เยี่ยหยางไม่รู้ว่าวิธีตรวจสอบแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ เพราะดูยากที่จะเชื่อถือ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้วิธีเดียวกับที่ยืนยันกับเฉิงเยว่แสดงให้บิดาเห็น
ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านพ่อลืมเรื่องราวในระนาบมนตราสิ้นจากท่าทีที่แสดงออก เขาจึงขอเวลาในการฟื้นฟูความทรงจำของพวกท่านที่ลืมเลือนอย่างช้า ๆ ไม่ให้เกิดผลกระทบใด ๆ ดีที่น้องชายบอกกล่าวเรื่องทั้งหมดมาก่อน แล้วเขาก็เห็นแล้วว่าพวกท่านจำอะไรไม่ได้จริง ไม่ได้ทำอะไรผลีผลามใช้เวทมนตร์ จนกระตุ้นพลังเวทของพวกท่านทั้ง ๆ ร่างกายบาดเจ็บ
สายตาสี่คู่มองหยดเลือดสองหยดที่ค่อย ๆ รวมกันเป็นเม็ดใหญ่รอยอยู่ในภาชนะเป็นหนึ่งเดียว ไม่แตกแยก ไม่ตกตะกอนนอนก้น ซึ่งหมายความว่าเยี่ยหยางเป็นบุตรชายของจูเหวินฟง หรือจูเหวินฟง คือ มู่หรงหลงหมิง คือ แมทธิว วินเซอร์
“ฮือ ๆ หยางหยางลูกแม่”
จูเหวินฟงเห็นเมียรักน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ กอดรับขวัญบุตรชายคนโต? พลางฟังลูกชายคนเล็ก? เล่าเรื่องราวที่รับรู้มาจากพี่ชายตัวเอง
เขาเห็นทีไม่เชื่อจะไม่ได้ ลูกเมียเห่อคนเป็นพี่ชายลูกชายสักขนาดนี้แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่เขายังไม่ยอมรับลูกคนนี้หรอก
ยังอยู่ในช่วงประเมินคุณภาพ
ภาพครอบครัวพ่อแม่ลูกนั่งรับประทานอาหารค่ำอย่างมีความสุข ผู้เป็นมารดาคีบอาหารให้ลูกชายทั้งสองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ลูกชายคนเล็กพูดเจื้อแจ้วกับพี่ชายไม่หยุด มีแต่คนเป็นพ่อที่อดมองตาขวางไม่ได้ เพราะโดนภรรยาเมินไม่สนใจตัวเอง
“หยางหยางตอนนี้ลูกอาศัยอยู่ที่ไหนหรือ?” หานเฟยถาม หลังจากจบมื้ออาหารของครอบครัวในรอบสิบปี
“เรียนท่านแม่ ข้าศึกษาอยู่สำนักเทียนถูหวู่ที่เดียวกับเสี่ยวเฉิงขอรับ” เยี่ยหยางตอบมารดา สายตาก็มองบิดาที่จ้องจับผิดเขาอยู่ตลอดเวลา ดูท่าท่านพ่อที่น่ารักคงยังไม่เชื่อว่า เขาเป็นลูกชายที่เจ้าตัวปั้นมากับมือ
“ดี รู้จักศึกษาหาความรู้” จูเหวินฟงเอ่ยชม แต่เยี่ยหยางรู้ว่าจริง ๆ แล้ว ท่านพ่อเหน็บแนมเขาด้วยความหมั่นไส้
“ที่ผ่านมาอยู่กับใคร” ผู้เป็นบิดาถามเสียงเรียบด้วยสีหน้าเข้มขรึมเริ่มซักไซ้ไล่เลียงลูกชาย?
“สมาคมเหวินชาขอรับท่านพ่อ” เยี่ยหยางบอกเล่าความจริงไปเพียงกึ่งเดียว แล้วเขาก็ไม่ได้โกหกว่าเป็นคนของเหวินชา เพียงแต่เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ของเหวินชาเท่านั้น
“ไม่เลว”
แน่นอนอยู่แล้วก็ข้าเป็นถึงประธานผู้ก่อตั้งสมาคมเชียวนะ
“ลูกหยาง เจ้าใช้นามอะไรอยู่ตอนนี้” หานเฟยถาม เพราะนางจำได้แต่ชื่อเล่น ที่เอ่ยเรียกกันในครอบครัวเท่านั้น
“เส้าหยางขอรับ”
เยี่ยหยางตอบท่านแม่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม บางทีที่ทั้งสองคนจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องดี เหอะ ๆ เพราะถ้ารู้ความจริงว่าเขาก่อเรื่องเล่นงิ้วโรงใหญ่จัดเต็ม เป็นท่านอ๋องที่ผู้คนต่างชื่นชม มีหวังได้ฟังเสียงบ่นกระหึ่มจนหูชาจากท่านแม่ โดนซ้อมมือหนักกับท่านพ่อเป็นแน่
“ข้าจะบอกปู่เจ้า ให้รับเจ้าเข้าตระกูลจู” จูเหวินฟงถึงแม้ใจจะยังไม่ยอมรับลูกชายตัวโต แต่ก็เอ่ยปากรับเข้าตระกูล “ต่อไปเจ้าคือ จูเส้าหยาง”
“ขอรับ” เยี่ยหยางไม่คัดค้าน ไม่ว่าจะชื่ออะไร นามอะไร สุดท้ายตัวตนของเขา คือ เกรกอรี่ วินเซอร์ ไม่เปลี่ยนแปลง
“ยามนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้าพักผ่อนที่นี่เถอะ แม่จะไปนอนเป็นเพื่อนพวกเจ้าด้วย” หานเฟยจูงมือลูกชายทั้งสองเตรียมกล่อมเข้านอน โดยไม่ดูสีหน้าตัดพ้อของสามีที่คืนนี้ภรรยาไม่นอนด้วย
“ไม่ได้” เสียงขัดใจของจูเหวินฟงเอ่ยขัดบัญชาของภรรยา ตัดกับสีหน้าบุตรชายสองคนที่ยิ้มกระดี๊กระด๊า พวกเขาถึงกลับกลอกตาเหม็นเบื่อบิดาตัวเอง
นี่ลูกชายนะท่านพ่อ...ท่านจะยึดท่านแม่ไว้คนเดียวไม่ได้
“ทำไมหรือท่านพี่” หานเฟยถาม
“ลูกชายเจ้าโตแล้ว”
“ถึงจะโต ต่อให้แก่ ก็ยังเป็นลูกข้า” ภรรยารักกล่าว พร้อมไม่สนใจอาการไหน้ำส้มแตกที่กำเริบของสามี หึงหวงได้แม้กระทั่งบุตรชาย
“ไปกันเถอะหยางหยาง เฉิงเอ๋อร์แม่อยากคุยกับพวกเจ้าก่อนนอนด้วย”
เยี่ยหยางและเฉิงเยว่รู้สึกได้รับชัยชนะในครั้งนี้อย่างสวยงาม ทำความเคารพคำนับท่านพ่อ ที่ต้องนอนโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวในคืนนี้เพียงผู้เดียว
จูเหวินฟงมีสีหน้ารับไม่ได้ทันทีที่ถูกภรรยาเมิน เขาจะไม่มีลูกอีกแล้ว ยิ่งมีลูก เมียเขาก็ยิ่งแบ่งความรักของเขาเป็นส่วน ๆ จนส่วนของเขาเหลือน้อยนิด เขายอมให้ไม่ได้
หานเฟยนอนบนกลางเตียงใหญ่ ที่ถูกเยี่ยหยางสั่งเปลี่ยนเตรียมรอไว้ล่วงหน้าข้างซ้ายเป็นเขา ข้างขวาเป็นน้องชายที่หันหน้าเข้าหาท่านแม่
“หยางหยาง ช่วงวันหยุดยาวที่เทียนถูหวู่ เจ้ากลับไปราชอาณาจักรเป่ยฉินกับแม่ได้หรือไม่” มารดาถามบุตรชาย
นางเป็นห่วงบุตรชายกลัวว่า เขาจะน้อยใจคิดว่านางละเลยเขา พลางมองใบหน้าลูกที่แม้แต่ยามนอน ก็สวมหน้ากากปกปิดใบหน้าที่แท้จริง เขาคงผ่านเรื่องลำบากมามาก จนเส้นผมเปลี่ยนสีทั้งหมด นางไม่บังคับให้เขาถอดหน้ากาก เพียงรอวันที่ลูกจะยอมบอกและเผยใบหน้าด้วยตัวเอง
“ได้ขอรับ แต่ข้าต้องทำงานของเหวินชาด้วย ช่วงกลางวันอาจไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนท่าน” เยี่ยหยางตอบรับ อีกสองเดือนข้างหน้าชีวิตเขาคงยุ่งอีกหลายร้อยหลายพันเท่า เขาต้องเทียวไปเทียวมาเป็นทั้งเส้าหยางให้กลับครอบครัว เป็นทั้งชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยางให้ราชอาณาจักรซีเว่ย ชีวิตเขาเริ่มจะบัดซบแล้ว
“ไม่เป็นไรลูก พาน้องไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วยสิ”
ฮะ? … นี่ท่านแม่จะไม่ให้ข้าได้หายใจหายคอเลยหรอ เสี่ยวเฉิงยังไม่รู้ว่าข้าคือเยี่ยหยาง แล้วทีนี้จะทำยังไงกัน
ดูท่าข้าต้องพึ่งฉงฉงสินะ งานนี้พังพอนเหลืองคงปวดกระบาลมากกว่าเดิมแน่ ที่ต้องเจอกับฉงหยิ๋นจอมบัดซบที่สืบทอดวิชาของข้าขั้นสูงสุด บูรณาการได้เยี่ยมยอด ข้าต้องขออภัยล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา
“ข้าขอไปอยู่กับท่านพี่ด้วยนะขอรับ” เฉิงเยว่ตาใสแวววาวอย่างมีความสุข สบตาออดอ้อนกับพี่ชายที่แพ้ทางให้น้องชายที่น่ารัก ไม่เหลือภาพคุณชายงี่เง่าที่หยิ่งผยองคนนั้นเลย
“ขอรับท่านแม่”
