ท้ายถนนทิศตะวันตกปรากฏคนสองคนกลางอากาศธาตุที่ว่างเปล่า เงาทอแสงบนพื้นคนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ยกว่าเล็กน้อย เบื้องหลังเป็นตะวันที่กำลังลาลับฟ้า
จูเฉิงเยว่สีหน้าย่ำแย่ รู้สึกมวนท้องพะอืดพะอมอยากจะอ้วก กวาดน้ำย่อยที่อยู่ในท้องออกมาด้านนอก
เยี่ยหยางลูบหลังให้น้องชายหลังจากเห็นสีหน้าซีด ๆ ที่ปรับตัวไม่ทันกับคาถาเคลื่อนย้ายพริบตาของน้องชายคนใหม่ “ใหม่ ๆ ก็ยังไม่ชินกับการเดินทางระยะไกลอย่างนี้หรอก สักพักเดี๋ยวก็ชิน”
เขามองเฉิงเยว่อีกครั้ง ก็รู้สึกมีอะไรแปลกไป สังเกตดูสักพักก็พบว่าตัวเองลืมเรื่องนี้สนิท
จูเฉิงเยว่มีเส้นผมและดวงตาสีเข้ม เยี่ยหยางจึงหยิบน้ำยาที่เขาบริโภคเป็นว่าเล่นเอามาให้น้องชายใช้ด้วย
“จริงสิ เจ้าดื่มนี่ก่อน มันจะเปลี่ยนสีผมเจ้าเป็นสีเดิมน่ะ แนะนำให้กลั้นใจกระดกทีเดียว”
ผู้เป็นน้องเชื่อฟังคำชี้แนะจากพี่ชาย รับขวดที่ใส่ยาบางชนิดกลั้นใจยกดื่มจนหมดรวดเดียว ใบหน้าเหยเก รสชาติเฝื่อนฝาดไปทั้งปากไม่ต่างกับน้ำยาที่เขาดื่มก่อนหน้า เส้นผมสีแพลทินัมเข้มขึ้นทันที ที่น้ำยารสชาติห่วยออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วกลายเป็นสีดำเข้มดั่งเดิม
“ไม่เลว เสี่ยวเฉิงทีนี้มองตาพี่” เยี่ยหยางอำพรางสีตาให้เฉิงเยว่ไปก่อน เมื่อพลังเวทที่ปั่นป่วนสงบลง สีตาคงกลับเป็นแบบเดิมเหมือนเขาที่ตาเป็นสีดำข้างหนึ่ง
“เรียบร้อยแล้ว ดูสิ” คนเป็นพี่ส่งกระจกบานเล็กให้ผู้เป็นน้อง ที่มองการเปลี่ยนไปมาของตัวเองอย่างอัศจรรย์ใจ “อมนี่ไว้ ลิ้นจะได้หายฝาด”
เฉิงเยว่รับก้อนน้ำผึ้งหวานมาอมแก้ฝาด อาการเวียนหัวก็หายไปแล้ว แต่…
“ท่านพี่ ทำไมพี่ไม่ให้ก้อนน้ำผึ้งเร็วกว่านี้”
“อ๋อ ข้าอยากให้เจ้ารับรู้รสชาติของน้ำยาอย่างลึกซึ้ง” คนเป็นพี่พูดด้วยสีหน้าตายด้าน
นี่เขาโดนพี่ชายแกล้งสินะ...ได้ ท่านพี่จะได้รู้ฤทธิ์เดชข้าอย่างแน่นอน ข้าจดบัญชีของท่านไว้รวมกับท่านพ่อแล้ว
เฉิงเยว่งอนเดินนำ ทิ้งพี่ชายไว้เบื้องหลัง เยี่ยหยางเดินตามมองน้องชายที่คิดว่าจะไม่มีในชีวิตนี้อย่างเอ็นดู ย้อนคิดดูแล้วเฉิงเยว่มีนิสัยเหมือนเขาในอดีตตอนเด็กไม่ต่างแม้แต่น้อย ไม่น่าเห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้ชอบกล
“เสี่ยวเฉิง เรื่องของพี่อย่าเพิ่งบอกท่านพ่อท่านแม่ พี่กลัวว่าพวกที่จ้างมือสังหารจะลงมือหนักข้อขึ้น”
เยี่ยหยางก้าวเท้าเร็วขึ้นเดินเคียงข้างน้องชาย เอ่ยปากเรื่องที่เขายังจัดการเก็บกวาดไม่เรียบร้อยดี เขาไม่ต้องการให้เกิดเรื่องผิดพลาดอย่างที่เคยเกิด เพราะความไม่รอบคอบ
“ขอรับ” เฉิงเยว่เองก็เห็นด้วย เขาต้องไม่ใช่เป้าหมายเดียวของพวกมันแน่ ท่านพ่อก็มีอาการบาดเจ็บตกค้างตั้งแต่ก่อนเขาเกิด ยิ่งพวกท่านออกมาจากราชอาณาจักรเป่ยฉิน ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นลงมือ
“พี่จะให้คนจากเหวินชามาคุ้มครองทั้งสองคนอีกแรง” เยี่ยหยางเอ่ย
“ท่านพี่เป็นอะไรกับสมาคมการค้าเหวินชาหรือขอรับ?”
