ฉู่เชียนหลีหันกลับไปโดยไม่รู้ตัว ยังไม่ทันมองชัดก็เห็นเงาสีขาวสั่นไหว วินาทีต่อมาเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ กระแทกเข้าไปในอ้อมกอดร่างหนึ่งอย่างแรง“เดินเร็วขนาดนี้ ไม่รอข้าเลย”เฟิงเย่เสวียนหยิกเอวเล็กของนางทีหนึ่ง แสดงความไม่พอใจ เขาไม่พอใจ?ฉู่เชียนหลีต่างหากที่ไม่พอใจเงยหน้ากล่าว “ข้าเดินช้าขนาดนั้น ใครจะรู้ว่าเจ้าเดินไปเดิน เดินหลงเสียอย่างนั้น ข้าไม่ไปหาเจ้า เจ้าก็มาหาข้าไม่เป็นหรือ?”“ท่านจะผูกข้าไว้กับสายรัดเอวของท่านหรืออย่างไร? ท่านสูงตั้งเมตรเก้าสิบ ไล่ตามข้าที่เป็นขาหัวไชเท้าส่วนสูงเมตรหกสิบห้าไม่ทัน?”คำพูดที่ถามกลับสองสามประโยค ทำเอาเขาพูดไม่ออกเฟิงเย่เสวียนชะงักเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงจะกล่าว“เป็นข้าที่ไม่ดีเอง”ตอนอยู่นอกวัง มัวแต่ส่องกระจกถอนผมหงอก จนไม่รู้ตัวว่าเมียของตัวเองเดินหลง“เดิมทีข้าอยากไล่ตามเจ้า แต่รองแม่ทัพเจียงมากะทันหัน ข้าก็เลยต้องไปที่ค่ายทหาร มีธุระเร่งด่วนนิดหน่อย”“จัดการเรียบร้อยแล้ว?”“อืม” เขาโอบเอวเล็กของนาง ดึงคนเข้ามาในอ้อมกอด “ทำงานเสร็จก็รีบกลับมาทันทีเลย ไม่อยากให้เชียนหลีคิดถึงข้า คิดถึงนานเกินไป”“?”คำพูดที่หลงตัวเองเช่นนี้
“ตอนนี้น่าจะไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมแล้วกระมัง? พระชายาของข้า”เฟิงเย่เสวียนวางโต๊ะเครื่องแป้งลงครั้งที่สิบห้า เชิดหน้าขึ้น สายตาที่ลึกซึ้งราวกับหมาป่ามองไปทางฉู่เชียนหลี เลียริมฝีปากบางเบาๆ อย่างชั่วร้ายเสียงที่เปล่งออกมาเบามากซ่า…หนังศีรษะฉู่เชียนหลีชาอย่างน่าประหลาด ร่างกายหดเกร็ง เมื่อเห็นเฟิงเย่เสวียนยกเท้า นางเดินถอยหลังครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว“รอก่อน”สายตาของนางขยับซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว “ข้า…”“ยังมี…”มองดูเฟิงเย่เสวียนเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ส้นเท้าของนางชนโดนมุมเตียง พลันยืนไม่มั่นคง นั่งลงบนขอบเตียง“อ๊า”เพิ่งนั่งลง กลิ่นปอเหอบนตัวเฟิงเย่เสวียนก็ลอยมาเตะจมูก พลันร่างกายหนัก ถูกกดทับลงบนเตียงอย่างไม่สามารถขยับตัว มีเพียงเท้าคู่นั้นที่ขยับกระดึ๊บๆ อยู่ตรงนั้นเมื่อเงยหน้าก็ประสานดวงตาสีหมึกที่มีรอยยิ้มลึกของเขา ด้ายเส้นที่อยู่ในใจตึงตรงฉับพลัน สองมือยันหน้าอกของเขาไว้ถูกเขาจ้องจนเริ่มตื่นตระหนกเสียงก็เริ่มติดอ่างอย่างไม่เป็นธรรมชาติ“ข้า ข้า…เฟิงเย่เสวียน ข้าหิวแล้ว…”เฟิงเย่เสวียนเผยอริมฝีบาง จับคางของนางอย่างเบามือ “ไม่ต้องรีบ จะป้อนเดี๋ยวนี้”“ความหมายของข้าคือ
