ท้ายถนนทิศตะวันตกปรากฏคนสองคนกลางอากาศธาตุที่ว่างเปล่า เงาทอแสงบนพื้นคนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ยกว่าเล็กน้อย เบื้องหลังเป็นตะวันที่กำลังลาลับฟ้า
จูเฉิงเยว่สีหน้าย่ำแย่ รู้สึกมวนท้องพะอืดพะอมอยากจะอ้วก กวาดน้ำย่อยที่อยู่ในท้องออกมาด้านนอก
เยี่ยหยางลูบหลังให้น้องชายหลังจากเห็นสีหน้าซีด ๆ ที่ปรับตัวไม่ทันกับคาถาเคลื่อนย้ายพริบตาของน้องชายคนใหม่ “ใหม่ ๆ ก็ยังไม่ชินกับการเดินทางระยะไกลอย่างนี้หรอก สักพักเดี๋ยวก็ชิน”
เขามองเฉิงเยว่อีกครั้ง ก็รู้สึกมีอะไรแปลกไป สังเกตดูสักพักก็พบว่าตัวเองลืมเรื่องนี้สนิท
จูเฉิงเยว่มีเส้นผมและดวงตาสีเข้ม เยี่ยหยางจึงหยิบน้ำยาที่เขาบริโภคเป็นว่าเล่นเอามาให้น้องชายใช้ด้วย
“จริงสิ เจ้าดื่มนี่ก่อน มันจะเปลี่ยนสีผมเจ้าเป็นสีเดิมน่ะ แนะนำให้กลั้นใจกระดกทีเดียว”
ผู้เป็นน้องเชื่อฟังคำชี้แนะจากพี่ชาย รับขวดที่ใส่ยาบางชนิดกลั้นใจยกดื่มจนหมดรวดเดียว ใบหน้าเหยเก รสชาติเฝื่อนฝาดไปทั้งปากไม่ต่างกับน้ำยาที่เขาดื่มก่อนหน้า เส้นผมสีแพลทินัมเข้มขึ้นทันที ที่น้ำยารสชาติห่วยออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วกลายเป็นสีดำเข้มดั่งเดิม
“ไม่เลว เสี่ยวเฉิงทีนี้มองตาพี่” เยี่ยหยางอำพรางสีตาให้เฉิงเยว่ไปก่อน เมื่อพลังเวทที่ปั่นป่วนสงบลง สีตาคงกลับเป็นแบบเดิมเหมือนเขาที่ตาเป็นสีดำข้างหนึ่ง
“เรียบร้อยแล้ว ดูสิ” คนเป็นพี่ส่งกระจกบานเล็กให้ผู้เป็นน้อง ที่มองการเปลี่ยนไปมาของตัวเองอย่างอัศจรรย์ใจ “อมนี่ไว้ ลิ้นจะได้หายฝาด”
เฉิงเยว่รับก้อนน้ำผึ้งหวานมาอมแก้ฝาด อาการเวียนหัวก็หายไปแล้ว แต่…
“ท่านพี่ ทำไมพี่ไม่ให้ก้อนน้ำผึ้งเร็วกว่านี้”
“อ๋อ ข้าอยากให้เจ้ารับรู้รสชาติของน้ำยาอย่างลึกซึ้ง” คนเป็นพี่พูดด้วยสีหน้าตายด้าน
นี่เขาโดนพี่ชายแกล้งสินะ...ได้ ท่านพี่จะได้รู้ฤทธิ์เดชข้าอย่างแน่นอน ข้าจดบัญชีของท่านไว้รวมกับท่านพ่อแล้ว
เฉิงเยว่งอนเดินนำ ทิ้งพี่ชายไว้เบื้องหลัง เยี่ยหยางเดินตามมองน้องชายที่คิดว่าจะไม่มีในชีวิตนี้อย่างเอ็นดู ย้อนคิดดูแล้วเฉิงเยว่มีนิสัยเหมือนเขาในอดีตตอนเด็กไม่ต่างแม้แต่น้อย ไม่น่าเห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้ชอบกล
“เสี่ยวเฉิง เรื่องของพี่อย่าเพิ่งบอกท่านพ่อท่านแม่ พี่กลัวว่าพวกที่จ้างมือสังหารจะลงมือหนักข้อขึ้น”
เยี่ยหยางก้าวเท้าเร็วขึ้นเดินเคียงข้างน้องชาย เอ่ยปากเรื่องที่เขายังจัดการเก็บกวาดไม่เรียบร้อยดี เขาไม่ต้องการให้เกิดเรื่องผิดพลาดอย่างที่เคยเกิด เพราะความไม่รอบคอบ
“ขอรับ” เฉิงเยว่เองก็เห็นด้วย เขาต้องไม่ใช่เป้าหมายเดียวของพวกมันแน่ ท่านพ่อก็มีอาการบาดเจ็บตกค้างตั้งแต่ก่อนเขาเกิด ยิ่งพวกท่านออกมาจากราชอาณาจักรเป่ยฉิน ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นลงมือ
“พี่จะให้คนจากเหวินชามาคุ้มครองทั้งสองคนอีกแรง” เยี่ยหยางเอ่ย
“ท่านพี่เป็นอะไรกับสมาคมการค้าเหวินชาหรือขอรับ?”