พวกเขาคุยเล่นกันสักพักใหญ่จนผ่านยามจื่อมาครึ่งชั่วยามแล้ว ตาของท่านแม่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แต่ก็ยังไม่ยอมนอน เยี่ยหยางจึงร่ายเวทหลับใหลให้ท่านแม่น้องชายได้พักผ่อน เพราะท่าทีของทั้งสองคนคืนนี้ คงตั้งใจพูดคุยทั้งราตรี ไม่หลับไม่นอนแน่นอน เฉิงเยว่เองพลังเวทพึ่งปะทุ ร่างกายต้องได้รับการพักผ่อน ไม่อย่างงั้นแกนเวทอาจเสียหายได้เนื่องจากยังไม่สมบูรณ์ ท่านแม่เองก็เดินทางมาไกล แถมเจอเรื่องวิวาทอีก ร่างกายคงเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว เขามองทั้งสองคนหลับจนสนิทแล้ว จึงเดินไปหาบิดาผู้เปล่าเปี่ยวนอนตาค้าง เพราะขาดเมียรักข้างกาย เฮ้อ...ท่านพ่อนอนเถอะ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ คาถาหลับใหลกำลังถูกร่ายใส่จูเหวินฟงที่นอนไม่หลับ เพราะขาดคนข้างกายอีกทั้งแปลกที่แปลกทาง แต่เมื่อเห็นบิดาเข้าห้วงนิทราเขาก็ยกเลิกคาถา อีกทั้งตอนนี้เงียบสงบนัก เหมาะกับการตรวจสอบร่างกายท่านพ่ออย่างละเอียดอีกครั้ง เยี่ยหยางร่ายคาถาเวท เพราะคิดถึงคำเตือนที่เผิงเหล่ยพูดถึงพิษที่ยังอยู่ในร่างบิดา นี่มัน…พิษกลืนวิญญาณ พิษกลืนวิญญาณเป็นพิษร้ายแรงที่กัดกร่อนร่างกายของผู้ต้องพิษ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ตามปริมาณที่ได้รับ หัวใจจะ
หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา “ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม “ดี” เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย” “ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้อ
“ไหน ๆ หมุนตัวให้แม่ดูหน่อยสิลูก”เสียงของหานเฟยดังเข้าลูกชายสองคนที่ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อได้ยินประโยคทะแม่ง ๆ...ใคร?... ใครมาแย่งท่านแม่ของพวกเขาทันทีที่สองพี่น้องเห็นก็เบิกตาถลนกว้าง พวกเขาห่างท่านแม่ไม่ถึงหนึ่งเค่อกับมีเด็กชายร่างอวบอ้วนราวห้าขวบ มาคลอเคลียออดอ้อนออเซาะมารดาพวกเขา เยี่ยหยางแทบอยากพุ่งเข้าไปฉุดเจ้าฉงฉงออกไปห่างจากสายตาท่านแม่ของเขาทันที“หยางหยาง เฉิงเอ๋อร์มาแล้ว” หานเฟยหันไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแต่จูเหวินฟงกลับมีสีหน้าย่ำแย่มืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีบุรุษเพศผู้มาแย่งความสนใจจากภรรยาของเขาเพิ่มอีกแล้ว “เสี่ยวฉงนั่งนี่สิลูก” หานเฟยจัดที่นั่งทานอาหารเช้าให้ ข้างขวามือนางเป็นสามีสุดที่รักที่มีสีหน้าราวกับคนถ่ายไม่ออก ข้างซ้ายเป็นเด็กหนุ่มผมขาวนั่งตาใสอย่างฉงหยิ๋น ถัดจากสามีและเสี่ยวฉงเป็นบุตรชายสองคนที่เริ่มปั้นหน้าคล้ำไม่ต่างจากคนเป็นพ่อฮึ่ม...ฉงฉง / เจ้ากิเลน / เด็กบัดซบ เสียงความคิดของสามบุรุษตระกูลจูบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าที่มีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์ของหนุ่ม ๆ กับใบหน้ายิ้มแป้นเล้นของหนึ่งตัว สตรีคนเดียวในวงคีบอาหารให้ทุกคนกันอย่างท
อาหารมื้อเช้าจบลงอย่างมีความสุขของครอบครัวและอย่างเศร้าใจสำหรับเสี่ยวฉง สี่คนพ่อแม่ลูกตัดสินใจเดินเที่ยวในเจียงตงร่วมกัน ออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมชางเหอและซูผิงผู้เป็นภรรยา รวมถึงบ่าวสกุลจูหานเฟยและเฉิงเยว่แม่ลูกเดินนำหน้าขบวนนำเที่ยว เข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ตามด้วยสองพ่อลูกอย่างจูเหวินฟงและเยี่ยหยางที่คอยเดินตาม แล้วรับของกินเล่นที่ผู้เป็นภรรยาและแม่ยื่นให้ บ่าวไพร่ต่างหอบหิ้วข้าวของที่นายหญิงเดินซื้อเต็มไม้เต็มมือ ก็ได้รับอานิสงส์อิ่มหนำสำราญกันทั่วหน้า เพราะเจ้านายอารมณ์ดีเมตตาปรานีเลี้ยงของกินพวกเขาด้วย “เส้าหยาง”“ขอรับ ท่านพ่อ”“เจ้าฝึกฝนปราณยุทธถึงระดับใด?”นั่นไง...มาแล้ว ข้ากะแล้วเชียว ไม่ว่ายังไงต้องมีคำพูดแบบนี้หลุดถามออกมาจากปากท่านพ่อเยี่ยหยางครุ่นคิดว่าเขาจะตอบระดับใดดี น้อยไปก็ไม่ได้ มากไปก็ไม่ดี ถึงแม้เขาจะไม่มีลมปราณซักเสี้ยวก็ตาม อืม...ระดับจ้าวยุทธก็ไม่เลว ระดับต่ำกว่าอาจารย์ที่เทียนถูหวู่เล็กน้อย ระดับเทียบเท่าศิษย์หลักเทียนถูหวู่ แถมยังเหมาะเข้ากับข่าวลือที่ว่าพวกนั้นอีก“ระดับจ้าวยุทธขอรับท่านพ่อ”“ดี” จูเหวินฟงตอบ แม้เขาจะตรวจสอบไม่ได้ว่า คนที่บอกว่า
