เจย์เดนพาลินินกลับไปเก็บข้าวของที่บ้านหลังเก่า เธอก็ได้แต่จำใจยอมจากลา พลางคิดหาทางเอาตัวรอดว่าจะพูดอย่างไรให้เขายอมปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระ
‘เขาจ่ายค่าตัวเราไปเท่าไหร่กันนะ’ ลินินครุ่นคิดในใจ
“สามล้านถ้วน” เจย์เดนเอ่ยเสียงเรียบ สร้างความตื่นตกใจให้กับลินินเป็นอย่างยิ่งว่าเขาล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจเธอได้อย่างไรกัน แต่สุดท้ายก็คิดเพียงว่าเจย์เดนแค่บังเอิญพูดถึงมันขึ้นมาพอดี หารู้ไม่ว่าเขาแอบพินิจใจเธออยู่ เหมือนเป็นการทำความรู้จักในช่วงแรกเริ่ม “ข้าตัวเจ้าสามล้าน จะไปหาเงินมาไถ่ตัวเองจากข้างั้นเหรอ?”
“เปล่าค่ะ...” และแล้วก็ต้องยอมพ่ายแพ้ เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะควักเงินจ่ายไปด้วยจำนวนเงินมหาศาลเช่นนี้ เป็นจำนวนเงินที่เธอคิดว่าชาตินี้ก็คงหามาชดใช้ไม่ได้หมด
“รีบเก็บของซะ ฉันเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
คำว่า ‘เหนื่อย’ เจย์เดนเพียงพูดไปเช่นนั้นเพื่อเป็นการเร่งเร้าเธอไปในตัว เพราะแวมไพร์เหนื่อยเป็นที่ไหนกันเล่า
ชาร์ลส่งสายตาเจ้าเล่ห์มองเจ้านายของตัวเองอย่างรู้ทัน ก่อนจะแอบส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่รู้ว่าปากจะหนักไปถึงไหน จึงเรียนรู้ที่จะเอ่ยคำพูดที่สื่อความหมายโดยตรงไม่ได้สักที
ลินินรีบไปเก็บของออกมา โดยไม่ลืมที่จะนำกุหลาบนำโชคของเธอติดตัวไปด้วย เจย์เดนเห็นแบบนั้นก็แอบยกยิ้มอย่างภูมิใจที่เธอให้ความสำคัญกับของที่เขา(แอบ)มอบให้เป็นกลาย ๆ
แต่เจ้าตัวผู้ถือครองดอกกุหลาบกลับไม่เคยทราบเรื่องนี้เลยเนี่ยสิ...
หลังจากมาถึงคฤหาสน์ ลินินที่เห็นความหรูหราและความอลังการของสถานที่แห่งนี้ก็ได้แต่เดินก้มหน้าก้มตาอย่างเจียมตัว พลางคิดไปว่าเขาคงต้องการให้เธอมาเป็นคนใช้ที่นี่เป็นแน่
แต่เมื่อเดินผ่านเข้าไปในคฤหาสน์ เธอก็ได้เห็นคนที่สวมใส่เครื่องแบบของผู้รับใช้ยืนเรียงรายกันเป็นทิวแถว อีกความคิดหนึ่งจึงปรากฎขึ้นมาแทนที่ ‘ก็ไม่ได้ขาดคนรับใช้นี่นา’ เธอคิดในใจ แต่ถึงอย่างนั้นสองขาก็ยังเดินตามเขาต่อไป
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคฤหาสน์หลังนี้บรรยากาศชวนน่าขนลุกอย่างไรไม่รู้ มิหนำซ้ำ บรรดาผู้รับใช้บางคนที่ยืนต้อนรับเธออยู่นั้น บางคนยังมีหน้าตาแปลกประหลาดราวกับไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปอีกต่างหาก เมื่อเห็นแบบนั้น ลินนิจึงรีบสาวเท้าก้าวยาวเพื่อให้ทันเจย์เดนที่เดินอยู่ข้างหน้าด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
และถึงแม้ว่าจะหันหลังแต่เจย์เดนกลับรับรู้ท่าทางของลินินได้อยู่แล้ว แต่แล้ว...อยู่ ๆ ขายาวของเขาก็หยุดเดินลงกะทันหันราวกับจงใจจะแกล้งเธอ และมันได้ผล ร่างของลินินที่ก้าวเดินพร้อมความตื่นตระหนกชนเข้ากับแผ่นหลังเข้าอย่างจัง
“อย่าซุ่มซ่ามได้ไหม ฉันไม่ชอบคนแบบนี้” หลังจากหันมาต่อว่าเธอแล้วเขาก็เดินตรงไปข้างหน้าต่อ แต่ไม่นานรอยยิ้มบาง ๆ ก็แสยะยิ้มขึ้นตรงมุมปากอย่างช่วยไม่ได้
ลินินที่ได้ยินแบบนั้นก็คิ้วขมวดแล้วบ่นมุบมิบภายในใจไล่หลังไปว่า ‘แล้วจะหยุดเดินเองทำไมเล่า!’ เรียกท่าทีขบขันจากชาร์ลที่เดินตามอยู่ข้างหลังทั้งคู่ได้อยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่กล้าแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งมากนัก ด้วยเพราะมาอยู่อาศัยในถิ่นฐานของเขา ก็ควรจะทำตัวให้นอบน้อมเข้าไว้...