จูเฉิงเยว่สงสัย แม้ว่าเขาเห็นกู้ซีเจ๋อเพียงไม่กี่ครั้งในงานเลี้ยงของพวกขุนนาง แต่คนผู้นี้ก็เป็นถึงรองประธานสมาคม แล้วพี่ชายเขาที่กู้ซีเจ๋อเรียกว่าอาหยาง หรือว่าจะเป็น…
“อ๋อ เจ้าของหน่ะ”
นั่นไง หัวหน้า...ฮะ เจ้าของ?
หมายความว่า ประธานสมาคมเหวินชาผู้ลึกลับ โหดเหี้ยม เย็นชา อำมหิต ลงมือเด็ดขาด ไม่มีใครกล้าตอแยโยนเหาใส่หัว ผู้ที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าค่าตา นอกจากคนของสมาคม คือพี่ชายเขา
เอ่อ...ที่ดูยังไงก็ น่ารัก หน่อแน้ม นิ่งเงียบ ใสซื่อพร้อมยอมทุกอย่างให้ผู้อื่น คนนี้หรือ?
โอ๊ย...เขาคิดว่าจะหน้าตาโหดกว่านี้สักอีก เหี้ยมกว่านี้อีกสักหน่อย แม้ว่าจะมีหน้ากากปิดไปครึ่งหน้า แต่ที่เขาเห็น ไม่เห็นจะมีแววอย่างที่ข่าวลือเอ่ยเลย สงสัยจะลือไปเอง ที่ว่าลึกลับคงเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองโหดไม่จริงมั้ง แต่เขากลับไม่คิดว่าคำพูดพี่ชายเป็นเรื่องโกหกเขาแม้แต่น้อย
“ทำไมเจ้ามองพี่อย่างนั้นน่ะเสี่ยวเฉิง?”
“ไม่มีอะไรขอรับท่านพี่”
โรงเตี๊ยมใหญ่ที่มีเหลาอาหาร ห้องพักค้างแรม และสุราพร้อมสรรพเป็นหนึ่งในกิจการของสมาคมการค้าเหวินชา ที่ขยายอาณาเขตอยู่ในเจียงตงอย่างโรงเตี๊ยมเซียนสวรรค์ ผู้คนมากมายเข้าออกลิ้มรสอาหารเลิศรส พบปะพูดคุยสังสรรค์กันที่นี่
จูเหวินฟงอัครเสนาบดีใหญ่แห่งราชอาณาจักรเป่ยฉิน ผู้ทนคำรบเร้าของฮูหยินสุดที่รักอย่างฮูหยินหานเฟย อยากมาดูหน้าเยี่ยมลูกชายไม่ไหว ต้องติดสอยห้อยตามภรรยาที่ยังไงก็จะมาพบหน้าบุตรชายให้ได้ เขาจึงต้องโหมงานเช้าเย็น วิ่งเข้าวิ่งออกวังหลวงท้องพระโรงอย่างกับสวนหลังบ้าน จัดการการงานที่มากมายที่ฮ่องเต้ราชอาณาจักรเป่ยฉินมอบหมายให้
เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าขุนนางในมือก็มีมากมายแต่ไม่ใช้ กลับใช้เขาจนเหนื่อยหอบ เพียงแค่ตรัสว่า ‘เจิ้นไว้ใจเจ้าคนเดียว’
ในที่สุดเขาก็ทำงานล่วงเวลามากมายจนเสร็จ แล้วถวายฎีกาลาพักร้อนยาว ๆ ให้ฮ่องเต้แบบไม่บอกไม่กล่าว รีบพาภรรยาสุดที่รักหนีมาหาบุตรชาย ก่อนที่พังพอนเหลืองบ้าอำนาจจะส่งทหารมาหิ้วเขากลับไปช่วยงานหานเฟยมองสามีที่ซูบผอมไปเพราะงานหนัก ก็คีบอาหารเอาใจสามีที่ดูเหมือนจะน้อยใจตัวเองไม่น้อย “อาฟงทานเยอะ ๆ”เสนาบดีใหญ่อ้าปากให้ฮูหยินป้อนอาหารให้อย่างพออกพอใจ รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่ทุ่มเทคุ้มค่ากับการดูแลใส่ใจของภรรยาจริง ๆ ช่างมีความสุขอะไรเยี่ยงนี้สภาพแวดล้อมรอบข้างไม่ส่งผลต่อบรรยากาศรักใคร่ของสองสามีภรรยาแม้แต่น้อย พวกเขาตั้งใจพักผ่อน คือพักผ่อนอย่างไม่สนใจผู้อื่นแต่มีชายหน้าตาหมองคล้ำ ดวงตาลึกโบ๋อย่างคนพักผ่อนไม่เพียงพอ กวาดสายตาไปทั่วเหลาอาหารชั้นล่าง เมื่อเห็นสิ่งที่มันสนใจก็เดินตรงเข้าไปทันทีมันเดินเข้ามาที่โต๊ะที่จูเหวินฟงและหานเฟยนั่งทานอาหารรอบุตรชายอยู่ เอามือคร่อมโต๊ะและจ้องมองหญิงสาวอย่างจาบจ้วงด้วยสายตาหื่นกระหายไม่สนใจฟ้าดิน เนื้อผ้าชั้นดีที่ห่อหุ้มร่างกายไม่สามารถปิดมารยาทที่เลวทรามได้ มันมีชื่อว่า หลี่อี๋ ญาติผู้น้องของหลี่เจิ้นสุ่ย ศิษย์หลักของเทียนถูหวู่คนนั้นชาวบ้านในโรงเตี๊ยมเมื