ถ้าไอ้บ้านั่นไม่มายุ่งกับครอบครัวพวกเขา อย่าว่าที่ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่เข้าไปห้าม เพราะนี้เป็นที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ถึงลงมือช่วยแต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ยังเกินขึ้นอยู่ดี ดีไม่ดีความซวยอาจมาเยือนมือช่วยเหลือ อีกทั้งวันนี้ไม่มีบ่าวไพร่ติดตามมา มีเพียงแค่พ่อแม่ลูกและฉงหยิ๋นห้อยท้ายติดขบวนมาด้วย“นายหญิงช่วยข้าน้อยด้วย!!!”หนุ่ม ๆ สกุลจูและเสี่ยวฉงที่อยู่ในร่างเด็กน้อย ถึงกลับกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย นี่พวกเขาก็ยืนหลบแล้ว แม่นางยังคลานมายื่นมีดใส่พวกเขาอีก ครานี้คงต้องเอี่ยวสินะ ก็โจทก์เหม็นเน่าอย่างหลี่อี๋เห็นครอบครัวตระกูลจูไปเรียบร้อย“แก!!!”เฮ้อ...น่าเบื่อ / น่ารำคาญ / งี่เง่า / เสียเวลาบ่าวไพร่หลายสิบคนจำนวนมากกว่าที่เผชิญหน้าสองวันก่อนนั้นหลายเท่าตัว โอบล้อมคนตระกูลจูตามคำสั่งของเจ้านายที่ชิงชังเคียดแค้นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังไม่ร้ายแรง แต่สามารถทำให้เจ้าของร้านหน้าบริเวณที่จะเกิดเรื่อง ถึงกลับหน้าซีดเหงื่อตก รีบไปดูบัญชีที่ต้องใช้ซ่อมแซมร้านครั้งใหญ่อย่างเผิงเหล่ยที่ไม่รู้ว่าปีนี้มีเคราะห์หรือดวงซวยหรือไร พอเกิดเรื่องทีไรเขาต้องถูกลากไปเอี่ยวด้วยเสมอค่าใช้จ่ายค
ในท้ายที่สุดกลายเป็นหวาดกลัวจากก้นลึกของจิตใจ ภาพเบื้องหน้าคนของมันถูกซ้อมปางตาย บางคนวิปลาสทำท่าทำทางยั่วยวนราวกับสตรีซ่องนางโลม จนนายอย่างมันรู้สึกอับอายมากที่สุด และตอนนี้เหลือมันอยู่คนเดียว ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ หนีไปไหนไม่ได้ จูเหวินฟงเดินเข้าไปหาเหยื่อในมาดราชสีห์ขู่กระต่าย มองไปหลี่อี๋ที่น้ำสีเหลืองรดกางเกงสกปรกน่าขยะแขยง ยกมือสั่นเทาชี้หน้าเขา ท่านเสนาบดีใหญ่ยืนห่างออกไปหลายก้าวยกมือปิดจมูก “สกปรก” เยี่ยหยางปิดงานด้วยชั้นหม้อนึ่งที่ไร้ซาลาเปาร่อนกระแทกหน้าหลี่อี๋อย่างจังสลบในทีเดียว “โสโครก”“ข้าเก่งกาจหรือไม่เฟยเฟย” จูเหวินฟงเดินไปหาภรรยายื่นใบหน้าหาฮูหยินตนอย่างออดอ้อน หน้าตาต่างกับเมื่อครู่ริบรับอย่างกับเหยียนหลัวหวางพญายมราชกลายเป็นแกะน้อยผู้บริสุทธิ์“ท่านพี่เก่งกาจที่สุดในสายตาน้อง” ผู้เป็นภรรยาก็มองสามีด้วยสายตาปลาบปลื้มซับเหงื่ออย่างอ่อนโยนถัดออกไปเป็นบุตรชายคนเล็กที่ยืนใกล้ ๆ ทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับการแสดงความรักออกหน้าออกตา ไม่เกรงใจลูกเล็กเด็กแดงบ้างเลย ส่วนบุตรชายคนโตอย่างเยี่ยหยาง ได้แต่ยืนอึ้งที่บิดาเปลี่ยนไปมาก หรือเมื่อก่อนเขาจะไม่ได้สังเกตเอง นี่เขาพลาดสิ่งใดไ
