สาวโกรธแต่ตาพี่ชอบใจซะงั้น อาการหนักนะเรา
ลินินกลับลงไปยังห้องใต้ดินอีกครั้ง เหตุเพราะเจย์เดนยังไม่ได้สั่งงานอะไรเพิ่ม เธอจึงลงมานั่งพักทบทวนความว้าวุ่นใจของตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพัง “คุณหนู ถึงเวลาทานมื้อเช้าแล้วเจ้าค่ะ” เบลมาตามถึงห้อง ด้วยเห็นว่าลินินไม่อยู่ข้างบน จึงคาดการณ์เอาไว้ว่าเจ้านายของเธอจะต้องลงมาอยู่ข้างล่างเป็นแน่ และเป็นไปตามคาด “ให้พวกเขากินกันไปก่อนเลย ยังไงข้าก็ไม่มีสิทธิ์นั่งร่วมโต๊ะอยู่แล้ว ไม่ต้องรอข้าหรอก” ลินินกล่าวแบบนั้น เบลก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับคำสั่งแล้วนำความนี้ไปบอกเจย์เดน ร่างสูงใบหน้าหล่อเหลานั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ บ่งบอกถึงตำแหน่งผู้นำตระกูล ในคราแรกสีหน้าของเขาดูองอาจยิ่งนัก แต่เมื่อเบลนำความจากว่าที่ชายาของเขามาบอกกล่าว สีหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นสลดใจทันที “ไปบอกนางว่าข้าสั่งให้ขึ้นมาทานด้วยกัน...” เขาทราบดีว่าสิ่งที่ตนทำลงไปเมื่อวานนี้มันผิดมหันต์ ถึงตอนนี้จึงอยากให้เธอมานั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่แล้วน้ำเสียงประชดประชันก็ดังขึ้นจากตรงตำแหน่งเก้าอี้ทางฝั่งซ้ายของเขาเสียก่อน “ในเมื่อนังชั้นต่ำนั่นไม่อยากมานั่งร่วมโต๊ะด้วย เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องใส่ใจไปหรอก-
ดวงตาแดงฉานราวคนโกรธจัด มือหนาเอื้อมบีบลำคอของิลิเซียอย่างไม่ยั้งมือ แรงบีบนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนจะนำร่างของเธอผลักจนติดผนังแล้วยกลอยขึ้นไม่ต่างตากที่เธอลงมือกับลินิน“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ อลิเซีย…” เสียงเข้มเยือกเย็นไปถึงขั้วหัวใจ หญิงสาวดิ้นรนพร้อมมือปัดป่ายไปมาหวังจะแกะมือหนาของเจย์เดนออก แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผลในตอนนั้นเอง ผู้ติดตามของอลิเซียก็รีบเข้ามาหว่งจะช่วยเธอ แต่มีหรือเจย์เดนจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น เขาล้มผู้ติดตามของอลิเซียได้เพียงแค่มือเดียวเท่านั้น ก่อนตะตามมาด้วยเสียงพูดจาข่มขี่ประหนึ่งคนขลาดเขลา“หากท่านกล้าลงมือทำร้ายนาง ตระกูลแบรดฟอร์ดจะต้องชดใช้อย่างสาสม!”“เช่นนั้นเจ้ากลับไปรายงานผู้นำตระกูลของเจ้า ว่าบุตรสาวของเขาหมายจะทำร้ายว่าที่ชายาของข้า ต่อให้แยกศีรษะของนาวออกมา ก็ไม่อาจลดทอนความผิดได้!”สิ่งนี้ผู้ติดตามของอลิเซียก็ทราบดี หากนับตามศักดิ์จริง เจย์เดนมีฐานะเป็นถึงองค์ชายแห่งโลกแวมไพร์ของพวกเขา และการที่มนุษย์สาวซึ่งเขาให้สิทธิ์ว่าเป็นว่าที่ชายา ย่อมเท่ากับว่าคุณหนูอลิเซียของเขาหมายจะทำลายร้างราชวงศ์และหากเรื่องนี้ถูกนำขึ้นสภา พวกแวมไพร์อาวุโสจ