จูเฉิงเยว่สงสัย แม้ว่าเขาเห็นกู้ซีเจ๋อเพียงไม่กี่ครั้งในงานเลี้ยงของพวกขุนนาง แต่คนผู้นี้ก็เป็นถึงรองประธานสมาคม แล้วพี่ชายเขาที่กู้ซีเจ๋อเรียกว่าอาหยาง หรือว่าจะเป็น…
“อ๋อ เจ้าของหน่ะ”
นั่นไง หัวหน้า...ฮะ เจ้าของ?
หมายความว่า ประธานสมาคมเหวินชาผู้ลึกลับ โหดเหี้ยม เย็นชา อำมหิต ลงมือเด็ดขาด ไม่มีใครกล้าตอแยโยนเหาใส่หัว ผู้ที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าค่าตา นอกจากคนของสมาคม คือพี่ชายเขา
เอ่อ...ที่ดูยังไงก็ น่ารัก หน่อแน้ม นิ่งเงียบ ใสซื่อพร้อมยอมทุกอย่างให้ผู้อื่น คนนี้หรือ?
โอ๊ย...เขาคิดว่าจะหน้าตาโหดกว่านี้สักอีก เหี้ยมกว่านี้อีกสักหน่อย แม้ว่าจะมีหน้ากากปิดไปครึ่งหน้า แต่ที่เขาเห็น ไม่เห็นจะมีแววอย่างที่ข่าวลือเอ่ยเลย สงสัยจะลือไปเอง ที่ว่าลึกลับคงเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองโหดไม่จริงมั้ง แต่เขากลับไม่คิดว่าคำพูดพี่ชายเป็นเรื่องโกหกเขาแม้แต่น้อย
“ทำไมเจ้ามองพี่อย่างนั้นน่ะเสี่ยวเฉิง?”
“ไม่มีอะไรขอรับท่านพี่”
โรงเตี๊ยมใหญ่ที่มีเหลาอาหาร ห้องพักค้างแรม และสุราพร้อมสรรพเป็นหนึ่งในกิจการของสมาคมการค้าเหวินชา ที่ขยายอาณาเขตอยู่ในเจียงตงอย่างโรงเตี๊ยมเซียนสวรรค์ ผู้คนมากมายเข้าออกลิ้มรสอาหารเลิศรส พบปะพูดคุยสังสรรค์กันที่นี่
จูเหวินฟงอัครเสนาบดีใหญ่แห่งราชอาณาจักรเป่ยฉิน ผู้ทนคำรบเร้าของฮูหยินสุดที่รักอย่างฮูหยินหานเฟย อยากมาดูหน้าเยี่ยมลูกชายไม่ไหว ต้องติดสอยห้อยตามภรรยาที่ยังไงก็จะมาพบหน้าบุตรชายให้ได้ เขาจึงต้องโหมงานเช้าเย็น วิ่งเข้าวิ่งออกวังหลวงท้องพระโรงอย่างกับสวนหลังบ้าน จัดการการงานที่มากมายที่ฮ่องเต้ราชอาณาจักรเป่ยฉินมอบหมายให้
เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าขุนนางในมือก็มีมากมายแต่ไม่ใช้ กลับใช้เขาจนเหนื่อยหอบ เพียงแค่ตรัสว่า ‘เจิ้นไว้ใจเจ้าคนเดียว’
ในที่สุดเขาก็ทำงานล่วงเวลามากมายจนเสร็จ แล้วถวายฎีกาลาพักร้อนยาว ๆ ให้ฮ่องเต้แบบไม่บอกไม่กล่าว รีบพาภรรยาสุดที่รักหนีมาหาบุตรชาย ก่อนที่พังพอนเหลืองบ้าอำนาจจะส่งทหารมาหิ้วเขากลับไปช่วยงานหานเฟยมองสามีที่ซูบผอมไปเพราะงานหนัก ก็คีบอาหารเอาใจสามีที่ดูเหมือนจะน้อยใจตัวเองไม่น้อย “อาฟงทานเยอะ ๆ”เสนาบดีใหญ่อ้าปากให้ฮูหยินป้อนอาหารให้อย่างพออกพอใจ รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่ทุ่มเทคุ้มค่ากับการดูแลใส่ใจของภรรยาจริง ๆ ช่างมีความสุขอะไรเยี่ยงนี้สภาพแวดล้อมรอบข้างไม่ส่งผลต่อบรรยากาศรักใคร่ของสองสามีภรรยาแม้แต่น้อย พวกเขาตั้งใจพักผ่อน คือพักผ่อนอย่างไม่สนใจผู้อื่นแต่มีชายหน้าตาหมองคล้ำ ดวงตาลึกโบ๋อย่างคนพักผ่อนไม่เพียงพอ กวาดสายตาไปทั่วเหลาอาหารชั้นล่าง เมื่อเห็นสิ่งที่มันสนใจก็เดินตรงเข้าไปทันทีมันเดินเข้ามาที่โต๊ะที่จูเหวินฟงและหานเฟยนั่งทานอาหารรอบุตรชายอยู่ เอามือคร่อมโต๊ะและจ้องมองหญิงสาวอย่างจาบจ้วงด้วยสายตาหื่นกระหายไม่สนใจฟ้าดิน เนื้อผ้าชั้นดีที่ห่อหุ้มร่างกายไม่สามารถปิดมารยาทที่เลวทรามได้ มันมีชื่อว่า หลี่อี๋ ญาติผู้น้องของหลี่เจิ้นสุ่ย ศิษย์หลักของเทียนถูหวู่คนนั้นชาวบ้านในโรงเตี๊ยมเมื
