อาหารมื้อเช้าจบลงอย่างมีความสุขของครอบครัวและอย่างเศร้าใจสำหรับเสี่ยวฉง สี่คนพ่อแม่ลูกตัดสินใจเดินเที่ยวในเจียงตงร่วมกัน ออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมชางเหอและซูผิงผู้เป็นภรรยา รวมถึงบ่าวสกุลจูหานเฟยและเฉิงเยว่แม่ลูกเดินนำหน้าขบวนนำเที่ยว เข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ตามด้วยสองพ่อลูกอย่างจูเหวินฟงและเยี่ยหยางที่คอยเดินตาม แล้วรับของกินเล่นที่ผู้เป็นภรรยาและแม่ยื่นให้ บ่าวไพร่ต่างหอบหิ้วข้าวของที่นายหญิงเดินซื้อเต็มไม้เต็มมือ ก็ได้รับอานิสงส์อิ่มหนำสำราญกันทั่วหน้า เพราะเจ้านายอารมณ์ดีเมตตาปรานีเลี้ยงของกินพวกเขาด้วย “เส้าหยาง”“ขอรับ ท่านพ่อ”“เจ้าฝึกฝนปราณยุทธถึงระดับใด?”นั่นไง...มาแล้ว ข้ากะแล้วเชียว ไม่ว่ายังไงต้องมีคำพูดแบบนี้หลุดถามออกมาจากปากท่านพ่อเยี่ยหยางครุ่นคิดว่าเขาจะตอบระดับใดดี น้อยไปก็ไม่ได้ มากไปก็ไม่ดี ถึงแม้เขาจะไม่มีลมปราณซักเสี้ยวก็ตาม อืม...ระดับจ้าวยุทธก็ไม่เลว ระดับต่ำกว่าอาจารย์ที่เทียนถูหวู่เล็กน้อย ระดับเทียบเท่าศิษย์หลักเทียนถูหวู่ แถมยังเหมาะเข้ากับข่าวลือที่ว่าพวกนั้นอีก“ระดับจ้าวยุทธขอรับท่านพ่อ”“ดี” จูเหวินฟงตอบ แม้เขาจะตรวจสอบไม่ได้ว่า คนที่บอกว่า
ถ้าไอ้บ้านั่นไม่มายุ่งกับครอบครัวพวกเขา อย่าว่าที่ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่เข้าไปห้าม เพราะนี้เป็นที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ถึงลงมือช่วยแต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ยังเกินขึ้นอยู่ดี ดีไม่ดีความซวยอาจมาเยือนมือช่วยเหลือ อีกทั้งวันนี้ไม่มีบ่าวไพร่ติดตามมา มีเพียงแค่พ่อแม่ลูกและฉงหยิ๋นห้อยท้ายติดขบวนมาด้วย“นายหญิงช่วยข้าน้อยด้วย!!!”หนุ่ม ๆ สกุลจูและเสี่ยวฉงที่อยู่ในร่างเด็กน้อย ถึงกลับกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย นี่พวกเขาก็ยืนหลบแล้ว แม่นางยังคลานมายื่นมีดใส่พวกเขาอีก ครานี้คงต้องเอี่ยวสินะ ก็โจทก์เหม็นเน่าอย่างหลี่อี๋เห็นครอบครัวตระกูลจูไปเรียบร้อย“แก!!!”เฮ้อ...น่าเบื่อ / น่ารำคาญ / งี่เง่า / เสียเวลาบ่าวไพร่หลายสิบคนจำนวนมากกว่าที่เผชิญหน้าสองวันก่อนนั้นหลายเท่าตัว โอบล้อมคนตระกูลจูตามคำสั่งของเจ้านายที่ชิงชังเคียดแค้นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังไม่ร้ายแรง แต่สามารถทำให้เจ้าของร้านหน้าบริเวณที่จะเกิดเรื่อง ถึงกลับหน้าซีดเหงื่อตก รีบไปดูบัญชีที่ต้องใช้ซ่อมแซมร้านครั้งใหญ่อย่างเผิงเหล่ยที่ไม่รู้ว่าปีนี้มีเคราะห์หรือดวงซวยหรือไร พอเกิดเรื่องทีไรเขาต้องถูกลากไปเอี่ยวด้วยเสมอค่าใช้จ่ายค