ครอบครัวตระกูลจูเดินตัวปลิวทำตัวสบาย ๆ ตามมือปราบอย่างไม่เกรงกลัวโทษทัณฑ์ใด ๆ ถือว่าเป็นการมาเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ราชการต่างแคว้น ในเมื่อคนที่เดินนำหน้าเป็นถึงมหาเสนาบดีที่อยู่ใต้คนเป็นคนเดียวแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉิน แม้นี่จะเป็นอาณาเขตราชอาณาจักรซีเว่ย แต่ขุนนางชั้นล่างมีสิทธิ์อำนาจมากแค่ไหน ที่สามารถสั่งลงโทษขุนนางชั้นหนึ่งได้ ต่อให้เป็นคนละแคว้น ศาลเจ้าเมืองเจียงตงจะทำเป็นหนึ่งมือปิดฟ้าได้ไหวหรือ? จะรับคนใหญ่คนโตเช่นคนสกุลจูแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินได้ไหวหรือ?ตามหลังมาด้วยฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง ที่เป็นรองเพียงองค์ไทเฮาและฮองเฮาแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินเท่านั้น ตัวนางเองยังมีอำนาจในมือมากกว่าพระสนมบางคนเสียอีกและที่มือปราบพลาดยิ่งกว่า คงเป็นการเชิญท่านอ๋องบัดซบประจำแคว้นของตัวเองขึ้นศาล ต่อให้เป็นฮ่องเต้ลงมาไต่สวนด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทยังโบกมือปัด ๆ ไล่ปล่อยไปไกล ๆ เลย แต่มือปราบตัวเล็กตัวจ้อยไม่กี่คน คิดลงดาบกับคนที่ฮ่องเต้ยังทำเบลอปล่อยผ่าน ไม่รู้ถ้าพวกมันรู้ความจริงจะสำนึกเสียใจมากแค่ไหนหายนะครั้งใหญ่กำลังเดินทางโหมกระหน่ำ เข้าสู่ศาลเมืองเจียงตงอย่างไม่รู้ตัว คาดว่าจบคดีนี้เจ้าที่ในศ
หากให้คนในเจียงตงกล่าวถึงหลี่อี๋ พวกเขาคงมีแค่คำกล่าวว่า ไอ้สารเลวให้เท่านั้น “เรียนใต้เท้า ผู้ลงมือคือครอบครัวสกุลจู ที่อยู่ตรงหน้าท่านขอรับ” อ้าว...ทำไมเรื่องกลับตาลปัตรเป็นอย่างนี้ อย่างนี้มันใส่ร้ายกันนี่หว่า ชินอ๋องเลิกคิ้ว เงยหน้ามองมือปราบเจ้าหน้าที่หลวงที่ตาชั่งเอนเอียง เยี่ยหยางหลังจากกินของว่างชิ้นสุดท้ายหมดลงพร้อมกับข้อหาทำร้ายคน มองดูรูปการณ์แล้ว ขุนนางเหล่านี้คิดโยนความผิดให้ครอบครัวเขา อ้อ…ครอบครัวฮ่องเต้ อื้ม คนพวกนี้กล้าหาญกันอยู่นะต่อให้ตอนนี้ท่านพ่อของเขาคือ จูเหวินฟง เสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉิน แต่ความจริงบิดาของเขายังเป็น อดีตชินอ๋อง พี่ชายแท้ ๆ ร่วมครรภ์มารดา สายเลือดเดียวกันกับฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือ อ้า…ถ้าเสด็จอารู้เรื่องเข้า คนพวกนี้จะเป็นเช่นไรน้า ต่อให้เขาเป็นคนลงมือเองในสถานการณ์นี้ ก็เป็นการป้องกันตัว ถือว่าไร้ความผิด ดูท่าคนเหล่านี้อยากเปิดศึกกับอ๋องผู้นี้สินะ อ่าห์...ข้าไม่ได้เล่นสนุก กลั่นแกล้งขุนนางเลวเกือบสองเดือนแล้ว หึ...เปิ่นหวางจะเล่นงิ้วโรงนี้กับพวกเจ้าสักครั้ง “ผู้ลงมือมีนามว่าอะไร” เสียงกระโชกโฮกฮากข่มขู่คุกคาม ไม่ได้ผลใด ๆ กับครอบครั
“เชิญท่านอ๋องกล่าวมาได้เลย ข้าน้อยน้อมรับฟัง” หลี่ไท้หยวนตกตะลึง เขาเพิ่งออกจากศาลยังไม่ถึงสองเค่อดี ข่าวคราวเรื่องนี้ก็ถึงหูท่านอ๋องแล้ว?“เรื่องนี้เฉินไร้คำพูดจากรูปคดีแล้ว สกุลจูเป็นครอบครัวคนเถื่อน ลงมือกับหลี่อี๋ญาติผู้น้องข้าอย่างไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง โทษทัณฑ์คงต้องเป็นไปตามกฎพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองหลี่พูดปดปั้นเรื่องให้เยี่ยหยางฟัง“คนเถื่อน?”“พ่ะย่ะค่ะ”“ดี ดียิ่ง เจ้าพิจารณาได้โปร่งใสดียิ่ง” เยี่ยหยางกัดฟันชมเชยไปหนึ่งประโยค“ท่านอ๋องชื่นชมเกินไปแล้ว” หลี่ไท้หยวนเบาใจที่ชินอ๋องไม่ซักไซ้มัน จึงส่งสัญญาณให้พ่อบ้านที่ยืนรอคำสั่งยกกล่องไม้ปิดทึบเข้ามา“นี่เป็นของขวัญแรกพบเล็ก ๆ น้อยที่เฉินขอมอบให้ท่านอ๋อง” เจ้าเมืองกังฉินเปิดกล่องที่เต็มด้วยตำลึงเงินเต็มกล่อง หวังให้ชินอ๋องเลิกแทรกแซงเรื่องนี้ นิสัยของอ๋องผู้นี้เลื่องลือไปทั่วมีแต่เรื่องฉาว แค่นี้คงพอสำหรับคนเสเพลที่ไม่ทำอันใด“น้ำใจใต้เท้า เปิ่นหวางเองก็ทราบซึ้งใจ แต่บรรพบุรุษว่าไว้เงินทองเป็นของนอกกาย ตายไปใช่ว่าจะเอาไปได้ คำพูดสองประโยคนี้เปิ่นหวางมิอาจมองข้าม ใต้เท้าหลี่อย่าทำให้ข้าต้องหนักใจเลย” เฮอะ...คิดว่าเงินทองแค่นี้จะ