ท่านแม่ออกโรงด้วยตนเอง ไม่ทันที่หานเฟยได้พูดกล่าวเตือน จูเฉิงเยว่ก็ยืนประจันหน้ากับหลี่อี๋ทันทีในฐานะบุรุษคนหนึ่งที่ปกป้องมารดา แต่เยี่ยหยางกลับขวางไว้ แล้วดันน้องน้อยไปด้านหลังพร้อมกับกระซิบบอก “ดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ให้ดี พี่จัดการกับมันเอง” เฉิงเยว่พยักหน้างึก ๆ ยิ้มกว้างมองแผ่นหลังพี่ชายที่ยืนด้านหน้าปกป้องเขาอย่างมีความสุข เขารู้ว่าพี่รับมือไอ้หลี่อี๋ได้สบาย ๆ อยู่แล้ว เสี่ยวเอ้อร์ที่เห็นนายท่านใหญ่จะลงมือ รีบกุลีกุจอไปแจ้งผู้ดูแลร้านว่าท่านประธานมาและเตรียมเช็ดกวาดมนุษย์ขยะผู้นี้ ก็เจอผู้ดูแลร้านที่กำลังเรียกกำลังคนเตรียมพร้อมสนับสนุนผู้เป็นนายทุกเมื่อซุ่มอยู่อีกด้านเอ่อ…เขาไม่ต้องแจ้งเถ้าแก่แล้ว เหล่าลูกน้องที่อยู่ภายใต้อาณัติของสมาคมเหวินชาที่อยู่เจียงตง ก็รีบรวบรวมผู้คนให้เจ้านายพร้อมใช้สอย เผื่อนายท่านต้องการ แล้วเฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อที่จะได้แทนคุณนายท่าน พวกเขาแม้ไม่เคยพบเจอนายท่านคนนี้ แต่คนผู้นี้กลับมีพระคุณกับพวกมันมาก เยี่ยหยางมองหลี่อี๋อย่างโกรธแค้น ท่านพ่อดูเหมือนจะไม่มีเวทมนตร์ปกป้องอยู่ในตัวเลย คาดว่าเรื่องราวในระนาบมนตราคงจดจำไม่ได้ ร่างกายอ่อนแอถูกมันผลักจนส
...อย่าทำให้ท่านแม่โมโหเด็ดขาด “นี่สำหรับสามีที่น่ารักของข้า ที่เจ้ากล้าลงมือใส่เขา” ฝ่าเท้าของฮูหยินสูงศักดิ์ที่บรรจงแตะให้ตรงจุดเดิม ย้ำที่เดิมด้วยแรงที่มากกว่าเดิมซู้ด!!!“นี่สำหรับลูกชายข้า ที่เจ้าตะคอกใส่จนตกใจ” มารดาที่รักของคุณชายจูเฉิงเยว่ มีแรงเหลือเฟือที่ยกฝ่าเท้ากระทืบลงซ้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอ่า…ซี้ด“จำไว้ อย่ามาให้ข้ากับครอบครัวเห็นหนังหน้าเจ้าอีก ถ้าเจ้ายังอยากเป็นบุรุษที่สมบูรณ์อยู่” หานเฟยเอ่ยเสียงเย็นที่หนาวไปถึงหัวใจบุรุษทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ นางก้าวผ่านสวะที่คิดสกปรกไม่สนใจว่าจะเหยียบอะไรอร๊ากกก ป๊อก!!! เสียงแหกปากร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดดังพร้อมกับสีมือที่ถูกเหยียบบี้บหญิงสาวปัดมือจัดเสื้อผ้าที่ไร้รอยยับ แล้วหันกลับมายิ้มหวานให้ลูกชาย เดินผ่านหลี่อี๋อย่างไม่สนใจว่านางเหยียบถูกมือของมัน ฝูงชนเห็นใจเล็กน้อย ... อ่า ดูท่าแล้วคงจะกระดูกหักเพิ่มอีกตำแหน่ง“พาท่านพ่อเจ้าขึ้นไปด้านบนห้องพักกัน” หานเฟยข่มอารมณ์ปะทุของนางบอกบุตรชายให้ช่วยสามี จากนั้นหันไปหาชางเหอและซูผิงสองสามีภรรยาที่เป็นคนรับใช้คนสนิท สั่งคนไปหาหมอ และเตรียมน้ำเช็ดหน้าเช็ดตัว “ชางเหอเจ้าไปตามหมอ ซูผิ
ไอ้หย๋า....คนนี้ใช่เสนาบดีจูผู้ยิ่งใหญ่รองจากฮ่องเต้ราชอาณาจักรเป่ยฉินใช่หรือไม่ พักนี้ข้าตีสนิทคนดังบ่อยเกินไปแล้ว หัวข้าจะอยู่บนบ่าจนแก่ตายมั้ยเนี่ยมือไม้ของท่านหมอเผิงสมกับคนที่เคยเป็นหมอขึ้นชื่อ ฝีมือยังไม่ตกและไม่กล้าตกใส่หน้าคนเหล่านี้ ที่ยืนประกบระยะใกล้ชิดอยู่ข้างหลังแผ่รังสีใส่เขา จนมือไม้สั่น เผิงเหล่ยนั้นมีระดับลมปราณแค่เพียงระดับปรมาจารย์ยุทธขั้นสูง แต่มากพอสำหรับหมอมากความสามารถคนหนึ่ง กำลังขับเคลื่อนไล่ปราณแปลกปลอมที่แฝงอยู่ในร่างของจูเหวินฟงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างยาวนานลมปราณยุทธแฝงที่กลายเป็นเลือดคลั่งตรงอกกดทับ ทำให้เสนาบดีจูหายใจลำบากหัวใจเต้นผิดจังหวะ ค่อย ๆ เคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวัง จนคนป่วยกระอักเลือดเสียออกมาทางปาก“แค่ก...