ในท้ายที่สุดกลายเป็นหวาดกลัวจากก้นลึกของจิตใจ ภาพเบื้องหน้าคนของมันถูกซ้อมปางตาย บางคนวิปลาสทำท่าทำทางยั่วยวนราวกับสตรีซ่องนางโลม จนนายอย่างมันรู้สึกอับอายมากที่สุด และตอนนี้เหลือมันอยู่คนเดียว ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ หนีไปไหนไม่ได้ จูเหวินฟงเดินเข้าไปหาเหยื่อในมาดราชสีห์ขู่กระต่าย มองไปหลี่อี๋ที่น้ำสีเหลืองรดกางเกงสกปรกน่าขยะแขยง ยกมือสั่นเทาชี้หน้าเขา ท่านเสนาบดีใหญ่ยืนห่างออกไปหลายก้าวยกมือปิดจมูก “สกปรก” เยี่ยหยางปิดงานด้วยชั้นหม้อนึ่งที่ไร้ซาลาเปาร่อนกระแทกหน้าหลี่อี๋อย่างจังสลบในทีเดียว “โสโครก”“ข้าเก่งกาจหรือไม่เฟยเฟย” จูเหวินฟงเดินไปหาภรรยายื่นใบหน้าหาฮูหยินตนอย่างออดอ้อน หน้าตาต่างกับเมื่อครู่ริบรับอย่างกับเหยียนหลัวหวางพญายมราชกลายเป็นแกะน้อยผู้บริสุทธิ์“ท่านพี่เก่งกาจที่สุดในสายตาน้อง” ผู้เป็นภรรยาก็มองสามีด้วยสายตาปลาบปลื้มซับเหงื่ออย่างอ่อนโยนถัดออกไปเป็นบุตรชายคนเล็กที่ยืนใกล้ ๆ ทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับการแสดงความรักออกหน้าออกตา ไม่เกรงใจลูกเล็กเด็กแดงบ้างเลย ส่วนบุตรชายคนโตอย่างเยี่ยหยาง ได้แต่ยืนอึ้งที่บิดาเปลี่ยนไปมาก หรือเมื่อก่อนเขาจะไม่ได้สังเกตเอง นี่เขาพลาดสิ่งใดไ
ครอบครัวตระกูลจูเดินตัวปลิวทำตัวสบาย ๆ ตามมือปราบอย่างไม่เกรงกลัวโทษทัณฑ์ใด ๆ ถือว่าเป็นการมาเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ราชการต่างแคว้น ในเมื่อคนที่เดินนำหน้าเป็นถึงมหาเสนาบดีที่อยู่ใต้คนเป็นคนเดียวแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉิน แม้นี่จะเป็นอาณาเขตราชอาณาจักรซีเว่ย แต่ขุนนางชั้นล่างมีสิทธิ์อำนาจมากแค่ไหน ที่สามารถสั่งลงโทษขุนนางชั้นหนึ่งได้ ต่อให้เป็นคนละแคว้น ศาลเจ้าเมืองเจียงตงจะทำเป็นหนึ่งมือปิดฟ้าได้ไหวหรือ? จะรับคนใหญ่คนโตเช่นคนสกุลจูแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินได้ไหวหรือ?ตามหลังมาด้วยฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง ที่เป็นรองเพียงองค์ไทเฮาและฮองเฮาแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินเท่านั้น ตัวนางเองยังมีอำนาจในมือมากกว่าพระสนมบางคนเสียอีกและที่มือปราบพลาดยิ่งกว่า คงเป็นการเชิญท่านอ๋องบัดซบประจำแคว้นของตัวเองขึ้นศาล ต่อให้เป็นฮ่องเต้ลงมาไต่สวนด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทยังโบกมือปัด ๆ ไล่ปล่อยไปไกล ๆ เลย แต่มือปราบตัวเล็กตัวจ้อยไม่กี่คน คิดลงดาบกับคนที่ฮ่องเต้ยังทำเบลอปล่อยผ่าน ไม่รู้ถ้าพวกมันรู้ความจริงจะสำนึกเสียใจมากแค่ไหนหายนะครั้งใหญ่กำลังเดินทางโหมกระหน่ำ เข้าสู่ศาลเมืองเจียงตงอย่างไม่รู้ตัว คาดว่าจบคดีนี้เจ้าที่ในศ
