ในที่สุดเขาก็ทำงานล่วงเวลามากมายจนเสร็จ แล้วถวายฎีกาลาพักร้อนยาว ๆ ให้ฮ่องเต้แบบไม่บอกไม่กล่าว รีบพาภรรยาสุดที่รักหนีมาหาบุตรชาย ก่อนที่พังพอนเหลืองบ้าอำนาจจะส่งทหารมาหิ้วเขากลับไปช่วยงาน
หานเฟยมองสามีที่ซูบผอมไปเพราะงานหนัก ก็คีบอาหารเอาใจสามีที่ดูเหมือนจะน้อยใจตัวเองไม่น้อย “อาฟงทานเยอะ ๆ”
เสนาบดีใหญ่อ้าปากให้ฮูหยินป้อนอาหารให้อย่างพออกพอใจ รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่ทุ่มเทคุ้มค่ากับการดูแลใส่ใจของภรรยาจริง ๆ ช่างมีความสุขอะไรเยี่ยงนี้
สภาพแวดล้อมรอบข้างไม่ส่งผลต่อบรรยากาศรักใคร่ของสองสามีภรรยาแม้แต่น้อย พวกเขาตั้งใจพักผ่อน คือพักผ่อนอย่างไม่สนใจผู้อื่น
แต่มีชายหน้าตาหมองคล้ำ ดวงตาลึกโบ๋อย่างคนพักผ่อนไม่เพียงพอ กวาดสายตาไปทั่วเหลาอาหารชั้นล่าง เมื่อเห็นสิ่งที่มันสนใจก็เดินตรงเข้าไปทันที
มันเดินเข้ามาที่โต๊ะที่จูเหวินฟงและหานเฟยนั่งทานอาหารรอบุตรชายอยู่ เอามือคร่อมโต๊ะและจ้องมองหญิงสาวอย่างจาบจ้วงด้วยสายตาหื่นกระหายไม่สนใจฟ้าดิน เนื้อผ้าชั้นดีที่ห่อหุ้มร่างกายไม่สามารถปิดมารยาทที่เลวทรามได้ มันมีชื่อว่า หลี่อี๋ ญาติผู้น้องของหลี่เจิ้นสุ่ย ศิษย์หลักของเทียนถูหวู่คนนั้น
ชาวบ้านในโรงเตี๊ยมเมื่อเห็นหน้าคร่าตามัน ต่างลุกขึ้นหนีออกห่างจากมันไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย เนื่องจากมันเป็นลูกชายขุนนางที่มียศสูงในเจียงตงและเป็นลูกหลานของเสนาบดีหลี่แห่งราชอาณาจักรซีเว่ย มีลูกพี่ลูกน้องเป็นลูกชายบุญธรรมของเจ้าสำนักศึกษาเทียนถูหวู่
ใครที่มีเรื่องด้วยต่างประสบเคราะห์กรรมครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่ามันจะพอใจและไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย เพราะต่างกลัวจะโดนลูกหลง
“ข้าอยากเชิญแม่นางไปร่วมโต๊ะกับข้าจะได้หรือไม่” น้ำเสียงเชิงบังคับปนข่มขู่ออกมาจากปากของหลี่อี๋
“เกรงว่าท่านจะทำเช่นนั้นกับภรรยาข้าไม่ได้”
จูเหวินฟงส่งสายตาท้าทายไปให้ทันทีที่ประโยคนั้นหลุดออกมา บรรยากาศเยือกเย็นชวนน่าหวาดหวั่น สร้างความอึดอัดกับผู้เห็นเหตุการณ์ที่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าส่งเสียง เขาถือถ้วยน้ำชาจิบอย่างใจเย็น
เวลานี้เลยยามโหย่วมาครึ่งชั่วยามแล้ว สองพี่น้องอยู่หน้าโรงเตี๊ยมใหญ่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านใน จึงพากันรีบเข้าไปด้านใน
เยี่ยหยางรีบก้าวเข้าไปดูว่า ใครกล้าก่อความวุ่นวายในที่ของเขา เสี่ยวเอ้อร์ที่ทำหน้าที่ต้อนรับหน้าโรงเตี๊ยม แม้ไม่เคยเห็นหน้านายใหญ่ แต่ป้ายหยกที่บ่งบอกตัวตนบวกกับรูปลักษณ์โดดเด่น ที่เขาเคยได้ยินมาตลอดก็รีบเดินตามหลังนายท่านเข้าไป
เกิดเรื่องแล้ว!
เสี่ยวเอ้อหน้าเสีย ร้อยวันพันปีนายท่านไม่คิดจะแวะมาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ปล่อยให้ผู้ดูแลเป็นผู้บริหารจัดการ แต่ทันทีที่นายท่านเหยียบหน้าประตู หลี่อี๋ที่ปกติไม่ค่อยแวะที่นี่ หรือถ้าแวะเจ้าตัวก็ไม่ได้มีสภาพเมาหาเรื่องเช่นนี้ เพราะยำเกรงในชื่อเสียงของสมาคมการค้าเหวินชา
แต่วันนี้ที่จู่ ๆ นายท่านอยากปรากฏตัวที่โรงเตี๊ยม คุณชายหลี่ผู้นี้กลับแสดงพฤติกรรมน่ารังเกียจนี้ต่อหน้านายท่านที่สูงส่งยึดมั่นคุณธรรม
ตาย ๆ คุณชายหลี่ตายแน่ๆ
ผู้ดูแลที่ลงมาชั้นล่างของโรงเตี๊ยม เมื่อได้รับแจ้งว่าบุตรชายท่านเจ้าเมือง กำลังระรานแขกลูกค้า ก็รีบลงมาดูแลจัดการ แต่เท้ายังไม่เหยียบพื้นชั้นล่างดี เขาก็เห็นนายท่านที่ห้อยป้ายหยกแสดงตัวตนกำลังเดินเข้ามา
ฉิบหายแล้วไง!