ไม่นาน เจย์เดนก็พาลินินมาถึงห้องทำงานของตัวเอง สองขายาวก้าวเดินไปหลังโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสง่างาม
ส่วนลินินก็ได้แต่ยืนกุมมือก้มหน้าก้มตาอย่างเจียมตัว
น่าแปลกเหลือเกินที่คนตรงหน้าดูอย่างไรก็ดูเหมือนมีอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น แต่กลับดูทรงอำนาจและภูมิฐานเกินอายุที่ควรจะเป็นอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งเขายังเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่โตเช่นนี้อีกด้วย
‘ไม่แน่...อาจเป็นลูกชายของมหาเศรษฐีก็เป็นได้...’ ลินินคิดหาความสมเหตุสมผลในใจ แต่จนถึงตอนนี้ยังครุ่นคิดถึงใบหน้าของผู้รับใช้บางคนที่มีหน้าตาแปลกประหลาดอยู่ไม่คลาย หูแหลม เขี้ยวที่ยาวกว่ามนุษย์ทั่วไป รวมถึงดวงตาที่กลมโตเกินกว่าปกติด้วย เหมือนผีดูดเลือดที่เธอเคยเห็นในหนังสยองขวัญไม่มีผิด
แต่ครั้นจะเอ่ยถามเจ้าของคฤหาสน์ตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมา เธอก็เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป จึงได้แต่เก็บข้อข้องใจนั้นเอาไว้ ถึงแม้จะรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้างก็ตาม
เจย์เดนจ้องมองเธออยู่นาน แต่ไม่มีท่าทีจะเอ่ยสิ่งใดออกมา เนื่องจากเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหนเหมือนกัน
ความเงียบจึงเข้าครอบงำทั้งคู่อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่ลินินจะตัดสินใจสูดลมหายใจเพื่อรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยออกมาตามตรง
“ซื้อตัวฉันมาทำไมเหรอคะ คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่” เธอเอ่ยถามตามตรง ก็มันน่าสงสัยไหมเล่า อยู่ ๆ เขาก็เดินเข้าไปไถ่ตัวเธอออกมาจากเจ้าหนี้คนก่อน และพาเธอเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยด้วยซ้ำ เป็นใครจะไม่คิดสงสัยกัน
คนตรงหน้าไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับมา เขาทำเพียงไล้สายตานั่งมองเธอ ความรู้สึกเหมือนจะแทะโลมหน่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้โจ่งแจ้งจนถึงขนาดไม่น่ามอง หรือเป็นเพราะเขาหล่อกันนะ เธอจึงดูไม่กระอักกระอ่วนใจมากนัก
ลินินที่ก้มหน้าก้มตาเมื่อเห็นว่าถามอะไรไปอีกฝ่ายก็ไม่ทีท่าว่าจะตอบ จึงเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง แต่เมื่อเงยหน้าแล้วเห็นสายตาคมกริบพร้อมนัยน์ตาสีแดงฉานของเขา เธอก็ต้องตกใจจนรีบก้มหน้าลง
‘ตาของเขาเป็นสีแดงอย่างนั้นเหรอ?’ คิดในใจก่อนจะเหลือบมองอีกครั้ง แต่เมื่อลองรวบรวมความกล้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง นัยน์ตาของเขาก็เหมือนมนุษย์ทั่วไปนี่นา ทำให้ลินินคิดว่าคงตาฝาดไปเองเท่านั้น
เมื่อมองคนตรงหน้าอย่างอิ่มเอมใจแล้ว เจย์เดนก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะแสยะยิ้ม ขายาวเริ่มก้าวเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเข้ามาใกล้ ขณะที่ลินินยังคงยืนก้มหน้ามุดลงกับพื้น
ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเข้าใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อทำการสำรวจเธอทุกอณู แต่เขาทำแบบนี้เพราะมีเหตุผลอยู่หรอก เป็นเพราะการทำความรู้จักของแวมไพร์ในขั้นแรก คือต้องเริ่มทำตัวให้คุ้นจากกลิ่นของเธอก่อน
แต่เจย์เดนคงเผลอลืมตัวไปว่าวิถีการทำความรู้จักของมนุษย์กับแวมไพร์นั้นแตกต่างกัน การกระทำของเขาดูจะล่วงล้ำเกินไปหากวัดกันในบรรทัดฐานของมนุษย์
‘กลิ่นหอม น่ากินเลยทีเดียว’ เจย์เดนคิดในใจ พลางหลับตาพริ้มแล้วสูดดมกลิ่นนั้นอย่างพึงพอใจประหนึ่งเป็นสารเสพติด
และความหมายของการ ‘กิน’ ที่ว่าของเขานั้น ก็ไม่ใช่การกินธรรมดาทั่วไปเนี่ยสิ บอกกันตามตรง เขาเป็นแวมไพร์หนุ่มที่อยู่มาหลายร้อยปี เรื่องที่คิดว่าเขาอาจจะใสซื่อนั้นลืมไปได้เลย
“คุณ...จะทำอะไรคะ” ลินินหัวหด เกร็งไปหมดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มเดินวนรอบตัวเธออย่างพินิจ ก่อนจะเริ่มก้าวถอยหลัง เมื่อรู้สึกว่าการเข้าใกล้ครั้งนี้ดูจะเกินความเหมาะสม ประกอบกับความหวั่นเกรงที่ผุดขึ้นมา
“คะ...คุณคะ ฉันเพิ่งอายุสิบแปดเองนะ ยังเป็นนักเรียนอยู่เลย…” เมื่อเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด จึงทำให้เธอเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงร้อนรนและสั่นเครือ
เจย์เดนหยุดนิ่ง มองเธอด้วยสายตาขบขัน ก่อนจะยิ้มแสยะออกมาเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วง…ยังไงเจ้าก็ยังได้ไปโรงเรียนอยู่แล้ว...” หากว่ากันตามตรง เขาเอาเธอมาเลี้ยงดูในฐานะ ว่าที่ชายา ของตัวเองนั่นแหละ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะบอกกล่าวเธอตามตรง
คำพูดของเขาทำให้ลินินรู้สึกสับสน ทั้งโล่งใจและหวาดระแวงในคราเดียวกัน เธอไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่
แต่แล้วอยู่ ๆ เจย์เดนก็แสยะยิ้มมุมปากขึ้นอีกครั้ง “แต่ข้าซื้อตัวเจ้ามาตั้งแพง…ก็ต้องเช็คของหน่อยสิถึงจะคุ้ม”
“ชะ...เช็คยังไง”
“เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ...อายุสิบแปดแล้วหนิ”
“แต่ว่า-” ยังไม่ทันได้เอ่ยคัดค้าน เอวบางของเธอก็ถูกคว้าจับเอาไว้แน่นอย่างถือวิสาสะ ก่อนที่ปลายจมูกของเจย์เดนจะไล้ไปตามลำคอระหงของเธอ
ทันทีที่รู้สึกได้ถึงสัมผัสนั้น ลินินก็ตัวสั่นมากยิ่งขึ้น พลางรวบรวมความกล้าผลักคนตรงหน้าออกก่อนจะวิ่งไปทางประตู หวังจะหนีออกไปให้พ้นจากห้องนี้ อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่กันอย่างลับตาคนแหละนะ
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะไปถึงประตู ร่างสูงของคนที่เธอเพิ่งวิ่งหนีจากมาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างว่องไว หากเป็นมนุษย์ธรรมดาย่อมทำเช่นนี้ไม่ได้อยู่แล้ว
ลินินเห็นแบบนี้ก็ตาโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ สิ่งที่เธอเห็นตรงหน้าเริ่มย้ำเตือนถึงความประหลาดที่เธอพบเจอในคฤหาสน์หลังนี้ ครั้งตอนเดินเข้ามาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
ใบหน้าสวยเริ่มถอดสีด้วยความกลัว นี่เธอกำลังประสบกับสิ่งใดอยู่กันแน่!