หากให้คนในเจียงตงกล่าวถึงหลี่อี๋ พวกเขาคงมีแค่คำกล่าวว่า ไอ้สารเลวให้เท่านั้น “เรียนใต้เท้า ผู้ลงมือคือครอบครัวสกุลจู ที่อยู่ตรงหน้าท่านขอรับ” อ้าว...ทำไมเรื่องกลับตาลปัตรเป็นอย่างนี้ อย่างนี้มันใส่ร้ายกันนี่หว่า ชินอ๋องเลิกคิ้ว เงยหน้ามองมือปราบเจ้าหน้าที่หลวงที่ตาชั่งเอนเอียง เยี่ยหยางหลังจากกินของว่างชิ้นสุดท้ายหมดลงพร้อมกับข้อหาทำร้ายคน มองดูรูปการณ์แล้ว ขุนนางเหล่านี้คิดโยนความผิดให้ครอบครัวเขา อ้อ…ครอบครัวฮ่องเต้ อื้ม คนพวกนี้กล้าหาญกันอยู่นะต่อให้ตอนนี้ท่านพ่อของเขาคือ จูเหวินฟง เสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉิน แต่ความจริงบิดาของเขายังเป็น อดีตชินอ๋อง พี่ชายแท้ ๆ ร่วมครรภ์มารดา สายเลือดเดียวกันกับฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือ อ้า…ถ้าเสด็จอารู้เรื่องเข้า คนพวกนี้จะเป็นเช่นไรน้า ต่อให้เขาเป็นคนลงมือเองในสถานการณ์นี้ ก็เป็นการป้องกันตัว ถือว่าไร้ความผิด ดูท่าคนเหล่านี้อยากเปิดศึกกับอ๋องผู้นี้สินะ อ่าห์...ข้าไม่ได้เล่นสนุก กลั่นแกล้งขุนนางเลวเกือบสองเดือนแล้ว หึ...เปิ่นหวางจะเล่นงิ้วโรงนี้กับพวกเจ้าสักครั้ง “ผู้ลงมือมีนามว่าอะไร” เสียงกระโชกโฮกฮากข่มขู่คุกคาม ไม่ได้ผลใด ๆ กับครอบครั
“พวกท่านหน้าคุ้น ๆ นะ” เฉิงเยว่จ้องทั้งสองคนพลางนึกว่าเคยเห็นที่ไหน เขานึกไปถึงคราที่ต้องอาศัยนอนอยู่ที่นี่สองวันสองคืนก็ร้องออกมา “พวกเจ้า!!!”“เสี่ยวเฉิงมีอะไร?”“ต้าเกอสองคนนี้จับข้าขังอยู่ในนี้สองคืน ก่อนที่จะไปเทียนถูหวู่” เฉิงเยว่นึกถึงความอัดอั้นที่ต้องเผชิญ ก็เอ่ยฟ้องพี่ชายแหะ ๆ ...เรื่องนี้ ข้าก็เกือบลืมไปแล้วเจ้าน้องชาย ว่าเคยจับเจ้าโยนใส่กรง เจ้าช่วยลืม ๆ มันไปเถอะ“เอ่อ...เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วให้มันแล้วกันไปเถอะนะ” เยี่ยหยางพูด แล้วลูบหัวเฉิงเยว่ปลอบใจ “ชินอ๋องเองก็เป็นสหายข้า อีกทั้งเขาก็ยังไม่ทำร้ายอะไรเจ้า พี่เห็นว่าเขาเอ็นดูเจ้าแกล้งหนักมือไปเล็กน้อย”สองมือปราบที่ตกอยู่ในสถานการณ์บังคับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง“หึ..” เสียงพ่นลมออกจมูกอย่างงอน ๆ ของเฉิงเยว่ แต่ก็ไม่ได้ถามหาความต่อ“เชิญพวกท่าน” ห้องขังกรงเหล็กทึบหนาอยู่สุดทาง มือปราบจางเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงดีนัก พวกเขาสองคนเคยขังจูเฉิงเยว่มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงรู้ว่าคนทั้งสี่เป็นใคร หลังจากนึกเรื่องสองเดือนก่อนออก อ่าห์…ชายคนนั้นคงเป็นมหาเสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉินที่ฮ่องเต้คบดั่งสหาย ส่วนนางก็คงเป็นฮูหยินตราตั้งน้องสา
