ชายหนุ่มในชุดผ้าแพรอันหรูหราหลายคนสองมือของพวกเขาเกาะอยู่บนกำแพงและเขย่งเท้า ชะโงกศีรษะครึ่งหนึ่งมองเข้าไปในเรือน พลางกระซิบกระซาบวิจารณ์กัน“ได้ยินมาว่าอ๋องเฉินพานางไปร่วมงานเลี้ยงฉลองชัยด้วย…”“ไม่น่าใช่นะ ข้าได้ยินมาว่านางแต่งเข้าจวนอ๋องเฉินสามเดือนกว่าแล้ว ยังไม่เคยได้รับความโปรดปราน…”“ไหนให้ข้าดูหน่อย…”เด็กหนุ่มในชุดผาวสีน้ำเงินคนหนึ่งเกาะกำแพง ทำท่าออกกำลังกายดึงร่างกายขึ้นข้างบน ปีนขึ้นกำแพงได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันยืนอย่างมั่นคง ก็เจ็บที่หัวเข่าฉับพลัน“อ๊า!”ทันใดนั้น เขาล้มหน้าคว่ำลงไปจนเกิดเสียงดังทุ้ม ‘ตุบ’ ตกเข้าไปในกำแพงเรือนอย่างแรงเด็กหนุ่มสองคนที่อยู่บนกำแพงสะดุ้งตกใจ เมื่อกำลังจะเข้าไปดึงคน กลับเห็นร่างเงาที่เพรียวบางสายหนึ่งเดินออกมาอย่างเชื่องช้า พวกเขารีบหดคอวิ่งหนีราวกับเด็กซนเห็นผู้ปกครองทันทีสหาย ช่วยตัวเองก็แล้วกันนะ!ฉู่เชียนหลีเก็บหนังสติ๊กเข้าไปในกำไลเฉียนคุน นางคว้าเมล็ดแตงโมบนโต๊ะมาหนึ่งกำมือ แล้วเอ็นหลังพิงขอบประตูอย่างเกียจคร้าน แทะเมล็ดแตงโมพลางกวาดสายตามองเด็กหนุ่มที่ล้มหน้าคว่ำอยู่บนพื้นอย่างสบายๆเขาอายุประมาณสิบห้าสิบหก แต่งกายด้วยเสื้อ
เรือนหานเฟิง“อ๊า!”เสียงกรีดร้องที่น่าเวทนาดังฉีกอากาศ เห็นเพียงชายชุดดำคนหนึ่งถูกแขวนกลับหัวบนโครงไม้ แส้ยาวเส้นหนึ่งถูกฟาดลงไป เนื้อหนังปริแตก ลึกจนมองเห็นกระดูกแล้วก็ราดต่อด้วยน้ำพริกอีกหนึ่งกะละมัง“อ๊า!”เสียงร้องยิ่งน่าเวทนา ฉากที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดน่าสยดสยองหานเฟิงโยนกะละมังไม้ทิ้งอย่างเยือกเย็น พลันบีบคางชายชุดดำคนนั้น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“พูด! ใครส่งเจ้ามาลอบสังหารอ๋องเฉิน?”ชายชุดดำคนนี้ก็คือมือสังหารที่สกัดกั้นรถม้าของจวนอ๋องเฉินเมื่อคืน และเป็นคนที่แทงฉู่เชียนหลีบาดเจ็บเช่นกันภายใต้ความเจ็บปวด ชายชุดดำเจ็บจนแทบหมดสติ ลมหายใจติดขัด ราวกับพร้อมจะขาดใจทุกเมื่อ แต่ปากของเขาปิดสนิท ต่อให้ถูกทรมานก็ไม่พูดแม้แต่คำเดียวเฟิงเย่เสวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ[footnoteRef:1]อย่างสบายๆ มีหนังสือที่ถูกกางออกในมือหนึ่งเล่ม เขาพลิกอย่างไม่ใส่ใจหนึ่งหน้า พลางกล่าวอย่างเฉยเมย [1: เก้าอี้ไท่ซือ เก้าอี้ไม้โบราณจีน] “ในเมื่อปากแข็ง เช่นนั้นก็ลงทัณฑ์เลาะกระดูกจนตาย”ชายชุดดำเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวปีศาจ!นี่มันทรมานตายทั้งเป็นยิ่งกว่าฆ่าเขาโดยตรง!หานเฟิงหยิบมีดส
