เช้าวันต่อมา ถึงแม้ว่าจะเป็นวันหยุดแต่ลินินก็ยังตื่นแต่เช้าตามความเคยชิน หลังจากลุกทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยเธอก็เดินลงมาข้างล่าง แต่แล้วก็พบว่าโต๊ะทานอาหารตรงตำแหน่งของเจย์เดนไร้ซึ่งเงาเจ้าของของมันอีกแล้ว
ทำไมกัน...นี่มันสองวันติดแล้วนะ หรือว่าเขาจะไม่อยากร่วมโต๊ะทานอาหารกับเธอกันแน่ ลินินแอบคิดด้วยความน้อยเนื้อตำใจ เช่นนั้นแล้วเรื่องที่เธอแอบดีใจเมื่อคืนนี้ เธอเพียงคิดไปเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่า ถึงจะคิดแบบนั้นแต่สายตาก็ยังกวาดหาเจ้าตัวจนทั่ว เหตุใดเธอจึงต้องรู้สึกว้าวุ่นใจกัน เฮ้อ ไม่เอาสิลินิน วันหยุดพักผ่อนแท้ ๆ หากมัวมานั่งเรียกร้องหาเขาเช่นนี้คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี เมื่อคิดได้เช่นั้นเธอก็ส่ายศีรษะสลัดความคิดภายในใจออกไป และถึงแม้เจย์เดนจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ชาร์ลผู้ติดตามคนสนิทของเขาก็ยังคอยตามติดเธอไม่ห่างไปไหน เพราะเขาได้รับคำสั่งให้คอยดูแลเธออย่างไรล่ะ และมีหรือ...ที่ท่าทางว้าวุ่นของลินินจะรอดพ้นสายตาอันฉียบแหลมของเขาไปได้ ชาร์ลยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาราวกับรู้ใจเธอ “ท่านชายไปเข้าประชุมกับคู่ค้าของบริษัทขอรับ” ลินินพยักหน้ารับทราบด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย แต่แล้วก็มีข้อสงสัยผุดขึ้นมาอีกครั้ง นั่นคือ แล้วทำไมชาร์ลถึงยังอยู่ที่คฤหาสน์เล่า เพราะหากว่ากันตามตรง ตำแหน่งในบริษัทของเขาคงไม่ต่างจากเลขาของท่านประธานอย่างเจย์เดนด้วยซ้ำ “พอดี ท่านชายต้องการความเป็นส่วนตัวกับคู่ค้าท่านนี้ กระผมจึงไม่ได้ไปด้วยขอรับ” ชาร์ลแอบหาข้ออ้างให้ท่านชายของเขาอีกครั้ง ด้วยความที่เจย์เดนสั่งให้ตนมาคอยจับตาดูลินินแทนช่วงที่เขาไม่อยู่ จึงลงเอยด้วยการพูดบอกออกไปเช่นนั้น “ส่วนตัวอย่างนั้นเหรอ?” ลินินเท้าคางครุ่นคิดถึงสถานการณ์ที่อาจเป็นไปได้ แต่แทนที่เธอจะเข้าใจ กลับกลายเป็นยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่เนี่ยสิ คู่ค้าทางธุรกิจที่เขาไปร่วมประชุมด้วยคือใครกัน ทำไมเขาถึงต้องคุยเป็นส่วนตัวถึงต้องการความเป็นส่วนตัวน่ะ! คงจะเป็นสาวสวยล่ะสิท่า! และดูเหมือนว่ายิ่งคิดลินินก็จะยิ่งว้าวุ่นใจมากขึ้นเท่านั้น เธอจึงตัดสินใจหยิบส้อมขึ้นมาจิ้มเนื้อเสต๊กชั้นดีตรงหน้าเข้าปากเพื่อคลายความกังวลแทน แต่เหมือนจะไม่ค่อยช่ยอะไรเท่าไหร่ อะไรกัน..งของกินก็ยังไม่ช่วยอีกเหรอเนี่ย! โธ่เอ๊ยลินิน...ทำไมอยู่ ๆ ก็อยากเจอเขาอย่างไม่มีเหตุผลขึ้นมาแบบนี้ล่ะ ราวกับมีบางอย่างในชีวิตเธอหายไปอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะหากว่ากันตามตรงแล้ว เธอไม่ได้เจอหน้าเขามาสองวันติดแล้วนะ! แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำได้เพียงถอนหายใจและอยู่กับความว้าวุ่นนี้ไปตลอดทั้งเช้า ลินินนั่งอ่านหนังสือเล่มใหญ่อยู่ในห้องสมุดตลอดทั้งบ่าย แต่ไม่ใช่หนังสือเรียนแต่อย่างใด เป็นหนังสือชีวประวัติเกี่ยวกับแวมไพร์ในแต่ละยุค เธอไปขอหยิบยืมมาจากท่านโหรหลงเพื่อที่ตัวเองจะได้เข้าใจความเป็นเจย์เดนมากยิ่งขึ้น ชาร์ลก็คอยแอบจับตาดูเธอเพื่อเก็บรายงานให้กับเจ้านายของตนอยู่ไม่ขาด จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา... ชาร์ลกดรับสายโทรศัพท์ก่อนจะได้ยินเสียงเจย์เดนเล็ดลอดออกมา บอกให้เตรียมเสื้อผ้าไปให้ตนที่โรงแรม ลินินเงยหน้าขึ้นจากหนังงสือที่เธอตั้งใจอ่านมาตลอดทั้งช่วงบ่ายทันที พร้อมอาสาว่าจะเตรียมและนำไปให้ด้วยตัวเอง โดยอ้างว่าเธอมีเรื่องจะคุยกับเจย์เดน ชาร์ลที่เห็นแบบนั้นก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใด เพราะสิ่งนี้หากพูดกันตามตรงก็เป็นสิ่งที่ภรรยาควรเป็นธุระให้กับสามีอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าในตอนนี้ทั้งสองจะยังไม่ใช่สามีภรรยากันอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่จากรูปการณ์ในตอนนี้แล้ว คาดว่าคงอีกไม่ช้าแน่นอน เมื่อไปถึงโรงแรม ชาร์ลก็เดินพาลินินตรงไปยังห้องพักที่เจย์เดนเปิดเอาไว้ ภายในโรงแรมนั้นหรูหรามาก แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะระดับเจย์เดนจะมาเปิดห้องในที่แบบนี้ก็ย่อมได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ลินินสงสัยมันไม่ใช่เรื่องความหรูของโรงแรมหรอก มันกลับเป็นความคิดที่ว่า ‘ประชุมงานต้องเปิดห้องในโรงแรมเชียวเหรอ?’ นั่นแหละ และเมื่อมาถึงหน้าประตูห้อง ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ทำให้เธอถึงกับชะงัก เมื่อเห็นคนที่ตัวเองเฝ้ามองหามาตลอดตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในชุดคลุมอาบน้ำ และสนทนากับหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกัน ทั้งบุคลิกและการแต่งกายของเธอช่างสง่างามเป็นยิ่งนัก ว่าแต่...ทำไมเขาถึงอยู่ในชุดแบบนั้นกับผู้หญิงคนนี้ล่ะ...มันทำให้เธออดคิดถึงเรื่องอย่างว่าไม่ได้เลยทีเดียว “สวัสดีครับคุณหนูเฟย์” ชาร์ลที่เดินตามเข้ามาในห้องก็เอ่ยทักทายหญิงสาวตรงหน้าด้วยท่าทางนอบน้อมทันที ก่อนจะเดินตรงไปพูดคุยกับพวกเขาด้วยความเป็นกันเอง “ไง ชาร์ล มาแล้วเหรอ...” จากคำพูดคำจาแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงสนิทกันพอตัว หรือว่าเธอคนนี้จะเป็นคนที่เจย์เดนชอบ...ลินินคิดแบบนั้น เพราะดูจากรอยยิ้มและท่าทางเป้นกันเองของเจย์เดน ทุกอย่างที่เธอเฝ้าหวังจะให้เกิดขึ้นเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ล้วนไปอยู่กับปู้หญิงคนนี้หมดเลย ร่างบางยังยืนอยู่ตรงหน้าประตูที่เปิดค้างเอาไว้ รู้สึกใจหวิวอย่างไรพิกล พลางสายตาก็จับจ้องมองไปที่แวมไพร์หนุ่มและหญิงสาวตรงหน้าที่ดูจะเหมาะสมกันยิ่งนัก จนอดคิดไม่ได้ว่าเธอนั้นอาจเป็นเพียงหญิงสาวที่เพียงบังเอิญไปเก็บกุหลาบนั้นมา จึงคิดไปว่าตัวเองอาจเป็นเพียงว่าที่ชายาที่เขาจำใจเลือก บางทีเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยด้วยซ้ำ เจย์เดนหันมองเธอก่อนจะกวักมือเรียกให้เดินตรงไปหา ลินินที่เห้นแบบนั้นก็เดินเข้าไปอย่างว่าง่าย แต่ภายในใจก็ยังครุ่นคิดเรื่องนั้นวนเวียนอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากส่งถุงกระดาษที่ใส่เสื้อผ้าไปให้แวมไพร์หนุ่มตรงหน้าแล้ว ลินินก็ก้าวถอยหลังออกไป ราวกับว่าเธอไม่อยากยืนอยู่ข้างเขา โดยเฉพาะเมื่อมีคุณหนูเฟย์คนนี้อยู่ด้วย เพราะมันทำให้เธอรู้สึกเป็นจุดด้อยอย่างไรก็ไม่รู้ ระหว่างที่พวกแวมไพร์กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน มนุษย์สาวอย่างลินินก็ทำเพียงค่อย ๆ เดินย่องออกจากห้องไป เจย์เดนลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อโดยไม่ได้เอะใจในความว้าวุ่นใจของลินินเลยสักนิด สำหรับเขาแล้วที่มาอยู่ในห้องนี้ นั่นเป็นเพราะเสื้อผ้าของเจย์เดนโดนกาแฟหกใส่ และคุณหนูเฟย์ที่เป็นสหายของเขาก็เพียงแค่มาอยู่รอด้วยเท่านั้นเอง “ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ ดูตาซุ่มซ่ามนี่ให้ดีด้วยล่ะชาร์ล” หลังจากพูดจาเย้าแหย่แล้ว เฟย์ก็เดินออกจากห้องไป เจย์เดนพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันมองซ้ายมองขวาเพื่อหาหญิงสาวอีกคนที่ควรจะอยู่ในห้องนี้ด้วยกัน “นางไปไหนแล้วล่ะ” เพราะมัวแต่นั่งคุยกับสหาย เขาจึงแทบไม่ทันสังเกตว่า ลินินหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ชาร์ลเองก็หันมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงไม่แพ้กัน ก่อนจะส่ายศีรษะแล้วบอกกล่าวตรงกัน “ไม่ทราบขอรับ” “เอาเถอะ อยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ เจ้ากลับไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวข้าไปหานางเอง” ว่าจบ แวมไพร์หนุ่มที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มออกไปตามหาว่าที่ชายาของตน จนในที่สุดเขาก็จับกระแสพลังงานของเธอได้ นี่คงเป็นข้อดีของการที่เขาใส่พลังของตนลงไปในกุหลาบดอกนั้น เนื่องจากมันช่วยให้เขาเชื่อมโยงกระแสจิตกับเธอได้มากกว่าผู้ใด ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่บริเวณหน้าโบสถ์คริสตจักรแห่งหนึ่ง ‘นางอยู่ในนี้ เข้าไปทำอะไรในที่แบบนี้กัน’ ว่าพลางนั่งกอดอกรออยู่หน้าโบสถ์ ในตอนนั้นเอง เขาก็ใช้พลังเพ่งตรงไปยังจิตใจของเธออย่างนึกสนุก ก่อนจะได้ยินเสียงอธิษฐานของลินินดังสะท้อนในโสตประสาทอย่างชัดเจน “หาแฟนให้หนูสักคนได้ไหมคะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีแฟนเลย” คำขอของลินินทำให้ใบหน้าของเจย์เดนกระตุกหัวคิ้วขมวดมุ่นทันควัน ‘นี่เจ้าอยากได้คนอื่นมาแทนข้าอย่างนั้นเหรอ!?’ อยู่ ๆ ความหวงของก็ปะทุขึ้นมาจนล้นอก เจย์เดนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและชี้นิ้วมุ่งตรงไปยังแท่นบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ภายในโบสถ์ด้วยท่าทางจริงจัง “อย่าได้ทำตามคำขอนางเชียว หากเจ้ารับคำขอเรื่องนี้ ข้าจะมาชำระบัญชีกับพวกเจ้าให้หมด!” แวมไพร์หนุ่มเอ่ยตะโกนเอ่ยตะโกนอยู่ตรงหน้าโบสถ์โดยไม่สนสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาแม้แต่น้อย ผู้คนแถวนั้นต่างหันมองและเอาแต่ส่ายศีรษะด้วยความขนขัน พลางคิดไปว่าน่าเสียดายที่หน้าตาหล่อเหลาอย่างกับเทพบุตร แต่กลับไม่เต็มบาทเสียอย่างนั้น ผ่านไปสักพัก ลินินก็เดินออกมาจากโบสถ์พร้อมแววตาเหม่อลอย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องสะดุ้งเมื่อพบว่าเจย์เดนยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเขาขรึมจัด สายตากรุ่นไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจอย่างชัดเจน ลินินก้าวถอยหลังเมื่อเห็นคนตรงหน้าทำท่าทางเหมือนกำลังเก็บกดอารมณ์อะไรบางอย่างไว้เต็มที่ เขายืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ราวกับกำลังรอคำอธิบายจากเธอ อะไรกัน แค่ออกมาข้างนอกเพียงไม่นาน ทำให้เขาโกรธขนาดนี้เลยหรือ “ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหนีออกมานะ แค่อยากมาขอพร...” ลินินคิดว่าเขาไม่พอใจที่เธอแอบออกมาโดยไม่บอกกล่าว แต่เปล่าเลย ไม่ใช่เรื่องนั้นเลยสักนิด “อย่างนั้นเหรอ แล้วเจ้าขอพรว่าอะไรล่ะ?” น้ำเสียงดูไม่น่าภิรมย์เลยสักนิด ทำเอาหญิงสาวถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความกระอักกระอ่วน นอกจากนี้เธอก็ไม่อยากนึกถึงคำอธิษฐานสักเท่าไหร่หรอก ด้วยกลัวว่าเจย์เดนจะทราบว่าเธอขอเรื่องน่าอายเพียงใด “แล้วนาย...นายมาทำอะไรที่นี่เหรอ?” ลินินพยายามเปลี่ยนเรื่องแล้วปรายสายตาไปทางอื่น แต่ดูเหมือนว่าคำถามนี้จะไม่ค่อยปลอบประโลมอารมณ์ของเจย์เดนเลยแม้แต่น้อย แววตายังคงเต็มไปด้วยความน้อยใจปนความหงุดดหงิดหน่อย ๆ แต่ก็พยายามเลี่ยงไม่ให้พูดถึงสิ่งที่เป็นต้นเหตุ ด้วยความที่ไม่กล้าพูด... ส่วนลินินก็ยังน้อยใจเรื่องผู้หญิงคนนั้นไม่หาย แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาตามตรงเช่นกัน “เฮ้อ...เจ้านี่...กลับ!” เจย์เดนหันหลังละสายตาจากลินิน ทำเหมือนว่าต้องการเมินเธอ แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ยอมเดินตาม เขาก็ต้องก้าวถอยหลังมาอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วคว้าจับข้อมือของเธอให้เดินไปขึ้นรถพร้อมกัน ถึงจะโกรธเธอมากขนาดไหน แต่เขาก็ไม่กล้าใจร้ายใส่เธอโดยการทิ้งให้เธอหาทางกลับไปที่คฤหาสน์ด้วยตัวเอง ทำไมกันนะ อยู่ ๆ ก็ไม่กล้าทำอะไรที่จะเสี่ยงให้เธอไปหาชายอื่นโดยเสียอย่างนั้น ยิ่งหวนนึกถึงคำอธิษฐานก็ยิ่งสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ระหว่างที่เดินตามเจย์เดนไปที่รถของเขานั้น ลินินก็แอบเหลือบมองเขาไปพลาง เหตุใดเขาจึงทำตัวเหมือนแวมไพร์ผีเข้าผีออกเช่นนี้เล่า เมื่อครู่ยังหงุดหงิดจนแทบจะเมินใส่ แต่ตอนนี้กลับจับมือเธอแน่นเสียอย่างนั้น ‘ชาตินี้เจ้าไม่มีวันได้แต่งกับคนอื่นนอกจากข้าหรอก!’ เจย์เดนประกาศกร้าวในใจ แต่มนุษย์อย่างลินินไม่มีทางที่จะพินิจใจของเขาได้อยู่แล้ว เธอจึงไม่รู้อะไรเสียบ้างเลยหลายวันผ่านไป หลังจากเลิกเรียนในวันศุกร์และกลับมาถึงคฤหาสน์เป้นที่เรียบร้อย ลินินก็รีบวิ่งตามเจย์เดนที่กำลังเดินฉับ ๆ ไปยังห้องทำงานของเขาแล้วขออนุญาตเรื่องสำคัญกับเขา “พรุ่งนี้ขอออกไปทำรายงานกับเพื่อนได้หรือเปล่าคะ”เจย์เดนได้ยินแบบนั้นก็หยุดเดินลงกะทันหัน ยกแขนขึ้นกอดอกพร้อมส่งสายตาคมกริบจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าทันที “เพื่อนเจ้าผู้หญิงหรือผู้ชาย” สายตาคมกริบจ้องมองเธออย่างคาดโทษ จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ลืมเรื่องคำอธิษฐานที่โบสถ์ และชาตินี้ก็จะไม่มีวันลืมด้วย!“ผู้…หญิง…” ลินินตอบกลับไปด้วยความลังเล เธอไม่กล้าบอกตามตรงว่าอาจารย์จับคู่กับเพื่อนผู้ชายให้ ด้วยสายตาของเขานั้นราวกับจะเชือดเฉือนเธอให้ตายคาที่แบบนั้น ใครจะไปกล้าตอบอะไรที่เข้าข่ายว่าจะขัดใจเขากันเล่า“ถ้าเจ้ากล้าหลอกข้า แล้วข้าจับได้ ซึ่งได้แน่นอนเพราะเจ้าจะอยู่ในสายตาของข้าตลอด ถ้าเป็นแบบนั้นข้าจะไปหักคอเพื่อนเจ้าซะ!”“ผู้ชาย…” รีบเปลี่ยนคำตอบทันควันด้วยความจำนน“แล้วไปทำที่ไหน ห้ามไปที่บ้านมันเด็ดขาด” ประกาศกร้าวเหมือนตัวเองจะไปทำเองอย่างนั้นแหละ “หรือเจ้าจะพามันมาที่นี่ก็ได้นะ”“ได้เหรอ (‘ ‘)?” ถามด้วยความใสซื่อ“ได