“เชิญท่านอ๋องกล่าวมาได้เลย ข้าน้อยน้อมรับฟัง” หลี่ไท้หยวนตกตะลึง เขาเพิ่งออกจากศาลยังไม่ถึงสองเค่อดี ข่าวคราวเรื่องนี้ก็ถึงหูท่านอ๋องแล้ว?“เรื่องนี้เฉินไร้คำพูดจากรูปคดีแล้ว สกุลจูเป็นครอบครัวคนเถื่อน ลงมือกับหลี่อี๋ญาติผู้น้องข้าอย่างไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง โทษทัณฑ์คงต้องเป็นไปตามกฎพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองหลี่พูดปดปั้นเรื่องให้เยี่ยหยางฟัง“คนเถื่อน?”“พ่ะย่ะค่ะ”“ดี ดียิ่ง เจ้าพิจารณาได้โปร่งใสดียิ่ง” เยี่ยหยางกัดฟันชมเชยไปหนึ่งประโยค“ท่านอ๋องชื่นชมเกินไปแล้ว” หลี่ไท้หยวนเบาใจที่ชินอ๋องไม่ซักไซ้มัน จึงส่งสัญญาณให้พ่อบ้านที่ยืนรอคำสั่งยกกล่องไม้ปิดทึบเข้ามา“นี่เป็นของขวัญแรกพบเล็ก ๆ น้อยที่เฉินขอมอบให้ท่านอ๋อง” เจ้าเมืองกังฉินเปิดกล่องที่เต็มด้วยตำลึงเงินเต็มกล่อง หวังให้ชินอ๋องเลิกแทรกแซงเรื่องนี้ นิสัยของอ๋องผู้นี้เลื่องลือไปทั่วมีแต่เรื่องฉาว แค่นี้คงพอสำหรับคนเสเพลที่ไม่ทำอันใด“น้ำใจใต้เท้า เปิ่นหวางเองก็ทราบซึ้งใจ แต่บรรพบุรุษว่าไว้เงินทองเป็นของนอกกาย ตายไปใช่ว่าจะเอาไปได้ คำพูดสองประโยคนี้เปิ่นหวางมิอาจมองข้าม ใต้เท้าหลี่อย่าทำให้ข้าต้องหนักใจเลย” เฮอะ...คิดว่าเงินทองแค่นี้จะ
ให้เป็นท่านอ๋อง ข้าก็อยากเป็นอยู่ แต่ถ้าให้เป็นท่านอ๋องบัดซบ ข้าไม่เอา!!!จูเส้าหยางเดินสบาย ๆ ราวกับสวนหลังบ้านของตัวเอง เดินชมห้องขังที่ขังผู้ต้องโทษหลายร้อยคน ต่างมองเขาอย่างขอความช่วยเหลือระคนหวาดกลัว อืม...ดูท่าข้าต้องทำงานให้พังพอนเหลือง ตอบแทนค่ากินค่าอยู่เลี้ยงดูปูเสื่อมาหลายปีเล็ก ๆ น้อย เฮ้อ! งานเยอะจริง ๆ“พี่หยาง!”“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”“อืม เป็นอย่างไร...ฮ่องเต้เว่ยช่างเลี้ยงดูขุนนางดีเหลือเกิน” จูเหวินฟงมองเพียงแค่แวบแรก ก็รู้แล้วว่าเมืองนี้เป็นของคนแซ่หลี่ไม่ใช่มู่หรงอย่างฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ย“ขอรับท่านพ่อ”“ข้าเห็นแล้วคันไม้คันมือเกะกะลูกตา อยากกวาดพวกมันทิ้งจริง ๆ ดีที่เมืองนี้ไม่ใช่ราชอาณาจักรเป่ยฉิน ไม่เช่นนั้นข้าจะลงทัณฑ์พวกมันให้หลาบจำ” ท่านพ่อ ท่านจะพูดเฉย ๆ ไม่ได้ ถ้าท่านอยากเก็บกวาด ข้ายกหน้าที่ตำแหน่งพิเศษแต่งตั้งพร้อมตราประทับ ยกให้ทันทีได้เลย เยี่ยหยางได้แต่คร่ำครวญในใจ เพราะต้องลงมือด้วยตัวเองไม่มีคนช่วย ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณพังพอนเหลืองที่น่ารักของเขาเล็กน้อย“ท่านพี่ น้องว่าเราออกไปทานข้าวเย็นฝีมือเสี่ยวฉงกันดีกว่า ป่านนี้คงเตรียมทุ
