกสัมฤทธิ์ พลางลูบปานบนใบหน้า ครุ่นคิดว่ายังเหลือกระสายยาชนิดสุดท้าย :หญ้าเหมันต์ขอแค่หาหญ้าชนิดนี้เจอ ก็สามารถแก้พิษแต่หญ้าชนิดนี้เติบโตในสถานที่หนาวมาก ท่ามกลางหิมะน้ำแข็ง สามารถค้นพบแต่เก็บไม่ได้ เพราะมันไม่สามารถออกห่างจากหิมะ เมื่อไรที่ถูกถอนออกมา ไม่เกินสองชั่วยามก็จะเหี่ยวเฉา เมื่อเหี่ยวเฉาก็จะสูญเสียสรรพคุณ เป็นของที่หายากมากนี่เป็นปัญหาที่ยากมากเยว่เอ๋อร
จวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่จัดงานเลี้ยงวันเกิด เชิญขุนนางในราชสำนัก มิตรสหาย และรวมถึงบุคคลที่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จะว่าแขกเยอะก็ไม่เยอะ จะว่าน้อยก็ไม่น้อย และนับว่าจัดได้ค่อนข้างมีระดับแขกเดินขวักไขว่ บ่าวไพร่งานยุ่ง จับกลุ่มคุยกันจุดละสองสามคน ก็นับว่าคึกคัก“พระชายาอ๋องเฉินถึงแล้ว…”ในอากาศ หลังจากเสียงรายงานของเด็กรับใช้ดังขึ้น แทบทุกคนหันไปมองข้างนอกโดยไม่ได้นัดหมายภายใต้การจ้องมองของดวงตาหลายสิบคู่ ตรงประตู รองเท้าปักลายดอกไม้คู่หนึ่งก้าวเข้ามา จากนั้นก็ตามมาด้วยร่างที่เพรียวบางของหญิงสาว สายตามองขึ้นข้างบน ใบหน้าถูกปิดด้วยผ้าคลุมหน้า เผยให้เห็นเพียงดวงตาสีดำที่มีชีวิตชีวาคู่หนึ่งชุดสีขาวหนุนเสริมกลิ่นอายของความสะอาดและบริสุทธิ์ ภายใต้การสะท้อนของแสงเทียน โครงหน้าผอมบางปรากฏให้เห็นอย่างเลือนลาน ปานถูกปกปิดไร้รอยรั่ว เส้นผมสามพันเส้นถูกรวบขึ้นอย่างสบายๆ หญิงสาวก้าวเข้าไปอย่างสุขุมสง่างาม ท่าทางสบายๆ นั้นเหมือนแมวเปอร์เซียที่ผ่อนคลาย ทำให้ตรงหน้าทุกคนเปล่งประกายนี่…ผู้หญิงที่มีราศีเปล่งปลั่งคนนี้เป็นหญิงอัปลักษณ์ของตระกูลฉู่? เป็นพระชายาอ๋องเฉินที่ไม่ได้รับความโปรดปราน?