สีหน้านายท่านยิ้มกว้างรอยยิ้มนำมา ในเหวินชาต่างลือกันว่านี่เป็นรอยยิ้มหายนะ ดูท่าแล้วคุณชายหลี่ขวัญกล้าผู้นี้คงมีชีวิตอยู่ไม่สงบสุขอีกแล้ว แม้ว่าพวกเขากีดกันคนผู้นี้ไปหลายครั้ง แต่บางครั้งก็หลุดเข้าไปสร้างเรื่องให้กับโรงเตี๊ยมอยู่เรื่อย ครานี้วีรกรรมคงจบสิ้นลงแล้ว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แกไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร”
แกไม่รู้แล้วข้าจะรู้หรือไงฮะ ไอ้โง่ / แกไม่รู้แล้วข้าจะรู้หรือไงฮะ ไอ้โง่ ความคิดของสามพ่อลูกสายเลือดเดียวกันดังขึ้น
“ถ้าท่านไม่ทราบ แล้วข้าหรือจะทราบ ข้าแนะนำให้ท่านพบหมอ ถ้าท่านจำไม่ได้แม้กระทั่งตัวเอง” จูเหวินฟงตอบเสียงเรียบกลับไป เรียกสีหน้าแดงฉานด้วยความโกรธของหลี่อี๋เป็นอย่างดี
“แ แก..แก” หลี่อี๋รู้สึกขายหน้า ใบหน้าเขาสีแดงเขียวสลับกันมีสีหน้าถมึงทึง “จัดการมัน”
เสียงสั่งการบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังของหลี่อี๋ ก็มาล้อมรอบคนทั้งสองทันที ผู้คนต่างตีตัวออกห่าง พลางสังเกตการณ์จากด้านข้างไม่ขอเอี่ยว มองชายหญิงที่ดูก็รู้ว่าเป็นสามีภรรยากันว่าทั้งคู่จะรับมืออย่างไร
“หยุด พวกแกจะทำอะไร” คนสนิทที่ติดตามจูเหวินฟงก้าวมาด้านหน้า พร้อมปกป้องเจ้านายเหมือนกับผู้เป็นภรรยาที่เป็นสาวใช้คนสนิทของหานเฟยที่ตอนนี้ยืนข้างนายหญิงอย่างเตรียมพร้อม
พวกเขาทั้งสองต่างตกใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ อีกทั้งตอนนี้ผู้คุ้มกันและคนอื่น ๆ ไปพักผ่อนตามคำสั่งของท่านเสนาบดีจู จึงไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเขา
พวกลูกสมุนหลี่อี๋เข้ามาดึงกระชากคนรับใช้คนสนิทและภรรยาออกไปด้วยความรุนแรง จนทั้งสองล้มกระแทกกับพื้น เพื่อให้นายของมันเข้าไปหาหานเฟยได้สะดวก
เยี่ยหยางที่เห็นหน้าท่านพ่อท่านแม่ หลังจากกันมานานนับสิบปีได้ ยังไม่ทันจะได้พูดจากัน ไอ้บ้าหลี่อี๋ที่คราวก่อนมาดักซุ่มทำร้ายพวกเราพี่น้อง บัญชีนี้หักลบกลบหนี้ยังไม่กระจ่าง ยังมีหน้ามากล้ามาทำรุ่มร่ามกับแม่เขา คนผู้นี้นับเป็นศัตรูบนทางแคบของเขาดี ๆ รี่เอง
หลี่อี๋!!! เจ้าช่างกล้ามาก ๆ
หึ ดีมาก...ตระกูลหลี่ใช่หรือไม่
ข้ายิ่งไม่ชอบหน้าตาแก่หลี่อยู่ รวบข้อหานี้เหมารวมไปด้วยเลย - คนพี่
ไอ้ขยะ กล้าดียังไงมาพูดจาเสียงดังขู่แม่ข้า แกต้องเจอดีแน่ - คนน้องสองพี่น้องเดินเข้าไปกลางวงคนพี่ยืนข้างผู้พ่อ คนน้องยืนข้างผู้เป็นแม่พร้อมลุยทุกเมื่อ
“ถอยออกไปซะ ถ้าแกไม่อยากตาย” เสียงขู่เล็ก ๆ ที่ยังไม่แตกพานดังขึ้นมาจากข้างหญิงสาว
“โอ๊ะโอ๋...ศิษย์น้อง น้ำหน้าอย่าแกจะทำอะไรข้าได้”
หลี่อี๋ไม่ฟังคำขู่ของจูเฉิงเยว่พร้อมกันนั้นกับเอื้อมมือโสโครกจะไปจับข้อมือหานเฟย แต่ถูกผลักออกด้วยพลังลมปราณฝีมือของจูเหวินฟง จนเซไปด้านหลัง ดีที่ลูกน้องมันยืนรับไว้อยู่ไม่อย่างนั้นคาดว่าตัวมันคงลงไปคลุกฝุ่นกับพื้นไปแล้ว
“นี่แก!!!” หลี่อี๋รวบรวมพลังปราณยุทธระดับอัคราจารย์ยุทธขั้นเจ็ด ดูเหมือนว่ามันจะมีระดับขั้นสูงกว่า จูเหวินฟงถูกซัดด้วยฝ่ามือไร้รอย เข้าเต็มหน้าอกอย่างที่เขาไม่ทันตั้งตัว ตัวเขาปลิวกระแทกทับโต๊ะอาหารหักเป็นเศษไม้ จนกระอักเลือดออกมาแล้วหมดสติไปทันที
“หึ อ่อนหัด”
“แกทำร้ายท่านพ่อ” คุณชายน้อยรีบลุกเข้าไปประคองจูเหวินฟง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มหมดสติไปถึงกับโกรธมากทันที
“เฉิงเอ๋อร์ระวัง อย่าลูก…”