กิเลนห้าผู้เป็นเหมือนพ่อบ้านของกลุ่มองครักษ์รีบจัดการให้น้อง ๆ ยกชุดเก้าอี้บุผ้ารองอย่างดีตามจำนวนคน แม้แต่บ่าวรับใช้และสาวใช้ข้างกายฮูหยินสกุลจูยังมี พร้อมตั่งโต๊ะยกเข้ามาในศาลอย่างรวดเร็ว“บังอาจ!!! ที่นี่คือศาลไม่ใช่โรงงิ้ว” หลี่ไท้หยวนที่นั่งเป็นประธานผู้ตัดสินถูกเมินหน้าแดงโกรธจนหนวดเครากระตุก“เชิญกว๋อกง เชิญท่านน้านั่ง” เยี่ยหยางเอ่ยชวนท่านพ่อท่านแม่ตนอย่างเป็นทางการในฐานะชินอ๋องนั่งลงที่เก้าอี้รอชมเรื่องสนุก “สิบสี่...เม็ดแตง”กิเลนสิบสี่หิ้วปิ่นโตเถาใหญ่จัดเรียงเม็ดแตง เม็ดถั่ว และของว่างกินเล่นมากมาย แน่นอนว่าไม่ซ้ำกับที่ทานไปที่โรงเตี๊ยม พร้อมน้ำชาอุ่นร้อนกลั้วคอ หากนี่ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องเพิ่มตื่นบรรทม เจ้าสิบสี่คงเตรียมสุรารสเลิศแทนน้ำชาขมแล้วชาวบ้านต่างเรียนรู้ความกล้าของท่านอ๋องอย่างใส่ใจ และคิดเก็บท่วงท่าไว้เลียนแบบ
ขบวนของชินอ๋องได้เคลื่อนตัวออกจากโรงเตี๊ยมเซียนสวรรค์แห่งเจียงตง เมื่อวานเขาสั่งตงซุนเตรียมไว้ทั้งหมดสี่ตัวแล้ว เยี่ยหยางขี่ม้าเคียงข้างบิดาในฐานะชินอ๋องราชอาณาจักรซีเว่ยกับอัครเสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉิน ด้านหลังตามด้วยคุณชายใหญ่จูเส้าหยางที่ไส้ในเป็นหวงฉีเจิ้งและคุณชายรองจูเฉิงเยว่ นำหน้าเจ้าสามองครักษ์ชินอ๋องที่บังคับรถม้า มีมารดากับฉงหยิ๋นเด็กชายตัวอ้วนป้อม และซูผิงสาวใช้คนสนิทถัดไปเป็นขบวนของกู้ซีเจ๋อ ตงซุน และเหล่ากิเลนที่ท่านอ๋องเรียกมาเรียนรู้ดูเรื่องสนุกที่พวกเขาไม่ยอมพลาดเด็ดขาดเหล่าชาวบ้านที่วันนี้มารวมตัวอยู่โรงเตี๊ยมมากเป็นพิเศษ ต่างติดตามไปชมการตัดสินที่ไม่รู้จะลงเอยเช่นไร ชวนกันพูดคุยกระซิบกระซาบออกความเห็นต่าง ๆ นานาขบวนรถม้าผ่านถนนหนทางรอบเมืองไปหนึ่งรอบ แล้วค่อยมุ่งหน้าไปศาลแห่งเจียงตง กวาดผู้คน
นาน ๆ ครั้งเขาจะเรียกใช้พวกเขาอย่างเป็นการเป็นงาน ทำให้เหล่ากิเลนกระเหี้ยนกระหือรือเตรียมพร้อมกันทุกคน ฉีหลินอี้กิเลนหนึ่งผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มปรากฏตัวเบื้องหน้าชินอ๋องท่ามกลางผู้คน สิบปีก่อนมันเป็นแค่องครักษ์ปลายแถวที่ได้แต่มองพี่น้องพวกพ้องถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด ทำให้มันตั้งประณิธานไว้ว่า จะปกป้องพี่น้องและชินอ๋องตลอดชีวิต กิเลนคลั่งที่เหลือรอดจากเหตุการณ์สังหารครั้งนั้นได้รวมกลุ่มขึ้นใหม่ และพวกมันนี่แหละที่เป็นผู้พบตัวท่านอ๋องในวัยเยาว์ “ท่านอ๋อง ชือจิ่วกับชือชีอยากแข่งขันกันขอรับ พวกเขาจึงอยากขออนุญาต”“เจ้าสิบเก้ากับเจ้าสิบเจ็ดจะแข่งอะไรกันอีกล่ะ?” เยี่ยหยางส่ายหัวกับองครักษ์ตัวเอง รักกันเหมือนพี่น้องก็จริง