ในงานเลี้ยง มีแขกไม่น้อย ฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างผ่อนคลาย จีบชา กินแตงโม นับว่าค่อนข้างสบายจุดที่ไม่ไกลออกไป มีสายตาหลายคู่มองมาทางนี้ และกระซิบพูดอะไรบางอย่าง“นางแต่งไปสามเดือนกว่าแล้ว ไม่เคยได้รับความโปรดปราน ยังมีหน้ากลับจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่อีก”“หากข้าให้กำเนิดลูกสาวเช่นนี้ แม้แต่ข้าก็รู้สึกอับอาย อยากตัดความสัมพันธ์เสียเดี๋ยวนี้…”“แต่ว่า…”ประโยคที่กระซิบกระซาบบางคำเข้าหูฉู่เชียนหลี สีหน้าของนางเฉยเมย ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้ามากนัก ควรจะทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้นแต่เยว่เอ๋อร์ร้อนใจเล็กน้อยแล้ว “พระชายา…”ฉู่เชียนหลี “ดื่มชา”หากต้องถือสาคำพูดของทุกคน จะไม่เหนื่อยตายหรอกหรือ?ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่คนเหล่านี้พูดล้วนเป็นความจริงนอกเรือน ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าหลายสายดังขึ้น สายตาของทุกคนทยอยหันไปมอง คนที่ลุกขึ้นก็ลุกขึ้น คนที่ก้าวออกไปก้าวออกไป ทำให้เกิดความฮือฮาไม่น้อยฉู่เชียนหลีก็หันไปมองเช่นกันเป็นหญิงสาวชุดแดงคนหนึ่ง พริบตาที่นางปรากฏตัว ราวกับดวงดาวและดวงจันทร์สาดส่องแสง ใบหน้าที่งดงามเชิดขึ้นอย่างมั่นใจ ร่างสูงเอวบาง ระหว่างคิ้วมีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์
ฉู่เชียนหลีเปิดฝาถ้วยออก เป่าความร้อนตามขอบถ้วย แล้วจิบอย่างสบายๆ หนึ่งที จึงจะค่อยๆ ยกเปลือกตาขึ้น เหมือนผู้สูงวัยน้อยที่ขี้เกียจ พลันกล่าวอย่างเกียจคร้าน“ฮืม ที่แท้เป็นพี่รองกับคุณชายหานนี่เอง”สายตาของหานมู่ซีมองนางอย่างลึกซึ้งไม่ได้เจอกันนาน…เมื่อก่อน นางเรียกเขาว่าพี่มู่ซี…“พี่มู่ซี” ฉู่ซวงควงแขนชายหนุ่ม กล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน “รีบนำบัตรเชิญออกมาให้น้องหญิงสี่สิ”หานมู่ซีหลุบตาหลบโดยไม่รู้ตัวแต่ฉู่ซวงได้ล้วงบัตรเชิญออกจากแขนเสื้อของชายหนุ่มอย่างมือว่องตาไวแล้ว นางยื่นให้ฉู่เชียนหลี ยิ้มดั่งดอกไม้“น้องสี่ รอพี่มู่ซีสอบเสร็จ ก็เป็นวันมงคลของพวกเรา ถึงเวลาเจ้าต้องมานะ มากับท่านอ๋องเฉิน”รอยยิ้มนั้นหวาน คำพูดที่พูดออกมากลับเหมือนมีดที่แหลมคมสองเล่มมีดเล่มแรก นางแย่งคู่รักที่รู้จักกันตั้งแต่เด็กของฉู่เชียนหลี และยังมาอวดต่อหน้าฉู่เชียนหลีมีดเล่มที่สอง เน้นย้ำเรื่องที่หลังจากฉู่เชียนหลีแต่งงานกับอ๋องเฉิน ไม่เคยได้รับความโปรดปรานหากเป็น ‘ฉู่เชียนหลี’ คนก่อน เห็นภาพนี้กับตาตนเอง ต้องโมโหจนตายทั้งเป็นแน่แต่ ‘ฉู่เชียนหลี’ ในตอนนี้ไม่ใช่ ‘ฉู่เชียนหลี’ ในวันวาน นางในวันนี