ท่านแม่ออกโรงด้วยตนเอง ไม่ทันที่หานเฟยได้พูดกล่าวเตือน จูเฉิงเยว่ก็ยืนประจันหน้ากับหลี่อี๋ทันทีในฐานะบุรุษคนหนึ่งที่ปกป้องมารดา แต่เยี่ยหยางกลับขวางไว้ แล้วดันน้องน้อยไปด้านหลังพร้อมกับกระซิบบอก “ดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ให้ดี พี่จัดการกับมันเอง” เฉิงเยว่พยักหน้างึก ๆ ยิ้มกว้างมองแผ่นหลังพี่ชายที่ยืนด้านหน้าปกป้องเขาอย่างมีความสุข เขารู้ว่าพี่รับมือไอ้หลี่อี๋ได้สบาย ๆ อยู่แล้ว เสี่ยวเอ้อร์ที่เห็นนายท่านใหญ่จะลงมือ รีบกุลีกุจอไปแจ้งผู้ดูแลร้านว่าท่านประธานมาและเตรียมเช็ดกวาดมนุษย์ขยะผู้นี้ ก็เจอผู้ดูแลร้านที่กำลังเรียกกำลังคนเตรียมพร้อมสนับสนุนผู้เป็นนายทุกเมื่อซุ่มอยู่อีกด้านเอ่อ…เขาไม่ต้องแจ้งเถ้าแก่แล้ว เหล่าลูกน้องที่อยู่ภายใต้อาณัติของสมาคมเหวินชาที่อยู่เจียงตง ก็รีบรวบรวมผู้คนให้เจ้านายพร้อมใช้สอย เผื่อนายท่านต้องการ แล้วเฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อที่จะได้แทนคุณนายท่าน พวกเขาแม้ไม่เคยพบเจอนายท่านคนนี้ แต่คนผู้นี้กลับมีพระคุณกับพวกมันมาก เยี่ยหยางมองหลี่อี๋อย่างโกรธแค้น ท่านพ่อดูเหมือนจะไม่มีเวทมนตร์ปกป้องอยู่ในตัวเลย คาดว่าเรื่องราวในระนาบมนตราคงจดจำไม่ได้ ร่างกายอ่อนแอถูกมันผลักจนส
...อย่าทำให้ท่านแม่โมโหเด็ดขาด “นี่สำหรับสามีที่น่ารักของข้า ที่เจ้ากล้าลงมือใส่เขา” ฝ่าเท้าของฮูหยินสูงศักดิ์ที่บรรจงแตะให้ตรงจุดเดิม ย้ำที่เดิมด้วยแรงที่มากกว่าเดิมซู้ด!!!“นี่สำหรับลูกชายข้า ที่เจ้าตะคอกใส่จนตกใจ” มารดาที่รักของคุณชายจูเฉิงเยว่ มีแรงเหลือเฟือที่ยกฝ่าเท้ากระทืบลงซ้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอ่า…ซี้ด“จำไว้ อย่ามาให้ข้ากับครอบครัวเห็นหนังหน้าเจ้าอีก ถ้าเจ้ายังอยากเป็นบุรุษที่สมบูรณ์อยู่” หานเฟยเอ่ยเสียงเย็นที่หนาวไปถึงหัวใจบุรุษทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ นางก้าวผ่านสวะที่คิดสกปรกไม่สนใจว่าจะเหยียบอะไรอร๊ากกก ป๊อก!!! เสียงแหกปากร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดดังพร้อมกับสีมือที่ถูกเหยียบบี้บหญิงสาวปัดมือจัดเสื้อผ้าที่ไร้รอยยับ แล้วหันกลับมายิ้มหวานให้ลูกชาย เดินผ่านหลี่อี๋อย่างไม่สนใจว่านางเหยียบถูกมือของมัน ฝูงชนเห็นใจเล็กน้อย ... อ่า ดูท่าแล้วคงจะกระดูกหักเพิ่มอีกตำแหน่ง“พาท่านพ่อเจ้าขึ้นไปด้านบนห้องพักกัน” หานเฟยข่มอารมณ์ปะทุของนางบอกบุตรชายให้ช่วยสามี จากนั้นหันไปหาชางเหอและซูผิงสองสามีภรรยาที่เป็นคนรับใช้คนสนิท สั่งคนไปหาหมอ และเตรียมน้ำเช็ดหน้าเช็ดตัว “ชางเหอเจ้าไปตามหมอ ซูผิ
ไอ้หย๋า....คนนี้ใช่เสนาบดีจูผู้ยิ่งใหญ่รองจากฮ่องเต้ราชอาณาจักรเป่ยฉินใช่หรือไม่ พักนี้ข้าตีสนิทคนดังบ่อยเกินไปแล้ว หัวข้าจะอยู่บนบ่าจนแก่ตายมั้ยเนี่ยมือไม้ของท่านหมอเผิงสมกับคนที่เคยเป็นหมอขึ้นชื่อ ฝีมือยังไม่ตกและไม่กล้าตกใส่หน้าคนเหล่านี้ ที่ยืนประกบระยะใกล้ชิดอยู่ข้างหลังแผ่รังสีใส่เขา จนมือไม้สั่น เผิงเหล่ยนั้นมีระดับลมปราณแค่เพียงระดับปรมาจารย์ยุทธขั้นสูง แต่มากพอสำหรับหมอมากความสามารถคนหนึ่ง กำลังขับเคลื่อนไล่ปราณแปลกปลอมที่แฝงอยู่ในร่างของจูเหวินฟงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างยาวนานลมปราณยุทธแฝงที่กลายเป็นเลือดคลั่งตรงอกกดทับ ทำให้เสนาบดีจูหายใจลำบากหัวใจเต้นผิดจังหวะ ค่อย ๆ เคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวัง จนคนป่วยกระอักเลือดเสียออกมาทางปาก“แค่ก...