“เจ้าไปหาข้ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ?” หลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง เจย์เดนก็มาหาลินิน ขณะที่เธอกำลังนั่งอ่านตำราเกี่ยวกับแวมไพร์โบราณอยู่ในตอนแรกเขาร็สึกตกใจนิดหน่อยที่เห็นเธอมานั่งอ่านตำราที่มีเนื้อหาซับซ้อนเช่นนี้ แต่แล้วรอยยิ้มบาง ๆ ก็ผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครา เมื่อเห็นว่าการกระทำของเธอนั้นสื่อถึงความใส่ใจที่มีต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา เนื้อหาภายในตำรานอกจากจะกล่าวถึงประวัติความเป็นมาและต้นกำเนิดของแวมไพร์แล้วยังมีบทความที่เขียนให้คนทั่วไปเข้าใจถึงพฤติกรรมของแวมไพร์ด้วย เจย์เดนจึงคิดว่าหากเธอเรียนรู้เอาไว้ก็คงดีไม่น้อยลินินเห็นเจย์เดนมาหาก็รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งไปให้เขา เนื้อหาบนกระดาษแผ่นนั้นเต็มไปด้วยตารางการทำงานที่เธอวางแผนเอาไว้เจย์เดนก้มลงอ่านสลับกับการมองหน้าเธอด้วยความฉงน “อะไรกัน?”“ฉันคิดว่าจะออกไปหางานทำตอนช่วงรอให้มหาลัยเปิดเทอม แบบนั้นจะได้มีเงินไปจ่ายค่าเทอม รวมถึงซื้ออุปกรณืการเรียนต่าง ๆ ด้วย”“ค่าเทอมเหรอ?” เจย์เดนเอ่ยเสียงเข้มเจือความแปลกใจ นี่เธอไม่ได้มาขอให้เขาช่วยออกค่าเทอมให้ แต่กลับมาขออนุญาตออกไปหางานทำเพื่อหาเงินมาจัดการภาระตรงส่ว
อีกด้านหนึ่งทางปีกตะวันตกของคฤหาสน์ ชายชรานั่งประจำอยู่ในห้องของตน ก่อนจะรู้สึกถึงพลังงานจากดอกกุหลาบที่เริ่มทำงานแล้ว “อีกไม่นาน ท่านชายก็จะมีชายาเป็นตัวเป็นตนแล้วสินะ” เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่แล้วเมื่อเริ่มดูดวงชะตาของลินิน คิ้วของชายชราก็เริ่มขมวดวุ่น“ดูเหมือนว่าชะตาเคราะห์ครั้งใหญ่จะถือบังเกิดขึ้นเช่นกัน...” ว่าแล้วก็อดเป็นห่วงทั้งสองเสียไม่ได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญของตระกูลแบรดฟอร์ด หากว่าผู้นำตระกูลพบพานคู่แท้ ย่อมต้องฝ่าฟันเคราะห์ใหญ่ดั่งเช่นคำเล่าขาน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำสาปส่งเสียมากกว่า“เช่นนั้นแล้ว จะทำอย่างไรดีขอรับท่านอาจารย์” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น เขาคือลูกศิษย์ของโหรหลวงผู้นี้ หรือเรียกได้ว่า หากชายชราต้องการวางมือ เขาผู้นี้จะมีหน้าที่สืบทอดตำแหน่งโหรหลวงประจำตระกูลแบรดฟอร์ดนั่นเอง“พวกเราทำสิ่งใดไปมากกว่าดูดวงชะตามิได้หรอก” ชายชราบอกกล่าวศิษย์ตัวเอง ดูเหมือนเจ้าเด็กคนนี้จะต้องเรียนรู้อีกเยอะ ว่าถึงแม้จะมีพลังสามารถรับรู้โชคชะตาของคนอื่นได้ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่ายแต่อย่างใด“แต่หากอ้างอิงเคราะห์กรรมของท่านชายจากเรื่องคุณหนูอิซาเบล นั่นหมายความว
ลินินพาเจย์เดนเดินไปทางหอพักข้างในมหาวิทยาลัย วันนี้เธอยังไม่ได้นำของย้ายเข้ามา เพียงแต่จะมาดูห้องก่อนว่าเหมาะสมที่จะอยู่อาศัยหรือไม่ ส่วนเจ้าแวมไพร์ตัวใหญ่ด็กอดอกเดินทำหน้ามุ่ยอยู่ไม่ห่าง ทำเอาลินินต้องแอบเหลือบมองเป็นระยะ‘นี่เขาเต็มใจจะมาดูหอพักกับฉันหรือเปล่าเนี่ย’ ลินินแอบคิดในใจ ก่อนจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ‘หรือเพราะเขาเสียเงินจ่ายค่าเทอมของเราไปมหาศาลกันนะ ถึงทำหน้าไม่พอใจแบบนี้’เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอก็รีบเอ่ยขึ้น ระหว่างทางที่กำลังจะเข้าไปดูหอพักด้วยกัน พลันมือเรียวเล็กหยิบซองใส่ธนบัตรจำนวนหนึ่งออกมายื่นให้ต่อหน้าเขา “ค่าเทอม...”