เกิดเรื่องมือสังหารขึ้น จิ่งอี้คุ้มครองฉู่เชียนหลีกลับจวนด้วยตนเอง จนกระทั่งส่งถึงตรงหัวมุมของประตูใหญ่จวนอ๋อง จึงจะหยุดลงทว่าทั้งสองกลับไม่ได้สังเกต…ทางฝั่งถนนสายยาว“นายหญิง ท่านดู นั่นไม่ใช่พระชายาหรือ?” เป่าอวี้ประคองเซียวจือฮว่า สังเกตเห็นฉู่เชียนหลีอย่างตาดี และยังมีชายแปลกหน้าอีกคน!ครั้งนี้ดูไม่ผิดแน่เป็นผู้ชายจริงๆ!ไม่ใช่ท่านอ๋อง!เซียวจือฮว่ามองเห็นอย่างชัดเจนจริงๆ นางอดไม่ได้ที่จะจับมือเป่าอวี้แน่นขึ้นด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย ดีใจจนร่างกายสั่นเทาเบาๆ“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้ดูผิด ครั้งก่อนฉู่เชียนหลีแอบนัดพบผู้ชายที่โรงน้ำชาก็เป็นเรื่องจริง แต่ท่านอ๋องกลับไม่ยอมเชื่อข้า และยังคิดว่าข้าใจแคบ จงใจให้ร้ายนาง”เป่าอวี้ก็ตื่นเต้นมากเช่นกันยังคิดว่าผู้ชายที่พระชายาแอบคบหาคือคุณชายตระกูลหานเสียอีก คาดคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นคนอื่นพระชายาช่างไร้ยางอายนัก!ขอแค่เปิดเผยเรื่องนี้ ชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ของพระชายาก็จะเป็นที่รู้กันทั่ว ถึงตอนนั้นชื่อเสียงป่นปี้ อับอายขายหน้า หนังสือหย่าหนึ่งแผ่น นายหญิงก็จะเป็นคนรักเพียงหนึ่งเดียวของท่านอ๋องเป่าอวี้จะวิ่งเข้าไปด้วยความตื่นเ
ฉู่เชียนหลีหันกลับไปโดยไม่รู้ตัว ยังไม่ทันมองชัดก็เห็นเงาสีขาวสั่นไหว วินาทีต่อมาเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ กระแทกเข้าไปในอ้อมกอดร่างหนึ่งอย่างแรง“เดินเร็วขนาดนี้ ไม่รอข้าเลย”เฟิงเย่เสวียนหยิกเอวเล็กของนางทีหนึ่ง แสดงความไม่พอใจ เขาไม่พอใจ?ฉู่เชียนหลีต่างหากที่ไม่พอใจเงยหน้ากล่าว “ข้าเดินช้าขนาดนั้น ใครจะรู้ว่าเจ้าเดินไปเดิน เดินหลงเสียอย่างนั้น ข้าไม่ไปหาเจ้า เจ้าก็มาหาข้าไม่เป็นหรือ?”“ท่านจะผูกข้าไว้กับสายรัดเอวของท่านหรืออย่างไร? ท่านสูงตั้งเมตรเก้าสิบ ไล่ตามข้าที่เป็นขาหัวไชเท้าส่วนสูงเมตรหกสิบห้าไม่ทัน?”คำพูดที่ถามกลับสองสามประโยค ทำเอาเขาพูดไม่ออกเฟิงเย่เสวียนชะงักเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงจะกล่าว“เป็นข้าที่ไม่ดีเอง”ตอนอยู่นอกวัง มัวแต่ส่องกระจกถอนผมหงอก จนไม่รู้ตัวว่าเมียของตัวเองเดินหลง“เดิมทีข้าอยากไล่ตามเจ้า แต่รองแม่ทัพเจียงมากะทันหัน ข้าก็เลยต้องไปที่ค่ายทหาร มีธุระเร่งด่วนนิดหน่อย”“จัดการเรียบร้อยแล้ว?”“อืม” เขาโอบเอวเล็กของนาง ดึงคนเข้ามาในอ้อมกอด “ทำงานเสร็จก็รีบกลับมาทันทีเลย ไม่อยากให้เชียนหลีคิดถึงข้า คิดถึงนานเกินไป”“?”คำพูดที่หลงตัวเองเช่นนี้