และขณะที่ลินินกำลังหวาดหวั่น เจย์เดนก็มองเธอด้วยรอยยิ้มมุมปาก ดูภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้สาวสวยตรงหน้าตกใจได้
คนตรงหน้าหากมองเพียงผิวเผินนั้นดูเย็นชา แต่เมื่อได้ลองสัมผัสแล้วกลับแสบสันต์เกินต้าน ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยนั้นแฝงไปด้วยความขี้เล่นและเจ้าเล่ห์อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
แต่เขาเปิดเผยด้านนี้แค่กับคนที่สนิทเพียงเท่านั้น น้อยคนจึงยากที่จะได้เห็น...
“คุณ...คุณเป็นตัวอะไรกัน”
ลินินเอ่ยขึ้นเสียงสั่น ดวงตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความตกใจและความสงสัย ขณะที่มองเขาอย่างไม่วางตา
คิ้วหนาขมวดขึ้นเล็กน้อย แววตาดูลึกลับและเย็นชา แต่ก็ตอบกลับด้วยเสียงนุ่มนวล “เจ้ากลัวข้าหรือ?” แต่ถึงจะนุ่มนวลขนาดไหน ก็ฟังดูขนลุกอย่างน่าประหลาด
เจย์เดนไม่ตอบคำถามนั้นตามตรง ทำเพียงแสยะยิ้มขึ้นอีกครั้งและกล่าวปิดท้ายว่า “เอาเป็นว่าวันนี้ข้าจะเช็คของเพียงเท่านี้ก่อนแล้วกัน”
แต่วันหลังจะไม่ปล่อยไปง่าย ๆ แล้วนะ เจย์เดนคิดใจใจ ก่อนจะยอมปล่อยให้ลินินเป็นอิสระแล้วพาเธอไปเดินชมส่วนที่เหลือในคฤหาสน์ต่อ
แต่ในขณะที่เธอกำลังก้าวเดินตามแผ่นหลังของเจย์เดน ชายชราคนหนึ่งก็รีบเดินตรงเข้ามาพร้อมเอ่ยทักทายเธออย่างนอบน้อม ราวกับมองว่าเธอนั้นมีฐานะสูงส่งอย่างไรอย่างนั้น“มาแล้วหรือครับท่านหญิง”ท่านหญิงอย่างนั้นเหรอ? ลินินครุ่นคิดในใจพลางขมวดคิ้วแล้วหันมองไปยังเจย์เดนด้วยความฉงน คิดไม่ตกว่าเขาพาเธอมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลใดกันแน่แต่ถึงอย่างนั้นเจย์เดนก็ยังคงปิดปากเงียบก่อนจะส่งสายตาให้ชายชราผู้ที่เดินเข้ามาทักทายเธอรีบออกไป“ตามมา...” ขายาวก้าวนำเธอต่อไป ลินินก็เดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย เอาเถอะ จะให้มาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น ยังดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอนแหละนะลินิน...ขณะที่เดินตามเขาไป สายตาของเธอก็มองสำรวจภายในคฤหาสน์ระหว่างทางที่เดินไปด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยรอบจะดูหรูหราอลังการ แต่กลับดูมืดมนและอึมครึมชวนให้รู้สึกน่าอึดอัด นอกจากนี้ยังมีเสียงกระซิบแผ่วเบาหรือเสียงหวีดร้องดังตามสายลมมาเป็นครั้งคราวอีกต่างหาก สร้างความหวาดหวั่นภายในใจให้กับลินินไม่น้อยเลยทีเดียว เธอจึงรีบสาวเท้าเดินให้ว่องไวมากยิ่งขึ้นเพื่อตามหลังเจย์เดนให้ทันร่างสูงเดินพาลินินไปที่ห้องนอนของ
วันรุ่งขึ้น ลินินตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยกลัวว่าจะไปโรงเรียนไม่ทันเวลา เพราะคฤหาสน์ตระกูลแบดฟอร์ดตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง มิหนำซ้ำบริเวณโดยรอบยังล้อมไปด้วยผืนป่าพนาไพรอีกด้วยเธออดคิดไม่ได้ว่าอาจต้องเดินลงภูเขาสูงชันนี้ด้วยตัวเอง และหารถประจำทางเพื่อต่อเข้าไปในเมืองให้ได้วางแผนการเดินทางเรียบร้อยแล้ว สองขาก็รีบวิ่งลงบันไดมาอย่างเร่งรีบ ก่อนจะพบกับเจย์เดนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทานอาหาร นอกจากนี้บนโต๊ะยังเตรียมสำรับอาหารเอาไว้อีกที่หนึ่งด้วย“นั่งลงทานมื้อเช้าซะ” เจย์เดนเอ่ยเสียงเรียบ“นั่ง...บนโต๊ะ...กับคุณเหรอ?” รู้สึกแปลกใจที่คนอย่างเธอจะมีสิทธิ์ได้ร่วมโต๊ะกับผู้ทรงอำนาจเช่นเขา ตอนแรกลินินคิดว่าจะต้องไปนั่งรวมกับพวกสาวใช้ซะอีก แต่ก่อนที่เธอจะทันปฏิเสธด้วยความเกรงใจก็ถูกสายตาเฉียบคมของเขามองมาเสียก่อน ประหนึ่งออกคำสั่งกลาย ๆ“นั่ง-ลง” เขาพูดเน้นทีละพยางค์ ลินินที่ได้ยินแบบนั้น อยู่ ๆ ก็ทิ้งตัวนั่งลงโดยไม่รู้ตัว ราวกับมีบางอย่างมาผลักเธอเข้า“ฉันต้องรีบไปโรงเรียนนะคะ (. .)”“กินมื้อเช้าก่อน” เจย์เดนเอ่ยเสียงเข้ม “เดี๋ยวให้ชาร์ลไปส่ง” ขณะพูดก็ปรายตามองไปหาผู้ติดตามคนสนิทของตัวเอง ช