แค่ก ๆ” ในที่สุดปราณสกปรกก็หมดจากร่างจูเหวินฟง เผิงเหล่ยนั่งหอบอยู่ข้างเตียง เขาเสียพลังงานไปมาก หากใครมาดักทำร้ายเถ้าแก่เผิงตอนนี้เพียงทุบเบา ๆ เขาก็ช้ำในสลบเหมือดให้ปล้นสบาย ๆ เลยเทียว“ตอนนี้นายท่านจูปลอดภัยแล้ว ลมปราณแฝงข้าได้กำจัดเรียบร้อย มีเพียงได้รับบาดเจ็บภายในกระทบถึงอวัยวะภายในตันทั้งห้าและอวัยวะกลวง
ท่านพ่อ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ เยี่ยหยางที่ถูกน้องชายที่น่ารักจู่โจม ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก วันนี้เขาถูกแก้ผ้ามาสองครั้งสองคราภายในวันเดียวกัน ทำไมเฉิงเยว่เปลื้องผ้าผู้คนได้คล่องมือเช่นนี้ น้องชายเขาไปฝึกปรือถอดผ้าจากผู้ใด เห็นทีเขาต้องเข้มงวดคัดกรองน้องสะใภ้ให้ดีแล้วล่ะ หญิงสาวเดินเข้าไปหาลูกชายที่หายสาบสูญ ลูบใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากเป็นส่วนใหญ่อย่างคิดถึงสุดหัวใจของคนที่เป็นมารดาจะให้บุตรได้ “หยางหยาง” หานเฟยจำได้เพียงปานแดงและชื่อเล่นที่เอ่ยเรียกลูกชายเท่านั้น เยี่ยหยางได้ยินมารดาเรียกหาตัวเอง ก็โผเข้าอ้อมกอดมารดาเหมือนเด็กน้อย “ท่านแม่” ในความทรงจำของเขา ท่านพ่อเป็นคนที่เข้มงวดเสมอ เพราะด้วยสถานการณ์ของระนาบมนตราในตอนนั้น ตั้งแต่เขาเริ่มรู้ความ ก็ไม่เคยได้รับอ้อมกอดของคนเป็นพ่ออีกเลย มีแต่คำสั่งสอน คำดุด่าให้เขาได้เตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่พร้อมปะทุตลอดเวลา มีเพียงท่านแม่ที่เป็นคนให้กำลังใจเขา ปลอบโยนโอบกอดเขา และบอกเสมอว่าท่านพ่อที่ไม่แสดงออกมา ก็รักเขาเหมือนกัน คนตัวโตที่กลายเป็นเด็กเกือบจะน้ำตาร่วง แต่เมื่อเงยหน้าเห็นบิดาที่จ้องเขม็งก็หยุดชะงัก เร
เยี่ยหยางไม่รู้ว่าวิธีตรวจสอบแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ เพราะดูยากที่จะเชื่อถือ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้วิธีเดียวกับที่ยืนยันกับเฉิงเยว่แสดงให้บิดาเห็น ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านพ่อลืมเรื่องราวในระนาบมนตราสิ้นจากท่าทีที่แสดงออก เขาจึงขอเวลาในการฟื้นฟูความทรงจำของพวกท่านที่ลืมเลือนอย่างช้า ๆ ไม่ให้เกิดผลกระทบใด ๆ ดีที่น้องชายบอกกล่าวเรื่องทั้งหมดมาก่อน แล้วเขาก็เห็นแล้วว่าพวกท่านจำอะไรไม่ได้จริง ไม่ได้ทำอะไรผลีผลามใช้เวทมนตร์ จนกระตุ้นพลังเวทของพวกท่านทั้ง ๆ ร่างกายบาดเจ็บสายตาสี่คู่มองหยดเลือดสองหยดที่ค่อย ๆ รวมกันเป็นเม็ดใหญ่รอยอยู่ในภาชนะเป็นหนึ่งเดียว ไม่แตกแยก ไม่ตกตะกอนนอนก้น ซึ่งหมายความว่าเยี่ยหยางเป็นบุตรชายของจูเหวินฟง หรือจูเหวินฟง คือ มู่หรงหลงหมิง คือ แมทธิว วินเซอร์ “ฮือ ๆ หยางหยางลูกแม่” จูเหวินฟงเห็นเมียรักน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ กอดรับขวัญบุตรชายคนโต? พลางฟังลูกชายคนเล็ก? เล่าเรื่องราวที่รับรู้มาจากพี่ชายตัวเอง เขาเห็นทีไม่เชื่อจะไม่ได้ ลูกเมียเห่อคนเป็นพี่ชายลูกชายสักขนาดนี้แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่เขายังไม่ยอมรับลูกคนนี้หรอกยังอยู่ในช่วงประเมินคุณภาพ ภาพครอบครัวพ่อแม่ลูก