เจย์เดนที่กำลังก้าวเดินอยู่ก็หยุดชะงักลงทันทีก่อนจะหันมองเธออย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก “แล้วเอามาให้ข้าเพื่ออะไรกัน -_-” น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิด เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากให้เธอมาพักอยู่ไกลหูไกลตาของตัวเองต่างหากเล่า!“ฉัน...เกรงใจ...แล้วนายเองก็ดูหงุดหงิดด้วย...”เจย์เดนจ้องมองร่างบางตรงหน้าด้วยสายตาเหลือจะเชื่อ ก่อนจะเอ่ยตัดพ้อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้านี่ไม่รู้ใจข้าเลยสักนิด!” ว่าจบก็เดินผ่านหน้าลินินที่ถือซองใส่ธนบัตรนั้นไป
และแล้ว...วันเปิดเรียนของลินินก็มาถึงจนได้ เธอไปเข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศ จากนั้นก็กลับมาจัดข้าวของในคอนโด แต่เมื่อตกดึกเข้า สิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเจ้าแวมไพร์หนุ่มปรากฎตัวขึ้นพร้อมกระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ของตัวเองมายืนอยู่ในห้องพร้อมกับเธอ “พอดี...ที่คฤหาสน์อากาศหนาวนัก ข้าไม่ชอบ...” ว่าพลางแสร้งปรายตามองไปทางอื่น ด้วยกลัวว่าลินินจะจับได้ว่าสิ่งนี้เป็นเพียงข้ออ้าง ก็แวมไพร์หนาวเป็นเสียที่ไหนกันเล่า “หนาวเหรอ? คฤหาสน์มีฮัทเตอร์ตั้งหลายตัวนะ” ลินินสงสัย แต่ครั้นจะเอ่ยปากไม่ให้เจ้าแวมไพร์ตัวโตผู้นี้อยู่ด้วยก็อย่างไรอยู่ ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของห้องตัวจริงนี่นา “ข้าไม่ชอบฮีทเตอร์ ถ้าเปิดมันจะร้อนเกินไป ข้าไม่ชอบอากาศร้อน...” ยิ่งฟังคำแก้ต่างของเจ้าแวมไพร์หนุ่มมากเท่าไหร่ ลินินก็ก็รังแต่จะปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ร่ำไป สรุปว่าเขาจะร้อนหรือหนาวกันแน่เนี่ย “นายจะมาอยู่ก็ได้ ฉันไม่มีปัญหาหรอก ดูเหมือนว่าชาร์ลจะซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้ามาใหม่ด้วย โซฟาปรับเป็นเตียงนอนได้ เดี๋ยวฉันนอนตรงนี้เอง” ว่าแล้วลินินก็ชี้ไปยังโซฟ
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เจย์เดนเริ่มมาหาลินินบ่อยขึ้น ในช่วงแรกเขาไม่ได้มาถี่นัก แต่ตอนนี้กลับโผล่หน้ามาที่คอนโดทุกวันด้วยข้ออ้างหลากหลายรูปแบบมากขึ้นเรื่อย ๆ “วันนี้น้ำปะปาที่คฤหาสน์ไม่ค่อยดีน่ะ ข้าจึงอยากจะมาพักที่นี่” ตรงหน้าประตูห้องคอนโดเผยร่างชายหนุ่มที่ยืนถือกระเป๋าเป้ไม่ต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่เขาแวะเวียนมาเรื่อย จนลินินเริ่มคุ้นชินกับข้ออ้างแสนแปลกประหลาดของเขาไปเสียแล้วล่ะ มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เธอยังต้องคอยระแวดระวังนั่นคือเวลาเข้านอน เพราะเจย์เดนไม่ยอมปล่อยให้เธอนอนที่โซฟา หากตื่นขึ้นมาเจอในตอนกลางดึกเขาก็จะแบกร่างเธอกลับไปนอนบนเตียงตามเดิม นอกจากนี้ ยิ่งนานวันเข้าเขาก็ยิ่งละลาบละล้วงมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย มิหนำซ้ำ แผนการที่เธอเตรียมเอาไว้ว่าจะออกไปหางานทำหลังเลิกเรียนกลับเป็นต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย เนื่องจากเจย์เดนไม่ยอมให้กลับหลังสองทุ่มอีกตามเคย ด้วยเหตุที่ว่า... “ข้าเทอมข้าก็จ่ายให้แล้ว ขาดเหลืออะไรเจ้าแค่เพียงบอกข้าก็พอ จะออกไปทำงานให้ตัวเองลำบากเพื่ออะไรกัน” อย่างที่เขาว่านั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นลินินก็ยังเกรงใจที่จะขอเงินเขามาใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ดี ในช่วง
“กรี๊ด!” ลินินกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ ๆ ร่างสูงของเจย์เดนก็ปรากฎตัวขึ้นข้างหลัง “นายมาได้ยังไง?” “ข้าอยู่นี่มาตลอดนั่นแหละ” แขนแกร่งเข้ากอดอกพร้อมมองชุดของหญิงสาวด้วยท่าทางไม่ชอบใจนัก ก่อนที่มือหนาจะจับเข้าตรงเอวบางแล้วบังคับให้ตัวเธอหันหน้ามาเผชิญกับตนแทน นับว่ายังโชคดีที่ตอนนี้เธออยู่ในที่ลับตาคน จึงไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฎตัวของเจย์เดนได้ มิฉะนั้นคงได้แตกตื่นกันถ้วนหน้าแน่ “ลินิน...” วิลเลียม เพื่อนชายของเธอเดินเข้ามาเรียกหา ทำให้สีหน้าของเจย์เดนจากตอนแรกที่เพียงแค่ดุดัน แต่ตอนนี้พร้อมจะแยกเขี้ยวออกมาแล้ว “กลับไปก่อน เร็วเข้า” ลินินเร่งเร้าให้เจย์เดนรีบกลับออกไป แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมทำเช่นนั้นง่าย ๆ ยิ่งเห็นว่าคนที่เดินมาหาของรักของตัวเองเป็นชายหนุ่มแล้วด้วย ทำให้เขายิ่งไม่ยอมเข้าไปใหญ่ “คุณเป็นใครเนี่ย จะทำอะไรลินิน” วิลเลียมเห็นว่าอีกคนดูมีท่าทางล่วงล้ำ จึงหวังจะตรงเข้ามาให้ช่วยเหลือ แต่ก็ถูกลินินยกมือขึ้นเป็นสัญญาณห้ามเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นก็เริ่มแนะนำให้ทักสองรู้จักกัน “เอ่อ วิลเลียมนี่เจย์เดน...เป็น...” “แฟนลินิน” ไม่พูดเปล่ายังเดินออกมาประชันหน้ากับอีกฝ
ในเช้าวันหนึ่งหลังมื้ออาหาร อยู่ๆ ลินินก็ได้รับสายจากบริษัทว่ามีธุระเร่งด่วนต้องเข้าไปเจรจากับทางโรงงานฝ่ายผลิต ด้วยแบบเสื้อผ้าที่โรงงานจัดทำตัวอย่างรุ่นแรกออกมามันผิดไปจากแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้มากคิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจัดการบอกเลขาว่าเดี๋ยวจะเข้าไปที่โรงงานด้วยตัวเอง“ดูเหมือนต้องไปที่โรงงานเองแล้วล่ะ แบบที่ส่งมามันไม่ตรงกับที่สั่งไว้เลย” เธอบ่นให้สามีฟังขณะที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเจย์เดนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ทำหน้าฉงน “เจ้าสั่งเลขาไปแทนก็ได้หนิลินิน ไม่เห็นต้องไปเองเลย ทำไมต้องเหนื่อยเองด้วย?” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าคัดค้านสุดตัวลินินจึงหยุดมือจากการเตรียมเอกสารแล้วหันมามองมาทางเขาอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมสามีเธอจึงมีทีท่าเช่นนั้น“ก็เพราะเป็นแบรนด์ของฉันไง ฉันก็เลยอยากเข้าไปดูเอง”ได้ยินแบบนั้นเจ้าแวมไพร์ก็เริ่มขยับตัวเหมือนอยู่ไม่สุข สีหน้าของเขาเริ่มออกอาการกังวล ส่วนภรรยาตัวน้อยของเขาก็จับจ้องมองตามท่าทีนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยสงสัยว่าสามีเป็นอะไรไป“แต่เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้นี่นา ข้าแค่…แค่คิดว่าเจ้าควรพักบ้าง” ว่าจบก็ส่งมือหนาเข้ามากอบกุมมือเรียวของเธออ
ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเจย์เดนมาถึงพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ ทั้งสี่ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผู้ใหญ่ในครอบครัวอดตกใจเสียไม่ได้“ลินิน เจ้านี่เก่งเหลือเกิน” ท่านแม่เอ่ยชมขณะมองดูหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ “ของข้าแค่คนเดียวก็ลมแทบจับแล้ว” ลินินยิ้มตอบ ขณะเดียวกันนั้นเจย์เดนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นในทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ตัวเอง “อะไรกันท่านแม่ ข้าเลี้ยงยากเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไลเรนได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เลี้ยงยากมาก เจ้าดื้อมากตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว” “ดื้อเหรอคะ?” ลินินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ไม่เห็นเคยรู้เลย” เธอนึกภาพเจย์เดนผู้มีท่าทีสงบนิ่งกลายเป็นเด็กดื้อไม่ออกเลยจริง ๆ แต่ถ้าหากเรื่องความขี้แกล้ง อันนี้พอจะรู้อยู่บ้างแล้วล่ะเจย์เดนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่ได้ดื้ออะไรสักหน่อย ท่านแม่น่ะพูดเกินไป”“งั้นเหรอ?” ท่านแม่ส่งยิ้มพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเจย์เดน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเล่าเรื่องสมัยที่เจย์เดนยังเป็นเด็กขึ้น “แล้วใครกันที่ปีนต้นไม้หนีออกจากบ้านเพร
บังเอิญว่าในวันนี้ลินินจะต้องไปตรวจงานออกแบบเสื้อผ้าที่บริษัทของเธอ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พร้อมจะออกเดินทางเจย์เดนในเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยมาดเข้ม "เจ้าจะไปนานไหม?" เขาถามลินินพร้อมย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือหนาออกไปช่วยสวมรองเท้าให้เธอ"ไม่นานหรอก นายอยู่ดูเด็ก ๆ ไหวใช่ไหม?" ลินินหันมายิ้มให้เล็กน้อยเจย์เดนพยักหน้ามั่นใจ "ข้าเป็นแวมไพร์นะ เลี้ยงเด็กแค่นี้จะไปยากอะไร" ใบหน้าหล่อแสยะยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจลินินเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะนิดหน่อย "งั้นฝากด้วยนะ อย่าให้พวกเขาทำบ้านพังล่ะ""บ้านทนจะตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย" เขาพูดติดตลก พร้อมยกมือโบกให้ลินินก่อนที่เธอจะเดินออกไปตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย เด็ก ๆ นั่งวาดรูปอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่นานนัก เรย์เน่เริ่มบ่นว่าเบื่อและอยากเล่นซ่อนแอบ"ท่านพ่อ เล่นซ่อนแอบกับพวกเราไหมคะ" ไม่เพียงแค่เอ่ยถาม ยังส่งสายตาแวอย่างออดอ้อนมาให้เจย์เดนอีกต่างหากร่างสูงที่นั่งเฝ้าลูก ๆ พร้อมทำงานไปด้วยก็ชายตาขึ้นจากกองงาน ก่อนจะตอบรับ "ได้สิ นับสิบนะ"ยังไม่ทันจะเริ่มนับ เด็ก ๆ ทั้งห้าก็วิ่งวุ่นหาที่ซ่อนไปทั่วคฤหาสน์