เมื่อเห็นว่าลินินนั่งอ่านหนังสือบนเตียงด้วยความลำบากอย่างที่ผู้ติดตามคนสนิทของตนรายงาน เจย์เดนก็มานั่งคิดอีกครั้ง ก่อนจะเกิดอุบายว่า “ข้าอยากไปเที่ยวเดินเล่นในห้องสักหน่อย” จากนั้นเขาก็บอกให้ลินินติดสอยห้อยตามไปด้วย“ห้างเหรอ?” เธอยืนแง้มประตูห้องนอนเพื่อพูดคุยกับเขา “แต่ฉํนต้องอ่านหนังสือนะ” ลินินกล่าวถึงความจำเป็นของตัวเอง เธอเพิ่งเลิกเรียนจากที่โรงเรียนมา ก็หวังจะรีบทบทวนบทเรียนและอ่าหนังสือต่อเลย“กฎอีกข้อ ข้าสั่งอะไรเจ้าต้องว่าตามนั้น” พูดจบ เจย์เดนก็ไม่มัวรีรอฟังคำโต้แย้งจากเธออีก เขาหมุนตัวหันหลังแล้วเดินลงไปรอเธอที่ลานจอดรถคฤหาสน์ลินินเห็นแบบนั้นก็แอบอดถอนหายใจในความเอาแต่ใจของเจย์เดนแต่เมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้า เจย์เดนกลับไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจที่จะเดินไปไหนเลย เอาแต่ยกมือขึ้นป้องแสงจากหลอดไฟนีออน ที่ดูเหมือนจะแยงตาของเขามากจนเกินควรลินินเห็นแบบนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ‘ไม่ชอบที่สว่าง ๆ แล้วทำไมถึงพามาเดินห้างกัน หรือว่าเป็นแวมไพร์ขี้เหงา นาน ๆ ทีจึงอยากออกมาเดินเล่นกับคนอื่นเขาบ้าง?’ หลังจากคิดเช่นนั้น เธอก็ส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหยิบหมวกแก๊ปที่ตัวเองพกติดกระเป๋าเป็นประจำ
ลินินพยายามจะไม่คิดเรื่องของเขา แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ จึงลุกขึ้นไปถามชาร์ล ที่มีฐานะเป็นถึงคนสนิทของเขาชาร์ลได้ยินเธอเอ่ยถามก็อดดีใจแทนท่านชายของตนเสียไม่ได้ "ท่านชายอยู่บนห้องขอรับ แต่ช่วงนี้งานหนัก ท่านจึงอ่อนแรงไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ จึงไม่ได้ลงมาหาคุณหนูขอรับ""เอ่อ...ฉันไม่ได้หวังให้เขามาหาสักหน่อย" เอาเป็นว่าหญิงสาวก็ปากแข็งพอตัว แต่สิ่งที่ชาร์ลบอกกบ่าวก็ทำให้เธออดเป็นกังวลเสียไม่ได้ในกลางดึกคืนนั้น ลินินจึงแอบย่องไปหน้าห้องของเจย์เดน ฝีเท้าเบาเฉียบดุจแมวย่องเบา แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เธอซุกซ่อนตัวจากเจ้าของคฤหาสน์ได้เลยแม้แต่น้อยใบหน้าหล่อยกยิ้มขณะที่นั่งหลับตาอยู่บนเตียง แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเธอสักเท่าไหร่ ด้วยแวมไพร์อ่อนแรงนั้นกระหายเลือดมนุษย์มากนัก เขาจึงอยากเลี่ยงที่จะพบเธอให้ถึงสุดแต่แล้วความตั้งใจนั้นก็พังลง เมื่ออยู่ ๆ ลินินก็เปิดประตูแง้มออกเห็นแบบนั้นมือหนาก็รีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาบดบังร่างของตัวเองทันที บอกตามตรง สภาพของเขาตอนนี้หากเธอได้เห็นคงต้องหวั่นใจเป็นแน่ดวงหน้าหล่อเส้นเลือดปูดโปนอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาช้ำเลือดข้างหนึ่ง พร้อมมีเขี้ยวงอกออกมา เรียกได้ว่าด
ลินินกระโดดโลดเต้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรไปกล่าวขอบคุณเจย์เดนอย่างเป็นทางการ เมื่อนั้นเธอจึงวิ่งออกจากห้องและตรงสู่ห้องนอนของเจย์เดนโดยเร็วไวเจย์เดนซึ่งตอนแรกยืนอยู่ตรงระเบียงห้องของเธอ เมื่อเห็นว่าลินินวิ่งออกไปข้างนอก เขาก็รีบวิ่งกลับห้องตัวเองอย่างรู้ทัน‘อยู่ในห้องหรือเปล่านะ’ ลินินยังลังเลที่จะเคาะประตู ด้วยไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายหรือเปล่า เธอจึงกอดเจ้าเจย์เดนตัวน้อยและเดินวนเวียนไปมาอยู่ตรงหน้าห้องของเขาแทน ผ่านไปสักพัก ลินินก็เริ่มใช้หูแนบไปกับบานประตู เพื่อจับเสียงที่อยู่ภายในห้องนั้น และเมื่อภายในห้องเงียบงัน เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่กล้าเคาะประตูมากขึ้นเท่านั้น‘เข้ามาสิ เข้ามาหาข้าสิ’ เจย์เดนคิดในใจ ขณะที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูห้องของตัวเองนัก แต่เมื่อผ่านไปสักพัก ก็ไร้วี่แววว่าคนข้างนอกจะเปิดเข้ามา ทั้งที่กลิ่นของเธอยังคงเด่นชัดว่าอยู่ตรงหน้าห้องของตน ‘เหตุใดนางจึงไม่เข้ามาหาข้า!’ ด้วยความฉุนเฉียวชั่วขณะ มือหนาจึงดึงเปิดบานประตูออกทันใด ซึ่งการกระทำนี้ทำให้ลินินที่กำลังแนบหูไปกับบานประตูอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเซถลาเข้าไปในเขตห้องของเจย์เด