หลังจากกลับมาถึงคฤหาสน์ ลินินก็พบว่าบริเวณลานจอดรถมีรถหรูที่ไม่คุ้นเคยจอดอยู่คันหนึ่ง แต่ก่อนที่จะทันได้สงสัยไปมากกว่านี้ ก็ปรากฎภาพหญิงสาวผมสีบลอนด์ท่าทางดูสง่าวิ่งยิ้มร่าเข้ามา“เจย์เดน...” เสียงแหลมเอ่ยเรียกตั้งแต่บริเวณหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ ก่อนจะรีบวิ่งตรงเข้ามาเกาะแขนเจย์เดนด้วยท่าทีออดอ้อน “ไม่เจอกันนานเลย ทำไมเดี๋ยวนี้เจ้าไม่ไปหาข้าที่บ้านเลยล่ะ”“ไง อลิเซีย”หญิงสาวเจ้าของชื่อยิ้มร่าเมื่อได้ยินเจย์เดนทักทาย แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นเมื่อเห็นว่าลินินลงมาจากรถที่เจย์เดนเป็นคนขับ“นังนี่ใครกัน” เธอส่งสายตาแดงฉานใส่ ทำเอาลินินถึงกับผงะถอยหลังเจย์เดนไม่ตอบอะไร ด้วยความที่เขารู้ดีว่าอลิเซียนั้นคลั่งไคล้ในตัวเขามากขนาดไหน หากบอกไปว่าลินินคือว่าที่ชายาของตนตามตรง มีหวังลินินคงโดนอลิเซียฉีกทึ้งร่างเป็นแน่“เจ้ามีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ” เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถามเรื่องนั้น จึงถามเรื่องของอลิเซียขึ้นแทน ประหนึ่งว่าใส่ใจเรื่องของเธอมากกว่าแทน แต่มว่าน้ำเสียงของเขากลับดูไม่ค่อยอยากต้อนรับคนตรงหน้าสักเท่าไหร่เนี่ยสิ“ข้าคิดถึงเจ้า” เจ้าหล่อนก็บอกตามตรงอย่างไม่อายปาก ลินินเลิกคิ้วขึ้นทันทีเมื
ตกปากรับคำเป็นที่เรียบร้อย ลินินกลับขึ้นไปเก็บข้าวของในห้องนอนเดิมของตัวเอง แต่ถึงจะขุ่นเคืองเจ้าแวมไพร์ตัวโตที่ทำตัวผีเข้ามากเพียงใด เธอก็ยังหยิบเจ้าเจย์เดนตัวน้อยติดมือไปด้วย ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเธอติดมันไปแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นตุ๊กตาที่สื่อถึงบุคคลที่ใจร้ายใส่เธอก็ตามไม่นานนัก เธอก็ลงมาถึงห้องนอนชั้นใต้ดิน อากาศที่หนาวเย็นจัดยิ่งลงมาชั้นใต้ดินซึ่งปราศจากฮีทเตอร์ ก็ยิ่งสร้างความทรมานให้เธอเป็นเท่าตัวแต่เจย์เดนกลับไม่ได้วิเคราะห์เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ด้วยความที่คุ้นชินกับการอาศัยอยู่อย่างแวมไพร์ พวกเขาไม่ค่อยสนใจสภาพอากาศเป็นหลักสักเท่าไหร่ เนื่องจากอากาศพวกนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกรู้สาแต่อย่างใดหากแต่ลินินเป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น…ระหว่างที่กำลังเก็บข้าวของลงไป สาวใช้คนสนิทของเธออย่าง เบล ก็เข้ามาช่วยเหลือ เธอได้แต่มองลินินด้วยสีหน้าทนทุกข์ไม่แพ้กัน“ท่านชายทำเกินไปนะเจ้าคะ” เบลนั้นอดต่อว่าการกระทำของเจ้านายตัวเองเสียไม่ได้ ถึงแม้ในคฤหาสน์หลังนี้เขาจะมีอำนาจมากล้น แต่การกระทำเช่นนี้ต่อว่าที่ชายาของตน ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องต่างพูดว่ามันไม่เหมาะสมทั้งนั้นแหละ“ช่างเถอะ เขาจะสั่งให้ทำอ
กระทั่งยามดึกสงัด เจย์เดนลุกขึ้นมาเพื่อวัดไข้ให้ลินินอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอุณหภูมิร่างกายของเธอลดลงแล้ว เขาก็ทิ้งตัวลงนอน แต่อย่างที่บอกว่าแวมไพร์เช่นพวกเขาไม่จำเป็นต้องหลับนอนแต่อย่างใด เพราะฉะนั้น เขาจึงม่ได้หลับใหลเช่นที่ทุกคนเข้าใจ เพราะถึงแม้ดวงตาจะหลับลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจนแขนแกร่งเอื้อมไปโอบกอดร่างบางดั่งเดิมอีกครั้ง พลางในจิดว่า เธอช่างเป็นหมอนข้างที่กอดได้ลงตัวเหลือเกิน มือหนาประคองศีรษะของเธอขึ้นเพื่อให้นอนหนุนบนแขนของตนแทนนิ้วเรียวยาวเกลี่ยผมที่ปกดวงหน้าสวยอยู่เล็กน้อยออก ใบหน้าของเธอสงบนิ่งยามหลับใหล แต่ให้ความรู้สึกดึงดูดใจเขาอย่างน่าประหลาด“แม่คะ...” อยู่ ๆ เสียงหวานก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ดูเหมือนว่าจะครางเรียกหาผู้เป็นแม่ ทั้งดวงหน้าเล็กที่ยับยู่ มือเล็กกำผ้าห่มแน่น ทำให้ร่างสูง ต้องผงกหัวขึ้นมาดูอาการของเธออีกครั้งหลังจากที่ทิ้งศีรษะลงไปบนหมอนเรียบร้อยแล้ว“ฝันร้ายเหรอ?” เจย์เดนกระซิบข้างหูของเธอเบา ๆ พลางใช้มือหนาลูบศีรษะของเธอไปด้วยเพื่อเป็นการปลอบ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ดวงหน้าสวยเหงื่อแตกพลั่กอีกครั้ง หันซ้ายหันขวาราวกับกำล