แค่ก ๆ” ในที่สุดปราณสกปรกก็หมดจากร่างจูเหวินฟง เผิงเหล่ยนั่งหอบอยู่ข้างเตียง เขาเสียพลังงานไปมาก หากใครมาดักทำร้ายเถ้าแก่เผิงตอนนี้เพียงทุบเบา ๆ เขาก็ช้ำในสลบเหมือดให้ปล้นสบาย ๆ เลยเทียว“ตอนนี้นายท่านจูปลอดภัยแล้ว ลมปราณแฝงข้าได้กำจัดเรียบร้อย มีเพียงได้รับบาดเจ็บภายในกระทบถึงอวัยวะภายในตันทั้งห้าและอวัยวะกลวง
ท่านพ่อ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ เยี่ยหยางที่ถูกน้องชายที่น่ารักจู่โจม ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก วันนี้เขาถูกแก้ผ้ามาสองครั้งสองคราภายในวันเดียวกัน ทำไมเฉิงเยว่เปลื้องผ้าผู้คนได้คล่องมือเช่นนี้ น้องชายเขาไปฝึกปรือถอดผ้าจากผู้ใด เห็นทีเขาต้องเข้มงวดคัดกรองน้องสะใภ้ให้ดีแล้วล่ะ หญิงสาวเดินเข้าไปหาลูกชายที่หายสาบสูญ ลูบใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากเป็นส่วนใหญ่อย่างคิดถึงสุดหัวใจของคนที่เป็นมารดาจะให้บุตรได้ “หยางหยาง” หานเฟยจำได้เพียงปานแดงและชื่อเล่นที่เอ่ยเรียกลูกชายเท่านั้น เยี่ยหยางได้ยินมารดาเรียกหาตัวเอง ก็โผเข้าอ้อมกอดมารดาเหมือนเด็กน้อย “ท่านแม่” ในความทรงจำของเขา ท่านพ่อเป็นคนที่เข้มงวดเสมอ เพราะด้วยสถานการณ์ของระนาบมนตราในตอนนั้น ตั้งแต่เขาเริ่มรู้ความ ก็ไม่เคยได้รับอ้อมกอดของคนเป็นพ่ออีกเลย มีแต่คำสั่งสอน คำดุด่าให้เขาได้เตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่พร้อมปะทุตลอดเวลา มีเพียงท่านแม่ที่เป็นคนให้กำลังใจเขา ปลอบโยนโอบกอดเขา และบอกเสมอว่าท่านพ่อที่ไม่แสดงออกมา ก็รักเขาเหมือนกัน คนตัวโตที่กลายเป็นเด็กเกือบจะน้ำตาร่วง แต่เมื่อเงยหน้าเห็นบิดาที่จ้องเขม็งก็หยุดชะงัก เร
เยี่ยหยางไม่รู้ว่าวิธีตรวจสอบแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ เพราะดูยากที่จะเชื่อถือ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้วิธีเดียวกับที่ยืนยันกับเฉิงเยว่แสดงให้บิดาเห็น ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านพ่อลืมเรื่องราวในระนาบมนตราสิ้นจากท่าทีที่แสดงออก เขาจึงขอเวลาในการฟื้นฟูความทรงจำของพวกท่านที่ลืมเลือนอย่างช้า ๆ ไม่ให้เกิดผลกระทบใด ๆ ดีที่น้องชายบอกกล่าวเรื่องทั้งหมดมาก่อน แล้วเขาก็เห็นแล้วว่าพวกท่านจำอะไรไม่ได้จริง ไม่ได้ทำอะไรผลีผลามใช้เวทมนตร์ จนกระตุ้นพลังเวทของพวกท่านทั้ง ๆ ร่างกายบาดเจ็บสายตาสี่คู่มองหยดเลือดสองหยดที่ค่อย ๆ รวมกันเป็นเม็ดใหญ่รอยอยู่ในภาชนะเป็นหนึ่งเดียว ไม่แตกแยก ไม่ตกตะกอนนอนก้น ซึ่งหมายความว่าเยี่ยหยางเป็นบุตรชายของจูเหวินฟง หรือจูเหวินฟง คือ มู่หรงหลงหมิง คือ แมทธิว วินเซอร์ “ฮือ ๆ หยางหยางลูกแม่” จูเหวินฟงเห็นเมียรักน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ กอดรับขวัญบุตรชายคนโต? พลางฟังลูกชายคนเล็ก? เล่าเรื่องราวที่รับรู้มาจากพี่ชายตัวเอง เขาเห็นทีไม่เชื่อจะไม่ได้ ลูกเมียเห่อคนเป็นพี่ชายลูกชายสักขนาดนี้แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่เขายังไม่ยอมรับลูกคนนี้หรอกยังอยู่ในช่วงประเมินคุณภาพ ภาพครอบครัวพ่อแม่ลูก