พวกเขาคุยเล่นกันสักพักใหญ่จนผ่านยามจื่อมาครึ่งชั่วยามแล้ว ตาของท่านแม่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แต่ก็ยังไม่ยอมนอน เยี่ยหยางจึงร่ายเวทหลับใหลให้ท่านแม่น้องชายได้พักผ่อน เพราะท่าทีของทั้งสองคนคืนนี้ คงตั้งใจพูดคุยทั้งราตรี ไม่หลับไม่นอนแน่นอน เฉิงเยว่เองพลังเวทพึ่งปะทุ ร่างกายต้องได้รับการพักผ่อน ไม่อย่างงั้นแกนเวทอาจเสียหายได้เนื่องจากยังไม่สมบูรณ์ ท่านแม่เองก็เดินทางมาไกล แถมเจอเรื่องวิวาทอีก ร่างกายคงเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว เขามองทั้งสองคนหลับจนสนิทแล้ว จึงเดินไปหาบิดาผู้เปล่าเปี่ยวนอนตาค้าง เพราะขาดเมียรักข้างกาย เฮ้อ...ท่านพ่อนอนเถอะ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ คาถาหลับใหลกำลังถูกร่ายใส่จูเหวินฟงที่นอนไม่หลับ เพราะขาดคนข้างกายอีกทั้งแปลกที่แปลกทาง แต่เมื่อเห็นบิดาเข้าห้วงนิทราเขาก็ยกเลิกคาถา อีกทั้งตอนนี้เงียบสงบนัก เหมาะกับการตรวจสอบร่างกายท่านพ่ออย่างละเอียดอีกครั้ง เยี่ยหยางร่ายคาถาเวท เพราะคิดถึงคำเตือนที่เผิงเหล่ยพูดถึงพิษที่ยังอยู่ในร่างบิดา นี่มัน…พิษกลืนวิญญาณ พิษกลืนวิญญาณเป็นพิษร้ายแรงที่กัดกร่อนร่างกายของผู้ต้องพิษ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ตามปริมาณที่ได้รับ หัวใจจะ
หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา “ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม “ดี” เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย” “ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้อ
เหอะ ๆ อย่าให้รู้จะดีที่สุด ถ้าคนเห่อน้องรู้เรื่องนี้เข้าคนแซ่กงซุนจะมีเหลืออยู่บนแผ่นดินหรือไม่“เสี่ยวเฉิง เจ้าก็เรียนรู้ให้มาก ฝึกฝนให้มาก คนพวกนั้นจะได้รังแกเจ้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”ชายหนุ่มลูบหัวสอนจูเฉิงเยว่อย่างใจเย็น เขายังไม่อยากเห็นคนบัดซบคนที่สองหรอกนะ ทำได้แต่เพียงสั่งสอนสิ่งที่ถูกที่ควรให้น้องชายอีกฝ่ายมาก ๆ เข้าไว้จะได้ไม่มีความคิดผิดผู้ผิดคนเหมือนพี่ชายสติวิปลาส ก่อนจะหันกลับไปสนใจการประลองของเยี่ยหยางต่อ“พี่เจิ้งข้าอยากได้ยินว่ากงซุนจ้านพูดอะไรกับพี่ชาย พี่ช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”จูเฉิงเยว่ไม่ชอบคนผู้นี้เอามาก ๆ เขาแค่อยากรู้ว่าคนผู้นี้จะพูดว่าร้ายเขาให้พี่ชายไม่ชอบเขาหรือเปล่า เขากลัวพี่ชายจะไม่รักเขา“เจ้าก็ทำได้ ทำแบบนี้สิ…”หวงฉีเจิ้งกระซิบสอนคาถาสอดแนมของถัดของเขาให้น้องชายเพื่อนที่พยักหน้ารับฟังและปฏิบัติตามอย่างน่าเอ็นดู ทำให้เขาและจูเฉิงเยว่เหมือนกำลังยืนอยู่ข้างเยี่ยหยางได้ยินทุกอย่างชัดเจนทุกคำทุกประโยค“ไม่เลว คุณชายใหญ่สกุลจูไม่ใช่สวะเหมือนคุณชายรอ