ฉู่เชียนหลีเห็นว่าเวลาพอประมาณแล้ว นางโยนเปลือกเมล็ดแตงโมที่อยู่ในมือทิ้ง ตบชายเสื้อผ้าที่ยับย่น หลังจากปรับอารมณ์ของตนเอง ก็ก้าวเท้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฟิงเย่เสวียนพลันทักษะการแสดงสิงร่าง เบ้าตาแดงโดยตรง“สวรรค์! ท่านอ๋อง เขาเป็นหลานชายของท่านหรือ? ข้าไม่เคยพบท่านโหวน้อย จึงไม่รู้จักสถานะของเขา ชั่วขณะจึงล่วงเกิน…”“ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่รู้จักคนในราชวงศ์ ล่วงเกินบุคคลที่มีสถานะสูงกว่า ไม่คู่ควรเป็นพระชายาอ๋องเฉินโดยแท้”นางจับชายเสื้อของเขาไว้ ยกใบหน้าที่น่าสงสารขึ้น เสียงสะอึกสะอื้น ท่าทางเหมือนคนยอมรับผิดทุกอย่างสายตาของเฟิงเย่เสวียนครึ้มลงทันที แทบรอไม่ไหวที่จะไปจากจวนอ๋องเฉินมากเช่นนี้เลยหรือ?ในแคว้นตงหลิง ไปจากเขา นางจะไปหาผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างเขาได้ที่ใดอีก?อย่าไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี“ไม่เป็นไร” เขากล่าวอย่างเฉยเมยคำหนึ่งฉู่เชียนหลีตะลึงงันครู่หนึ่ง นางกดขี่ท่านโหวน้อย ให้เขาเช็ดพื้นกวาดฝุ่น รังแกเขาอย่างน่าสังเวชเช่นนั้น เขากลับไม่โกรธ?ไม่ควรจะเป็นแบบนี้นี่นาตามหลักแล้ว ภายใต้ความโกรธเขาควรจะพูดว่า‘ฉู่เชียนหลี เจ้ารังแกท่านโหวน้อย ก็เท่ากับ
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!ตลอดหลายปีมานี้ ยังไม่เคยมีหญิงคนใดที่เข้าตาเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉู่เชียนหลีที่หน้าตาอัปลักษณ์ไร้ความงาม!พลันแววตาเฟิงเย่เสวียนเย็นชา สะบัดแขนเสื้อจากไปโดยไม่สนใจฉู่เชียนหลีอีกฉู่เชียนหลี “?”เดี๋ยวก็บอกจะเปลี่ยนยา เดี๋ยวก็ทำหน้าบึ้ง เดี๋ยวก็เดินจากไปอย่างโมโห เหตุใดผู้ชายคนนี้เปลี่ยนหน้าเหมือนพลิกหนังสือเลย แปลกประหลาดเป็นอย่างที่คิด จิตใจผู้ชายเหมือนเข็มใต้มหาสมุทร ไม่อาจคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะ หมุนกายกลับเข้าห้องเฟิงเย่เสวียนเดินออกจากประตูเรือน เมื่อกำลังจะจากไป หางตาก็เหลือบกลับไปมองแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ ก็เห็นฉู่เชียนหลีประคองกำแพง เดินโอนเอนโซเซอย่างระมัดระวังไม่ให้โดนบาดแผล ท่าทางเจ็บปวดลำบากมากคิ้วดาบของเขาขมวด ไม่รู้ทำไม เขาก้าวเท้ายาวราวกับปีศาจสิงสู่กลับไปโอบเอวของนางไว้“ว้าย!”ถีบประตู เข้าห้องฉู่เชียนหลีสะดุ้งตกใจ “ท่านอ๋องกลับมาอีกทำไม?”เมื่อเห็นเฟิงเย่เสวียนอุ้มนางตรงไปที่ตั่งนอน ร่างกายหดเกร็ง “ข้าเปลี่ยนยาเองได้!”“อย่าขยับ” แขนของเขากอดนางไว้อย่างมั่นคง และหลีกเลี่ยงบาดแผลได้อย่างมีไหวพริบ น้ำเสียงที่ทุ่มต่ำมีความเผด็จการแ