ลินินกลับลงไปยังห้องใต้ดินอีกครั้ง เหตุเพราะเจย์เดนยังไม่ได้สั่งงานอะไรเพิ่ม เธอจึงลงมานั่งพักทบทวนความว้าวุ่นใจของตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพัง “คุณหนู ถึงเวลาทานมื้อเช้าแล้วเจ้าค่ะ” เบลมาตามถึงห้อง ด้วยเห็นว่าลินินไม่อยู่ข้างบน จึงคาดการณ์เอาไว้ว่าเจ้านายของเธอจะต้องลงมาอยู่ข้างล่างเป็นแน่ และเป็นไปตามคาด “ให้พวกเขากินกันไปก่อนเลย ยังไงข้าก็ไม่มีสิทธิ์นั่งร่วมโต๊ะอยู่แล้ว ไม่ต้องรอข้าหรอก” ลินินกล่าวแบบนั้น เบลก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับคำสั่งแล้วนำความนี้ไปบอกเจย์เดน ร่างสูงใบหน้าหล่อเหลานั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ บ่งบอกถึงตำแหน่งผู้นำตระกูล ในคราแรกสีหน้าของเขาดูองอาจยิ่งนัก แต่เมื่อเบลนำความจากว่าที่ชายาของเขามาบอกกล่าว สีหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นสลดใจทันที “ไปบอกนางว่าข้าสั่งให้ขึ้นมาทานด้วยกัน...” เขาทราบดีว่าสิ่งที่ตนทำลงไปเมื่อวานนี้มันผิดมหันต์ ถึงตอนนี้จึงอยากให้เธอมานั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่แล้วน้ำเสียงประชดประชันก็ดังขึ้นจากตรงตำแหน่งเก้าอี้ทางฝั่งซ้ายของเขาเสียก่อน “ในเมื่อนังชั้นต่ำนั่นไม่อยากมานั่งร่วมโต๊ะด้วย เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องใส่ใจไปหรอก-
ดวงตาแดงฉานราวคนโกรธจัด มือหนาเอื้อมบีบลำคอของิลิเซียอย่างไม่ยั้งมือ แรงบีบนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนจะนำร่างของเธอผลักจนติดผนังแล้วยกลอยขึ้นไม่ต่างตากที่เธอลงมือกับลินิน“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ อลิเซีย…” เสียงเข้มเยือกเย็นไปถึงขั้วหัวใจ หญิงสาวดิ้นรนพร้อมมือปัดป่ายไปมาหวังจะแกะมือหนาของเจย์เดนออก แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผลในตอนนั้นเอง ผู้ติดตามของอลิเซียก็รีบเข้ามาหว่งจะช่วยเธอ แต่มีหรือเจย์เดนจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น เขาล้มผู้ติดตามของอลิเซียได้เพียงแค่มือเดียวเท่านั้น ก่อนตะตามมาด้วยเสียงพูดจาข่มขี่ประหนึ่งคนขลาดเขลา“หากท่านกล้าลงมือทำร้ายนาง ตระกูลแบรดฟอร์ดจะต้องชดใช้อย่างสาสม!”“เช่นนั้นเจ้ากลับไปรายงานผู้นำตระกูลของเจ้า ว่าบุตรสาวของเขาหมายจะทำร้ายว่าที่ชายาของข้า ต่อให้แยกศีรษะของนาวออกมา ก็ไม่อาจลดทอนความผิดได้!”สิ่งนี้ผู้ติดตามของอลิเซียก็ทราบดี หากนับตามศักดิ์จริง เจย์เดนมีฐานะเป็นถึงองค์ชายแห่งโลกแวมไพร์ของพวกเขา และการที่มนุษย์สาวซึ่งเขาให้สิทธิ์ว่าเป็นว่าที่ชายา ย่อมเท่ากับว่าคุณหนูอลิเซียของเขาหมายจะทำลายร้างราชวงศ์และหากเรื่องนี้ถูกนำขึ้นสภา พวกแวมไพร์อาวุโสจ
“เจ้าไปหาข้ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ?” หลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง เจย์เดนก็มาหาลินิน ขณะที่เธอกำลังนั่งอ่านตำราเกี่ยวกับแวมไพร์โบราณอยู่ในตอนแรกเขาร็สึกตกใจนิดหน่อยที่เห็นเธอมานั่งอ่านตำราที่มีเนื้อหาซับซ้อนเช่นนี้ แต่แล้วรอยยิ้มบาง ๆ ก็ผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครา เมื่อเห็นว่าการกระทำของเธอนั้นสื่อถึงความใส่ใจที่มีต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา เนื้อหาภายในตำรานอกจากจะกล่าวถึงประวัติความเป็นมาและต้นกำเนิดของแวมไพร์แล้วยังมีบทความที่เขียนให้คนทั่วไปเข้าใจถึงพฤติกรรมของแวมไพร์ด้วย เจย์เดนจึงคิดว่าหากเธอเรียนรู้เอาไว้ก็คงดีไม่น้อยลินินเห็นเจย์เดนมาหาก็รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งไปให้เขา เนื้อหาบนกระดาษแผ่นนั้นเต็มไปด้วยตารางการทำงานที่เธอวางแผนเอาไว้เจย์เดนก้มลงอ่านสลับกับการมองหน้าเธอด้วยความฉงน “อะไรกัน?”“ฉันคิดว่าจะออกไปหางานทำตอนช่วงรอให้มหาลัยเปิดเทอม แบบนั้นจะได้มีเงินไปจ่ายค่าเทอม รวมถึงซื้ออุปกรณืการเรียนต่าง ๆ ด้วย”“ค่าเทอมเหรอ?” เจย์เดนเอ่ยเสียงเข้มเจือความแปลกใจ นี่เธอไม่ได้มาขอให้เขาช่วยออกค่าเทอมให้ แต่กลับมาขออนุญาตออกไปหางานทำเพื่อหาเงินมาจัดการภาระตรงส่ว
อีกด้านหนึ่งทางปีกตะวันตกของคฤหาสน์ ชายชรานั่งประจำอยู่ในห้องของตน ก่อนจะรู้สึกถึงพลังงานจากดอกกุหลาบที่เริ่มทำงานแล้ว “อีกไม่นาน ท่านชายก็จะมีชายาเป็นตัวเป็นตนแล้วสินะ” เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่แล้วเมื่อเริ่มดูดวงชะตาของลินิน คิ้วของชายชราก็เริ่มขมวดวุ่น“ดูเหมือนว่าชะตาเคราะห์ครั้งใหญ่จะถือบังเกิดขึ้นเช่นกัน...” ว่าแล้วก็อดเป็นห่วงทั้งสองเสียไม่ได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญของตระกูลแบรดฟอร์ด หากว่าผู้นำตระกูลพบพานคู่แท้ ย่อมต้องฝ่าฟันเคราะห์ใหญ่ดั่งเช่นคำเล่าขาน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำสาปส่งเสียมากกว่า“เช่นนั้นแล้ว จะทำอย่างไรดีขอรับท่านอาจารย์” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น เขาคือลูกศิษย์ของโหรหลวงผู้นี้ หรือเรียกได้ว่า หากชายชราต้องการวางมือ เขาผู้นี้จะมีหน้าที่สืบทอดตำแหน่งโหรหลวงประจำตระกูลแบรดฟอร์ดนั่นเอง“พวกเราทำสิ่งใดไปมากกว่าดูดวงชะตามิได้หรอก” ชายชราบอกกล่าวศิษย์ตัวเอง ดูเหมือนเจ้าเด็กคนนี้จะต้องเรียนรู้อีกเยอะ ว่าถึงแม้จะมีพลังสามารถรับรู้โชคชะตาของคนอื่นได้ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่ายแต่อย่างใด“แต่หากอ้างอิงเคราะห์กรรมของท่านชายจากเรื่องคุณหนูอิซาเบล นั่นหมายความว