หลังจากปล่อยหมูยักษ์วิ่งอยู่ครึ่งชั่วยาม เหนื่อยหอบจนแทบไล่ตามภาพลวงตาไม่ได้อีก เยี่ยหยางก็คลายคาถา แล้วยื่นเรียวขางามอันแข็งแรงของเขาขัดลู่วิ่งหมู แถมด้วยฝ่าเท้างามตบท้ายถีบบั้นท้าย จนอีกฝ่ายล้มกลิ้งออกไปนอกลาน เป็นอันจบการประลองอย่างงดงาม“ผู้ชนะ คือ ข้า”เยี่ยหยางพูดอย่างภาคภูมิใจ ที่ไม่เสียเหงื่อแม้แต่หยดเดียวลานเทียนจงเงียบกริบเงียบสงัด ไม่มีเสียงประกาศผู้ชนะของเมิ่งจวิ้นผิงและฟางเหวยซู ทุกคนยังตกตะลึงอึ้ง ไม่อยากเชื่อในสายตาของตัวเองนั่นมัน...ไม่อยากจะเชื่อ!ถึงแม้ว่าจะไม่มีกฎข้อบังคับในการประลองแต่คนผู้นี้กลับ...ชนะด้วยการเตะเบา ๆ นี่มัน ๆ…บ้าไปแล้ว!!!“ศิษย์พี่ ๆ ข้าลงจากลานประลองได้รึยัง?” เยี่ยหยางสะกิดเมิ่งจวิ้นผิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใสเป็นประกาย“เอ่อ...ได้ ๆ” เมิ่งจวิ้นผิงดึงสติกลับมาอย่างงุนงง “ผู้ชนะ คือ ท่านอ๋องจอมบัดซบ...เอ๊ย! มู่หรงเยี่ยหยาง”ผู้ได้รับชัยเดินกลับไปยังที่นั่งในกลุ่มผู้คนอย่างไม่รู้สึกรู้สากับสายตาที่มองมา เอ่ยทักทายหวงฉีเจ
ม่านสงเห็นหน้าคู่ประลองที่เป็นถึงท่านอ๋องเลื่องชื่อผู้โด่งดังถึงกับดีใจออกนอกหน้า ที่เขาประมือกับคู่ต่อสู้ลมปราณพิกลพิการ เขาจ้องมองอีกฝ่ายกำลังเดินขึ้นลานเทียนจงตรงข้ามกับเขาอย่างไม่รีบร้อน โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคู่แข่งของเขาเล่นเป็นหมูป่วยกินเสือสายตาของเด็กหนุ่มสำรวจรูปร่างของคนเป็นอ๋อง มีลักษณะคุณชายเจ้าสำราญขนานแท้ ทรวดทรงองเอวอ้อนแอ้นไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธ หน้าตาเด้งขาวใสเหมือนสตรี ดูแล้วคงไม่มีแม้แต่แรงฆ่าไก่กระมั้ง แต่เมื่อจบการประลองครั้งนี้กลับกลายเป็นเรื่องฝังใจเขาว่า ไม่ควรดูถูกผู้อื่นจากรูปร่างภายนอกอีกด้วยน้ำตานองหน้าการประลองรอบนี้ม่านสงคิดว่าท่านอ๋องไร้ค่าผู้นี้เหมือนหมูในอวยของตนแล้วสวรรค์ช่างเข้าข้างเขาจริงเชียวที่ส่งท่านอ๋องผู้นี้มาให้เขา ในเมื่อสวรรค์เมตตาเขา เขาก็จะเมตตาท่านอ๋องผู้นี้ ลงมือเบา ๆ ไม่ให้ฟกช้ำดำเขียว ไม่ให้เจ็บมากละกัน ม่านสงคิดรูปร่างของม่านสงสูงราวเจ็ดฉื่อ[1] ล่ำสันใหญ่เป็นมัดกล้ามดำคล้ำดูน่ากลัว เขามีพื้นฐานครอบครัวมาจากสำนักคุ้มภัยทางใต้ของราชอาณาจักรซีเว่ย ตนเองเริ่มฝึกยุทธตั้งแต่เริ่มจำความได้ ทำให้ตอนนี้เข
สถานการณ์ในการประลองเปลี่ยนไป เมื่อหวงฉีตงจู่ ๆ ก็เพิ่มพลังระดับปราณยุทธฉับพลัน จากปราณยุทธระดับปรมาจารย์ยุทธขั้นสี่เป็นระดับอัคราจาร์ยยุทธขั้นสี่ เพิ่มขั้นมาหนึ่งระดับขั้นไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายเล่นแง่ ใช้โอสถเพิ่มลมปราณให้กับตัวเอง ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อห้าม แต่คนส่วนใหญ่ไม่มีใครทำกัน เพราะมันมีข้อเสียมากกว่าข้อดี และเป็นการไม่ให้เกียรติตัวเองหวงฉีตงไม่ได้ใช้โอสถกับตัวเองแต่เพียงผู้เดียว มันกลับใช้ยาพิษผงโปรยใส่เสิ่นเยี่ยนในตอนที่ประชิดตัว เพื่อหวังบั่นทอนพละกำลังและสกัดกั้นลมปราณของอีกฝ่ายอย่างหน้าด้าน ๆ แล้วขว้างมีดบินใส่ทีเผลอ ทั้งยังแทงทวนพุ่งโจมตี บ่งบอกนิสัยเลวทรามของตัวเองเสิ่นเยี่ยนรู้ว่าตัวเองถูกพิษ กล้ำกลืนเลือดพิษในลำคอลงท้องหึ...เขาคาดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องมาไม้นี้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะใช้พิษที่รุนแรงและหายากหลายชนิดเช่นนี้หนึ่งในนั้นเป็นพิษโลกันตร์แผดเผา พิษที่จะตรวจหาก็ไม่พบ เหยื่อจะถูกทำลายจากภายในเหมือนถูกเผาทั้งเป็นจนกว่าจะตาย ที่เขารู้ก็เพราะบิดาเขาก็ตายด้วยพิษนี้ มันจะค่อย ๆ กัดกินร่างกายร้อนผ่าวในบางช่วงเวลา ตอนนี้เขาแสบร