จนกระทั่งพลบค่ำ จุดชีพจรคลายออกเองฉู่เชียนหลีที่คงท่าเดิมไว้สามชั่วยามเต็มเหนื่อยจนอ่อนล้า พริบตาที่สามารถขยับตัว ร่างกายเหมือนถูกสูบแรงทั้งหมดออกไป นางนอนคว่ำลงบนเตียงอย่างอ่อนปวกเปียก น้ำตาหลั่งไหลออกมาทันทีหลั่งน้ำตาดั่งสายน้ำพลันก็เริ่มร้องเพลงด้วยความเสียใจ“หักหลังความรักของฉัน เธอเป็นหนี้ทางจิตสำนึก ท้ายที่สุดฉันที่ถูกรังแกอย่างน่าสังเวช น้ำตาก็ไหลรินลงมา…”เยว่เอ๋อร์กุมปากอย่างปวดใจ เบ้าตาแดงก่ำพระชายาที่น่าสงสาร…ท่านอ๋องปฏิบัติต่อพระชายาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?ฉู่เชียนหลีที่เรี่ยวแรงกลับมาบ้างแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น กินข้าวหมดไปห้าชามในอึดใจเดียว จึงจะรู้สึกว่าพลังชีวิตกลับมาเล็กน้อย นางนั่งหน้ากระจกสัมฤทธิ์ พลางลูบปานบนใบหน้า ครุ่นคิดว่ายังเหลือกระสายยาชนิดสุดท้าย :หญ้าเหมันต์ขอแค่หาหญ้าชนิดนี้เจอ ก็สามารถแก้พิษแต่หญ้าชนิดนี้เติบโตในสถานที่หนาวมาก ท่ามกลางหิมะน้ำแข็ง สามารถค้นพบแต่เก็บไม่ได้ เพราะมันไม่สามารถออกห่างจากหิมะ เมื่อไรที่ถูกถอนออกมา ไม่เกินสองชั่วยามก็จะเหี่ยวเฉา เมื่อเหี่ยวเฉาก็จะสูญเสียสรรพคุณ เป็นของที่หายากมากนี่เป็นปัญหาที่ยากมากเยว่เอ๋อร
จวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่จัดงานเลี้ยงวันเกิด เชิญขุนนางในราชสำนัก มิตรสหาย และรวมถึงบุคคลที่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จะว่าแขกเยอะก็ไม่เยอะ จะว่าน้อยก็ไม่น้อย และนับว่าจัดได้ค่อนข้างมีระดับแขกเดินขวักไขว่ บ่าวไพร่งานยุ่ง จับกลุ่มคุยกันจุดละสองสามคน ก็นับว่าคึกคัก“พระชายาอ๋องเฉินถึงแล้ว…”ในอากาศ หลังจากเสียงรายงานของเด็กรับใช้ดังขึ้น แทบทุกคนหันไปมองข้างนอกโดยไม่ได้นัดหมายภายใต้การจ้องมองของดวงตาหลายสิบคู่ ตรงประตู รองเท้าปักลายดอกไม้คู่หนึ่งก้าวเข้ามา จากนั้นก็ตามมาด้วยร่างที่เพรียวบางของหญิงสาว สายตามองขึ้นข้างบน ใบหน้าถูกปิดด้วยผ้าคลุมหน้า เผยให้เห็นเพียงดวงตาสีดำที่มีชีวิตชีวาคู่หนึ่งชุดสีขาวหนุนเสริมกลิ่นอายของความสะอาดและบริสุทธิ์ ภายใต้การสะท้อนของแสงเทียน โครงหน้าผอมบางปรากฏให้เห็นอย่างเลือนลาน ปานถูกปกปิดไร้รอยรั่ว เส้นผมสามพันเส้นถูกรวบขึ้นอย่างสบายๆ หญิงสาวก้าวเข้าไปอย่างสุขุมสง่างาม ท่าทางสบายๆ นั้นเหมือนแมวเปอร์เซียที่ผ่อนคลาย ทำให้ตรงหน้าทุกคนเปล่งประกายนี่…ผู้หญิงที่มีราศีเปล่งปลั่งคนนี้เป็นหญิงอัปลักษณ์ของตระกูลฉู่? เป็นพระชายาอ๋องเฉินที่ไม่ได้รับความโปรดปราน?