ท่านแม่ออกโรงด้วยตนเอง ไม่ทันที่หานเฟยได้พูดกล่าวเตือน จูเฉิงเยว่ก็ยืนประจันหน้ากับหลี่อี๋ทันทีในฐานะบุรุษคนหนึ่งที่ปกป้องมารดา แต่เยี่ยหยางกลับขวางไว้ แล้วดันน้องน้อยไปด้านหลังพร้อมกับกระซิบบอก “ดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ให้ดี พี่จัดการกับมันเอง” เฉิงเยว่พยักหน้างึก ๆ ยิ้มกว้างมองแผ่นหลังพี่ชายที่ยืนด้านหน้าปกป้องเขาอย่างมีความสุข เขารู้ว่าพี่รับมือไอ้หลี่อี๋ได้สบาย ๆ อยู่แล้ว เสี่ยวเอ้อร์ที่เห็นนายท่านใหญ่จะลงมือ รีบกุลีกุจอไปแจ้งผู้ดูแลร้านว่าท่านประธานมาและเตรียมเช็ดกวาดมนุษย์ขยะผู้นี้ ก็เจอผู้ดูแลร้านที่กำลังเรียกกำลังคนเตรียมพร้อมสนับสนุนผู้เป็นนายทุกเมื่อซุ่มอยู่อีกด้านเอ่อ…เขาไม่ต้องแจ้งเถ้าแก่แล้ว เหล่าลูกน้องที่อยู่ภายใต้อาณัติของสมาคมเหวินชาที่อยู่เจียงตง ก็รีบรวบรวมผู้คนให้เจ้านายพร้อมใช้สอย เผื่อนายท่านต้องการ แล้วเฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อที่จะได้แทนคุณนายท่าน พวกเขาแม้ไม่เคยพบเจอนายท่านคนนี้ แต่คนผู้นี้กลับมีพระคุณกับพวกมันมาก เยี่ยหยางมองหลี่อี๋อย่างโกรธแค้น ท่านพ่อดูเหมือนจะไม่มีเวทมนตร์ปกป้องอยู่ในตัวเลย คาดว่าเรื่องราวในระนาบมนตราคงจดจำไม่ได้ ร่างกายอ่อนแอถูกมันผลักจนส
...อย่าทำให้ท่านแม่โมโหเด็ดขาด “นี่สำหรับสามีที่น่ารักของข้า ที่เจ้ากล้าลงมือใส่เขา” ฝ่าเท้าของฮูหยินสูงศักดิ์ที่บรรจงแตะให้ตรงจุดเดิม ย้ำที่เดิมด้วยแรงที่มากกว่าเดิมซู้ด!!!“นี่สำหรับลูกชายข้า ที่เจ้าตะคอกใส่จนตกใจ” มารดาที่รักของคุณชายจูเฉิงเยว่ มีแรงเหลือเฟือที่ยกฝ่าเท้ากระทืบลงซ้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอ่า…ซี้ด“จำไว้ อย่ามาให้ข้ากับครอบครัวเห็นหนังหน้าเจ้าอีก ถ้าเจ้ายังอยากเป็นบุรุษที่สมบูรณ์อยู่” หานเฟยเอ่ยเสียงเย็นที่หนาวไปถึงหัวใจบุรุษทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ นางก้าวผ่านสวะที่คิดสกปรกไม่สนใจว่าจะเหยียบอะไรอร๊ากกก ป๊อก!!! เสียงแหกปากร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดดังพร้อมกับสีมือที่ถูกเหยียบบี้บหญิงสาวปัดมือจัดเสื้อผ้าที่ไร้รอยยับ แล้วหันกลับมายิ้มหวานให้ลูกชาย เดินผ่านหลี่อี๋อย่างไม่สนใจว่านางเหยียบถูกมือของมัน ฝูงชนเห็นใจเล็กน้อย ... อ่า ดูท่าแล้วคงจะกระดูกหักเพิ่มอีกตำแหน่ง“พาท่านพ่อเจ้าขึ้นไปด้านบนห้องพักกัน” หานเฟยข่มอารมณ์ปะทุของนางบอกบุตรชายให้ช่วยสามี จากนั้นหันไปหาชางเหอและซูผิงสองสามีภรรยาที่เป็นคนรับใช้คนสนิท สั่งคนไปหาหมอ และเตรียมน้ำเช็ดหน้าเช็ดตัว “ชางเหอเจ้าไปตามหมอ ซูผิ
ไอ้หย๋า....คนนี้ใช่เสนาบดีจูผู้ยิ่งใหญ่รองจากฮ่องเต้ราชอาณาจักรเป่ยฉินใช่หรือไม่ พักนี้ข้าตีสนิทคนดังบ่อยเกินไปแล้ว หัวข้าจะอยู่บนบ่าจนแก่ตายมั้ยเนี่ยมือไม้ของท่านหมอเผิงสมกับคนที่เคยเป็นหมอขึ้นชื่อ ฝีมือยังไม่ตกและไม่กล้าตกใส่หน้าคนเหล่านี้ ที่ยืนประกบระยะใกล้ชิดอยู่ข้างหลังแผ่รังสีใส่เขา จนมือไม้สั่น เผิงเหล่ยนั้นมีระดับลมปราณแค่เพียงระดับปรมาจารย์ยุทธขั้นสูง แต่มากพอสำหรับหมอมากความสามารถคนหนึ่ง กำลังขับเคลื่อนไล่ปราณแปลกปลอมที่แฝงอยู่ในร่างของจูเหวินฟงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างยาวนานลมปราณยุทธแฝงที่กลายเป็นเลือดคลั่งตรงอกกดทับ ทำให้เสนาบดีจูหายใจลำบากหัวใจเต้นผิดจังหวะ ค่อย ๆ เคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวัง จนคนป่วยกระอักเลือดเสียออกมาทางปาก“แค่ก...แค่ก ๆ” ในที่สุดปราณสกปรกก็หมดจากร่างจูเหวินฟง เผิงเหล่ยนั่งหอบอยู่ข้างเตียง เขาเสียพลังงานไปมาก หากใครมาดักทำร้ายเถ้าแก่เผิงตอนนี้เพียงทุบเบา ๆ เขาก็ช้ำในสลบเหมือดให้ปล้นสบาย ๆ เลยเทียว“ตอนนี้นายท่านจูปลอดภัยแล้ว ลมปราณแฝงข้าได้กำจัดเรียบร้อย มีเพียงได้รับบาดเจ็บภายในกระทบถึงอวัยวะภายในตันทั้งห้าและอวัยวะกลวง