เช้าวันหนึ่งลินินตื่นขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ยังหลับอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะทำข้าวกล่องไปให้สามีที่บริษัท จึงรีบเร่งเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน“ทำเสต๊กแล้วกัน” เธอว่าพลางตัดชื้นเนื้อแล้วจับมันพลิกใส่เตาย่าง เมื่อสุกได้ที่แบบกลาง ๆ แล้ว ก็นำมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำ และพร้อมเริ่มเตรียมอย่างอื่นต่อไปแต่ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลูก ๆ ทั้งสี่ เจย์เนส เรย์เน่ เคย์ลิส และไลเอนน์ ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าเสียก่อน"ท่านแม่ทำอะไรเหรอครับ/คะ?" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ย ถามอย่างตื่นเต้น และเมื่อทราบว่าท่านแม่ของพวกเขากำลังจะทำรู้ข้าวกล่องไปให้ท่านพ่อที่บริษัท ทุกคนก็ดูเหมือนอยากจะช่วยกันคนละไม้คนละมือขึ้นมาในทันทีแต่แทนที่การช่วยจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิมเสียอย่างนั้นเจย์เนสที่เป็นพี่ใหญ่สุดพยายามช่วยลินินหั่นผลไม้ แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่จึงหั่นออกมาได้ไม่ค่อยเท่ากันนัก บางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะยัดลงปากได้ ส่วนบางชิ้นก็บางเฉียบจนแทบไม่ไต้องเตี้ยวกันเลย จนลินินต้องเข้ามาแก้ให้ส่วนเรย์เน่ คนนี้ชื่นชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับหน้าที่ยืนแต่งจานสลัด แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก จึงใส่ใ
นานวันเข้า เจย์เนสและเรย์เน่ก็เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเข้าแล้ว ส่วนน้องน้อยของพวกเขาตอนนี้ก็คล้ายกับเด็กมนุษย์ในช่วงวัยห้าขวบ และใช่ ทั้งมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงปีเป็นอย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าพวกเขาจะโตไวและเรียนรู้เร็วมาก เจย์เดนกับลินินจึงจ้างครูมาคอยสอนพวกเขาที่บ้านด้วย เนื่องจากเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆนอกจากนี้ เมื่อเริ่มโตขึ้น การติดแม่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นน้อง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนเจย์เนสในวัยหนุ่มน้อยเริ่มสนใจการอ่านหนังสือในห้องเงียบ ๆ หรือออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ที่ท่านพ่อของเขาจ้างมาฝึกส่วนตัวเสียมากกว่ามาขลุกอยู่ในห้องกับน้อง ๆ และนอกเหนือจากนั้นนิสัยก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนผู้เป็นพ่ออย่างไม่ทิ้งห่างส่วนเรย์เน่ก็เริ่มมีความสนใจในเรื่องศิลปะและดนตรี บ่อยครั้งเธอจะเก็บตัวฝึกซ้อมเปียโนหรือวาดภาพในมุมของตัวเอง "ช่วงนี้ส่งไม้ต่อให้น้อง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเหงาเลย"ลินินได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ถึงก็ยังมีสมาชิกตัวโตที่ดูเหมือนจะคอยมาแย่งแม่ของพวกเขาอยู่ตลอด