“ตอนนี้น่าจะไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมแล้วกระมัง? พระชายาของข้า”เฟิงเย่เสวียนวางโต๊ะเครื่องแป้งลงครั้งที่สิบห้า เชิดหน้าขึ้น สายตาที่ลึกซึ้งราวกับหมาป่ามองไปทางฉู่เชียนหลี เลียริมฝีปากบางเบาๆ อย่างชั่วร้ายเสียงที่เปล่งออกมาเบามากซ่า…หนังศีรษะฉู่เชียนหลีชาอย่างน่าประหลาด ร่างกายหดเกร็ง เมื่อเห็นเฟิงเย่เสวียนยกเท้า นางเดินถอยหลังครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว“รอก่อน”สายตาของนางขยับซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว “ข้า…”“ยังมี…”มองดูเฟิงเย่เสวียนเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ส้นเท้าของนางชนโดนมุมเตียง พลันยืนไม่มั่นคง นั่งลงบนขอบเตียง“อ๊า”เพิ่งนั่งลง กลิ่นปอเหอบนตัวเฟิงเย่เสวียนก็ลอยมาเตะจมูก พลันร่างกายหนัก ถูกกดทับลงบนเตียงอย่างไม่สามารถขยับตัว มีเพียงเท้าคู่นั้นที่ขยับกระดึ๊บๆ อยู่ตรงนั้นเมื่อเงยหน้าก็ประสานดวงตาสีหมึกที่มีรอยยิ้มลึกของเขา ด้ายเส้นที่อยู่ในใจตึงตรงฉับพลัน สองมือยันหน้าอกของเขาไว้ถูกเขาจ้องจนเริ่มตื่นตระหนกเสียงก็เริ่มติดอ่างอย่างไม่เป็นธรรมชาติ“ข้า ข้า…เฟิงเย่เสวียน ข้าหิวแล้ว…”เฟิงเย่เสวียนเผยอริมฝีบาง จับคางของนางอย่างเบามือ “ไม่ต้องรีบ จะป้อนเดี๋ยวนี้”“ความหมายของข้าคือ
“เจ้า!” เขามองนางอย่างตะลึงงัน“ดูเหมือนความจำของท่านอ๋องจะดีจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ไม่เล่นเป็นเพื่อนแล้ว บ๊ายบาย!”ฉู่เชียนหลีเผยอริมฝีปากยิ้ม กระโดดเด้งลงจากเตียง ตบก้น เชิดหน้ายืดอกก็ไปเลย“ฉู่เชียนหลี!”ทั้งๆ ที่นางรู้อยู่แล้วว่ารอบเดือนของตนเองมา แต่ก็ยังยั่วยวนเขา ผลักร่างกายครึ่งท่อนของเขาไปอยู่บนใบมีด แต่จู่ๆ สะบัดก้นก็ไปเลยนางจงใจ!ตอนนี้นางสะบัดแขนเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี เขากลับถูกมัดไว้บนเตียงอย่างแน่นหนา ขยับตัวไม่ได้ ได้แต่เบิกตากว้างมองดูต่อหน้าต่อตาสายตาที่มืดครึ้มจนถึงขีดสุดจ้องมองแผ่นหลังที่จากไปของนาง กัดฟันตะคอกเสียงเบา“ฉู่เชียนหลี ข้าเป็นคนมีความแค้นต้องชำระ หากแสดงความเป็นมิตรตอนนี้ ข้าสามารถอภัยให้เจ้า หากยังคงดื้อดึงหลงผิด หลังจากนี้เจ็ดวัน ก็คือวันตายของเจ้า!”ฉู่เชียนหลีที่เดินออกไปแล้ว : ไม่ฟังไอ้คนสารเลวพล่ามหรอกถือโอกาสปิดประตูด้วยนางสั่งเยว่เอ๋อร์ “เยว่เอ๋อร์ ท่านอ๋องยุ่งมาทั้งวัน ตอนนี้เหนื่อยมากแล้ว เขากำลังพักผ่อน จะนอนถึงพรุ่งนี้ ห้ามเข้าไปรบกวนเขา หากเขาพูดอะไร เจ้าไม่ต้องฟัง เขากำลังพูดละเมอ”เฟิงเย่เสวียน “…”เสียงฝีเท้าของสองนายบ่าวค่อย