ท่านพ่อ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ เยี่ยหยางที่ถูกน้องชายที่น่ารักจู่โจม ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก วันนี้เขาถูกแก้ผ้ามาสองครั้งสองคราภายในวันเดียวกัน ทำไมเฉิงเยว่เปลื้องผ้าผู้คนได้คล่องมือเช่นนี้ น้องชายเขาไปฝึกปรือถอดผ้าจากผู้ใด เห็นทีเขาต้องเข้มงวดคัดกรองน้องสะใภ้ให้ดีแล้วล่ะ หญิงสาวเดินเข้าไปหาลูกชายที่หายสาบสูญ ลูบใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากเป็นส่วนใหญ่อย่างคิดถึงสุดหัวใจของคนที่เป็นมารดาจะให้บุตรได้ “หยางหยาง” หานเฟยจำได้เพียงปานแดงและชื่อเล่นที่เอ่ยเรียกลูกชายเท่านั้น เยี่ยหยางได้ยินมารดาเรียกหาตัวเอง ก็โผเข้าอ้อมกอดมารดาเหมือนเด็กน้อย “ท่านแม่” ในความทรงจำของเขา ท่านพ่อเป็นคนที่เข้มงวดเสมอ เพราะด้วยสถานการณ์ของระนาบมนตราในตอนนั้น ตั้งแต่เขาเริ่มรู้ความ ก็ไม่เคยได้รับอ้อมกอดของคนเป็นพ่ออีกเลย มีแต่คำสั่งสอน คำดุด่าให้เขาได้เตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่พร้อมปะทุตลอดเวลา มีเพียงท่านแม่ที่เป็นคนให้กำลังใจเขา ปลอบโยนโอบกอดเขา และบอกเสมอว่าท่านพ่อที่ไม่แสดงออกมา ก็รักเขาเหมือนกัน คนตัวโตที่กลายเป็นเด็กเกือบจะน้ำตาร่วง แต่เมื่อเงยหน้าเห็นบิดาที่จ้องเขม็งก็หยุดชะงัก เร
เยี่ยหยางไม่รู้ว่าวิธีตรวจสอบแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ เพราะดูยากที่จะเชื่อถือ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้วิธีเดียวกับที่ยืนยันกับเฉิงเยว่แสดงให้บิดาเห็น ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านพ่อลืมเรื่องราวในระนาบมนตราสิ้นจากท่าทีที่แสดงออก เขาจึงขอเวลาในการฟื้นฟูความทรงจำของพวกท่านที่ลืมเลือนอย่างช้า ๆ ไม่ให้เกิดผลกระทบใด ๆ ดีที่น้องชายบอกกล่าวเรื่องทั้งหมดมาก่อน แล้วเขาก็เห็นแล้วว่าพวกท่านจำอะไรไม่ได้จริง ไม่ได้ทำอะไรผลีผลามใช้เวทมนตร์ จนกระตุ้นพลังเวทของพวกท่านทั้ง ๆ ร่างกายบาดเจ็บสายตาสี่คู่มองหยดเลือดสองหยดที่ค่อย ๆ รวมกันเป็นเม็ดใหญ่รอยอยู่ในภาชนะเป็นหนึ่งเดียว ไม่แตกแยก ไม่ตกตะกอนนอนก้น ซึ่งหมายความว่าเยี่ยหยางเป็นบุตรชายของจูเหวินฟง หรือจูเหวินฟง คือ มู่หรงหลงหมิง คือ แมทธิว วินเซอร์ “ฮือ ๆ หยางหยางลูกแม่” จูเหวินฟงเห็นเมียรักน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ กอดรับขวัญบุตรชายคนโต? พลางฟังลูกชายคนเล็ก? เล่าเรื่องราวที่รับรู้มาจากพี่ชายตัวเอง เขาเห็นทีไม่เชื่อจะไม่ได้ ลูกเมียเห่อคนเป็นพี่ชายลูกชายสักขนาดนี้แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่เขายังไม่ยอมรับลูกคนนี้หรอกยังอยู่ในช่วงประเมินคุณภาพ ภาพครอบครัวพ่อแม่ลูก