ในเช้าวันหนึ่งหลังมื้ออาหาร อยู่ๆ ลินินก็ได้รับสายจากบริษัทว่ามีธุระเร่งด่วนต้องเข้าไปเจรจากับทางโรงงานฝ่ายผลิต ด้วยแบบเสื้อผ้าที่โรงงานจัดทำตัวอย่างรุ่นแรกออกมามันผิดไปจากแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้มากคิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจัดการบอกเลขาว่าเดี๋ยวจะเข้าไปที่โรงงานด้วยตัวเอง“ดูเหมือนต้องไปที่โรงงานเองแล้วล่ะ แบบที่ส่งมามันไม่ตรงกับที่สั่งไว้เลย” เธอบ่นให้สามีฟังขณะที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเจย์เดนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ทำหน้าฉงน “เจ้าสั่งเลขาไปแทนก็ได้หนิลินิน ไม่เห็นต้องไปเองเลย ทำไมต้องเหนื่อยเองด้วย?” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าคัดค้านสุดตัวลินินจึงหยุดมือจากการเตรียมเอกสารแล้วหันมามองมาทางเขาอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมสามีเธอจึงมีทีท่าเช่นนั้น“ก็เพราะเป็นแบรนด์ของฉันไง ฉันก็เลยอยากเข้าไปดูเอง”ได้ยินแบบนั้นเจ้าแวมไพร์ก็เริ่มขยับตัวเหมือนอยู่ไม่สุข สีหน้าของเขาเริ่มออกอาการกังวล ส่วนภรรยาตัวน้อยของเขาก็จับจ้องมองตามท่าทีนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยสงสัยว่าสามีเป็นอะไรไป“แต่เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้นี่นา ข้าแค่…แค่คิดว่าเจ้าควรพักบ้าง” ว่าจบก็ส่งมือหนาเข้ามากอบกุมมือเรียวของเธออ
ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเจย์เดนมาถึงพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ ทั้งสี่ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผู้ใหญ่ในครอบครัวอดตกใจเสียไม่ได้“ลินิน เจ้านี่เก่งเหลือเกิน” ท่านแม่เอ่ยชมขณะมองดูหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ “ของข้าแค่คนเดียวก็ลมแทบจับแล้ว” ลินินยิ้มตอบ ขณะเดียวกันนั้นเจย์เดนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นในทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ตัวเอง “อะไรกันท่านแม่ ข้าเลี้ยงยากเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไลเรนได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เลี้ยงยากมาก เจ้าดื้อมากตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว” “ดื้อเหรอคะ?” ลินินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ไม่เห็นเคยรู้เลย” เธอนึกภาพเจย์เดนผู้มีท่าทีสงบนิ่งกลายเป็นเด็กดื้อไม่ออกเลยจริง ๆ แต่ถ้าหากเรื่องความขี้แกล้ง อันนี้พอจะรู้อยู่บ้างแล้วล่ะเจย์เดนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่ได้ดื้ออะไรสักหน่อย ท่านแม่น่ะพูดเกินไป”“งั้นเหรอ?” ท่านแม่ส่งยิ้มพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเจย์เดน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเล่าเรื่องสมัยที่เจย์เดนยังเป็นเด็กขึ้น “แล้วใครกันที่ปีนต้นไม้หนีออกจากบ้านเพร
บังเอิญว่าในวันนี้ลินินจะต้องไปตรวจงานออกแบบเสื้อผ้าที่บริษัทของเธอ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พร้อมจะออกเดินทางเจย์เดนในเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยมาดเข้ม "เจ้าจะไปนานไหม?" เขาถามลินินพร้อมย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือหนาออกไปช่วยสวมรองเท้าให้เธอ"ไม่นานหรอก นายอยู่ดูเด็ก ๆ ไหวใช่ไหม?" ลินินหันมายิ้มให้เล็กน้อยเจย์เดนพยักหน้ามั่นใจ "ข้าเป็นแวมไพร์นะ เลี้ยงเด็กแค่นี้จะไปยากอะไร" ใบหน้าหล่อแสยะยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจลินินเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะนิดหน่อย "งั้นฝากด้วยนะ อย่าให้พวกเขาทำบ้านพังล่ะ""บ้านทนจะตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย" เขาพูดติดตลก พร้อมยกมือโบกให้ลินินก่อนที่เธอจะเดินออกไปตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย เด็ก ๆ นั่งวาดรูปอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่นานนัก เรย์เน่เริ่มบ่นว่าเบื่อและอยากเล่นซ่อนแอบ"ท่านพ่อ เล่นซ่อนแอบกับพวกเราไหมคะ" ไม่เพียงแค่เอ่ยถาม ยังส่งสายตาแวอย่างออดอ้อนมาให้เจย์เดนอีกต่างหากร่างสูงที่นั่งเฝ้าลูก ๆ พร้อมทำงานไปด้วยก็ชายตาขึ้นจากกองงาน ก่อนจะตอบรับ "ได้สิ นับสิบนะ"ยังไม่ทันจะเริ่มนับ เด็ก ๆ ทั้งห้าก็วิ่งวุ่นหาที่ซ่อนไปทั่วคฤหาสน์