เช้าวันต่อมา ถึงแม้ว่าจะเป็นวันหยุดแต่ลินินก็ยังตื่นแต่เช้าตามความเคยชิน หลังจากลุกทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยเธอก็เดินลงมาข้างล่าง แต่แล้วก็พบว่าโต๊ะทานอาหารตรงตำแหน่งของเจย์เดนไร้ซึ่งเงาเจ้าของของมันอีกแล้วทำไมกัน...นี่มันสองวันติดแล้วนะ หรือว่าเขาจะไม่อยากร่วมโต๊ะทานอาหารกับเธอกันแน่ ลินินแอบคิดด้วยความน้อยเนื้อตำใจ เช่นนั้นแล้วเรื่องที่เธอแอบดีใจเมื่อคืนนี้ เธอเพียงคิดไปเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่าถึงจะคิดแบบนั้นแต่สายตาก็ยังกวาดหาเจ้าตัวจนทั่ว เหตุใดเธอจึงต้องรู้สึกว้าวุ่นใจกัน เฮ้อ ไม่เอาสิลินิน วันหยุดพักผ่อนแท้ ๆ หากมัวมานั่งเรียกร้องหาเขาเช่นนี้คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดีเมื่อคิดได้เช่นั้นเธอก็ส่ายศีรษะสลัดความคิดภายในใจออกไป และถึงแม้เจย์เดนจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ชาร์ลผู้ติดตามคนสนิทของเขาก็ยังคอยตามติดเธอไม่ห่างไปไหน เพราะเขาได้รับคำสั่งให้คอยดูแลเธออย่างไรล่ะและมีหรือ...ที่ท่าทางว้าวุ่นของลินินจะรอดพ้นสายตาอันฉียบแหลมของเขาไปได้ ชาร์ลยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาราวกับรู้ใจเธอ“ท่านชายไปเข้าประชุมกับคู่ค้าของบริษัทขอรับ”ลินินพยักหน้ารับทราบด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย แต่แล้วก็
หลายวันผ่านไป หลังจากเลิกเรียนในวันศุกร์และกลับมาถึงคฤหาสน์เป้นที่เรียบร้อย ลินินก็รีบวิ่งตามเจย์เดนที่กำลังเดินฉับ ๆ ไปยังห้องทำงานของเขาแล้วขออนุญาตเรื่องสำคัญกับเขา “พรุ่งนี้ขอออกไปทำรายงานกับเพื่อนได้หรือเปล่าคะ”เจย์เดนได้ยินแบบนั้นก็หยุดเดินลงกะทันหัน ยกแขนขึ้นกอดอกพร้อมส่งสายตาคมกริบจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าทันที “เพื่อนเจ้าผู้หญิงหรือผู้ชาย” สายตาคมกริบจ้องมองเธออย่างคาดโทษ จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ลืมเรื่องคำอธิษฐานที่โบสถ์ และชาตินี้ก็จะไม่มีวันลืมด้วย!“ผู้…หญิง…” ลินินตอบกลับไปด้วยความลังเล เธอไม่กล้าบอกตามตรงว่าอาจารย์จับคู่กับเพื่อนผู้ชายให้ ด้วยสายตาของเขานั้นราวกับจะเชือดเฉือนเธอให้ตายคาที่แบบนั้น ใครจะไปกล้าตอบอะไรที่เข้าข่ายว่าจะขัดใจเขากันเล่า“ถ้าเจ้ากล้าหลอกข้า แล้วข้าจับได้ ซึ่งได้แน่นอนเพราะเจ้าจะอยู่ในสายตาของข้าตลอด ถ้าเป็นแบบนั้นข้าจะไปหักคอเพื่อนเจ้าซะ!”“ผู้ชาย…” รีบเปลี่ยนคำตอบทันควันด้วยความจำนน“แล้วไปทำที่ไหน ห้ามไปที่บ้านมันเด็ดขาด” ประกาศกร้าวเหมือนตัวเองจะไปทำเองอย่างนั้นแหละ “หรือเจ้าจะพามันมาที่นี่ก็ได้นะ”“ได้เหรอ (‘ ‘)?” ถามด้วยความใสซื่อ“ได
ยามค่ำคืนช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศโดยรอบจึงเย็นจัด เมฆหมอกบางเบาโอบล้อมรอบตึกสูงระฟ้าราวกับกำลังปกปิดความลึกลับอีกด้านหนึ่งของโลกเอาไว้ ท้องฟ้าในยามนี้มืดสนิทมีเพียงแสงเบาบางจากดวงจันทร์ที่คล้ายกับรอยยิ้มเหยียดเยาะเยือกเย็นชวนน่าหวาดหวั่นณ ทางเดินทอดยาวสู่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ปรากฎภาพหญิงสาวที่กำลังเดินผ่านสวนสาธารณะ วันนี้เป็นดั่งเช่นทุกวันที่เธอต้องออกไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านขายดอกไม้ สองขาก้าวไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย เพียงแต่ในวันนี้กลับมีสิ่งแปลกประหลาดที่เข้ามาสะดุดสายตาของเธอเข้าโดยบังเอิญเสียอย่างนั้น ดวงตาคู่สวยเพ่งมองเจ้าสิ่งนั้นก่อนจะพบว่ามันคือกุหลาบดอกหนึ่งซึ่งถูกวางทิ้งเอาไว้บนกลางทางเดินนอกจากนี้ มันช่างต่างจากดอกกุหลาบที่เธอเห็นทุกวันในร้านยิ่งนัก เจ้าพวกนั้นทั้งสดใสและบานสะพรั่ง แต่กุหลาบที่เธอพบในค่ำคืนนี้กลับแตกต่างออกไป ชวนน่าอัศจรรย์ระคนสงสัย เพราะสีของมันนั้นดำขลับสนิทราวกับถูกวาดขึ้นมาจากฝันร้ายของใครบางคน“ใครเอาแกมาทิ้งกันนะ” ด้วยความที่เธอเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านจัดดอกไม้มานับแรมปี จึงมีความผูกพันให้กับดอกไม้นานาชนิด แม้ว่าสีของเจ้าดอกไม้นี้จะไม่ค่อยน่าเชยชม