วันรุ่งขึ้นเช้าตรู่ ในวังหลวงมีราชโองการ แต่งตั้งคุณหนูตระกูลเว่ยเว่ยซืออี๋ และคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ฉู่หงหลวนเป็นพระชายารองรัชทายาท แล้วก็ยังประทานให้ท่านอ๋องคนอื่นหลายคนจวนอ๋องห้องโถงหลัก บนโต๊ะอาหารฉู่เชียนหลีถือชาม จับช้อน กินหมูสับผัดพริกคลุกข้าวคำโตอย่างเอร็ดอร่อยเฟิงเย่เสวียนนั่งอยู่ข้างๆ กวาดมองนางที่กินอย่างเอร็ดอร่อยแวบหนึ่ง ข้าวนั่นถูกพริกคลุกจนเป็นสีแดง เขาขมวดคิ้ว“ตอนเช้าต้องกินอาหารเบาๆ”“คนเซียงหนานอย่างพวกเราไม่เผ็ดไม่ชอบ” หากไม่มีพริก ต่อให้มีอาหารชั้นเลิศวางอยู่ตรงหน้า ก็ไร้รสชาติ“เซียงหนาน?”——ก็ที่ที่ฉันอยู่เมื่อชาติที่แล้วไง บ้านนอก“เซียงหนานอะไร? ข้ากำลังพูดถึงตะวันออกเฉียงใต้ ตระกูลฉู่ก็อยู่ตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่หรือ ท่านพูดมากจัง”“...”เมื่อไรถึงจะรู้จักเกรงใจเขาบ้าง?กวาดมองปานขนาดใหญ่ของนางแวบหนึ่ง ใบหน้ายังคงอัปลักษณ์เหมือนเดิม แววตาลึกซึ้งอย่างคลุมเครือหลายส่วน ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อยทันใดนั้นก็ยกแขนยาวขึ้น จับคางฉู่เชียนหลีไว้อย่างแม่นยำ ดึงเข้ามาจูบหนึ่งที ตอนที่พ่อบ้านเข้ามาก็เห็นภาพนี้พอดี เขาปิดปากโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าดูเยอะแ
แม้แต่คนเดียวก็อย่าคิด ยังจะเอาสิบคน? น้องหมูทีมผลิตยังไม่มากขนาดนี้เลย!พลันฉู่เชียนหลีโยนสมุดพับทิ้ง “เจ้าจนขนาดนี้แล้ว มันช่างข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงจริงๆ ไปซื้อของตามตลาดมอบให้รัชทายาทพอแล้ว”พ่อบ้าน : พระชายา สำนวนข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงไม่ได้ใช้เช่นนี้นะ“พระชายา สถานะท่านอ๋องสูงศักดิ์ หากมอบพวกของราคาถูก เกรงว่าไม่สอดคล้องสถานะ ผู้อื่นจะหัวเราะเยาะเอา…”“หัวเราะ? ใครหัวเราะ?”เวลามอบของขวัญแสดงความยินดี ห่อไว้ในกล่อง มีเพียงคนของจวนรัชทายาทเท่านั้นที่รู้อีกอย่าง รัชทายาทชั่วเช่นนั้น ใช้กลอุบายกับพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า“จะเอาของดีอะไร? รัชทายาทไม่คู่ควร!”“!”โอ๊ย พระชายาของข้า เสียงเบาหน่อย! คำพูดเช่นนี้ก็กล้าพูด เขายังอยากมีชีวิตนานขึ้นอีกปีสองปีหลังจากกินข้าวเสร็จ ฉู่เชียนหลีก็ลากเฟิงเย่เสวียนออกไปซื้อของแสงแดดดีมาก ไม่จำเป็นต้องใช้รถม้า ทั้งสองพลางเดินย่อยอาหาร พลางเถียงกัน“ซื้อกระโถนกลางคืน[footnoteRef:1]ให้เขา” [1: กระโถนที่ใช้ถ่ายหนักเบาเวลากลางคืน] “เชียนหลีเลิกเล่นได้แล้ว”“จวนเขามีผู้หญิงเยอะขนาดนั้น ทำการบ้านทันหรือ? หรือไม่ซื้อเหว่ยเกอ[foo
“ไม่ได้รับอนุญาตจากท่านอ๋อง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้า!” เสียงของทหารยามทั้งสองเย็นชาและแข็งกระด้าง ไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาแม้แต่น้อยเซียวจือฮว่าเดินเข้าไปด้วยความโกรธ“เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสียเถอะ ข้าก็อยากรู้เช่นกัน ว่าอารมณ์ของพวกเจ้าแข็ง หรือดวงของข้าแข็งกว่า!”“ข้าอาศัยอยู่จวนอ๋องเฉินมานานหลายปี คิดไม่ถึงว่า พวกเจ้าจะเป็นสุนัขที่เลี้ยงไม่เชื่อง!”