“เจ้า!” เขามองนางอย่างตะลึงงัน“ดูเหมือนความจำของท่านอ๋องจะดีจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ไม่เล่นเป็นเพื่อนแล้ว บ๊ายบาย!”ฉู่เชียนหลีเผยอริมฝีปากยิ้ม กระโดดเด้งลงจากเตียง ตบก้น เชิดหน้ายืดอกก็ไปเลย“ฉู่เชียนหลี!”ทั้งๆ ที่นางรู้อยู่แล้วว่ารอบเดือนของตนเองมา แต่ก็ยังยั่วยวนเขา ผลักร่างกายครึ่งท่อนของเขาไปอยู่บนใบมีด แต่จู่ๆ สะบัดก้นก็ไปเลยนางจงใจ!ตอนนี้นางสะบัดแขนเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี เขากลับถูกมัดไว้บนเตียงอย่างแน่นหนา ขยับตัวไม่ได้ ได้แต่เบิกตากว้างมองดูต่อหน้าต่อตาสายตาที่มืดครึ้มจนถึงขีดสุดจ้องมองแผ่นหลังที่จากไปของนาง กัดฟันตะคอกเสียงเบา“ฉู่เชียนหลี ข้าเป็นคนมีความแค้นต้องชำระ หากแสดงความเป็นมิตรตอนนี้ ข้าสามารถอภัยให้เจ้า หากยังคงดื้อดึงหลงผิด หลังจากนี้เจ็ดวัน ก็คือวันตายของเจ้า!”ฉู่เชียนหลีที่เดินออกไปแล้ว : ไม่ฟังไอ้คนสารเลวพล่ามหรอกถือโอกาสปิดประตูด้วยนางสั่งเยว่เอ๋อร์ “เยว่เอ๋อร์ ท่านอ๋องยุ่งมาทั้งวัน ตอนนี้เหนื่อยมากแล้ว เขากำลังพักผ่อน จะนอนถึงพรุ่งนี้ ห้ามเข้าไปรบกวนเขา หากเขาพูดอะไร เจ้าไม่ต้องฟัง เขากำลังพูดละเมอ”เฟิงเย่เสวียน “…”เสียงฝีเท้าของสองนายบ่าวค่อย
วันรุ่งขึ้นเช้าตรู่ ในวังหลวงมีราชโองการ แต่งตั้งคุณหนูตระกูลเว่ยเว่ยซืออี๋ และคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ฉู่หงหลวนเป็นพระชายารองรัชทายาท แล้วก็ยังประทานให้ท่านอ๋องคนอื่นหลายคนจวนอ๋องห้องโถงหลัก บนโต๊ะอาหารฉู่เชียนหลีถือชาม จับช้อน กินหมูสับผัดพริกคลุกข้าวคำโตอย่างเอร็ดอร่อยเฟิงเย่เสวียนนั่งอยู่ข้างๆ กวาดมองนางที่กินอย่างเอร็ดอร่อยแวบหนึ่ง ข้าวนั่นถูกพริกคลุกจนเป็นสีแดง เขาขมวดคิ้ว“ตอนเช้าต้องกินอาหารเบาๆ”“คนเซียงหนานอย่างพวกเราไม่เผ็ดไม่ชอบ” หากไม่มีพริก ต่อให้มีอาหารชั้นเลิศวางอยู่ตรงหน้า ก็ไร้รสชาติ“เซียงหนาน?”——ก็ที่ที่ฉันอยู่เมื่อชาติที่แล้วไง บ้านนอก“เซียงหนานอะไร? ข้ากำลังพูดถึงตะวันออกเฉียงใต้ ตระกูลฉู่ก็อยู่ตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่หรือ ท่านพูดมากจัง”“...”เมื่อไรถึงจะรู้จักเกรงใจเขาบ้าง?กวาดมองปานขนาดใหญ่ของนางแวบหนึ่ง ใบหน้ายังคงอัปลักษณ์เหมือนเดิม แววตาลึกซึ้งอย่างคลุมเครือหลายส่วน ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อยทันใดนั้นก็ยกแขนยาวขึ้น จับคางฉู่เชียนหลีไว้อย่างแม่นยำ ดึงเข้ามาจูบหนึ่งที ตอนที่พ่อบ้านเข้ามาก็เห็นภาพนี้พอดี เขาปิดปากโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าดูเยอะแ