ในงานเลี้ยง มีแขกไม่น้อย ฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างผ่อนคลาย จีบชา กินแตงโม นับว่าค่อนข้างสบายจุดที่ไม่ไกลออกไป มีสายตาหลายคู่มองมาทางนี้ และกระซิบพูดอะไรบางอย่าง“นางแต่งไปสามเดือนกว่าแล้ว ไม่เคยได้รับความโปรดปราน ยังมีหน้ากลับจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่อีก”“หากข้าให้กำเนิดลูกสาวเช่นนี้ แม้แต่ข้าก็รู้สึกอับอาย อยากตัดความสัมพันธ์เสียเดี๋ยวนี้…”“แต่ว่า…”ประโยคที่กระซิบกระซาบบางคำเข้าหูฉู่เชียนหลี สีหน้าของนางเฉยเมย ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้ามากนัก ควรจะทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้นแต่เยว่เอ๋อร์ร้อนใจเล็กน้อยแล้ว “พระชายา…”ฉู่เชียนหลี “ดื่มชา”หากต้องถือสาคำพูดของทุกคน จะไม่เหนื่อยตายหรอกหรือ?ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่คนเหล่านี้พูดล้วนเป็นความจริงนอกเรือน ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าหลายสายดังขึ้น สายตาของทุกคนทยอยหันไปมอง คนที่ลุกขึ้นก็ลุกขึ้น คนที่ก้าวออกไปก้าวออกไป ทำให้เกิดความฮือฮาไม่น้อยฉู่เชียนหลีก็หันไปมองเช่นกันเป็นหญิงสาวชุดแดงคนหนึ่ง พริบตาที่นางปรากฏตัว ราวกับดวงดาวและดวงจันทร์สาดส่องแสง ใบหน้าที่งดงามเชิดขึ้นอย่างมั่นใจ ร่างสูงเอวบาง ระหว่างคิ้วมีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์
ฉู่เชียนหลีเปิดฝาถ้วยออก เป่าความร้อนตามขอบถ้วย แล้วจิบอย่างสบายๆ หนึ่งที จึงจะค่อยๆ ยกเปลือกตาขึ้น เหมือนผู้สูงวัยน้อยที่ขี้เกียจ พลันกล่าวอย่างเกียจคร้าน“ฮืม ที่แท้เป็นพี่รองกับคุณชายหานนี่เอง”สายตาของหานมู่ซีมองนางอย่างลึกซึ้งไม่ได้เจอกันนาน…เมื่อก่อน นางเรียกเขาว่าพี่มู่ซี…“พี่มู่ซี” ฉู่ซวงควงแขนชายหนุ่ม กล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน “รีบนำบัตรเชิญออกมาให้น้องหญิงสี่สิ”หานมู่ซีหลุบตาหลบโดยไม่รู้ตัวแต่ฉู่ซวงได้ล้วงบัตรเชิญออกจากแขนเสื้อของชายหนุ่มอย่างมือว่องตาไวแล้ว นางยื่นให้ฉู่เชียนหลี ยิ้มดั่งดอกไม้“น้องสี่ รอพี่มู่ซีสอบเสร็จ ก็เป็นวันมงคลของพวกเรา ถึงเวลาเจ้าต้องมานะ มากับท่านอ๋องเฉิน”รอยยิ้มนั้นหวาน คำพูดที่พูดออกมากลับเหมือนมีดที่แหลมคมสองเล่มมีดเล่มแรก นางแย่งคู่รักที่รู้จักกันตั้งแต่เด็กของฉู่เชียนหลี และยังมาอวดต่อหน้าฉู่เชียนหลีมีดเล่มที่สอง เน้นย้ำเรื่องที่หลังจากฉู่เชียนหลีแต่งงานกับอ๋องเฉิน ไม่เคยได้รับความโปรดปรานหากเป็น ‘ฉู่เชียนหลี’ คนก่อน เห็นภาพนี้กับตาตนเอง ต้องโมโหจนตายทั้งเป็นแน่แต่ ‘ฉู่เชียนหลี’ ในตอนนี้ไม่ใช่ ‘ฉู่เชียนหลี’ ในวันวาน นางในวันนี