หานมู่ซีจับสองมือของฉู่เชียนหลีไว้ พยายามอธิบายเรื่องนี้อย่างสุดความสามารถ ราวกับกลัวฉู่เชียนหลีเข้าใจผิดฉู่เชียนหลีขมวดคิ้วนางไม่ให้ค่าผู้ชายเช่นนี้มากที่สุด กินข้าวในชาม มองข้างในหม้อ โลภมากต้องการทุกอย่าง จับปลาสองมือนางสะบัดมือของเขาออกอย่างขยะแขยง “คุณชายหาน ข้าเป็นชายาอ๋องเฉินแล้ว ต้องให้ข้าพูดรอบที่สามหรือไม่?” เสียงที่เฉยเมย ดึงระยะห่างของทั้งสองออกจากกันหานมู่ซีมองนางอย่างตะลึงงันรู้สึกไม่รู้จักนางกะทันหัน…“เสียวฉู่ เจ้าลืมสัญญาของเราแล้วหรือ…”หลายปีมานี้ ระหว่างทั้งสองมีความรักต่อกันจริงหานมู่ซีในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลหาน แต่กลับไปหลงรักฉู่เชียนหลีที่อัปลักษณ์ไร้ความงาม ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดหรือดูถูกเขาอย่างไร เขาก็เดินหน้าต่ออย่างไม่ลังเลปกป้องนาง ดูแลนาง เข้าข้างนาง…ฉู่เชียนหลีก็จมอยู่ในความอ่อนโยนของเขาเช่นกันแต่พ่ายแพ้ให้กับความเป็นจริงเขาทอดทิ้งนาง แต่งงานกับฉู่ซวง เขาเป็นคนทำลายสัญญาก่อน“เรื่องในอดีตผ่านไปแล้ว ไม่ต้องสาวความอีก ข้าไม่อยากพูดถึงอีก ต่อไปต่างคนต่างอยู่ หวังว่าคุณชายหานจะให้เกียรติตัวเองด้วย” ฉู่เชียนหลีพูดจบอย่างเย็นชา ก็หมุนกาย
“?”พ่อตา?เขายอมรับว่าตนเองเป็นลูกเขยของจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ และยอมรับสถานะชายาอ๋องเฉินของนางแล้ว?สวรรค์!ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นไข้ใช่ไหม?ฉู่เชียนหลีเบิกตากว้างอย่างตะลึงงัน มองเฟิงเย่เสวียนด้วยความประหลาดใจ ปากกลายเป็นรูปตัว ‘O’ แทบสามารถกลืนไข่เข้าไปได้ทั้งฟอง“เก็บสายตาที่เลื่อมใสของเจ้าเสีย”“...”นี่เป็นสายตาของคนเจอผีย่ะ ขอบใจ“แค่มางานเลี้ยงกับเจ้าก็ดีใจจนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว?” เขาล้อเลียนเสียงเบา “คล้องแขนข้าไว้”“?”ดีใจ?ฉู่เชียนหลี อึ้งเฟิงเย่เสวียนจับมือของนางสอดเข้าไปในหว่างแขนของตนเอง แล้วพานางไปยังห้องโถงหน้าเมื่อบรรดาแขกเหรื่อที่กำลังสนทนาอย่างยิ้มแย้มเห็นอ๋องเฉินกับพระชายาอ๋องเฉินควงแขนกันเข้ามา ทันใดนั้น คำพูดที่อยู่ปลายลิ้นหยุดชะงัก แต่ละคนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ รู้สึกเหลือเชื่อมากนี่…นี่เป็นเรื่องจริง?ไหนว่าหลังจากอ๋องเฉินแต่งงานกับฉู่เชียนหลี สามเดือนกว่าไม่เคยสนใจนาง กระทั่งเข้าห้องหอก็ยังไม่สมบูรณ์ไม่ใช่หรือ?ไหนว่าข้างกายอ๋องเฉินมีพระชายารองเซียวที่รู้จักกันตั้งแต่เด็กและติดตามเขามาสิบกว่าปี และโปรดปรานพระชายารองเซียวเพีย
“จ๋า” นางอันยิ้มตาหยีขานรับ ก้าวออกมาจับมือฉู่เชียนหลีอย่างสนิทสนม“เจ้าเด็กคนนี้ ดีกับอ๋องเฉินเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร? เหตุใดจึงไม่บอกแม่? พูดกับแม่ยังอายหรือ?”นางพูดหยอกล้อด้วยรอยยิ้มที่เมตตาแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จิตใต้สำนึกของฉู่เชียนหลีไม่อยากใกล้ชิดกับนางมากเกินไปคิ้วบางของฉู่เชียนหลีขมวดนิดๆ ชักมือออกอย่างเงียบๆ ถอยหลังหนึ่งก้าว “นี่ก็ดึกแล้ว อ๋องเฉินยังรอข้าที่ห้องโถงหน้า ข้าควรไปแล้ว”“เวลาแค่นี้ไม่ต้องรีบร้อน” นางอันยิ้มแย้ม“เสียวฉู่ เจ้าได้รับความโปรดปรานของอ๋องเฉิน ต้องพูดถึงพี่หญิงของเจ้าให้มากนะ ข้าได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านโหวน้อยกับอ๋องเฉินดีทีเดียว หรือองค์รัชทายาทก็ได้”นางกล่าวกำชับ “เจียวเจียวเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเจ้า เจ้าต้องพาเจียวเจียวเข้าราชวงศ์ให้ได้ พวกเจ้าสองพี่น้องจะได้ดูแลซึ่งกันและกัน”คิ้วฉู่เชียนหลีขมวดแน่นสามส่วนทุกครั้งที่นางอันมาหานาง ไม่ใช่เพราะอ๋องเฉินก็เพราะฉู่เจียวเจียว ล้วนเพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้นในตัวนางอัน นางไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความรักของมารดาแม้แต่เสี้ยวเดียวทันใดนั้น นางกล่าว“ท่านแม่ ท่านไม่รู้ ลูกต้องใช้ความพยายามอย่างห
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋
ตอนที่ตื่น ก็เป็นเที่ยงของวันใหม่แล้ว เฟิงเย่เสวียนรู้จักเตียงนานแล้ว หลังจากฉู่เชียนหลีกินอะไรง่ายๆ ก็ไปที่สำนักหมอหลวง หมกมุ่นอยู่กับตำราแพทย์พริบตาเดียวก็กลางคืนแล้วนางกำนัลมารายงาน ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว ฉู่เชียนหลีไปตำหนักผานหลง ฮ่องเต้นอนตัวเกร็งอยู่บนเตียง นิ้วมือหยิกงอ ร่างกายครึ่งหนึ่งแข็งเหมือนท่อนไม้ ปากก็เบี้ยวจนมีน้ำลายไหลยืดเขาเบิกตากว้างจนลูกตาแทบทะลักออกมาแล้ว นางกำนัลที่ปรนนิบัติกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไปปรนนิบัติฉู่เชียนหลีเดินเข้ามา“ฝ่าบาททรงฟื้นเมื่อไร”“เมื่อหนึ่งเค่อก่อนเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบ“ดื่มโอสถหรือยัง?”“หนึ่งวันสามมื้อ ป้อนตรงเวลาเจ้าค่ะ”“อืม”นางเดินไปที่หน้าเตียง จับชีพจรของฮ่องเต้ ลักษณะชีพจรคงที่ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ร่างกายได้รับหญ้าหมาเฟ้ยมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายชาจนไม่ตอบสนอง อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี จึงจะสามารถสลายหญ้าหมาเฟ้ยเหล่านี้หมดถึงเวลา ก็สามารถกลับมาเป็นปกติ“ดูแลดีๆ ต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายตลอดอย่างน้อยสองคน” นางกำชับนางกำนัลเวลานี้เอง ที่นอกประตู อวิ๋นอิงอุ้มน้องสาวมาแล้ว“พระชายา ท่านเอาแต่ยุ่งทั้งวัน ลู่ฉิ
ฉู่เชียนหลีมองนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า อ๋องหลีก็ไม่สามารถก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าจัดการเจ้าอย่างไรจึงจะดี?”ถ้าไม่มียาอายุวัฒนะ อ๋องหลีจบสิ้นไปนานแล้วและยาชนิดนี้ก็มาจากมือของอูหนูอูหนูยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ยืดอกหลังตรง การแสดงออกบนใบหน้าไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ถ่อมตน นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ย่อมไม่กลัว“จะฆ่าจะแกง เชิญตามสะดวก”นางเงยหน้า หลับตา“เจ้าเป็นผู้ช่วยที่ดีของอ๋องหลี ข้าฆ่าเจ้าทั้งเช่นนี้ จะไม่เสียดายแย่หรือ?” ฉู่เชียนหลีเดินไปที่ตรงหน้านาง “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำอะไรกับฝ่าบาท? เหตุใดจู่ๆ เขาก็เป็นอัมพาตเฉียบพลัน”อูหนูย่อมไม่อยากพูดไม่รอนางเอ่ยปาก ฉู่เชียนหลีเสริมอีกประโยค“ตายเป็นแค่ผลลัพธ์อย่างหนึ่ง แต่ขั้นตอนการตาย ควรตายอย่างไร ขึ้นอยู่กับข้า”“เจ้าสามารถปากแข็ง แต่ปากแข็งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ และยังจะเพิ่มความเจ็บปวด เจ้าเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรเลือกอย่างไร”อูหนู “...”