หลายวันผ่านไป หลังจากเลิกเรียนในวันศุกร์และกลับมาถึงคฤหาสน์เป้นที่เรียบร้อย ลินินก็รีบวิ่งตามเจย์เดนที่กำลังเดินฉับ ๆ ไปยังห้องทำงานของเขาแล้วขออนุญาตเรื่องสำคัญกับเขา “พรุ่งนี้ขอออกไปทำรายงานกับเพื่อนได้หรือเปล่าคะ”เจย์เดนได้ยินแบบนั้นก็หยุดเดินลงกะทันหัน ยกแขนขึ้นกอดอกพร้อมส่งสายตาคมกริบจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าทันที “เพื่อนเจ้าผู้หญิงหรือผู้ชาย” สายตาคมกริบจ้องมองเธออย่างคาดโทษ จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ลืมเรื่องคำอธิษฐานที่โบสถ์ และชาตินี้ก็จะไม่มีวันลืมด้วย!“ผู้…หญิง…” ลินินตอบกลับไปด้วยความลังเล เธอไม่กล้าบอกตามตรงว่าอาจารย์จับคู่กับเพื่อนผู้ชายให้ ด้วยสายตาของเขานั้นราวกับจะเชือดเฉือนเธอให้ตายคาที่แบบนั้น ใครจะไปกล้าตอบอะไรที่เข้าข่ายว่าจะขัดใจเขากันเล่า“ถ้าเจ้ากล้าหลอกข้า แล้วข้าจับได้ ซึ่งได้แน่นอนเพราะเจ้าจะอยู่ในสายตาของข้าตลอด ถ้าเป็นแบบนั้นข้าจะไปหักคอเพื่อนเจ้าซะ!”“ผู้ชาย…” รีบเปลี่ยนคำตอบทันควันด้วยความจำนน“แล้วไปทำที่ไหน ห้ามไปที่บ้านมันเด็ดขาด” ประกาศกร้าวเหมือนตัวเองจะไปทำเองอย่างนั้นแหละ “หรือเจ้าจะพามันมาที่นี่ก็ได้นะ”“ได้เหรอ (‘ ‘)?” ถามด้วยความใสซื่อ“ได
เช้าวันต่อมา ถึงแม้ว่าจะเป็นวันหยุดแต่ลินินก็ยังตื่นแต่เช้าตามความเคยชิน หลังจากลุกทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยเธอก็เดินลงมาข้างล่าง แต่แล้วก็พบว่าโต๊ะทานอาหารตรงตำแหน่งของเจย์เดนไร้ซึ่งเงาเจ้าของของมันอีกแล้วทำไมกัน...นี่มันสองวันติดแล้วนะ หรือว่าเขาจะไม่อยากร่วมโต๊ะทานอาหารกับเธอกันแน่ ลินินแอบคิดด้วยความน้อยเนื้อตำใจ เช่นนั้นแล้วเรื่องที่เธอแอบดีใจเมื่อคืนนี้ เธอเพียงคิดไปเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่าถึงจะคิดแบบนั้นแต่สายตาก็ยังกวาดหาเจ้าตัวจนทั่ว เหตุใดเธอจึงต้องรู้สึกว้าวุ่นใจกัน เฮ้อ ไม่เอาสิลินิน วันหยุดพักผ่อนแท้ ๆ หากมัวมานั่งเรียกร้องหาเขาเช่นนี้คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดีเมื่อคิดได้เช่นั้นเธอก็ส่ายศีรษะสลัดความคิดภายในใจออกไป และถึงแม้เจย์เดนจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ชาร์ลผู้ติดตามคนสนิทของเขาก็ยังคอยตามติดเธอไม่ห่างไปไหน เพราะเขาได้รับคำสั่งให้คอยดูแลเธออย่างไรล่ะและมีหรือ...ที่ท่าทางว้าวุ่นของลินินจะรอดพ้นสายตาอันฉียบแหลมของเขาไปได้ ชาร์ลยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาราวกับรู้ใจเธอ“ท่านชายไปเข้าประชุมกับคู่ค้าของบริษัทขอรับ”ลินินพยักหน้ารับทราบด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย แต่แล้วก็
ลินินกระโดดโลดเต้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรไปกล่าวขอบคุณเจย์เดนอย่างเป็นทางการ เมื่อนั้นเธอจึงวิ่งออกจากห้องและตรงสู่ห้องนอนของเจย์เดนโดยเร็วไวเจย์เดนซึ่งตอนแรกยืนอยู่ตรงระเบียงห้องของเธอ เมื่อเห็นว่าลินินวิ่งออกไปข้างนอก เขาก็รีบวิ่งกลับห้องตัวเองอย่างรู้ทัน‘อยู่ในห้องหรือเปล่านะ’ ลินินยังลังเลที่จะเคาะประตู ด้วยไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายหรือเปล่า เธอจึงกอดเจ้าเจย์เดนตัวน้อยและเดินวนเวียนไปมาอยู่ตรงหน้าห้องของเขาแทน ผ่านไปสักพัก ลินินก็เริ่มใช้หูแนบไปกับบานประตู เพื่อจับเสียงที่อยู่ภายในห้องนั้น และเมื่อภายในห้องเงียบงัน เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่กล้าเคาะประตูมากขึ้นเท่านั้น‘เข้ามาสิ เข้ามาหาข้าสิ’ เจย์เดนคิดในใจ ขณะที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูห้องของตัวเองนัก แต่เมื่อผ่านไปสักพัก ก็ไร้วี่แววว่าคนข้างนอกจะเปิดเข้ามา ทั้งที่กลิ่นของเธอยังคงเด่นชัดว่าอยู่ตรงหน้าห้องของตน ‘เหตุใดนางจึงไม่เข้ามาหาข้า!’ ด้วยความฉุนเฉียวชั่วขณะ มือหนาจึงดึงเปิดบานประตูออกทันใด ซึ่งการกระทำนี้ทำให้ลินินที่กำลังแนบหูไปกับบานประตูอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเซถลาเข้าไปในเขตห้องของเจย์เด