นางยื่นคอออกไปด้วยความโกรธ จะชนใบมีดกระบี่ขอแค่ได้รับบาดเจ็บ นางก็สามารถกลับจวนอ๋องเฉินอย่างเปิดเผยแล้ว!เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากทหารยามสองคนสบตากันแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นเก็บกระบี่ เข้าจวน ปิดประตู ทุกการกระทำเสร็จในอึดใจเดียวปัง!พลันประตูกระแทกเข้ามา เซียวจือฮว่าสูดฝุ่นเข้าเต็มปอดอย่างไม่ทันตั้งตัว สีหน้าคล้ำม่วงน่าเกลียดราวกับกินแมลงวันเข้าไปหนึ่งตัวตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้ทันทีที่สูญเสียความโปรดปราน แม้แต่สุนัขรับใช้ก็กล้ารังแกนาง และยังไม่อนุญาตให้นางเข้าจวนอีก ความอัปยศอดสูเช่นนี้ ราวกับนางถูกจับแก้ผ้าเปลือยต่อหน้าผู้คนบัดซบ!เกลียดชัง!นางกำสองมือแน่น โมโหจนตัวสั่น ทว่าไม่มีที่ระบาย เบ้าตาแดงก
หลังโต๊ะมังกร สีหน้าฮ่องเต้เริ่มเคร่งขรึม ดูตัวเลขมากมายบนสมุดบัญชีอย่างละเอียด ถามอย่างไม่กล้าเชื่อ“ความหมายของเจ้าคือเราไม่มีเงินแล้ว?”“เราใช้จ่ายอย่างประหยัดมัธยัสถ์เช่นนี้ กางเกงหนึ่งตัวใส่แปดปี ขาดแล้วก็ไม่ยอมเปลี่ยน เงินของเราไปไหนหมดแล้ว? เจ้าช่วยเราดูแลเงิน ดูแลไปดูแลมายิ่งอยู่ยิ่งน้อย แอบยักยอกใช่หรือไม่?”เจ้ากรมคลังได้ยินคำพูดนี้ ตกใจจนเกือบหายใจไม่ทัน“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้ายักยอกเงินส่วนพระองค์พ่ะย่ะค่ะ!”“แล้วใครเอาไป?”“เรื่อง เรื่องๆ…” เขากลัวจนหน้าซีด เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดออกมา“ฝ่าบาท จริงที่พระองค์ทรงประหยัดมาก รักราษฎรเหมือนบุตร หลายสิบปีมานี้ ไม่เคยขึ้นภาษี ยอมให้ตัวเองลำบากไปบ้าง ก็ต้องให้ราษฎรของตัวเองมีชีวิตที่ดี”เจ้ากรมคลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว“แต่ แต่…พระองค์ใจกว้างเกินไป…ไม่ว่าจะงานเลี้ยงเล็กใหญ่ หรือสร้างผลงานทรงประทานรางวัล แค่โบกมือ ทองคำก็ถูกประทานออกไปดังสายน้ำ…หรือพระองค์ทรงลืมไปแล้ว…”ฮ่องเต้นึกย้อนอย่างละเอียด ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้จริงแต่ว่าเขายังไม่อยากยอมรับความจริงที่ตนเองไม่มีเงินอยู่ดีเขาเป็นฮ่องเต้ จักรพรรดิแห่ง
แผนการดำเนินไปอย่างราบรื่นวันรุ่งขึ้น ตอนเย็น ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักเจาหยางถอนกำลังจริงๆ ฉู่เชียนหลีอุ้มลูกไปถึงสถานที่นัดหมายกับฉู่เจียวเจียว ขึ้นรถม้าคันหนึ่งที่ออกจากวังเพื่อไปซื้อวัตถุดิบอาหารด่านตรวจประตูวังทหารรักษาพระองค์จะตรวจสอบ แต่ขันทีที่ขับรถม้ามีสิทธิพิเศษผ่านทาง จึงสามารถออกจากวังหลวงอย่างราบรื่นรถม้าแล่นไปถึงตรอกแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีรถม้าจอดอยู่หนึ่งคันรถม้าสองคันแล่นขนานกัน และตอนที่ไม่มีคนสังเกต คนบนรถม้ากระโดดจากรถม้าคันนี้ ไปยังรถม้าคันนั้นเวลานี้ รถม้าแยกทางกันที่ปลายถนนคันหนึ่งแล่นไปทางซ้าย คันหนึ่งแล่นไปทางขวาฉู่เจียวเจียวยืนอยู่บนหอคอยสูง มองดูจากระยะไกล เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้ว เผยอมุมปากอย่างเย็นชาฉู่เชียนหลี เจ้ารนหาที่ตายเอง!