ก็ชอบแข่งขันกันเองเป็นเรื่องสนุก ๆ กันในกลุ่ม หาใช่ความขัดแย้งมีโอกาสทีไรก็รีบคว้าไว้ทันที แต่ไม่มีใครยอมซ้อมมือกับพวกเขาสักเท่าไหร่ แม้แต่พวกเขาด้วยกันเอง จึงต้องเปลี่ยนเป็นซ้อมมือกับคนนอก และแข่งนับผลว่าใครเหนือกว่า“เรียนท่านอ๋อง ข้ากับพี่สิบเจ็ดจะแข่งว่าใครลงมือได้มากกว่ากัน และ ใครลงมือได้หนักกว่าขอรับ” ชือจิ่วหรือกิเลนสิบเก้าน้องเล็กสุดของกลุ่มยิ้มหวานถูมือถูไม้รอฟังคำขอ
เช้าวันใหม่ที่แสนวุ่นวาย ผู้คนมากมายต่างออเข้ามาในโรงเตี๊ยมเซียนสวรรค์ เพื่อลิ้มรสอาหารที่ประกาศลดราคาลงครึ่ง ๆ เพราะผู้ดูแลแจ้งว่านายท่านใหญ่มาเยี่ยมโรงเตี๊ยม นายท่านใหญ่ที่ว่า? คือ ผู้ใดไม่ได้นอกจาก เส้าหยางจวิน ประธานสมาคมเหวินชาที่ลึกลับยากจะพบเห็นแม้แต่ฮ่องเต้ครองแคว้นแต่ตอนนี้…“คุณชายเส้าหยาง...”“คุณชาย”บรื๋อ!!! ขนลุกเป็นบ้าใช่แล้ว…คุณชายเส้าหยางรูปโฉมสง่างามลึกลับ กำลังขนลุกขนพองไปทั้งตัว ด้วยสายตาจาบจ้วงล้วงลึกและเสียงร้องเรียกแหลม ๆ บาดหูคนฟังของสาวน้อยสาวใหญ่ และไม่ใช่สาวกลางเหลาอาหารของโรงเตี๊ยม พร้อมกับสายตาขู่ฟ่อของจูเฉิงเยว่น้องชายของคุณชายเส้าหยาง ที่ส่งดวงตาพิฆาตให้บรรดาสาวที่จะกลืนกินพี่ชายของตัวเอง และ สายตาเห็นใจให้กับฉีเจิ้งของฉงหยิ๋นที่เคยตกเป็นเหยื่อน่ารัก ๆ ของเยี่ยหยางเหมือนกันหวงฉีเจิ้งผู้ถูกรุมทึ้งด้วยสายตา เหมือนถูกเปลือยกายเปลื้องผ้ากลางตลาดสด ส่งรังสีอำมหิตให้ตัวต้นเหตุที่นั่งยิ้มไม่รู้สึกรู้สาอย่างเยี่ยหยาง ซึ่งกำลังร่วมโต๊ะอาหารเช้ากับครอบครัวอย่างสุขกายสบายใจผู้ถูกสวรรค์กลั่นแกล้งอยู่เสมอ ได้แต่เข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจหาทางระบายไม่ออก ที่เก
“ตกลง ข้าไม่ได้ยืดเส้นยืดสายนานแล้ว ไปกันเลย” หวงฉีเจิ้งฟังเรื่องราวคร่าว ๆ ที่กว่าจะรู้เรื่องโดยเยี่ยหยางผู้เล่าเรื่องห่วย แต่เขาก็พอเข้าใจมันได้“เดี๋ยวสิ!!! เจ้าจะเล่นบทไหน”“ข้าไม่อยากเลือกเลย” ฉีเจิ้งคร่ำครวญ ลองคิดดูสิให้เขาทำตัวเป็นเส้าหยางจวินผู้เย่อหยิ่งก็แย่ เป็นชินอ๋องบัดซบยิ่งแย่กว่า นี่เพื่อนเขาจะใช้ชีวิตเป็นผู้เป็นคนดี ๆ กับใครเขาบ้างไม่ได้หรือ พฤติกรรมตัวตนแต่ละอย่าง แค่คิดว่าต้องสวมหน้ากากเป็นเพื่อนรักก็ละเหี่ยใจแล้ว ตัวเลือก...ยากมาก เพราะเขาหนังหน้าหนาไม่เท่าสหายรัก งั้นเลือก “เส้าหยาง” ...ดีกว่า“เจ้าไม่อยากลองเป็นท่านอ๋องบ้างหรือ?” เยี่ยหยางกล่อม เขาขี้เกียจอาบน้ำประแป้งแต่งตัวเพื่อนรักเยอะแยะ“ไม่” หวงฉีเจิ้งปฏิเสธเสียงแข็ง ...ท่านอ๋องข้าก็อยากเป็นอยู่ แต่ถ้าให้เป็นท่านอ๋องบัดซบ ข้าไม่เอา!!! “ก็ได้ ๆ เปลืองน้ำยาชะมัด แถมสีผมที่ได้ ทำภาพลักษณ์ข้าตกต่ำไปมาก” เยี่ยหยางบ่น เขาต้องใช้น้ำยาเปลี่ยนสีผมทั้งน้ำยาเปลี่ยนรูปเปลืองชะมัด แถมสีผมที่ได้ยังไม่เงาเหมือนสีผมของเขาอีก ต้นฉบับเจ้าของใบหน้าเส้าหยางตัวจริง จัดการแปลงโฉมให้หวงฉีเจิ้งผู้อยากลองประสบการณ์แปลกใหม่เส