ลินินพยายามจะไม่คิดเรื่องของเขา แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ จึงลุกขึ้นไปถามชาร์ล ที่มีฐานะเป็นถึงคนสนิทของเขาชาร์ลได้ยินเธอเอ่ยถามก็อดดีใจแทนท่านชายของตนเสียไม่ได้ "ท่านชายอยู่บนห้องขอรับ แต่ช่วงนี้งานหนัก ท่านจึงอ่อนแรงไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ จึงไม่ได้ลงมาหาคุณหนูขอรับ""เอ่อ...ฉันไม่ได้หวังให้เขามาหาสักหน่อย" เอาเป็นว่าหญิงสาวก็ปากแข็งพอตัว แต่สิ่งที่ชาร์ลบอกกบ่าวก็ทำให้เธออดเป็นกังวลเสียไม่ได้ในกลางดึกคืนนั้น ลินินจึงแอบย่องไปหน้าห้องของเจย์เดน ฝีเท้าเบาเฉียบดุจแมวย่องเบา แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เธอซุกซ่อนตัวจากเจ้าของคฤหาสน์ได้เลยแม้แต่น้อยใบหน้าหล่อยกยิ้มขณะที่นั่งหลับตาอยู่บนเตียง แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเธอสักเท่าไหร่ ด้วยแวมไพร์อ่อนแรงนั้นกระหายเลือดมนุษย์มากนัก เขาจึงอยากเลี่ยงที่จะพบเธอให้ถึงสุดแต่แล้วความตั้งใจนั้นก็พังลง เมื่ออยู่ ๆ ลินินก็เปิดประตูแง้มออกเห็นแบบนั้นมือหนาก็รีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาบดบังร่างของตัวเองทันที บอกตามตรง สภาพของเขาตอนนี้หากเธอได้เห็นคงต้องหวั่นใจเป็นแน่ดวงหน้าหล่อเส้นเลือดปูดโปนอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาช้ำเลือดข้างหนึ่ง พร้อมมีเขี้ยวงอกออกมา เรียกได้ว่าด
เมื่อเห็นว่าลินินนั่งอ่านหนังสือบนเตียงด้วยความลำบากอย่างที่ผู้ติดตามคนสนิทของตนรายงาน เจย์เดนก็มานั่งคิดอีกครั้ง ก่อนจะเกิดอุบายว่า “ข้าอยากไปเที่ยวเดินเล่นในห้องสักหน่อย” จากนั้นเขาก็บอกให้ลินินติดสอยห้อยตามไปด้วย“ห้างเหรอ?” เธอยืนแง้มประตูห้องนอนเพื่อพูดคุยกับเขา “แต่ฉํนต้องอ่านหนังสือนะ” ลินินกล่าวถึงความจำเป็นของตัวเอง เธอเพิ่งเลิกเรียนจากที่โรงเรียนมา ก็หวังจะรีบทบทวนบทเรียนและอ่าหนังสือต่อเลย“กฎอีกข้อ ข้าสั่งอะไรเจ้าต้องว่าตามนั้น” พูดจบ เจย์เดนก็ไม่มัวรีรอฟังคำโต้แย้งจากเธออีก เขาหมุนตัวหันหลังแล้วเดินลงไปรอเธอที่ลานจอดรถคฤหาสน์ลินินเห็นแบบนั้นก็แอบอดถอนหายใจในความเอาแต่ใจของเจย์เดนแต่เมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้า เจย์เดนกลับไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจที่จะเดินไปไหนเลย เอาแต่ยกมือขึ้นป้องแสงจากหลอดไฟนีออน ที่ดูเหมือนจะแยงตาของเขามากจนเกินควรลินินเห็นแบบนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ‘ไม่ชอบที่สว่าง ๆ แล้วทำไมถึงพามาเดินห้างกัน หรือว่าเป็นแวมไพร์ขี้เหงา นาน ๆ ทีจึงอยากออกมาเดินเล่นกับคนอื่นเขาบ้าง?’ หลังจากคิดเช่นนั้น เธอก็ส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหยิบหมวกแก๊ปที่ตัวเองพกติดกระเป๋าเป็นประจำ
วันรุ่งขึ้น ลินินตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยกลัวว่าจะไปโรงเรียนไม่ทันเวลา เพราะคฤหาสน์ตระกูลแบดฟอร์ดตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง มิหนำซ้ำบริเวณโดยรอบยังล้อมไปด้วยผืนป่าพนาไพรอีกด้วยเธออดคิดไม่ได้ว่าอาจต้องเดินลงภูเขาสูงชันนี้ด้วยตัวเอง และหารถประจำทางเพื่อต่อเข้าไปในเมืองให้ได้วางแผนการเดินทางเรียบร้อยแล้ว สองขาก็รีบวิ่งลงบันไดมาอย่างเร่งรีบ ก่อนจะพบกับเจย์เดนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทานอาหาร นอกจากนี้บนโต๊ะยังเตรียมสำรับอาหารเอาไว้อีกที่หนึ่งด้วย“นั่งลงทานมื้อเช้าซะ” เจย์เดนเอ่ยเสียงเรียบ“นั่ง...บนโต๊ะ...กับคุณเหรอ?” รู้สึกแปลกใจที่คนอย่างเธอจะมีสิทธิ์ได้ร่วมโต๊ะกับผู้ทรงอำนาจเช่นเขา ตอนแรกลินินคิดว่าจะต้องไปนั่งรวมกับพวกสาวใช้ซะอีก แต่ก่อนที่เธอจะทันปฏิเสธด้วยความเกรงใจก็ถูกสายตาเฉียบคมของเขามองมาเสียก่อน ประหนึ่งออกคำสั่งกลาย ๆ“นั่ง-ลง” เขาพูดเน้นทีละพยางค์ ลินินที่ได้ยินแบบนั้น อยู่ ๆ ก็ทิ้งตัวนั่งลงโดยไม่รู้ตัว ราวกับมีบางอย่างมาผลักเธอเข้า“ฉันต้องรีบไปโรงเรียนนะคะ (. .)”“กินมื้อเช้าก่อน” เจย์เดนเอ่ยเสียงเข้ม “เดี๋ยวให้ชาร์ลไปส่ง” ขณะพูดก็ปรายตามองไปหาผู้ติดตามคนสนิทของตัวเอง ช