“ลงมือ!”ทหารรักษาพระองค์เคลื่อนไหวทันที!ในเมืองหลวง ผู้คนสัญจรไปมา ใกล้จะปีใหม่แล้ว พ่อค้าขายของปีใหม่เยอะเป็นพิเศษ ถนนทั้งสายทั้งคึกคักทั้งเบียดเสียด“หยุดรถ”รถม้าจอดตรงหน้าตรอกแห่งหนึ่งที่มีคนค่อนข้างน้อย ฉู่เชียนหลีอุ้มลูกลงจากรถม้า วิ่งเข้าไปในตรอก หาร้านค้าร้านหนึ่งที่ไม่สะดุดตาป้ายหน้าประตูร้า
ฉู่เชียนหลีประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดนี้เฟิงเจิ้งหลีกักตัวนางนานเช่นนี้ ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากนางกับจื่อเยี่ย ควบคุมเฟิงเย่เสวียนในวันข้างหน้า ฉู่เจียวเจียวกลับยินดีปล่อยนาง?“ข้าจริงจัง”น้ำเสียงฉู่เจียวเจียวเย็นชา“เจ้าเดินเตร่ไปเตร่มาใต้จมูกข้าทุกวัน มันขัดตาข้า มันกวนใจข้า ชีวิตเจ้าไม่มีความสุข ชีวิตข้าก็ไม่มีความสุข เหตุใดไม่สงเคราะห์กันและกันล่ะ?”นางส่งเขาออกไปนางคืนฝ่าบาทให้เขา“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่?” ฉู่เชียนหลีถาม “เมื่อฝ่าบาทรู้เรื่องนี้ เจ้าจะดับความโกรธของเขาอย่างไร?”“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้ามีวิธีของข้า ไม่เช่นนั้น ข้าก็ไม่ต้องเป็นฮองเฮาแล้ว”ส่งฉู่เชียนหลีออกวัง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้นางยังทำได้“ฉู่เชียนหลี เจ้าลองคิดดูดีๆ”“ครึ่งปีมานี้ สถานการณ์สงครามคับขัน เพื่อที่จะช่วยเจ้า เฟิงเย่เสวียนยอมหันกระบี่ใส่ฝ่าบาท ถ้าหากเจ้ากลับไปอยู่ข้างกายเฟิงเย่เสวียน สองกองทัพสงบ เจ้ากับข้าก็จะมีชีวิตที่ดี”“เหตุใดเจ้าต้องจับฝ่าบาทไม่ยอมปล่อย?”ฉู่เจียวเจียววิเคราะห์เสียงเย็นนางทนไม่ไหวกับชีวิตแม่หม้ายเช่นนี้แล้ว มีเพียงฉู่เชียนหลัไ
เพียะ!ก่อนที่ฝ่ามือจะตบลงมา ฉู่เชียนหลีคว้าข้อมือของนางไว้อย่างแม่นยำ “ดูผู้ชายของตัวเองไม่ดีเอง ไม่ควรทบทวนปัญหาของตัวเองก่อนหรือ?”นางยิ้มอย่างเย้ยหยัน“ฉู่เจียวเจียว เจ้านี่มันไม่ไหวจริงๆ รู้จักแต่ระบายความโกรธใส่ข้า มัดใจของผู้ชายไม่ได้ ต่อให้ข้าไปแล้ว ก็ยังมีข้าอีกเป็นหมื่นเป็นพัน”สีหน้าฉู่เจียวเจียวน่าเกลียดมาก“ฉู่เชียนหลี!”นางพูดเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนี้อย่างมั่นใจได้อย่างไร? น่ายกย่องมากเลย?นางยั่วยวนฝ่าบาทโดยที่หน้าไม่แดง ไม่รู้สึกผิด หน้าตายเช่นนี้ได้อย่างไร?ใต้ฟ้า เหตุใดจึงมีคนที่ไร้ยางอายเช่นนี้?ฉู่เชียนหลียิ้ม “อีกอย่างนะ เขาเป็นฮ่องเต้ สามตำหนักหกเรือน เจ็ดสิบสองสนม ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ? เจ้าในฐานะฮองเฮา จิตใจคับแคบเช่นนี้ได้อย่างไร?”