“ขอรับเกอ” เฉิงเยว่ตอบ เขาเดินตามพี่ชายมาอย่างเบลอ ๆ นั่งฟังพี่ชายสั่งการอย่างมึน ๆ แล้วเดินกลับไปนอนอย่างงง ๆ เขาครุ่นคิดแล้วคิดอีกเหมือนพี่ชายจะชอบเรื่องที่เกิดขึ้นมาก ชอบความโกลาหลมาก เล่นได้อย่างสนุกมาก รับมือได้อย่างหมดจนมาก แต่เขาเห็นตรงไหนที่ผิดปกติกันนะ?เยี่ยหยางส่งน้องชายที่น่ารักเข้านอนเรียบร้อย ก็ไปตามคนมาเพิ่ม ตามคนมาเล่นอีกคนด้วย ตัวบัดซบแห่งราชอาณาจักรซีเว่ยร่ายเวทหายตัว ไปปรากฏตัวที่ห้องพักเทียนถูหวู่ของตัวเอง“กลับมาหาเพื่อนได้แล้วหรือท่านอ๋องรูปงาม?” หวงฉีเจิ้งที่กำลังทำงานหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยการขายข่าวในเทียนถูหวู่ เห็นเพื่อนที่หายหน้าหายตาไปสองวันปรากฏตัวตรงหน้า เขาถอนจิตที่ไปสืบส่องหาข่าว จากห้องพักห้องหนึ่งกลับมาทันทีที่รู้สึกว่าท่านอ๋องคนดังกลับมาแล้ว“เจ้ามันโรคจิตฉีเจิ้ง ชอบส่องชาวบ้านชาวช่องอยู่ได้” เยี่ยหยางเหน็บเพื่อนที่ชอบแอบไปดูพฤติกรรมผู้คน ไปขายเป็นข่าว ยิ่งใกล้วันงานประลองลูกค้ายิ่งชุกชุม เพราะศิษย์แต่ละคนต้องการจะล้วงลึกรู้จริงว่าคู่แข่งมีพัฒนาการใดเพิ่มขึ้นบ้าง ดังนั้นช่วงนี้เลยมีงานให้พ่อคุณรับเงินรับทองไม่ขาดสาย“ทำไงได้ ข้ามันคนจนต้องห
“พวกท่านก็ร่วมโต๊ะกับครอบครัวข้าด้วยสิ” สามเหยื่อภายใต้การจับจ้องของมหาเสนาบดีราชอาณาจักรเป่ยฉินถึงกลับร้อน ๆ หนาว ๆ“เอ่อ…”“ไม่ต้องเกรงใจ” ...พวกข้าเกร็งใจ และเกร็งไปทั้งตัวแล้วต่างหาก สายตาสามคู่โต้ตอบกันไปมาผลักให้ใครสักคนตอบปฏิเสธ ในที่สุดดวงตาดุดันแฝงการบังคับ ก็แผ่รัศมีห้ามปฏิเสธจากตัวเสนาบดีใหญ่พวกเขาได้แต่พยักหน้าตกลงอย่างหารอดให้กับตัวเอง ตอบตกลงอย่างช่วยไม่ได้ “ขอรับ”จูเหวินฟงต้องการจับข้อพิรุธ จึงชวนคนร่วมโต๊ะอาหารเพิ่ม เขาเห็นว่าได้เวลาแล้ว จึงให้ทุกคนลงมือ “ทานกันเถอะเฟยเฟย”“ค่ะท่านพี่”“คุณชายซีเจ๋อ บุตรชายข้าเส้าหยางที่ผ่านมาคงรบกวนท่านไม่น้อย” ท่านอัครเสนาบดีเริ่มกระบวนการซักฟอกบนโต๊ะอาหาร“ไม่ ๆ ไม่รบกวนเลย คุณชายใหญ่เส้าหยางเป็นคนสำคัญของสมาคมเหวินชา และเปรียบเสมือนน้องชายคนหนึ่งของข้า ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องรบกวนอันใด” กู้ซีเจ๋อเงยหน้าขึ้นมาคีบเนื้อไก่ผัดพริก ก็ตกเป็นเป้าหมายในการสนทนาร่วมโต๊ะอาหาร กลืนน้ำลายดังกึก รีบตอบกลับไป เขาเริ่มรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้รสชาติเผ็ดร้อนเกินไปแล้ว เขารู้ว่าอดีตชินอ๋องแห่งซีเว่ยถูกกบฏลอบโจมตีจนหายสาบสูญไม่ทราบเป็นตาย คนผู้นี