“บ้า! ข้าจะไปมีญาติได้ไง แซ่สกุลของข้าตั้งมั่ว ๆ ขึ้นมา เจ้ารู้ดียังมีหน้ามาแขวะข้าอีก” หวงฉีเจิ้งเบ้ปากใส่ท่านอ๋อง ที่รู้ความจริงอยู่แล้ว ยังพูดไร้สาระกวนประสาทเขาอีก“เฮอะ...ถ้าข้าเป็นญาติคนผู้นั้น ป่านนี้ข้าคงเป็นลูกหลานตระกูลแม่ทัพอาณาจักรเหลียงฟู่ นอนตีพุงอยู่กินสุขสบายไปแล้ว ไม่ต้องมารีดไถเงินทองของเจ้าเหมือนขอทานหรอก!!! หึ...” คุณชายแซ่หวงโต้กลับ“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...เจ้าอย่าจิตใจคับแคบนักเลย คิดเล็กคิดน้อยเป็นสตรีสูงวัยไปได้” เยี่ยหยางหัวเราะอย่างไม่รักษาภาพพจน์ วันนี้เขาได้แขวะหวงฉีเจิ้งแล้ว คืนนี้คงหลับสบายสองสหายซี้พูดคุยกันไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าตัวเองก็ต้องขึ้นไปอยู่บนเวทีประลอง“เจ้าว่าใครจะชนะ?” เยี่ยหยางถามขึ้นอย่างคนไม่มีอะไรให้ทำ“ข้าว่าสูสี แต่สุดท้ายเสิ่นเยี่ยนจะได้ชัยมาครอง”หวงฉีเจิ้งมองแวบเดียวก็ประเมินคู่ต่อสู้บนสนามประลองได้อย่างเฉียบขาด ตอบท่านอ๋องที่กำลังใส่ใจภาพลักษณ์คนบัดซบจนรู้สึกว่าหนังหน้าตัวเองบางเกินไปแล้ว ตอนนี้รอบด้านไม่มีใครกล้านั่งข
ในที่สุดก็ถึงการทดสอบที่สำคัญที่สุดที่ศิษย์เทียนถูหวู่ต่างรอคอย ก็มาถึง เป็นการทดสอบยุทธโดยการประลองฝีมือที่ชี้ชัดให้เห็นถึงความสามารถความแข็งแกร่งที่แจ้งจริงการทดสอบที่แล้วมาไม่สำคัญเท่าการประลองนี้ได้ เพราะเหล่าศิษย์ต้องใช้ทักษะ ความรู้ และไหวพริบทั้งหมดที่มีในการดวลวัดฝีมือกับฝ่ายตรงข้ามโดยตรงการดวลประลองจะจับคู่สู้ในศิษย์ระดับเดียวกันแบบสุ่ม เช่นศิษย์สายนอกก็จะแข่งกับศิษย์สายนอกเท่านั้น และยากที่เห็นการประลองข้ามระดับ ถ้าคนผู้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งจริง ๆ โดยรายชื่อของคู่ประลองจะติดประกาศอยู่กลางลานกว้างของเทียนถูหวู่ที่เคยจัดงานเลี้ยงต้อนรับตอนนี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างเบียดเสียดกัน เพื่อมาดูชื่อของคู่แข่งในสนามของตัวเองเยี่ยหยางที่เพิ่งทดสอบการปรุงโอสถเสร็จสิ้นเมื่อวานรู้สึกเหนื่อยไม่น้อย หากใครหลายคนได้ยินคำบ่นนี้เข้า คงยกมือยกเท้ามาทักทายให้รู้ผลกันไปข้าง เพราะพวกเขาเหนื่อยมาก แทบจะถ่ายตับไตไส้พุงออกมาอยู่แล้วผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของท่านอ๋องต่างมีแรงลากสังขารไปดูรายชื่อของตัวเอง หลังจากเดินหน้าซีดอ่อนเปี้ยเดินดาหน้าไปรับยากับอาจารย์จ้าวถิงเซียว