“กรี๊ดๆ!”ฉู่เจียวเจียวโมโหจนกรีดร้อง ยกมืออีกข้างก็เหวี่ยงออกไปทันทีฉู่เชียนหลีเอี้ยวตัวไปด้านข้าง หลบพร้อมกับคว้ามือของนางไว้“ฉู่เชียนหลี เจ้ามันหน้าไม่อาย! เจ้ามันเป็นของเก่าที่เคยหลับนอนกับเฟิงเย่เสวียน มีสิทธิ์อะไรมาเข้าใกล้ฝ่าบาท! ต่อให้ฝ่าบาทมีสามตำหนักหกเรือน นั่นก็ล้วนเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์!”“ใช่สิ ฝ่า
“นม!”เจ้าหนูน้อยโบกมืออย่างจริงจังและดื้อรั้น เหมือนกำลังเป็นปรปักษ์กับนาง ใบหน้าน้อยๆ มุดเข้าไปในอก สองมือก็ดึงทั้งๆ ที่กินอิ่มแล้ว ยังจะมุดเข้าไปในอกนางอีกเมื่อนางกำนัลที่อยู่ข้างๆ เห็น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“แม่นางฉู่ พระนัดดาองค์โตติดท่านจัง เหมือนท่านจึงจะเป็นแม่แท้ๆ ของเขา…”กล่าวจบ รู้ตัวว่าพลั้งปาก นางตกใจจนหน้าซีด รีบหุบปากทันที มีข่าวลือจากโลกภายนอกเกี่ยวกับตัวตนของพระนัดดาองค์โตราษฎรวิภากษ์วิจารณ์ มารดาบังเกิดเกล้าของพระนัดดาองค์โตคือฉู่เชียนหลี ไม่ใช่ฉู่เจียวเจียว และก็มีคนคิดว่าคือฉู่เจียวเจียวเช่นกัน แต่สำหรับสถานการณ์โดยรวม ทุกคนถกเถียงกันเงียบๆ ในวังก็มีข้อกังขาเช่นกัน คนที่รู้ความจริงก็มีน้อยมากฉู่เชียนหลีเพียงแค่ยิ้มแล้วยิ้มอีก ไม่ได้ถือสาการพลั้งปากของนางกำนัล“อีอา…”เจ้าหนูน้อยมุดอยู่ในอ้อมแขนของนางครึ่งค่อนวัน ล้วงป้ายหยกมังกรชิ้นหนึ่งออกมาแกว่งเล่นฉู่เชียนหลีจับมือน้อยๆ ของเขาอย่างหมดหนทาง“ท่านบรรพบุรุษน้อย ของสิ่งนี้เล่นไม่ได้ นี่เป็นของที่ฮ่องเต้มอบให้ข้า”ป้ายหยกมังกร!เมื่อนางกำนัลอีกคนเห็นของสิ่งนี้ เบิกปากกว้างด้วยความตกใจ นี่เป็นของที่
หัวข้อสนทนาการเฉลิมฉลองปีใหม่ได้เปลี่ยนเป็นเรื่องสงคราม สีหน้าเฟิงเจิ้งหลีเคร่งขรึม“เจ้าคุยเล่นไม่เป็น”ฉู่เชียนหลียิ้มแล้วยิ้มอีก เสยผมที่ข้างหูขึ้น“เจ้าไม่คุยกับข้าก็ได้ แต่เหมือนเจ้ามักจะชอบมาหาเรื่องไม่สบอารมณ์ใส่ตัวเองที่ข้า”“...”ก็จริงทุกครั้งที่อยู่กับนาง ตอนมาอารมณ์ดี ตอนกลับยากจะควบคุมอารมณ์เฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองท่าทางที่คิดไม่ดีไม่ร้ายของนาง รู้ว่านางจงใจ ถ้าหากโมโหจริงๆ ก็สมใจนางแล้วเขาพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์“ข้าชอบถูกทรมาน”คำตอบนี้พอใจแล้วกระมังฉู่เชียนหลี ‘อืม’ คำหนึ่ง ยิ้มจนคิ้วโก่ง “ถ้าหากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ถึงเวลาเจ้าผลักพวกเราสองแม่ลูกออกไปก็พอ มีข้ากับจื่อเยี่ยอยู่ เฟิงเย่เสวียนไม่มีทางชนะ”นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ส่วนซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงอย่างไรไว้ในแววตา ไม่มีใครสามารถคาดเดา มองไม่ออก เดาไม่ถูกเฟิงเจิ้งหลีเงียบไปครู่หนึ่ง“ข้าไม่มีเจตนาใช้ประโยชน์จากเจ้า”ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้ว เอาคำพูดที่น่าฟังเหล่านี้ไปพูดให้ผีฟังเถอะนี่ก็นานมากแล้ว จื่อเยี่ยนอนกลางวันน่าจะตื่นแล้วฉู่เชียนหลีถือตำราแพทย์ หมุนกายเดินลงจากหอคอย มุ่งหน้าไปยังทิศทางขอ