ให้เป็นท่านอ๋อง ข้าก็อยากเป็นอยู่ แต่ถ้าให้เป็นท่านอ๋องบัดซบ ข้าไม่เอา!!!จูเส้าหยางเดินสบาย ๆ ราวกับสวนหลังบ้านของตัวเอง เดินชมห้องขังที่ขังผู้ต้องโทษหลายร้อยคน ต่างมองเขาอย่างขอความช่วยเหลือระคนหวาดกลัว อืม...ดูท่าข้าต้องทำงานให้พังพอนเหลือง ตอบแทนค่ากินค่าอยู่เลี้ยงดูปูเสื่อมาหลายปีเล็ก ๆ น้อย เฮ้อ! งานเยอะจริง ๆ“พี่หยาง!”“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”“อืม เป็นอย่างไร...ฮ่องเต้เว่ยช่างเลี้ยงดูขุนนางดีเหลือเกิน” จูเหวินฟงมองเพียงแค่แวบแรก ก็รู้แล้วว่าเมืองนี้เป็นของคนแซ่หลี่ไม่ใช่มู่หรงอย่างฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ย“ขอรับท่านพ่อ”“ข้าเห็นแล้วคันไม้คันมือเกะกะลูกตา อยากกวาดพวกมันทิ้งจริง ๆ ดีที่เมืองนี้ไม่ใช่ราชอาณาจักรเป่ยฉิน ไม่เช่นนั้นข้าจะลงทัณฑ์พวกมันให้หลาบจำ” ท่านพ่อ ท่านจะพูดเฉย ๆ ไม่ได้ ถ้าท่านอยากเก็บกวาด ข้ายกหน้าที่ตำแหน่งพิเศษแต่งตั้งพร้อมตราประทับ ยกให้ทันทีได้เลย เยี่ยหยางได้แต่คร่ำครวญในใจ เพราะต้องลงมือด้วยตัวเองไม่มีคนช่วย ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณพังพอนเหลืองที่น่ารักของเขาเล็กน้อย“ท่านพี่ น้องว่าเราออกไปทานข้าวเย็นฝีมือเสี่ยวฉงกันดีกว่า ป่านนี้คงเตรียมทุ
“เชิญท่านอ๋องกล่าวมาได้เลย ข้าน้อยน้อมรับฟัง” หลี่ไท้หยวนตกตะลึง เขาเพิ่งออกจากศาลยังไม่ถึงสองเค่อดี ข่าวคราวเรื่องนี้ก็ถึงหูท่านอ๋องแล้ว?“เรื่องนี้เฉินไร้คำพูดจากรูปคดีแล้ว สกุลจูเป็นครอบครัวคนเถื่อน ลงมือกับหลี่อี๋ญาติผู้น้องข้าอย่างไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง โทษทัณฑ์คงต้องเป็นไปตามกฎพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองหลี่พูดปดปั้นเรื่องให้เยี่ยหยางฟัง“คนเถื่อน?”“พ่ะย่ะค่ะ”“ดี ดียิ่ง เจ้าพิจารณาได้โปร่งใสดียิ่ง” เยี่ยหยางกัดฟันชมเชยไปหนึ่งประโยค“ท่านอ๋องชื่นชมเกินไปแล้ว” หลี่ไท้หยวนเบาใจที่ชินอ๋องไม่ซักไซ้มัน จึงส่งสัญญาณให้พ่อบ้านที่ยืนรอคำสั่งยกกล่องไม้ปิดทึบเข้ามา“นี่เป็นของขวัญแรกพบเล็ก ๆ น้อยที่เฉินขอมอบให้ท่านอ๋อง” เจ้าเมืองกังฉินเปิดกล่องที่เต็มด้วยตำลึงเงินเต็มกล่อง หวังให้ชินอ๋องเลิกแทรกแซงเรื่องนี้ นิสัยของอ๋องผู้นี้เลื่องลือไปทั่วมีแต่เรื่องฉาว แค่นี้คงพอสำหรับคนเสเพลที่ไม่ทำอันใด“น้ำใจใต้เท้า เปิ่นหวางเองก็ทราบซึ้งใจ แต่บรรพบุรุษว่าไว้เงินทองเป็นของนอกกาย ตายไปใช่ว่าจะเอาไปได้ คำพูดสองประโยคนี้เปิ่นหวางมิอาจมองข้าม ใต้เท้าหลี่อย่าทำให้ข้าต้องหนักใจเลย” เฮอะ...คิดว่าเงินทองแค่นี้จะ