เช้าวันหนึ่งลินินตื่นขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ยังหลับอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะทำข้าวกล่องไปให้สามีที่บริษัท จึงรีบเร่งเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน“ทำเสต๊กแล้วกัน” เธอว่าพลางตัดชื้นเนื้อแล้วจับมันพลิกใส่เตาย่าง เมื่อสุกได้ที่แบบกลาง ๆ แล้ว ก็นำมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำ และพร้อมเริ่มเตรียมอย่างอื่นต่อไปแต่ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลูก ๆ ทั้งสี่ เจย์เนส เรย์เน่ เคย์ลิส และไลเอนน์ ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าเสียก่อน"ท่านแม่ทำอะไรเหรอครับ/คะ?" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ย ถามอย่างตื่นเต้น และเมื่อทราบว่าท่านแม่ของพวกเขากำลังจะทำรู้ข้าวกล่องไปให้ท่านพ่อที่บริษัท ทุกคนก็ดูเหมือนอยากจะช่วยกันคนละไม้คนละมือขึ้นมาในทันทีแต่แทนที่การช่วยจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิมเสียอย่างนั้นเจย์เนสที่เป็นพี่ใหญ่สุดพยายามช่วยลินินหั่นผลไม้ แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่จึงหั่นออกมาได้ไม่ค่อยเท่ากันนัก บางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะยัดลงปากได้ ส่วนบางชิ้นก็บางเฉียบจนแทบไม่ไต้องเตี้ยวกันเลย จนลินินต้องเข้ามาแก้ให้ส่วนเรย์เน่ คนนี้ชื่นชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับหน้าที่ยืนแต่งจานสลัด แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก จึงใส่ใ
นานวันเข้า เจย์เนสและเรย์เน่ก็เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเข้าแล้ว ส่วนน้องน้อยของพวกเขาตอนนี้ก็คล้ายกับเด็กมนุษย์ในช่วงวัยห้าขวบ และใช่ ทั้งมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงปีเป็นอย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าพวกเขาจะโตไวและเรียนรู้เร็วมาก เจย์เดนกับลินินจึงจ้างครูมาคอยสอนพวกเขาที่บ้านด้วย เนื่องจากเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆนอกจากนี้ เมื่อเริ่มโตขึ้น การติดแม่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นน้อง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนเจย์เนสในวัยหนุ่มน้อยเริ่มสนใจการอ่านหนังสือในห้องเงียบ ๆ หรือออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ที่ท่านพ่อของเขาจ้างมาฝึกส่วนตัวเสียมากกว่ามาขลุกอยู่ในห้องกับน้อง ๆ และนอกเหนือจากนั้นนิสัยก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนผู้เป็นพ่ออย่างไม่ทิ้งห่างส่วนเรย์เน่ก็เริ่มมีความสนใจในเรื่องศิลปะและดนตรี บ่อยครั้งเธอจะเก็บตัวฝึกซ้อมเปียโนหรือวาดภาพในมุมของตัวเอง "ช่วงนี้ส่งไม้ต่อให้น้อง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเหงาเลย"ลินินได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ถึงก็ยังมีสมาชิกตัวโตที่ดูเหมือนจะคอยมาแย่งแม่ของพวกเขาอยู่ตลอด
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเข้าจนได้ เมื่อลินินส่องกระจกและเริ่มเห็นหน้าท้องที่ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้น“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายจนลงพุงหรือยังไงกันเนี่ย” เธอพึมพำ แต่แล้วก็นึกถึงตอนที่ตั้งท้องสองแฝดขึ้นมาได้ ว่ามันก็เริ่มต้นเช่นนี้นอกจากนี้เมื่อสังเกตอาการไปนานวันเข้า ยังมีอาการพะอืดพะอมร่วมด้วยอีกต่างหาก อาการนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจย์เดนต้องตัดสินใจพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลในที่สุด“ซูบผอมลงอีกแล้วนะขอรับท่านหญิง” ท่านหมอเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม"ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะกินเยอะไป อาหารก็เลยอาจจะไม่ย่อย แต่พอเห็นว่าผอมลงแล้วท้องป่องเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะ..." ลินินพูดเสียงเบาขณะที่ท่านหมอก็อัลตร้าซาวน์บริเวณหน้าท้องของเธอไปพลาง“ขอรับ ตั้งครรภ์อีกแล้ว..." ท่านหมอยืนยันความคิดของเธอเจย์เดนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลันหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลา ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องไปยังหมอหลวงราวกับอยากจะให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไป "ปกติแล้วแวมไพร์จะตั้งครรภ์ได้ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ?"“นั่นน่ะสิ” แววตาคู่สวยของลินินก็จับจ้องใบหน้าของท่านหมอด้วยความฉงนเช่นกัน พร้อมกับหันมองสามีของตน