พวกเขาคุยเล่นกันสักพักใหญ่จนผ่านยามจื่อมาครึ่งชั่วยามแล้ว ตาของท่านแม่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แต่ก็ยังไม่ยอมนอน เยี่ยหยางจึงร่ายเวทหลับใหลให้ท่านแม่น้องชายได้พักผ่อน เพราะท่าทีของทั้งสองคนคืนนี้ คงตั้งใจพูดคุยทั้งราตรี ไม่หลับไม่นอนแน่นอน เฉิงเยว่เองพลังเวทพึ่งปะทุ ร่างกายต้องได้รับการพักผ่อน ไม่อย่างงั้นแกนเวทอาจเสียหายได้เนื่องจากยังไม่สมบูรณ์ ท่านแม่เองก็เดินทางมาไกล แถมเจอเรื่องวิวาทอีก ร่างกายคงเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว เขามองทั้งสองคนหลับจนสนิทแล้ว จึงเดินไปหาบิดาผู้เปล่าเปี่ยวนอนตาค้าง เพราะขาดเมียรักข้างกาย เฮ้อ...ท่านพ่อนอนเถอะ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ คาถาหลับใหลกำลังถูกร่ายใส่จูเหวินฟงที่นอนไม่หลับ เพราะขาดคนข้างกายอีกทั้งแปลกที่แปลกทาง แต่เมื่อเห็นบิดาเข้าห้วงนิทราเขาก็ยกเลิกคาถา อีกทั้งตอนนี้เงียบสงบนัก เหมาะกับการตรวจสอบร่างกายท่านพ่ออย่างละเอียดอีกครั้ง เยี่ยหยางร่ายคาถาเวท เพราะคิดถึงคำเตือนที่เผิงเหล่ยพูดถึงพิษที่ยังอยู่ในร่างบิดา นี่มัน…พิษกลืนวิญญาณ พิษกลืนวิญญาณเป็นพิษร้ายแรงที่กัดกร่อนร่างกายของผู้ต้องพิษ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ตามปริมาณที่ได้รับ หัวใจจะ
หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา “ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม “ดี” เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย” “ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้อ
“เชิญท่านอ๋องกล่าวมาได้เลย ข้าน้อยน้อมรับฟัง” หลี่ไท้หยวนตกตะลึง เขาเพิ่งออกจากศาลยังไม่ถึงสองเค่อดี ข่าวคราวเรื่องนี้ก็ถึงหูท่านอ๋องแล้ว?“เรื่องนี้เฉินไร้คำพูดจากรูปคดีแล้ว สกุลจูเป็นครอบครัวคนเถื่อน ลงมือกับหลี่อี๋ญาติผู้น้องข้าอย่างไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง โทษทัณฑ์คงต้องเป็นไปตามกฎพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองหลี่พูดปดปั้นเรื่องให้เยี่ยหยางฟัง“คนเถื่อน?”“พ่ะย่ะค่ะ”“ดี ดียิ่ง เจ้าพิจารณาได้โปร่งใสดียิ่ง” เยี่ยหยางกัดฟันชมเชยไปหนึ่งประโยค“ท่านอ๋องชื่นชมเกินไปแล้ว” หลี่ไท้หยวนเบาใจที่ชินอ๋องไม่ซักไซ้มัน จึงส่งสัญญาณให้พ่อบ้านที่ยืนรอคำสั่งยกกล่องไม้ปิดทึบเข้ามา“นี่เป็นของขวัญแรกพบเล็ก ๆ น้อยที่เฉินขอมอบให้ท่านอ๋อง” เจ้าเมืองกังฉินเปิดกล่องที่เต็มด้วยตำลึงเงินเต็มกล่อง หวังให้ชินอ๋องเลิกแทรกแซงเรื่องนี้ นิสัยของอ๋องผู้นี้เลื่องลือไปทั่วมีแต่เรื่องฉาว แค่นี้คงพอสำหรับคนเสเพลที่ไม่ทำอันใด“น้ำใจใต้เท้า เปิ่นหวางเองก็ทราบซึ้งใจ แต่บรรพบุรุษว่าไว้เงินทองเป็นของนอกกาย ตายไปใช่ว่าจะเอาไปได้ คำพูดสองประโยคนี้เปิ่นหวางมิอาจมองข้าม ใต้เท้าหลี่อย่าทำให้ข้าต้องหนักใจเลย” เฮอะ...คิดว่าเงินทองแค่นี้จะ