พวกเขาคุยเล่นกันสักพักใหญ่จนผ่านยามจื่อมาครึ่งชั่วยามแล้ว ตาของท่านแม่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แต่ก็ยังไม่ยอมนอน เยี่ยหยางจึงร่ายเวทหลับใหลให้ท่านแม่น้องชายได้พักผ่อน เพราะท่าทีของทั้งสองคนคืนนี้ คงตั้งใจพูดคุยทั้งราตรี ไม่หลับไม่นอนแน่นอน เฉิงเยว่เองพลังเวทพึ่งปะทุ ร่างกายต้องได้รับการพักผ่อน ไม่อย่างงั้นแกนเวทอาจเสียหายได้เนื่องจากยังไม่สมบูรณ์ ท่านแม่เองก็เดินทางมาไกล แถมเจอเรื่องวิวาทอีก ร่างกายคงเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว เขามองทั้งสองคนหลับจนสนิทแล้ว จึงเดินไปหาบิดาผู้เปล่าเปี่ยวนอนตาค้าง เพราะขาดเมียรักข้างกาย เฮ้อ...ท่านพ่อนอนเถอะ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ คาถาหลับใหลกำลังถูกร่ายใส่จูเหวินฟงที่นอนไม่หลับ เพราะขาดคนข้างกายอีกทั้งแปลกที่แปลกทาง แต่เมื่อเห็นบิดาเข้าห้วงนิทราเขาก็ยกเลิกคาถา อีกทั้งตอนนี้เงียบสงบนัก เหมาะกับการตรวจสอบร่างกายท่านพ่ออย่างละเอียดอีกครั้ง เยี่ยหยางร่ายคาถาเวท เพราะคิดถึงคำเตือนที่เผิงเหล่ยพูดถึงพิษที่ยังอยู่ในร่างบิดา นี่มัน…พิษกลืนวิญญาณ พิษกลืนวิญญาณเป็นพิษร้ายแรงที่กัดกร่อนร่างกายของผู้ต้องพิษ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ตามปริมาณที่ได้รับ หัวใจจะ
หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา “ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม “ดี” เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย” “ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้อ
“ไหน ๆ หมุนตัวให้แม่ดูหน่อยสิลูก”เสียงของหานเฟยดังเข้าลูกชายสองคนที่ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อได้ยินประโยคทะแม่ง ๆ...ใคร?... ใครมาแย่งท่านแม่ของพวกเขาทันทีที่สองพี่น้องเห็นก็เบิกตาถลนกว้าง พวกเขาห่างท่านแม่ไม่ถึงหนึ่งเค่อกับมีเด็กชายร่างอวบอ้วนราวห้าขวบ มาคลอเคลียออดอ้อนออเซาะมารดาพวกเขา เยี่ยหยางแทบอยากพุ่งเข้าไปฉุดเจ้าฉงฉงออกไปห่างจากสายตาท่านแม่ของเขาทันที“หยางหยาง เฉิงเอ๋อร์มาแล้ว” หานเฟยหันไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแต่จูเหวินฟงกลับมีสีหน้าย่ำแย่มืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีบุรุษเพศผู้มาแย่งความสนใจจากภรรยาของเขาเพิ่มอีกแล้ว “เสี่ยวฉงนั่งนี่สิลูก” หานเฟยจัดที่นั่งทานอาหารเช้าให้ ข้างขวามือนางเป็นสามีสุดที่รักที่มีสีหน้าราวกับคนถ่ายไม่ออก ข้างซ้ายเป็นเด็กหนุ่มผมขาวนั่งตาใสอย่างฉงหยิ๋น ถัดจากสามีและเสี่ยวฉงเป็นบุตรชายสองคนที่เริ่มปั้นหน้าคล้ำไม่ต่างจากคนเป็นพ่อฮึ่ม...ฉงฉง / เจ้ากิเลน / เด็กบัดซบ เสียงความคิดของสามบุรุษตระกูลจูบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าที่มีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์ของหนุ่ม ๆ กับใบหน้ายิ้มแป้นเล้นของหนึ่งตัว สตรีคนเดียวในวงคีบอาหารให้ทุกคนกันอย่างท
“เชิญท่านอ๋องกล่าวมาได้เลย ข้าน้อยน้อมรับฟัง” หลี่ไท้หยวนตกตะลึง เขาเพิ่งออกจากศาลยังไม่ถึงสองเค่อดี ข่าวคราวเรื่องนี้ก็ถึงหูท่านอ๋องแล้ว?“เรื่องนี้เฉินไร้คำพูดจากรูปคดีแล้ว สกุลจูเป็นครอบครัวคนเถื่อน ลงมือกับหลี่อี๋ญาติผู้น้องข้าอย่างไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง โทษทัณฑ์คงต้องเป็นไปตามกฎพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองหลี่พูดปดปั้นเรื่องให้เยี่ยหยางฟัง“คนเถื่อน?”