“พวกท่านหน้าคุ้น ๆ นะ” เฉิงเยว่จ้องทั้งสองคนพลางนึกว่าเคยเห็นที่ไหน เขานึกไปถึงคราที่ต้องอาศัยนอนอยู่ที่นี่สองวันสองคืนก็ร้องออกมา “พวกเจ้า!!!”“เสี่ยวเฉิงมีอะไร?”“ต้าเกอสองคนนี้จับข้าขังอยู่ในนี้สองคืน ก่อนที่จะไปเทียนถูหวู่” เฉิงเยว่นึกถึงความอัดอั้นที่ต้องเผชิญ ก็เอ่ยฟ้องพี่ชายแหะ ๆ ...เรื่องนี้ ข้าก็เกือบลืมไปแล้วเจ้าน้องชาย ว่าเคยจับเจ้าโยนใส่กรง เจ้าช่วยลืม ๆ มันไปเถอะ“เอ่อ...เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วให้มันแล้วกันไปเถอะนะ” เยี่ยหยางพูด แล้วลูบหัวเฉิงเยว่ปลอบใจ “ชินอ๋องเองก็เป็นสหายข้า อีกทั้งเขาก็ยังไม่ทำร้ายอะไรเจ้า พี่เห็นว่าเขาเอ็นดูเจ้าแกล้งหนักมือไปเล็กน้อย”สองมือปราบที่ตกอยู่ในสถานการณ์บังคับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง“หึ..” เสียงพ่นลมออกจมูกอย่างงอน ๆ ของเฉิงเยว่ แต่ก็ไม่ได้ถามหาความต่อ“เชิญพวกท่าน” ห้องขังกรงเหล็กทึบหนาอยู่สุดทาง มือปราบจางเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงดีนัก พวกเขาสองคนเคยขังจูเฉิงเยว่มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงรู้ว่าคนทั้งสี่เป็นใคร หลังจากนึกเรื่องสองเดือนก่อนออก อ่าห์…ชายคนนั้นคงเป็นมหาเสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉินที่ฮ่องเต้คบดั่งสหาย ส่วนนางก็คงเป็นฮูหยินตราตั้งน้องสา
หากให้คนในเจียงตงกล่าวถึงหลี่อี๋ พวกเขาคงมีแค่คำกล่าวว่า ไอ้สารเลวให้เท่านั้น “เรียนใต้เท้า ผู้ลงมือคือครอบครัวสกุลจู ที่อยู่ตรงหน้าท่านขอรับ” อ้าว...ทำไมเรื่องกลับตาลปัตรเป็นอย่างนี้ อย่างนี้มันใส่ร้ายกันนี่หว่า ชินอ๋องเลิกคิ้ว เงยหน้ามองมือปราบเจ้าหน้าที่หลวงที่ตาชั่งเอนเอียง เยี่ยหยางหลังจากกินของว่างชิ้นสุดท้ายหมดลงพร้อมกับข้อหาทำร้ายคน มองดูรูปการณ์แล้ว ขุนนางเหล่านี้คิดโยนความผิดให้ครอบครัวเขา อ้อ…ครอบครัวฮ่องเต้ อื้ม คนพวกนี้กล้าหาญกันอยู่นะต่อให้ตอนนี้ท่านพ่อของเขาคือ จูเหวินฟง เสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉิน แต่ความจริงบิดาของเขายังเป็น อดีตชินอ๋อง พี่ชายแท้ ๆ ร่วมครรภ์มารดา สายเลือดเดียวกันกับฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือ อ้า…ถ้าเสด็จอารู้เรื่องเข้า คนพวกนี้จะเป็นเช่นไรน้า ต่อให้เขาเป็นคนลงมือเองในสถานการณ์นี้ ก็เป็นการป้องกันตัว ถือว่าไร้ความผิด ดูท่าคนเหล่านี้อยากเปิดศึกกับอ๋องผู้นี้สินะ อ่าห์...ข้าไม่ได้เล่นสนุก กลั่นแกล้งขุนนางเลวเกือบสองเดือนแล้ว หึ...เปิ่นหวางจะเล่นงิ้วโรงนี้กับพวกเจ้าสักครั้ง “ผู้ลงมือมีนามว่าอะไร” เสียงกระโชกโฮกฮากข่มขู่คุกคาม ไม่ได้ผลใด ๆ กับครอบครั