เยี่ยหยางเบิกตากว้าง ขนลุกซู่จนอยากอ้วกออกมา เขาไม่คิดว่าจะมีคนอั้นไม่อยู่จน...เป็นแบบนี้ ฝีมือเขาช่างสูงส่งยิ่งนักอาจารย์จ้าวผู้เยือกเย็นเบือนหน้าหนีภาพทุเรศลูกตา อยากเอามือกุมขมับ ไม่รู้จะสงสารศิษย์ผู้โชคร้ายผู้นี้อย่างไรดีเขาไม่สามารถจัดการกับลูกศิษย์บัดซบคนนี้ได้ เมื่ออีกฝ่ายไม่เหลือหลักฐานใด ๆ หลงเหลือ ทุกอย่างที่เห็นเหมือนกับเป็นแค่อุบัติเหตุแต่สัญชาตญาณตรวจจับชี้ตัวก่อเหตุเป็นลูกศิษย์ยศอ๋องของเขา จึงได้แต่คาดโทษอีกฝ่ายไว้ในใจรอวันชำระโทษคืนวันหลัง แล้วปิดจมูกสั่งการเก็บกวาดความวุ่นวายที่เกิดขึ้นแต่ผู้โดนฤทธิ์เดชท่านอ๋องมีไม่น้อย และฤทธิ์ยาก็ออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว ต่างพุ่งออกไปโดยไม่สนใจใครไม่ขออนุญาตคนเป็นอาจารย์อย่างจ้าวถิงเซียวแม้แต่นิดเดียวต่างมุ่งหน้ามุ่งมั่นไปแย่งชิงสถานที่ปลดปล่อยที่มีอยู่ในตำหนักแห่งนี้ที่มีอย่างจำกัดจำนวนแน่นอนว่าสถานที่แบบนั้นมีไม่เพียงพอกับความต้องการในการใช้งานขณะนี้ส่วนผู้ที่ตบตีแย่งชิงโถปลดทุกข์ไม่ได้ก็ยิ่งทุกข์หนักยิ่งกว่าเดิม เพราะต้องแบกสังขารหูรูดของร่างกายที่ทรยศ ไปหาโถปลดที่พวกเขาต้องการเ
“ใคร!!!”สีหน้าของอาจารย์สอนปรุงโอสถมืดครึ้มแทบคั้นเป็นน้ำหมึก กวาดสายตาเหี้ยมโหดพร้อมรังสีสังหารกระทืบคน ครั้งนี้เขาโดนลูบคมอย่างแรง ไม่เคยมีใครยั่วโทสะเขาได้มากเท่านี้ผู้ร่วมเหตุการณ์ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทำตัวสงบเสงี่ยมเจี๋ยมเจี้ยม ต่างกลับท่านอ๋องบัดซบกลับหันซ้ายหันขวาเหมือนกับจะช่วยหาตัวคนร้ายอย่างไรอย่างงั้น แต่ทุกคนแทบจะปิดหน้ายกมือชี้มาที่เจ้าตัวอย่างระบุตัวเฉพาะเจาะจง“ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำสักนิดเดียว” ผู้ถูกชี้ตัวโบกไม้โบกมือปฏิเสธความผิดด้วยใบหน้าซื่อ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น สีหน้าช่างชวนประทับฝ่าเท้าประดับไว้ไม่น้อย…เหอะ ๆ เยี่ยหยาง เจ้าไม่ได้ทำเรื่องเล็กสักนิดเดียว แต่เจ้าก่อเรื่องวินาศสันตะโรใหญ่โตสุด ๆ ไปเลย ฉีเจิ้งสั่นหัวกับการกลั่นแกล้งผู้คนของเพื่อนรัก“มู่หรงเยี่ยหยาง!!!”“ขอรับอาจารย์จ้าว” เยี่ยหยางเสียวสันหลังวูบด้วยเสียงเรียกและสายตาที่แช่แข็งคนได้ของจ้าวถิงเซียวข้าก่อเรื่องเ
เตาปรุงโอสถเตาใหม่ที่ตั้งใจปรุงขึ้นอย่างดีด้วยเจตนาแอบแฝงถูกจุดด้วยปราณยุทธของกิเลนเทวะ ความร้อนค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้นในเวลาไม่กี่ลมหายใจด้วยพลังปราณที่แข็งแกร่งกว่าระดับศิษย์นอกทั่วไปเมื่อขั้นตอนอุ่นเตาโอสถเสร็จสมบูรณ์ สมุนไพรหลายชนิดถูกใส่ตามลำดับขั้นตอนที่ถูกแก้ไขให้ฤทธิ์รุนแรงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเหมือนกำลังละเลงศิลปะที่งดงาม สีหน้าคนอยู่หน้าเตาโอสถแววตาวิบวับเป็นประกาย มือกวนโอสถในหม้อ แต่สายตากะคำนวณระยะของระเบิดสมุนไพรชีวภาพ...หึหึหึสายตาเจ้าเล่ห์เหลือบไปเห็นในกองสมุนไพรที่จัดเตรียมไว้ให้บรรดาศิษย์ทดสอบโอ้ ใส่หญ้าหอมร้อยลี้เพิ่มหน่อยดีกว่าฤทธิ์สมุนไพรที่ส่งกลิ่นหอมที่เหล่าสตรีชมชอบถูกความคิดพิเรนทร์ของเยี่ยหยางดัดแปลงพลิกคุณสมบัติกลับตาลปัตร กลายเป็นเหม็นร้อยลี้แทน เพิ่มฤทธิ์เดชโอสถบัดซบให้ขจรไกลยิ่งกว่าเดิมลู่เฉินที่รู้นิสัยของญาติผู้พี่เป็นอย่างดี ตลอดเวลาที่เขาปรุงโอสถก็คอยลอบมองชินอ๋องราชอาณาจักรซีเว่ยผู้นี้เป็นระยะ ๆ ว่าจะสร้างเรื่องอะไรหรือไม่เพราะเจ้าตัวไม่ได้ก่อเรื่องมานานเกิน ไม่รู้ว่าจะอดกลั้นอดใจได้ถึงเมื่อไหร่