“พ่ะย่ะค่ะ”“ดี ดียิ่ง เจ้าพิจารณาได้โปร่งใสดียิ่ง” เยี่ยหยางกัดฟันชมเชยไปหนึ่งประโยค“ท่านอ๋องชื่นชมเกินไปแล้ว” หลี่ไท้หยวนเบาใจที่ชินอ๋องไม่ซักไซ้มัน จึงส่งสัญญาณให้พ่อบ้านที่ยืนรอคำสั่งยกกล่องไม้ปิดทึบเข้ามา“นี่เป็นของขวัญแรกพบเล็ก ๆ น้อยที่เฉินขอมอบให้ท่านอ๋อง” เจ้าเมืองกังฉินเปิดกล่องที่เต็มด้วยตำลึงเงินเต็มกล่อง หวังให้ชินอ๋องเลิกแทรกแซงเรื่องนี้ นิสัยของอ๋องผู้นี้เลื่องลือไปทั่วมีแต่เรื่องฉาว แค่นี้คงพอสำหรับคนเสเพลที่ไม่ทำอันใด“น้ำใจใต้เท้า เปิ่นหวางเองก็ทราบซึ้งใจ แต่บรรพบุรุษว่าไว้เงินทองเป็นของนอกกาย ตายไปใช่ว่าจะเอาไปได้ คำพูดสองประโยคนี้เปิ่นหวางมิอาจมองข้าม ใต้เท้าหลี่อย่าทำให้ข้าต้องหนักใจเลย” เฮอะ...คิดว่าเงินทองแค่นี้จะ
“พวกท่านหน้าคุ้น ๆ นะ” เฉิงเยว่จ้องทั้งสองคนพลางนึกว่าเคยเห็นที่ไหน เขานึกไปถึงคราที่ต้องอาศัยนอนอยู่ที่นี่สองวันสองคืนก็ร้องออกมา “พวกเจ้า!!!”“เสี่ยวเฉิงมีอะไร?”“ต้าเกอสองคนนี้จับข้าขังอยู่ในนี้สองคืน ก่อนที่จะไปเทียนถูหวู่” เฉิงเยว่นึกถึงความอัดอั้นที่ต้องเผชิญ ก็เอ่ยฟ้องพี่ชายแหะ ๆ ...เรื่องนี้ ข้าก็เกือบลืมไปแล้วเจ้าน้องชาย ว่าเคยจับเจ้าโยนใส่กรง เจ้าช่วยลืม ๆ มันไปเถอะ“เอ่อ...เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วให้มันแล้วกันไปเถอะนะ” เยี่ยหยางพูด แล้วลูบหัวเฉิงเยว่ปลอบใจ “ชินอ๋องเองก็เป็นสหายข้า อีกทั้งเขาก็ยังไม่ทำร้ายอะไรเจ้า พี่เห็นว่าเขาเอ็นดูเจ้าแกล้งหนักมือไปเล็กน้อย”สองมือปราบที่ตกอยู่ในสถานการณ์บังคับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง“หึ..” เสียงพ่นลมออกจมูกอย่างงอน ๆ ของเฉิงเยว่ แต่ก็ไม่ได้ถามหาความต่อ“เชิญพวกท่าน” ห้องขังกรงเหล็กทึบหนาอยู่สุดทาง มือปราบจางเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงดีนัก พวกเขาสองคนเคยขังจูเฉิงเยว่มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงรู้ว่าคนทั้งสี่เป็นใคร หลังจากนึกเรื่องสองเดือนก่อนออก อ่าห์…ชายคนนั้นคงเป็นมหาเสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉินที่ฮ่องเต้คบดั่งสหาย ส่วนนางก็คงเป็นฮูหยินตราตั้งน้องสา
หากให้คนในเจียงตงกล่าวถึงหลี่อี๋ พวกเขาคงมีแค่คำกล่าวว่า ไอ้สารเลวให้เท่านั้น “เรียนใต้เท้า ผู้ลงมือคือครอบครัวสกุลจู ที่อยู่ตรงหน้าท่านขอรับ” อ้าว...ทำไมเรื่องกลับตาลปัตรเป็นอย่างนี้ อย่างนี้มันใส่ร้ายกันนี่หว่า ชินอ๋องเลิกคิ้ว เงยหน้ามองมือปราบเจ้าหน้าที่หลวงที่ตาชั่งเอนเอียง เยี่ยหยางหลังจากกินของว่างชิ้นสุดท้ายหมดลงพร้อมกับข้อหาทำร้ายคน มองดูรูปการณ์แล้ว ขุนนางเหล่านี้คิดโยนความผิดให้ครอบครัวเขา อ้อ…ครอบครัวฮ่องเต้ อื้ม คนพวกนี้กล้าหาญกันอยู่นะต่อให้ตอนนี้ท่านพ่อของเขาคือ จูเหวินฟง เสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉิน แต่ความจริงบิดาของเขายังเป็น อดีตชินอ๋อง พี่ชายแท้ ๆ ร่วมครรภ์มารดา สายเลือดเดียวกันกับฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือ อ้า…ถ้าเสด็จอารู้เรื่องเข้า คนพวกนี้จะเป็นเช่นไรน้า ต่อให้เขาเป็นคนลงมือเองในสถานการณ์นี้ ก็เป็นการป้องกันตัว ถือว่าไร้ความผิด ดูท่าคนเหล่านี้อยากเปิดศึกกับอ๋องผู้นี้สินะ อ่าห์...ข้าไม่ได้เล่นสนุก กลั่นแกล้งขุนนางเลวเกือบสองเดือนแล้ว หึ...เปิ่นหวางจะเล่นงิ้วโรงนี้กับพวกเจ้าสักครั้ง “ผู้ลงมือมีนามว่าอะไร” เสียงกระโชกโฮกฮากข่มขู่คุกคาม ไม่ได้ผลใด ๆ กับครอบครั
ครอบครัวตระกูลจูเดินตัวปลิวทำตัวสบาย ๆ ตามมือปราบอย่างไม่เกรงกลัวโทษทัณฑ์ใด ๆ ถือว่าเป็นการมาเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ราชการต่างแคว้น ในเมื่อคนที่เดินนำหน้าเป็นถึงมหาเสนาบดีที่อยู่ใต้คนเป็นคนเดียวแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉิน แม้นี่จะเป็นอาณาเขตราชอาณาจักรซีเว่ย แต่ขุนนางชั้นล่างมีสิทธิ์อำนาจมากแค่ไหน ที่สามารถสั่งลงโทษขุนนางชั้นหนึ่งได้ ต่อให้เป็นคนละแคว้น ศาลเจ้าเมืองเจียงตงจะทำเป็นหนึ่งมือปิดฟ้าได้ไหวหรือ? จะรับคนใหญ่คนโตเช่นคนสกุลจูแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินได้ไหวหรือ?ตามหลังมาด้วยฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง ที่เป็นรองเพียงองค์ไทเฮาและฮองเฮาแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินเท่านั้น ตัวนางเองยังมีอำนาจในมือมากกว่าพระสนมบางคนเสียอีกและที่มือปราบพลาดยิ่งกว่า คงเป็นการเชิญท่านอ๋องบัดซบประจำแคว้นของตัวเองขึ้นศาล ต่อให้เป็นฮ่องเต้ลงมาไต่สวนด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทยังโบกมือปัด ๆ ไล่ปล่อยไปไกล ๆ เลย แต่มือปราบตัวเล็กตัวจ้อยไม่กี่คน คิดลงดาบกับคนที่ฮ่องเต้ยังทำเบลอปล่อยผ่าน ไม่รู้ถ้าพวกมันรู้ความจริงจะสำนึกเสียใจมากแค่ไหนหายนะครั้งใหญ่กำลังเดินทางโหมกระหน่ำ เข้าสู่ศาลเมืองเจียงตงอย่างไม่รู้ตัว คาดว่าจบคดีนี้เจ้าที่ในศ
ในท้ายที่สุดกลายเป็นหวาดกลัวจากก้นลึกของจิตใจ ภาพเบื้องหน้าคนของมันถูกซ้อมปางตาย บางคนวิปลาสทำท่าทำทางยั่วยวนราวกับสตรีซ่องนางโลม จนนายอย่างมันรู้สึกอับอายมากที่สุด และตอนนี้เหลือมันอยู่คนเดียว ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ หนีไปไหนไม่ได้ จูเหวินฟงเดินเข้าไปหาเหยื่อในมาดราชสีห์ขู่กระต่าย มองไปหลี่อี๋ที่น้ำสีเหลืองรดกางเกงสกปรกน่าขยะแขยง ยกมือสั่นเทาชี้หน้าเขา ท่านเสนาบดีใหญ่ยืนห่างออกไปหลายก้าวยกมือปิดจมูก “สกปรก” เยี่ยหยางปิดงานด้วยชั้นหม้อนึ่งที่ไร้ซาลาเปาร่อนกระแทกหน้าหลี่อี๋อย่างจังสลบในทีเดียว “โสโครก”“ข้าเก่งกาจหรือไม่เฟยเฟย” จูเหวินฟงเดินไปหาภรรยายื่นใบหน้าหาฮูหยินตนอย่างออดอ้อน หน้าตาต่างกับเมื่อครู่ริบรับอย่างกับเหยียนหลัวหวางพญายมราชกลายเป็นแกะน้อยผู้บริสุทธิ์“ท่านพี่เก่งกาจที่สุดในสายตาน้อง” ผู้เป็นภรรยาก็มองสามีด้วยสายตาปลาบปลื้มซับเหงื่ออย่างอ่อนโยนถัดออกไปเป็นบุตรชายคนเล็กที่ยืนใกล้ ๆ ทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับการแสดงความรักออกหน้าออกตา ไม่เกรงใจลูกเล็กเด็กแดงบ้างเลย ส่วนบุตรชายคนโตอย่างเยี่ยหยาง ได้แต่ยืนอึ้งที่บิดาเปลี่ยนไปมาก หรือเมื่อก่อนเขาจะไม่ได้สังเกตเอง นี่เขาพลาดสิ่งใดไ
ถ้าไอ้บ้านั่นไม่มายุ่งกับครอบครัวพวกเขา อย่าว่าที่ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่เข้าไปห้าม เพราะนี้เป็นที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ถึงลงมือช่วยแต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ยังเกินขึ้นอยู่ดี ดีไม่ดีความซวยอาจมาเยือนมือช่วยเหลือ อีกทั้งวันนี้ไม่มีบ่าวไพร่ติดตามมา มีเพียงแค่พ่อแม่ลูกและฉงหยิ๋นห้อยท้ายติดขบวนมาด้วย“นายหญิงช่วยข้าน้อยด้วย!!!”หนุ่ม ๆ สกุลจูและเสี่ยวฉงที่อยู่ในร่างเด็กน้อย ถึงกลับกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย นี่พวกเขาก็ยืนหลบแล้ว แม่นางยังคลานมายื่นมีดใส่พวกเขาอีก ครานี้คงต้องเอี่ยวสินะ ก็โจทก์เหม็นเน่าอย่างหลี่อี๋เห็นครอบครัวตระกูลจูไปเรียบร้อย“แก!!!”เฮ้อ...