“พวกท่านหน้าคุ้น ๆ นะ” เฉิงเยว่จ้องทั้งสองคนพลางนึกว่าเคยเห็นที่ไหน เขานึกไปถึงคราที่ต้องอาศัยนอนอยู่ที่นี่สองวันสองคืนก็ร้องออกมา “พวกเจ้า!!!”“เสี่ยวเฉิงมีอะไร?”“ต้าเกอสองคนนี้จับข้าขังอยู่ในนี้สองคืน ก่อนที่จะไปเทียนถูหวู่” เฉิงเยว่นึกถึงความอัดอั้นที่ต้องเผชิญ ก็เอ่ยฟ้องพี่ชายแหะ ๆ ...เรื่องนี้ ข้าก็เกือบลืมไปแล้วเจ้าน้องชาย ว่าเคยจับเจ้าโยนใส่กรง เจ้าช่วยลืม ๆ มันไปเถอะ“เอ่อ...เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วให้มันแล้วกันไปเถอะนะ” เยี่ยหยางพูด แล้วลูบหัวเฉิงเยว่ปลอบใจ “ชินอ๋องเองก็เป็นสหายข้า อีกทั้งเขาก็ยังไม่ทำร้ายอะไรเจ้า พี่เห็นว่าเขาเอ็นดูเจ้าแกล้งหนักมือไปเล็กน้อย”สองมือปราบที่ตกอยู่ในสถานการณ์บังคับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง“หึ..” เสียงพ่นลมออกจมูกอย่างงอน ๆ ของเฉิงเยว่ แต่ก็ไม่ได้ถามหาความต่อ“เชิญพวกท่าน” ห้องขังกรงเหล็กทึบหนาอยู่สุดทาง มือปราบจางเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงดีนัก พวกเขาสองคนเคยขังจูเฉิงเยว่มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงรู้ว่าคนทั้งสี่เป็นใคร หลังจากนึกเรื่องสองเดือนก่อนออก อ่าห์…ชายคนนั้นคงเป็นมหาเสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉินที่ฮ่องเต้คบดั่งสหาย ส่วนนางก็คงเป็นฮูหยินตราตั้งน้องสา
หากให้คนในเจียงตงกล่าวถึงหลี่อี๋ พวกเขาคงมีแค่คำกล่าวว่า ไอ้สารเลวให้เท่านั้น “เรียนใต้เท้า ผู้ลงมือคือครอบครัวสกุลจู ที่อยู่ตรงหน้าท่านขอรับ” อ้าว...ทำไมเรื่องกลับตาลปัตรเป็นอย่างนี้ อย่างนี้มันใส่ร้ายกันนี่หว่า ชินอ๋องเลิกคิ้ว เงยหน้ามองมือปราบเจ้าหน้าที่หลวงที่ตาชั่งเอนเอียง เยี่ยหยางหลังจากกินของว่างชิ้นสุดท้ายหมดลงพร้อมกับข้อหาทำร้ายคน มองดูรูปการณ์แล้ว ขุนนางเหล่านี้คิดโยนความผิดให้ครอบครัวเขา อ้อ…ครอบครัวฮ่องเต้ อื้ม คนพวกนี้กล้าหาญกันอยู่นะต่อให้ตอนนี้ท่านพ่อของเขาคือ จูเหวินฟง เสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉิน แต่ความจริงบิดาของเขายังเป็น อดีตชินอ๋อง พี่ชายแท้ ๆ ร่วมครรภ์มารดา สายเลือดเดียวกันกับฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือ อ้า…ถ้าเสด็จอารู้เรื่องเข้า คนพวกนี้จะเป็นเช่นไรน้า ต่อให้เขาเป็นคนลงมือเองในสถานการณ์นี้ ก็เป็นการป้องกันตัว ถือว่าไร้ความผิด ดูท่าคนเหล่านี้อยากเปิดศึกกับอ๋องผู้นี้สินะ อ่าห์...ข้าไม่ได้เล่นสนุก กลั่นแกล้งขุนนางเลวเกือบสองเดือนแล้ว หึ...เปิ่นหวางจะเล่นงิ้วโรงนี้กับพวกเจ้าสักครั้ง “ผู้ลงมือมีนามว่าอะไร” เสียงกระโชกโฮกฮากข่มขู่คุกคาม ไม่ได้ผลใด ๆ กับครอบครั
ครอบครัวตระกูลจูเดินตัวปลิวทำตัวสบาย ๆ ตามมือปราบอย่างไม่เกรงกลัวโทษทัณฑ์ใด ๆ ถือว่าเป็นการมาเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ราชการต่างแคว้น ในเมื่อคนที่เดินนำหน้าเป็นถึงมหาเสนาบดีที่อยู่ใต้คนเป็นคนเดียวแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉิน แม้นี่จะเป็นอาณาเขตราชอาณาจักรซีเว่ย แต่ขุนนางชั้นล่างมีสิทธิ์อำนาจมากแค่ไหน ที่สามารถสั่งลงโทษขุนนางชั้นหนึ่งได้ ต่อให้เป็นคนละแคว้น ศาลเจ้าเมืองเจียงตงจะทำเป็นหนึ่งมือปิดฟ้าได้ไหวหรือ? จะรับคนใหญ่คนโตเช่นคนสกุลจูแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินได้ไหวหรือ?