แม้แต่คนเดียวก็อย่าคิด ยังจะเอาสิบคน? น้องหมูทีมผลิตยังไม่มากขนาดนี้เลย!พลันฉู่เชียนหลีโยนสมุดพับทิ้ง “เจ้าจนขนาดนี้แล้ว มันช่างข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงจริงๆ ไปซื้อของตามตลาดมอบให้รัชทายาทพอแล้ว”พ่อบ้าน : พระชายา สำนวนข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงไม่ได้ใช้เช่นนี้นะ“พระชายา สถานะท่านอ๋องสูงศักดิ์ หากมอบพวกของราคาถูก เกรงว่าไม่สอดคล้องสถานะ ผู้อื่นจะหัวเราะเยาะเอา…”“หัวเราะ? ใครหัวเราะ?”เวลามอบของขวัญแสดงความยินดี ห่อไว้ในกล่อง มีเพียงคนของจวนรัชทายาทเท่านั้นที่รู้อีกอย่าง รัชทายาทชั่วเช่นนั้น ใช้กลอุบายกับพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า“จะเอาของดีอะไร? รัชทายาทไม่คู่ควร!”“!”โอ๊ย พระชายาของข้า เสียงเบาหน่อย! คำพูดเช่นนี้ก็กล้าพูด เขายังอยากมีชีวิตนานขึ้นอีกปีสองปีหลังจากกินข้าวเสร็จ ฉู่เชียนหลีก็ลากเฟิงเย่เสวียนออกไปซื้อของแสงแดดดีมาก ไม่จำเป็นต้องใช้รถม้า ทั้งสองพลางเดินย่อยอาหาร พลางเถียงกัน“ซื้อกระโถนกลางคืน[footnoteRef:1]ให้เขา” [1: กระโถนที่ใช้ถ่ายหนักเบาเวลากลางคืน] “เชียนหลีเลิกเล่นได้แล้ว”“จวนเขามีผู้หญิงเยอะขนาดนั้น ทำการบ้านทันหรือ? หรือไม่ซื้อเหว่ยเกอ[foo
“ไม่ได้รับอนุญาตจากท่านอ๋อง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้า!” เสียงของทหารยามทั้งสองเย็นชาและแข็งกระด้าง ไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาแม้แต่น้อยเซียวจือฮว่าเดินเข้าไปด้วยความโกรธ“เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสียเถอะ ข้าก็อยากรู้เช่นกัน ว่าอารมณ์ของพวกเจ้าแข็ง หรือดวงของข้าแข็งกว่า!”“ข้าอาศัยอยู่จวนอ๋องเฉินมานานหลายปี คิดไม่ถึงว่า พวกเจ้าจะเป็นสุนัขที่เลี้ยงไม่เชื่อง!”นางยื่นคอออกไปด้วยความโกรธ จะชนใบมีดกระบี่ขอแค่ได้รับบาดเจ็บ นางก็สามารถกลับจวนอ๋องเฉินอย่างเปิดเผยแล้ว!เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากทหารยามสองคนสบตากันแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นเก็บกระบี่ เข้าจวน ปิดประตู ทุกการกระทำเสร็จในอึดใจเดียวปัง!พลันประตูกระแทกเข้ามา เซียวจือฮว่าสูดฝุ่นเข้าเต็มปอดอย่างไม่ทันตั้งตัว สีหน้าคล้ำม่วงน่าเกลียดราวกับกินแมลงวันเข้าไปหนึ่งตัวตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้ทันทีที่สูญเสียความโปรดปราน แม้แต่สุนัขรับใช้ก็กล้ารังแกนาง และยังไม่อนุญาตให้นางเข้าจวนอีก ความอัปยศอดสูเช่นนี้ ราวกับนางถูกจับแก้ผ้าเปลือยต่อหน้าผู้คนบัดซบ!เกลียดชัง!นางกำสองมือแน่น โมโหจนตัวสั่น ทว่าไม่มีที่ระบาย เบ้าตาแดงก