หลังจากเจย์เนสและเรย์เน่เริ่มรู้ความ ภายในบ้านก็เริ่มวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย โดยเฉพาะเรื่องที่แฝดทั้งสองติดลินินมากจนถึงขั้นที่ว่าต้องจัดตารางว่าใครจะได้นอนกับแม่ในวันไหนกันเลยทีเดียวภายในห้องนั่งเล่น เด็ก ๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้นก่อนจะวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะราวกับภูมิใจนำเสนอให้ลินินที่นั่งอยู่ในห้องนั้นได้ดูมัน"ตารางเวรนอนกับแม่" ลินินอ่านตัวหนังสือที่จ่าอยู่บนนั้นที่เรย์เน่และเจย์เนสช่วยกันออกแบบด้วยลายมือเด็ก ๆ ของพวกเขา นอกจากนี้ยังแบ่งช่องพร้อมใส่ชื่อตัวเองอย่างเสร็จสรรพด้วย"ใช่ค่ะ พวกเราจะได้ไม่ต้องแย่งกันว่าใครจะนอนกับท่านแม่วันไหน”“แม่นอนกับพวกลูกได้ทุกวันทั้งคู่อยู่แล้ว” ลินินอธิบาย แต่แล้วก็ได้รับการส่ายศีรษะตอบกลับจากพวกเด็ก ๆ“แต่ท่านแม่นอนตะแคงกอดพวกเราได้แค่คนเดียว เพราะฉะนั้นแบ่งเป็นวันแบบนี้เนี่ยะแหละครับดีแล้ว” เจย์เนสยังคงยืนกรานว่าจะจัดตารางแบบนี้ โดยมีน้องสาวฝาแฝดอย่างเรย์เน่พยักหน้าหงึกหงักอยู่ข้าง ๆ“วันนี้เป็นวันของพี่เจย์เนสนะ” เรย์เน่พูดขึ้นอย่างจริงจัง หลังจากมองดูตารางในมือ “พรุ่งนี้เป็นวันของน้อง” เธอเสริมพลางยิ้มกว้างให้พี่ชายเจย์เนสพยักหน้าใบหน
“เจ้าปีศาจยักษ์ ส่งตัวราชินีของข้ามา ไม่อย่างนั้นโดนดีแน่!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัยหนี่งขวบ (?) ดังลั่นไปทั่วขณะที่ถือดาบไม้ไล่ฟาดฟันพ่อของเขาใช่แล้ว อย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าลูกแวมไพร์นั้นโตเร็วและ แต่ก็ไม่คิดว่าเพียงหนึ่งปีจะโตถึงขนาดเล่นอัศวินกับท่านพ่อของพวกเขาได้แล้ว!ช่วงเดือนแรก หากเป็นทารกมนุษย์ทั่วไป ก็คงไม่ส่งเสียงพูดอ้อแอ้ใช่ไหมล่ะ แต่บ้านนี้ส่งเสียงได้ตั้งแต่หนึ่งเดือนหลังคลอด เรื่องนั้นว่าตกใจแล้ว แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาเริ่มคลานได้ในเดือนที่สอง และตั่งท่าเดินได้เสร็จสรรพในระยะเวลาเพียงหกเดือน! ทำเอาท่านแม่อย่างลินินตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นลูกโตวันโตคืนชนิดที่ว่าไม่ต้องสอนให้ตั้งคลานหรือยืนตั้งไข่เลย พวกเขาทำได้เองตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีก็ถือดาบวิ่งไล่ฟันเจย์เดนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วและในตอนนี้ หากนับตามลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ สองแฝดเหมือนเด็กอายุสี่ขวบเข้าให้แล้วล่ะ“ไม่ส่งคืนหรอก นี่ราชินีของข้า” แต่ดูเหมือนคนเป็นพ่อจะไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่นัก ดูจากที่เล่นกับลูกชายอย่างมีความสุขแล้วอยู่ ๆ ร่างสูงใช้สองแขนแกร่งช้อนตัวของลินินท
หลายเดือนต่อมา ท้องของลินินก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และอีกไม่นานก็จะถึงวันกำหนดคลอดของเธอแล้ว ถึงแม้จะตั้งครรภ์เพียงสี่เดือนครึ่ง อุ้มท้องไม่นานเท่าอายุครรภ์ของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายไปกว่ากันหรอก เพราะข้างในเป็นแวมไพร์เด็กที่เมื่อเวลาดิ้นทีก็ทำผู้เป็นแม่แทบลมจับเลยทีเดียว “ลินิน ข้าต้องออกไปบริษัท พอดีมีโครงการจะซื้อเครื่องบินลำใหม่ ต้องไปฟังความคิดเห็นคณะผู้บริหารด้วย เจ้าอยู่คนเดียวสักพักได้ไหม” จะว่าไปแล้ว ช่วงใกล้คลอดนี้เจย์เดนจับตาดูภรรยาทุกฝีก้าวเสียยิ่งกว่าช่วงแรกเสียอีก จะขยับแต่ละทีก็จะต้องมีเขาคอยช่วยประคองอยู่ตลอด ลินินที่ได้ยินสามีเอ่ยแบบนั้นก็พยักหน้าเหมือนว่ารับทราบ “นายไปเถอะ ฉันอยู่ได้ ไม่ต้องห่วง” โชคยังดี เพราะด้วยความที่ใกล้ครบกำหนดคลอดแล้ว แม่สามีจึงอาสาว่าจะมาช่วยดูแลเธออย่างใกล้ชิดอีกแรงด้วย นั่นทำให้เจย์เดนที่ข่วงนี้งานรัดตัวรู้สึกวางใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เป็นห่วงหรอกนะ “ห้ามดื้อนะรู้ไหม” ว่าจบเขาก็กดนิมฝีปากลงบนหน้าผากของเธอประหนึ่งว่าคนตรงหน้าคือสิ่งที่น่าทะนุถนอมที่สุดในโลก “สภาพนี้ฉันดื้อไม่ไหวหรอก” เธอกล่าวระคนติดตลก แ