ข่มขู่อย่างโจ่งแจ้งถ้าหากนางยอมพูด มอบความตายที่ไม่เจ็บปวดให้นางถ้าหากนางไม่ยอมพูด คิดวิธีทรมานสารพัด เพื่อทำให้นางยอมพูด สุดท้ายก็ตายอยู่
กล่าวจบ เขาหมุนกาย นั่งขัดสมาธิลงบนกระดานไม้ที่เย็นเยียบ หันหลังให้นางฉู่เชียนหลีมองไม่เห็นสีหน้าของเขา และไม่แน่ใจคำพูดนี้ของหมายความว่าอย่างไร ยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก็จากไปแล้วออกจากคุกหลวง ข้างนอกท้องฟ้าสดใส อากาศสดชื่น“ส่งพระชายาอ๋องหลีไปอยู่ตำหนักเจาหยางชั่วคราว ปรนนิบัติให้ดี ห้ามละเลยเด็ดขาด” นางสั่งให้องครักษ์ลับคนหนึ่งคุ้มกันส่ง ในความเป็นจริงก็สั่งให้คนจับตาดูฉู่เจียวเจียวด้วยหลังไปแล้วท้องฟ้า ละอองฝนโปรยปรายลงมาเมื่อเงยหน้าก็ปะทะลม ละอองฝนตกใส่ใบหน้า หนาวจนรู้สึกเจ็บแสบเล็กน้อย ใบไม้เหี่ยวหลุดจากกิ่งก้าน ล่องลอยไปตามสายลมรู้ตัวอีกทีก็เข้าหน้าหนาวแล้วมองดูท้องฟ้าอึมครึมที่ถูกเมฆดำปกคลุม นึกถึงคำพูดของอ๋องหลี รู้สึกกดดันอย่างน่าประหลาด และไม่สบายใจเล็กน้อย เหมือนมีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นก้มหน้าอก รีบไปที่ห้องทรงอักษรเฟิงเย่เสวียนยุ่งมากฮ่องเต้ป่วย อ๋องหลีถูกจับ ราชสำนัก บ้านเมือง พรรคอ๋องหลี เรื่องราวต่างๆ มารวมกัน กดทับอยู่บนไหล่เฟิงเย่เสวียนทั้งหมด เขายุ่งจนตัวหมุน ไม่ได้หลับตาพักผ่อนมาสองวันแล้วฉู่เชียนหลีเดินเข้าห้องทรงอักษร “จับอูหนูได้หรือย
ฉู่เชียนหลีกวาดมองหมอหลวงที่อยู่โดยรอบแวบหนึ่ง ยกเท้าเดินออกไป “เจ้าตามข้ามา”เมื่อฉู่เจียวเจียวได้ยินก็ดีใจ รีบกอดลูกแน่น แล้วเดินตามออกไปอย่างไวคุกหลวงองครักษ์เงาเฝ้ายาม เมื่อพวกเขาเห็นผู้มา ก็คำนับอย่างนอบน้อม “พระชายา”ฉู่เชียนหลีพยักหน้า เดินเข้าไปในคุกหลวงหัวใจฉู่เจียวเจียวบีบรัดแน่น ฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเดินผ่านทางเดินยาวที่มืดสลัว มาถึงห้องขังที่อยู่ห้องท้ายสุด เมื่อเห็นผู้ชายที่ถูกขังอยู่ข้างใน รู้สึกเจ็บหน้าอกฉับพลัน“ท่านโหว!”เดินปรี่เข้าไป เอาข้างหนึ่งอุ้มลูก มืออีกข้างจับราวลูกกรงอย่างร้อนใจ“ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง!”ไม่เจอกันแค่คืนเดียว สภาพของเฟิงเจิ้งหลีโทรมมากสภาพแวดล้อมในห้องขังเปียกชื้นมืดสลัว ตรงที่มุมมีแมลงสาบกับหนูเกาะอยู่ ชุดเพ้าสีขาวเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรกและความโชคร้าย ตรงคางเริ่มมีตอนหนวดปรากฏให้เห็น สภาพดูสะบักสะบอมมากผ่านไปครู่หนึ่งเฟิงเจิ้งหลีค่อยๆ เงยหน้า เมื่อเห็นเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ย มีประกายที่ปกปิดสายหนึ่งแลบผ่าน“ถ้าไม่เป็นอะไร…”เขาลุกขึ้นยืน เสียงแหบไร้เรี่ยวแรงฉู่เจียวเจียวตาแดงทันที “คุกหลวงสกปรกเช่นนี้ เหม็นเช่นน