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเข้าจนได้ เมื่อลินินส่องกระจกและเริ่มเห็นหน้าท้องที่ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้น“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายจนลงพุงหรือยังไงกันเนี่ย” เธอพึมพำ แต่แล้วก็นึกถึงตอนที่ตั้งท้องสองแฝดขึ้นมาได้ ว่ามันก็เริ่มต้นเช่นนี้นอกจากนี้เมื่อสังเกตอาการไปนานวันเข้า ยังมีอาการพะอืดพะอมร่วมด้วยอีกต่างหาก อาการนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจย์เดนต้องตัดสินใจพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลในที่สุด“ซูบผอมลงอีกแล้วนะขอรับท่านหญิง” ท่านหมอเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม"ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะกินเยอะไป อาหารก็เลยอาจจะไม่ย่อย แต่พอเห็นว่าผอมลงแล้วท้องป่องเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะ..." ลินินพูดเสียงเบาขณะที่ท่านหมอก็อัลตร้าซาวน์บริเวณหน้าท้องของเธอไปพลาง“ขอรับ ตั้งครรภ์อีกแล้ว..." ท่านหมอยืนยันความคิดของเธอเจย์เดนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลันหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลา ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องไปยังหมอหลวงราวกับอยากจะให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไป "ปกติแล้วแวมไพร์จะตั้งครรภ์ได้ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ?"“นั่นน่ะสิ” แววตาคู่สวยของลินินก็จับจ้องใบหน้าของท่านหมอด้วยความฉงนเช่นกัน พร้อมกับหันมองสามีของตน
หลังจากเจย์เนสและเรย์เน่เริ่มรู้ความ ภายในบ้านก็เริ่มวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย โดยเฉพาะเรื่องที่แฝดทั้งสองติดลินินมากจนถึงขั้นที่ว่าต้องจัดตารางว่าใครจะได้นอนกับแม่ในวันไหนกันเลยทีเดียวภายในห้องนั่งเล่น เด็ก ๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้นก่อนจะวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะราวกับภูมิใจนำเสนอให้ลินินที่นั่งอยู่ในห้องนั้นได้ดูมัน"ตารางเวรนอนกับแม่" ลินินอ่านตัวหนังสือที่จ่าอยู่บนนั้นที่เรย์เน่และเจย์เนสช่วยกันออกแบบด้วยลายมือเด็ก ๆ ของพวกเขา นอกจากนี้ยังแบ่งช่องพร้อมใส่ชื่อตัวเองอย่างเสร็จสรรพด้วย"ใช่ค่ะ พวกเราจะได้ไม่ต้องแย่งกันว่าใครจะนอนกับท่านแม่วันไหน”“แม่นอนกับพวกลูกได้ทุกวันทั้งคู่อยู่แล้ว” ลินินอธิบาย แต่แล้วก็ได้รับการส่ายศีรษะตอบกลับจากพวกเด็ก ๆ“แต่ท่านแม่นอนตะแคงกอดพวกเราได้แค่คนเดียว เพราะฉะนั้นแบ่งเป็นวันแบบนี้เนี่ยะแหละครับดีแล้ว” เจย์เนสยังคงยืนกรานว่าจะจัดตารางแบบนี้ โดยมีน้องสาวฝาแฝดอย่างเรย์เน่พยักหน้าหงึกหงักอยู่ข้าง ๆ“วันนี้เป็นวันของพี่เจย์เนสนะ” เรย์เน่พูดขึ้นอย่างจริงจัง หลังจากมองดูตารางในมือ “พรุ่งนี้เป็นวันของน้อง” เธอเสริมพลางยิ้มกว้างให้พี่ชายเจย์เนสพยักหน้าใบหน