ตามหลังมาด้วยฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง ที่เป็นรองเพียงองค์ไทเฮาและฮองเฮาแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินเท่านั้น ตัวนางเองยังมีอำนาจในมือมากกว่าพระสนมบางคนเสียอีกและที่มือปราบพลาดยิ่งกว่า คงเป็นการเชิญท่านอ๋องบัดซบประจำแคว้นของตัวเองขึ้นศาล ต่อให้เป็นฮ่องเต้ลงมาไต่สวนด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทยังโบกมือปัด ๆ ไล่ปล่อยไปไกล ๆ เลย แต่มือปราบตัวเล็กตัวจ้อยไม่กี่คน คิดลงดาบกับคนที่ฮ่องเต้ยังทำเบลอปล่อยผ่าน ไม่รู้ถ้าพวกมันรู้ความจริงจะสำนึกเสียใจมากแค่ไหนหายนะครั้งใหญ่กำลังเดินทางโหมกระหน่ำ เข้าสู่ศาลเมืองเจียงตงอย่างไม่รู้ตัว คาดว่าจบคดีนี้เจ้าที่ในศ
ในท้ายที่สุดกลายเป็นหวาดกลัวจากก้นลึกของจิตใจ ภาพเบื้องหน้าคนของมันถูกซ้อมปางตาย บางคนวิปลาสทำท่าทำทางยั่วยวนราวกับสตรีซ่องนางโลม จนนายอย่างมันรู้สึกอับอายมากที่สุด และตอนนี้เหลือมันอยู่คนเดียว ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ หนีไปไหนไม่ได้ จูเหวินฟงเดินเข้าไปหาเหยื่อในมาดราชสีห์ขู่กระต่าย มองไปหลี่อี๋ที่น้ำสีเหลืองรดกางเกงสกปรกน่าขยะแขยง ยกมือสั่นเทาชี้หน้าเขา ท่านเสนาบดีใหญ่ยืนห่างออกไปหลายก้าวยกมือปิดจมูก “สกปรก” เยี่ยหยางปิดงานด้วยชั้นหม้อนึ่งที่ไร้ซาลาเปาร่อนกระแทกหน้าหลี่อี๋อย่างจังสลบในทีเดียว “โสโครก”“ข้าเก่งกาจหรือไม่เฟยเฟย” จูเหวินฟงเดินไปหาภรรยายื่นใบหน้าหาฮูหยินตนอย่างออดอ้อน หน้าตาต่างกับเมื่อครู่ริบรับอย่างกับเหยียนหลัวหวางพญายมราชกลายเป็นแกะน้อยผู้บริสุทธิ์“ท่านพี่เก่งกาจที่สุดในสายตาน้อง” ผู้เป็นภรรยาก็มองสามีด้วยสายตาปลาบปลื้มซับเหงื่ออย่างอ่อนโยนถัดออกไปเป็นบุตรชายคนเล็กที่ยืนใกล้ ๆ ทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับการแสดงความรักออกหน้าออกตา ไม่เกรงใจลูกเล็กเด็กแดงบ้างเลย ส่วนบุตรชายคนโตอย่างเยี่ยหยาง ได้แต่ยืนอึ้งที่บิดาเปลี่ยนไปมาก หรือเมื่อก่อนเขาจะไม่ได้สังเกตเอง นี่เขาพลาดสิ่งใดไ
ถ้าไอ้บ้านั่นไม่มายุ่งกับครอบครัวพวกเขา อย่าว่าที่ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่เข้าไปห้าม เพราะนี้เป็นที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ถึงลงมือช่วยแต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ยังเกินขึ้นอยู่ดี ดีไม่ดีความซวยอาจมาเยือนมือช่วยเหลือ อีกทั้งวันนี้ไม่มีบ่าวไพร่ติดตามมา มีเพียงแค่พ่อแม่ลูกและฉงหยิ๋นห้อยท้ายติดขบวนมาด้วย“นายหญิงช่วยข้าน้อยด้วย!!!”หนุ่ม ๆ สกุลจูและเสี่ยวฉงที่อยู่ในร่างเด็กน้อย ถึงกลับกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย นี่พวกเขาก็ยืนหลบแล้ว แม่นางยังคลานมายื่นมีดใส่พวกเขาอีก ครานี้คงต้องเอี่ยวสินะ ก็โจทก์เหม็นเน่าอย่างหลี่อี๋เห็นครอบครัวตระกูลจูไปเรียบร้อย“แก!!!”เฮ้อ...น่าเบื่อ / น่ารำคาญ / งี่เง่า / เสียเวลาบ่าวไพร่หลายสิบคนจำนวนมากกว่าที่เผชิญหน้าสองวันก่อนนั้นหลายเท่าตัว โอบล้อมคนตระกูลจูตามคำสั่งของเจ้านายที่ชิงชังเคียดแค้นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังไม่ร้ายแรง แต่สามารถทำให้เจ้าของร้านหน้าบริเวณที่จะเกิดเรื่อง ถึงกลับหน้าซีดเหงื่อตก รีบไปดูบัญชีที่ต้องใช้ซ่อมแซมร้านครั้งใหญ่อย่างเผิงเหล่ยที่ไม่รู้ว่าปีนี้มีเคราะห์หรือดวงซวยหรือไร พอเกิดเรื่องทีไรเขาต้องถูกลากไปเอี่ยวด้วยเสมอค่าใช้จ่ายค