เวลาผ่านไปเร็วมาก วันแล้ววันเล่า พริบตาเดียว ก็กลายเป็นวันที่หนาวที่สุดของฤดูหนาวปีนี้หิมะตกแล้วสภาพอากาศมืดครึ้ม มีเกล็ดหิมะตกลงมาจากบนท้องฟ้า บางคนกางร่ม บางคนดึงเสื้อให้กระชับ บางคนซุกมืออยู่ในแขนเสื้อ ต่างคนต่างเดินอย่างเร่งรีบบนหอคอยของประตูวังฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มีตำราแพทย์เล่มหนึ่งกางอยู่บนหัวเข่า เกล็ดหิมะที่เขาบริสุทธิ์ตกลงบนผมของนาง ดวงตาที่หลุบลงนั่น ท่าทางที่ตั้งใจอ่านตำรานั่น ดูสงบเป็นพิเศษเฟิงเจิ้งหลียืนห่างออกไปห้าหกเมตร เฝ้าดูอยู่ไกลๆ ไม่อยากเข้าไปรบกวนนางนางยกมือ รับเกล็ดหิมะสองสามก้อนไม่นานก็ละลายกลายเป็นน้ำบนฝ่ามือเย็นๆเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ พริบตาเดียวก็ปีใหม่แล้วนั่งอยู่บนหอคอยทุกวัน เฝ้าดูราษฎรที่เดินผ่านไปมา ฟังพวกเขาสนทนากัน อ่านตำราแพทย์ เลี้ยงลูก แม้ชีวิตสงบ แต่ก็ไม่น่าเบื่อนางให้ความสนใจเรื่องสงครามอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากเมืองเทียนสู่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของแคว้นตงหลิง แตะต้องส่งเดช รากฐานเสียหาย ศึกนี้ยืดเยื้อมาเป็นเวลาสองเดือนเต็มๆ ยังไม่เริ่มปะทะกันถอนสายตากลับ มองตำราแพทย์ พลิกหน้ากระดาษอย่างไม่ใส่ใจ ตอนเหลือบม
อวิ๋นอิงหุบปาก หลุบตาลง ไม่ได้พูดอะไรต่อจิ่งอี้อุ้มเด็กไว้ สายตามองท้องที่นูนเล็กน้อยของนาง หมื่นพันคำพูดติดอยู่ในลำคอ มุมปากเผยอขึ้นอย่างขมขื่นเขาแค่อยากพูดคุยกับนางเป็นห่วงนาง มองดูนาง ต่อให้นางระบายอารมณ์ใส่เขา ในใจของเขาก็ยังรู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ใช่ทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้าอาศัยเด็ก เขาเข้าใกล้นางอย่างระมัดระวัง“เจ้า…ช่วงนี้กินยาดีๆ หรือไม่? ร่างกายยังดีหรือไม่?”อวิ๋นอิงขมวดคิ้ว ไม่พูด ไม่ตอบ เหมือนไม่ได้ยิน“ลูกทรมานเจ้าหรือไม่?”“อวิ๋นอิง…”จู่ๆ นางก็เดินเข้าไปแย่งเด็กคืนมา หมุนกายกล่าว “ถ้าคุณชายจิ่งไม่มีธุระอะไร ก็รีบไปเถอะ ตอนนี้เหมือนทุกคนจะยุ่งมากกระมัง”นางส่งแขกอย่างห่างเหินนางยังคงไม่อยากพูดอะไรกับเขามากสีหน้าจิ่งอี้ขมขื่น มองแผ่นหลังที่ผอมบางของนาง “อวิ๋นอิง ขอบคุณมากที่เจ้ายอมเก็บเด็กคนนี้ไว้”เด็กคนนี้คือสะพานเพียงหนึ่งเดียวระหว่างพวกเขาเขาไม่กล้าคิดเลยว่านางจะยอมคลอดเด็กคนนี้ออกเขารู้ว่าความผิดที่ตัวเองทำไม่สมควรให้อภัย และไม่กล้าขอให้นางให้อภัย หวังเพียงสามารถมองดูนางกับลูกมีความสุข แม้เขาต้องสูญเสียทุกอย่างก็ยินดี“ขอบคุณมาก…”“ขอบคุณเจ้าจริงๆ…