แต่ในขณะที่เธอกำลังก้าวเดินตามแผ่นหลังของเจย์เดน ชายชราคนหนึ่งก็รีบเดินตรงเข้ามาพร้อมเอ่ยทักทายเธออย่างนอบน้อม ราวกับมองว่าเธอนั้นมีฐานะสูงส่งอย่างไรอย่างนั้น“มาแล้วหรือครับท่านหญิง”ท่านหญิงอย่างนั้นเหรอ? ลินินครุ่นคิดในใจพลางขมวดคิ้วแล้วหันมองไปยังเจย์เดนด้วยความฉงน คิดไม่ตกว่าเขาพาเธอมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลใดกันแน่แต่ถึงอย่างนั้นเจย์เดนก็ยังคงปิดปากเงียบก่อนจะส่งสายตาให้ชายชราผู้ที่เดินเข้ามาทักทายเธอรีบออกไป“ตามมา...” ขายาวก้าวนำเธอต่อไป ลินินก็เดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย เอาเถอะ จะให้มาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น ยังดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอนแหละนะลินิน...ขณะที่เดินตามเขาไป สายตาของเธอก็มองสำรวจภายในคฤหาสน์ระหว่างทางที่เดินไปด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยรอบจะดูหรูหราอลังการ แต่กลับดูมืดมนและอึมครึมชวนให้รู้สึกน่าอึดอัด นอกจากนี้ยังมีเสียงกระซิบแผ่วเบาหรือเสียงหวีดร้องดังตามสายลมมาเป็นครั้งคราวอีกต่างหาก สร้างความหวาดหวั่นภายในใจให้กับลินินไม่น้อยเลยทีเดียว เธอจึงรีบสาวเท้าเดินให้ว่องไวมากยิ่งขึ้นเพื่อตามหลังเจย์เดนให้ทันร่างสูงเดินพาลินินไปที่ห้องนอนของ
เจย์เดนพาลินินกลับไปเก็บข้าวของที่บ้านหลังเก่า เธอก็ได้แต่จำใจยอมจากลา พลางคิดหาทางเอาตัวรอดว่าจะพูดอย่างไรให้เขายอมปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระ‘เขาจ่ายค่าตัวเราไปเท่าไหร่กันนะ’ ลินินครุ่นคิดในใจ“สามล้านถ้วน” เจย์เดนเอ่ยเสียงเรียบ สร้างความตื่นตกใจให้กับลินินเป็นอย่างยิ่งว่าเขาล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจเธอได้อย่างไรกัน แต่สุดท้ายก็คิดเพียงว่าเจย์เดนแค่บังเอิญพูดถึงมันขึ้นมาพอดี หารู้ไม่ว่าเขาแอบพินิจใจเธออยู่ เหมือนเป็นการทำความรู้จักในช่วงแรกเริ่ม “ข้าตัวเจ้าสามล้าน จะไปหาเงินมาไถ่ตัวเองจากข้างั้นเหรอ?”“เปล่าค่ะ...” และแล้วก็ต้องยอมพ่ายแพ้ เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะควักเงินจ่ายไปด้วยจำนวนเงินมหาศาลเช่นนี้ เป็นจำนวนเงินที่เธอคิดว่าชาตินี้ก็คงหามาชดใช้ไม่ได้หมด“รีบเก็บของซะ ฉันเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”คำว่า ‘เหนื่อย’ เจย์เดนเพียงพูดไปเช่นนั้นเพื่อเป็นการเร่งเร้าเธอไปในตัว เพราะแวมไพร์เหนื่อยเป็นที่ไหนกันเล่าชาร์ลส่งสายตาเจ้าเล่ห์มองเจ้านายของตัวเองอย่างรู้ทัน ก่อนจะแอบส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่รู้ว่าปากจะหนักไปถึงไหน จึงเรียนรู้ที่จะเอ่ยคำพูดที่สื่อความหมายโดยตรงไม่ได้สักทีลินินรีบไปเก็บของออก
“โอ๊ย เจ็บนะ!” ลินินโวยวายเมื่อถูกโยนเข้ามาในห้องโถงกลางเรือนบ้าน“สักล้านนึงพอจะได้ไหม” ชายวัยกลางคนที่พาตัวเธอขึ้นรถมาด้วยเอ่ยขึ้น ดูเหมือนว่าเขากำลังจะคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ลินินที่นั่งอยู่กลางห้องโถงเริ่มหน้าซีด แววตาเริ่มหม่นหมอง เมื่อทราบว่าครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่การข่มขู่ ที่พวกเขาแค่เรียกตัวเธอมาเพื่อตักเตือน แล้วจากนั้นจะยอมปล่อยให้กลับไปหาเงินมาชดใช้ดั่งครั้งก่อนหลังจากวางสายลง มือหนาของเจ้าหนี้ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดชัตเตอร์จับภาพของเธอเพื่อส่งไปให้ปลายทาง“ตาแก่นี่ดูชอบเธอนะ” เขาว่าพลางยื่นรูปชายสูงอายุคนหนึ่งที่ตอบกลับว่าจะขอซื้อตัวเธอมาให้ลินินได้พิจารณาตัวของเธอสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ยิ่งเวลาผ่านไปเนิ่นนานมากเท่าไหร่ก็ไม่ได้ทำให้เธอสงบนิ่งลงได้เลย แล้วเป็นใครจะกล้าทำใจให้สงบได้กันเล่า ในเมื่อทราบว่าตัวเองจะถูกขายให้กับใครที่ไหนก็ไม่รู้“ขอร้องล่ะ หนูจ่ายให้คุณไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้วนะ” ลินินทิ้งตัวคุกเข่าก่อนจะทำท่าเว้าวอนขอความเห็นใจ เธอยังอยากมีอนาคตอีกยาวไกล หากโดนขายให้ชายแก่รุ่นราวคราวพ่อคงเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก“นี่ยัยหนู ฉันเห็นใจเธออยู่หรอกนะที่ต