ครอบครัวตระกูลจูเดินตัวปลิวทำตัวสบาย ๆ ตามมือปราบอย่างไม่เกรงกลัวโทษทัณฑ์ใด ๆ ถือว่าเป็นการมาเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ราชการต่างแคว้น ในเมื่อคนที่เดินนำหน้าเป็นถึงมหาเสนาบดีที่อยู่ใต้คนเป็นคนเดียวแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉิน แม้นี่จะเป็นอาณาเขตราชอาณาจักรซีเว่ย แต่ขุนนางชั้นล่างมีสิทธิ์อำนาจมากแค่ไหน ที่สามารถสั่งลงโทษขุนนางชั้นหนึ่งได้ ต่อให้เป็นคนละแคว้น ศาลเจ้าเมืองเจียงตงจะทำเป็นหนึ่งมือปิดฟ้าได้ไหวหรือ? จะรับคนใหญ่คนโตเช่นคนสกุลจูแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินได้ไหวหรือ?ตามหลังมาด้วยฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง ที่เป็นรองเพียงองค์ไทเฮาและฮองเฮาแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินเท่านั้น ตัวนางเองยังมีอำนาจในมือมากกว่าพระสนมบางคนเสียอีกและที่มือปราบพลาดยิ่งกว่า คงเป็นการเชิญท่านอ๋องบัดซบประจำแคว้นของตัวเองขึ้นศาล ต่อให้เป็นฮ่องเต้ลงมาไต่สวนด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทยังโบกมือปัด ๆ ไล่ปล่อยไปไกล ๆ เลย แต่มือปราบตัวเล็กตัวจ้อยไม่กี่คน คิดลงดาบกับคนที่ฮ่องเต้ยังทำเบลอปล่อยผ่าน ไม่รู้ถ้าพวกมันรู้ความจริงจะสำนึกเสียใจมากแค่ไหนหายนะครั้งใหญ่กำลังเดินทางโหมกระหน่ำ เข้าสู่ศาลเมืองเจียงตงอย่างไม่รู้ตัว คาดว่าจบคดีนี้เจ้าที่ในศ
ในท้ายที่สุดกลายเป็นหวาดกลัวจากก้นลึกของจิตใจ ภาพเบื้องหน้าคนของมันถูกซ้อมปางตาย บางคนวิปลาสทำท่าทำทางยั่วยวนราวกับสตรีซ่องนางโลม จนนายอย่างมันรู้สึกอับอายมากที่สุด และตอนนี้เหลือมันอยู่คนเดียว ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ หนีไปไหนไม่ได้ จูเหวินฟงเดินเข้าไปหาเหยื่อในมาดราชสีห์ขู่กระต่าย มองไปหลี่อี๋ที่น้ำสีเหลืองรดกางเกงสกปรกน่าขยะแขยง ยกมือสั่นเทาชี้หน้าเขา ท่านเสนาบดีใหญ่ยืนห่างออกไปหลายก้าวยกมือปิดจมูก “สกปรก” เยี่ยหยางปิดงานด้วยชั้นหม้อนึ่งที่ไร้ซาลาเปาร่อนกระแทกหน้าหลี่อี๋อย่างจังสลบในทีเดียว “โสโครก”“ข้าเก่งกาจหรือไม่เฟยเฟย” จูเหวินฟงเดินไปหาภรรยายื่นใบหน้าหาฮูหยินตนอย่างออดอ้อน หน้าตาต่างกับเมื่อครู่ริบรับอย่างกับเหยียนหลัวหวางพญายมราชกลายเป็นแกะน้อยผู้บริสุทธิ์“ท่านพี่เก่งกาจที่สุดในสายตาน้อง” ผู้เป็นภรรยาก็มองสามีด้วยสายตาปลาบปลื้มซับเหงื่ออย่างอ่อนโยนถัดออกไปเป็นบุตรชายคนเล็กที่ยืนใกล้ ๆ ทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับการแสดงความรักออกหน้าออกตา ไม่เกรงใจลูกเล็กเด็กแดงบ้างเลย ส่วนบุตรชายคนโตอย่างเยี่ยหยาง ได้แต่ยืนอึ้งที่บิดาเปลี่ยนไปมาก หรือเมื่อก่อนเขาจะไม่ได้สังเกตเอง นี่เขาพลาดสิ่งใดไ
ถ้าไอ้บ้านั่นไม่มายุ่งกับครอบครัวพวกเขา อย่าว่าที่ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่เข้าไปห้าม เพราะนี้เป็นที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ถึงลงมือช่วยแต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ยังเกินขึ้นอยู่ดี ดีไม่ดีความซวยอาจมาเยือนมือช่วยเหลือ อีกทั้งวันนี้ไม่มีบ่าวไพร่ติดตามมา มีเพียงแค่พ่อแม่ลูกและฉงหยิ๋นห้อยท้ายติดขบวนมาด้วย“นายหญิงช่วยข้าน้อยด้วย!!!”หนุ่ม ๆ สกุลจูและเสี่ยวฉงที่อยู่ในร่างเด็กน้อย ถึงกลับกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย นี่พวกเขาก็ยืนหลบแล้ว แม่นางยังคลานมายื่นมีดใส่พวกเขาอีก ครานี้คงต้องเอี่ยวสินะ ก็โจทก์เหม็นเน่าอย่างหลี่อี๋เห็นครอบครัวตระกูลจูไปเรียบร้อย“แก!!!”เฮ้อ...น่าเบื่อ / น่ารำคาญ / งี่เง่า / เสียเวลาบ่าวไพร่หลายสิบคนจำนวนมากกว่าที่เผชิญหน้าสองวันก่อนนั้นหลายเท่าตัว โอบล้อมคนตระกูลจูตามคำสั่งของเจ้านายที่ชิงชังเคียดแค้นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังไม่ร้ายแรง แต่สามารถทำให้เจ้าของร้านหน้าบริเวณที่จะเกิดเรื่อง ถึงกลับหน้าซีดเหงื่อตก รีบไปดูบัญชีที่ต้องใช้ซ่อมแซมร้านครั้งใหญ่อย่างเผิงเหล่ยที่ไม่รู้ว่าปีนี้มีเคราะห์หรือดวงซวยหรือไร พอเกิดเรื่องทีไรเขาต้องถูกลากไปเอี่ยวด้วยเสมอค่าใช้จ่ายค