อวิ๋นอิงเข้าไปในเรือนอีกหลังหนึ่งมีเสียงร้องไห้ของเด็กดังออกมาจากภายในห้อง เว่ยซีนอนอยู่ในเปลโยก เพิ่งกินอิ่ม เรียบร้อยมาก ไม่ร้องไห้ไม่งอแง กำลังเล่นกระดิ่งในมืออย่างมีความสุขกลับกันเป็นลู่ฉินที่ร้องไห้ไม่หยุดเสียวอู่อุ้มนางไว้ ทั้งป้อนนม ทั้งกล่อม ทั้งเดินไปเดินมา ทั้งอุ้ม ทั้งตบ วิธีที่ใช้ได้ก็ใช้จนหมดแล้ว ก็ยังไม่สามารถกล่อมนางหยุดร้องไห้ได้ เหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัวเมื่อเห็นผู้มา ก็เหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต รีบกล่าว“พี่อวิ๋นอิง คุณหนูรองร้องไห้ไม่หยุดเลย ข้าไม่รู้จะกล่อมอย่างไรแล้ว ควรทำอย่างไรดี!”“เอามาให้ข้าอุ้ม”อวิ๋นอิงวางถาดลงบนโต๊ะ รับลู่ฉินน้อยมา เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง เริ่มกล่อมเบาๆ“เอายามาให้ข้า”หัวใจของลู่ฉินไม่ปกติตั้งแต่เกิด ก่อนหน้านี้คิดว่าเพราะพระชายาตั้งครรภ์ลูกฝาแฝด ลู่ฉินได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ตอนนี้มาคิดดู น่าจะเป็นเพราะตอนที่ฉู่เจียวเจียวตั้งครรภ์ ขาดความสุข อารมณ์ไม่ดี กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ดังนั้นลูกที่เกิดมาจึงไม่แข็งแรงถูกฉู่เจียวเจียวบีบจนเป็นโรคความผิดของผู้ใหญ่ ส่งผลกระทบต่อเด็กที่ไม่รู้อะไรเสียวอู่ถือชามยาเข้ามา หลังจากเป่าจนเย็น ก
เวลานี้ห่างออกไปพันลี้ ดินแดนเจียงหนาน สี่ฤดูดั่งวสันตฤดู สภาพอากาศอบอุ่น เป็นสถานที่อยู่อาศัยและพักผ่อนชั้นเยี่ยม เจียงหนานทำเนียบมีการเฝ้าอย่างแน่นหนา คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ เหล่าทหารสวมชุดเกราะ อาวุธครบมือ เฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา มีคนวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นระยะ แม้แต่ในอากาศก็เต็มไปด้วยอารมณ์ของความกดดันและเคร่งขรึม ภายในห้องหนังสือภาพแผนที่แคว้นตงหลิงติดอยู่บนกำแพง บนนั้นถูกทำเครื่องหมาย วาดวงกลม ปักธงเล็กๆ และอื่นๆหลายเส้นทาง สองมือเฟิงเย่เสวียนยันอยู่บนโต๊ะ กำลังอธิบายแผนการเดินทัพครั้งต่อไปอย่างเป็นระเบียบมีคนนั่งจนเต็มทั้งสองด้านของโต๊ะยาว พวกเขาตั้งใจฟัง พยักหน้าเป็นระยะ“รวบรวมกำลังทหารพร้อมแล้ว พวกเราจะโจมตีเมืองเทียนสู่เมื่อไร?” ผู้ว่าการเจียงหนานถาม“ผู้คนในเมืองเทียนสู่ล้วนเป็นราษฎรของแคว้นเรา เพื่อลดความเสียหายให้ได้มากที่สุด ข้าขอแนะนำให้เจรจาก่อน แล้วค่อยโจมตี” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมคนของสำนักอู๋จี๋ก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน ทุกคนช่วยกันออกแรงหานอิ๋งกล่าว“ตลอดทางที่ฝ่ามา พวกเราอยากใช้วิธีที่สันติ แต่เฟิงเจิ้งหลียอมหรือ? เขาไม่เพียงไม่ยอม และยังใช