อาหารมื้อเช้าจบลงอย่างมีความสุขของครอบครัวและอย่างเศร้าใจสำหรับเสี่ยวฉง สี่คนพ่อแม่ลูกตัดสินใจเดินเที่ยวในเจียงตงร่วมกัน ออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมชางเหอและซูผิงผู้เป็นภรรยา รวมถึงบ่าวสกุลจูหานเฟยและเฉิงเยว่แม่ลูกเดินนำหน้าขบวนนำเที่ยว เข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ตามด้วยสองพ่อลูกอย่างจูเหวินฟงและเยี่ยหยางที่คอยเดินตาม แล้วรับของกินเล่นที่ผู้เป็นภรรยาและแม่ยื่นให้ บ่าวไพร่ต่างหอบหิ้วข้าวของที่นายหญิงเดินซื้อเต็มไม้เต็มมือ ก็ได้รับอานิสงส์อิ่มหนำสำราญกันทั่วหน้า เพราะเจ้านายอารมณ์ดีเมตตาปรานีเลี้ยงของกินพวกเขาด้วย “เส้าหยาง”“ขอรับ ท่านพ่อ”“เจ้าฝึกฝนปราณยุทธถึงระดับใด?”นั่นไง...มาแล้ว ข้ากะแล้วเชียว ไม่ว่ายังไงต้องมีคำพูดแบบนี้หลุดถามออกมาจากปากท่านพ่อเยี่ยหยางครุ่นคิดว่าเขาจะตอบระดับใดดี น้อยไปก็ไม่ได้ มากไปก็ไม่ดี ถึงแม้เขาจะไม่มีลมปราณซักเสี้ยวก็ตาม อืม...ระดับจ้าวยุทธก็ไม่เลว ระดับต่ำกว่าอาจารย์ที่เทียนถูหวู่เล็กน้อย ระดับเทียบเท่าศิษย์หลักเทียนถูหวู่ แถมยังเหมาะเข้ากับข่าวลือที่ว่าพวกนั้นอีก“ระดับจ้าวยุทธขอรับท่านพ่อ”“ดี” จูเหวินฟงตอบ แม้เขาจะตรวจสอบไม่ได้ว่า คนที่บอกว่า
“ไหน ๆ หมุนตัวให้แม่ดูหน่อยสิลูก”เสียงของหานเฟยดังเข้าลูกชายสองคนที่ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อได้ยินประโยคทะแม่ง ๆ...ใคร?... ใครมาแย่งท่านแม่ของพวกเขาทันทีที่สองพี่น้องเห็นก็เบิกตาถลนกว้าง พวกเขาห่างท่านแม่ไม่ถึงหนึ่งเค่อกับมีเด็กชายร่างอวบอ้วนราวห้าขวบ มาคลอเคลียออดอ้อนออเซาะมารดาพวกเขา เยี่ยหยางแทบอยากพุ่งเข้าไปฉุดเจ้าฉงฉงออกไปห่างจากสายตาท่านแม่ของเขาทันที“หยางหยาง เฉิงเอ๋อร์มาแล้ว” หานเฟยหันไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแต่จูเหวินฟงกลับมีสีหน้าย่ำแย่มืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีบุรุษเพศผู้มาแย่งความสนใจจากภรรยาของเขาเพิ่มอีกแล้ว “เสี่ยวฉงนั่งนี่สิลูก” หานเฟยจัดที่นั่งทานอาหารเช้าให้ ข้างขวามือนางเป็นสามีสุดที่รักที่มีสีหน้าราวกับคนถ่ายไม่ออก ข้างซ้ายเป็นเด็กหนุ่มผมขาวนั่งตาใสอย่างฉงหยิ๋น ถัดจากสามีและเสี่ยวฉงเป็นบุตรชายสองคนที่เริ่มปั้นหน้าคล้ำไม่ต่างจากคนเป็นพ่อฮึ่ม...ฉงฉง / เจ้ากิเลน / เด็กบัดซบ เสียงความคิดของสามบุรุษตระกูลจูบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าที่มีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์ของหนุ่ม ๆ กับใบหน้ายิ้มแป้นเล้นของหนึ่งตัว สตรีคนเดียวในวงคีบอาหารให้ทุกคนกันอย่างท
หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา “ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม “ดี” เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย” “ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้อ