อาหารมื้อเช้าจบลงอย่างมีความสุขของครอบครัวและอย่างเศร้าใจสำหรับเสี่ยวฉง สี่คนพ่อแม่ลูกตัดสินใจเดินเที่ยวในเจียงตงร่วมกัน ออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมชางเหอและซูผิงผู้เป็นภรรยา รวมถึงบ่าวสกุลจูหานเฟยและเฉิงเยว่แม่ลูกเดินนำหน้าขบวนนำเที่ยว เข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ตามด้วยสองพ่อลูกอย่างจูเหวินฟงและเยี่ยหยางที่คอยเดินตาม แล้วรับของกินเล่นที่ผู้เป็นภรรยาและแม่ยื่นให้ บ่าวไพร่ต่างหอบหิ้วข้าวของที่นายหญิงเดินซื้อเต็มไม้เต็มมือ ก็ได้รับอานิสงส์อิ่มหนำสำราญกันทั่วหน้า เพราะเจ้านายอารมณ์ดีเมตตาปรานีเลี้ยงของกินพวกเขาด้วย “เส้าหยาง”“ขอรับ ท่านพ่อ”“เจ้าฝึกฝนปราณยุทธถึงระดับใด?”นั่นไง...มาแล้ว ข้ากะแล้วเชียว ไม่ว่ายังไงต้องมีคำพูดแบบนี้หลุดถามออกมาจากปากท่านพ่อเยี่ยหยางครุ่นคิดว่าเขาจะตอบระดับใดดี น้อยไปก็ไม่ได้ มากไปก็ไม่ดี ถึงแม้เขาจะไม่มีลมปราณซักเสี้ยวก็ตาม อืม...ระดับจ้าวยุทธก็ไม่เลว ระดับต่ำกว่าอาจารย์ที่เทียนถูหวู่เล็กน้อย ระดับเทียบเท่าศิษย์หลักเทียนถูหวู่ แถมยังเหมาะเข้ากับข่าวลือที่ว่าพวกนั้นอีก“ระดับจ้าวยุทธขอรับท่านพ่อ”“ดี” จูเหวินฟงตอบ แม้เขาจะตรวจสอบไม่ได้ว่า คนที่บอกว่า
“ไหน ๆ หมุนตัวให้แม่ดูหน่อยสิลูก”เสียงของหานเฟยดังเข้าลูกชายสองคนที่ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อได้ยินประโยคทะแม่ง ๆ...ใคร?... ใครมาแย่งท่านแม่ของพวกเขาทันทีที่สองพี่น้องเห็นก็เบิกตาถลนกว้าง พวกเขาห่างท่านแม่ไม่ถึงหนึ่งเค่อกับมีเด็กชายร่างอวบอ้วนราวห้าขวบ มาคลอเคลียออดอ้อนออเซาะมารดาพวกเขา เยี่ยหยางแทบอยากพุ่งเข้าไปฉุดเจ้าฉงฉงออกไปห่างจากสายตาท่านแม่ของเขาทันที“หยางหยาง เฉิงเอ๋อร์มาแล้ว” หานเฟยหันไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแต่จูเหวินฟงกลับมีสีหน้าย่ำแย่มืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีบุรุษเพศผู้มาแย่งความสนใจจากภรรยาของเขาเพิ่มอีกแล้ว “เสี่ยวฉงนั่งนี่สิลูก” หานเฟยจัดที่นั่งทานอาหารเช้าให้ ข้างขวามือนางเป็นสามีสุดที่รักที่มีสีหน้าราวกับคนถ่ายไม่ออก ข้างซ้ายเป็นเด็กหนุ่มผมขาวนั่งตาใสอย่างฉงหยิ๋น ถัดจากสามีและเสี่ยวฉงเป็นบุตรชายสองคนที่เริ่มปั้นหน้าคล้ำไม่ต่างจากคนเป็นพ่อฮึ่ม...ฉงฉง / เจ้ากิเลน / เด็กบัดซบ เสียงความคิดของสามบุรุษตระกูลจูบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าที่มีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์ของหนุ่ม ๆ กับใบหน้ายิ้มแป้นเล้นของหนึ่งตัว สตรีคนเดียวในวงคีบอาหารให้ทุกคนกันอย่างท
หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา “ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม “ดี” เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย” “ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้อ