หลังโต๊ะมังกร สีหน้าฮ่องเต้เริ่มเคร่งขรึม ดูตัวเลขมากมายบนสมุดบัญชีอย่างละเอียด ถามอย่างไม่กล้าเชื่อ“ความหมายของเจ้าคือเราไม่มีเงินแล้ว?”“เราใช้จ่ายอย่างประหยัดมัธยัสถ์เช่นนี้ กางเกงหนึ่งตัวใส่แปดปี ขาดแล้วก็ไม่ยอมเปลี่ยน เงินของเราไปไหนหมดแล้ว? เจ้าช่วยเราดูแลเงิน ดูแลไปดูแลมายิ่งอยู่ยิ่งน้อย แอบยักยอกใช่หรือไม่?”เจ้ากรมคลังได้ยินคำพูดนี้ ตกใจจนเกือบหายใจไม่ทัน“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้ายักยอกเงินส่วนพระองค์พ่ะย่ะค่ะ!”“แล้วใครเอาไป?”“เรื่อง เรื่องๆ…” เขากลัวจนหน้าซีด เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดออกมา“ฝ่าบาท จริงที่พระองค์ทรงประหยัดมาก รักราษฎรเหมือนบุตร หลายสิบปีมานี้ ไม่เคยขึ้นภาษี ยอมให้ตัวเองลำบากไปบ้าง ก็ต้องให้ราษฎรของตัวเองมีชีวิตที่ดี”เจ้ากรมคลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว“แต่ แต่…พระองค์ใจกว้างเกินไป…ไม่ว่าจะงานเลี้ยงเล็กใหญ่ หรือสร้างผลงานทรงประทานรางวัล แค่โบกมือ ทองคำก็ถูกประทานออกไปดังสายน้ำ…หรือพระองค์ทรงลืมไปแล้ว…”ฮ่องเต้นึกย้อนอย่างละเอียด ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้จริงแต่ว่าเขายังไม่อยากยอมรับความจริงที่ตนเองไม่มีเงินอยู่ดีเขาเป็นฮ่องเต้ จักรพรรดิแห่ง
พูดจบ เขาก้าวขึ้นบรรดา เดินไปทางฉู่เชียนหลีฉู่เจียวเจียวยืนตะลึงงันอยู่ตรงที่เดิม มองดูผู้ชายที่เฉยเมยต่อนางเหมือนน้ำแข็ง แม้แต่คืนแต่งงานที่สมบูรณ์แบบก็ไม่เคยมอบให้ นั่งลงข้างกายฉู่เชียนหลี ใบหน้าที่อ่อนโยนเชิดขึ้น แม้แต่นางก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มเวลานี้หัวใจของนางราวกับแตกสลาย…ทางระเบียงยาวฉู่เชียนหลีถามด้วยรอยยิ้ม “อ๋องหลี ท่านช่างไร้เดียงสาจริงๆ เรียกท่านมาท่านก็มา ไม่กลัวข้าใช้กลอุบายกับท่านหรือ?”ไร้เดียงสา?หากนางชอบพลันเฟิงเจิ้นหลียิ้มอย่างสง่า ชุดสีขาวช่วยหนุนให้เขาดูสง่างามเป็นพิเศษ แม้แต่ชายเสื้อก็ไม่มีเศษฝุ่นแม้แต่น้อย ต่อให้แต่งกายเรียบง่าย แต่มีกลิ่นอายที่สูงศักดิ์และไร้มลทินแผ่กระจายอยู่รอบตัว ทำให้ไม่สามารถมองข้ามเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากพระชายาอ๋องเฉินต้องการ ตกหลุมพรางแล้วอย่างไร?”คำพูดที่เหมือนจริงแต่ไม่จริง ดวงตาที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนจ้องนาง ในดวงตาราวกับดอกท้อบานสิบลี้ อ่อนโยนจนสามารถบีบเค้นออกมา“ฮ่าๆๆ!”ฉู่เชียนหลีเรียกเขามาพูดคุย เพียงเพราะไม่ชอบหน้าฉู่เจียวเจียวก็เท่านั้นนางอันไม่ยอมบอกความจริงนาง ไม่ให้นางได้อยู่อย่างสงบสุข เช่นนั้นแม่ลูกคู่นี้ก็อย