น่าเบื่อ / น่ารำคาญ / งี่เง่า / เสียเวลาบ่าวไพร่หลายสิบคนจำนวนมากกว่าที่เผชิญหน้าสองวันก่อนนั้นหลายเท่าตัว โอบล้อมคนตระกูลจูตามคำสั่งของเจ้านายที่ชิงชังเคียดแค้นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังไม่ร้ายแรง แต่สามารถทำให้เจ้าของร้านหน้าบริเวณที่จะเกิดเรื่อง ถึงกลับหน้าซีดเหงื่อตก รีบไปดูบัญชีที่ต้องใช้ซ่อมแซมร้านครั้งใหญ่อย่างเผิงเหล่ยที่ไม่รู้ว่าปีนี้มีเคราะห์หรือดวงซวยหรือไร พอเกิดเรื่องทีไรเขาต้องถูกลากไปเอี่ยวด้วยเสมอค่าใช้จ่ายค
อาหารมื้อเช้าจบลงอย่างมีความสุขของครอบครัวและอย่างเศร้าใจสำหรับเสี่ยวฉง สี่คนพ่อแม่ลูกตัดสินใจเดินเที่ยวในเจียงตงร่วมกัน ออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมชางเหอและซูผิงผู้เป็นภรรยา รวมถึงบ่าวสกุลจูหานเฟยและเฉิงเยว่แม่ลูกเดินนำหน้าขบวนนำเที่ยว เข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ตามด้วยสองพ่อลูกอย่างจูเหวินฟงและเยี่ยหยางที่คอยเดินตาม แล้วรับของกินเล่นที่ผู้เป็นภรรยาและแม่ยื่นให้ บ่าวไพร่ต่างหอบหิ้วข้าวของที่นายหญิงเดินซื้อเต็มไม้เต็มมือ ก็ได้รับอานิสงส์อิ่มหนำสำราญกันทั่วหน้า เพราะเจ้านายอารมณ์ดีเมตตาปรานีเลี้ยงของกินพวกเขาด้วย “เส้าหยาง”“ขอรับ ท่านพ่อ”“เจ้าฝึกฝนปราณยุทธถึงระดับใด?”นั่นไง...มาแล้ว ข้ากะแล้วเชียว ไม่ว่ายังไงต้องมีคำพูดแบบนี้หลุดถามออกมาจากปากท่านพ่อเยี่ยหยางครุ่นคิดว่าเขาจะตอบระดับใดดี น้อยไปก็ไม่ได้ มากไปก็ไม่ดี ถึงแม้เขาจะไม่มีลมปราณซักเสี้ยวก็ตาม อืม...ระดับจ้าวยุทธก็ไม่เลว ระดับต่ำกว่าอาจารย์ที่เทียนถูหวู่เล็กน้อย ระดับเทียบเท่าศิษย์หลักเทียนถูหวู่ แถมยังเหมาะเข้ากับข่าวลือที่ว่าพวกนั้นอีก“ระดับจ้าวยุทธขอรับท่านพ่อ”“ดี” จูเหวินฟงตอบ แม้เขาจะตรวจสอบไม่ได้ว่า คนที่บอกว่า
“ไหน ๆ หมุนตัวให้แม่ดูหน่อยสิลูก”เสียงของหานเฟยดังเข้าลูกชายสองคนที่ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อได้ยินประโยคทะแม่ง ๆ...ใคร?... ใครมาแย่งท่านแม่ของพวกเขาทันทีที่สองพี่น้องเห็นก็เบิกตาถลนกว้าง พวกเขาห่างท่านแม่ไม่ถึงหนึ่งเค่อกับมีเด็กชายร่างอวบอ้วนราวห้าขวบ มาคลอเคลียออดอ้อนออเซาะมารดาพวกเขา เยี่ยหยางแทบอยากพุ่งเข้าไปฉุดเจ้าฉงฉงออกไปห่างจากสายตาท่านแม่ของเขาทันที“หยางหยาง เฉิงเอ๋อร์มาแล้ว” หานเฟยหันไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแต่จูเหวินฟงกลับมีสีหน้าย่ำแย่มืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีบุรุษเพศผู้มาแย่งความสนใจจากภรรยาของเขาเพิ่มอีกแล้ว “เสี่ยวฉงนั่งนี่สิลูก” หานเฟยจัดที่นั่งทานอาหารเช้าให้ ข้างขวามือนางเป็นสามีสุดที่รักที่มีสีหน้าราวกับคนถ่ายไม่ออก ข้างซ้ายเป็นเด็กหนุ่มผมขาวนั่งตาใสอย่างฉงหยิ๋น ถัดจากสามีและเสี่ยวฉงเป็นบุตรชายสองคนที่เริ่มปั้นหน้าคล้ำไม่ต่างจากคนเป็นพ่อฮึ่ม...ฉงฉง / เจ้ากิเลน / เด็กบัดซบ เสียงความคิดของสามบุรุษตระกูลจูบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าที่มีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์ของหนุ่ม ๆ กับใบหน้ายิ้มแป้นเล้นของหนึ่งตัว สตรีคนเดียวในวงคีบอาหารให้ทุกคนกันอย่างท
หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา “ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม “ดี” เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย” “ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้อ