“เจ้าปีศาจยักษ์ ส่งตัวราชินีของข้ามา ไม่อย่างนั้นโดนดีแน่!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัยหนี่งขวบ (?) ดังลั่นไปทั่วขณะที่ถือดาบไม้ไล่ฟาดฟันพ่อของเขาใช่แล้ว อย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าลูกแวมไพร์นั้นโตเร็วและ แต่ก็ไม่คิดว่าเพียงหนึ่งปีจะโตถึงขนาดเล่นอัศวินกับท่านพ่อของพวกเขาได้แล้ว!ช่วงเดือนแรก หากเป็นทารกมนุษย์ทั่วไป ก็คงไม่ส่งเสียงพูดอ้อแอ้ใช่ไหมล่ะ แต่บ้านนี้ส่งเสียงได้ตั้งแต่หนึ่งเดือนหลังคลอด เรื่องนั้นว่าตกใจแล้ว แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาเริ่มคลานได้ในเดือนที่สอง และตั่งท่าเดินได้เสร็จสรรพในระยะเวลาเพียงหกเดือน! ทำเอาท่านแม่อย่างลินินตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นลูกโตวันโตคืนชนิดที่ว่าไม่ต้องสอนให้ตั้งคลานหรือยืนตั้งไข่เลย พวกเขาทำได้เองตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีก็ถือดาบวิ่งไล่ฟันเจย์เดนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วและในตอนนี้ หากนับตามลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ สองแฝดเหมือนเด็กอายุสี่ขวบเข้าให้แล้วล่ะ“ไม่ส่งคืนหรอก นี่ราชินีของข้า” แต่ดูเหมือนคนเป็นพ่อจะไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่นัก ดูจากที่เล่นกับลูกชายอย่างมีความสุขแล้วอยู่ ๆ ร่างสูงใช้สองแขนแกร่งช้อนตัวของลินินท
หลายเดือนต่อมา ท้องของลินินก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และอีกไม่นานก็จะถึงวันกำหนดคลอดของเธอแล้ว ถึงแม้จะตั้งครรภ์เพียงสี่เดือนครึ่ง อุ้มท้องไม่นานเท่าอายุครรภ์ของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายไปกว่ากันหรอก เพราะข้างในเป็นแวมไพร์เด็กที่เมื่อเวลาดิ้นทีก็ทำผู้เป็นแม่แทบลมจับเลยทีเดียว “ลินิน ข้าต้องออกไปบริษัท พอดีมีโครงการจะซื้อเครื่องบินลำใหม่ ต้องไปฟังความคิดเห็นคณะผู้บริหารด้วย เจ้าอยู่คนเดียวสักพักได้ไหม” จะว่าไปแล้ว ช่วงใกล้คลอดนี้เจย์เดนจับตาดูภรรยาทุกฝีก้าวเสียยิ่งกว่าช่วงแรกเสียอีก จะขยับแต่ละทีก็จะต้องมีเขาคอยช่วยประคองอยู่ตลอด ลินินที่ได้ยินสามีเอ่ยแบบนั้นก็พยักหน้าเหมือนว่ารับทราบ “นายไปเถอะ ฉันอยู่ได้ ไม่ต้องห่วง” โชคยังดี เพราะด้วยความที่ใกล้ครบกำหนดคลอดแล้ว แม่สามีจึงอาสาว่าจะมาช่วยดูแลเธออย่างใกล้ชิดอีกแรงด้วย นั่นทำให้เจย์เดนที่ข่วงนี้งานรัดตัวรู้สึกวางใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เป็นห่วงหรอกนะ “ห้ามดื้อนะรู้ไหม” ว่าจบเขาก็กดนิมฝีปากลงบนหน้าผากของเธอประหนึ่งว่าคนตรงหน้าคือสิ่งที่น่าทะนุถนอมที่สุดในโลก “สภาพนี้ฉันดื้อไม่ไหวหรอก” เธอกล่าวระคนติดตลก แ