ตามมาหาถึงที่เลย ที่ไม่ได้ตอบข้อความเพราะเห็นด้วยตาเนื้อของตัวเองสินะ 5555555
“กรี๊ด!” ลินินกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ ๆ ร่างสูงของเจย์เดนก็ปรากฎตัวขึ้นข้างหลัง “นายมาได้ยังไง?” “ข้าอยู่นี่มาตลอดนั่นแหละ” แขนแกร่งเข้ากอดอกพร้อมมองชุดของหญิงสาวด้วยท่าทางไม่ชอบใจนัก ก่อนที่มือหนาจะจับเข้าตรงเอวบางแล้วบังคับให้ตัวเธอหันหน้ามาเผชิญกับตนแทน นับว่ายังโชคดีที่ตอนนี้เธออยู่ในที่ลับตาคน จึงไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฎตัวของเจย์เดนได้ มิฉะนั้นคงได้แตกตื่นกันถ้วนหน้าแน่ “ลินิน...” วิลเลียม เพื่อนชายของเธอเดินเข้ามาเรียกหา ทำให้สีหน้าของเจย์เดนจากตอนแรกที่เพียงแค่ดุดัน แต่ตอนนี้พร้อมจะแยกเขี้ยวออกมาแล้ว “กลับไปก่อน เร็วเข้า” ลินินเร่งเร้าให้เจย์เดนรีบกลับออกไป แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมทำเช่นนั้นง่าย ๆ ยิ่งเห็นว่าคนที่เดินมาหาของรักของตัวเองเป็นชายหนุ่มแล้วด้วย ทำให้เขายิ่งไม่ยอมเข้าไปใหญ่ “คุณเป็นใครเนี่ย จะทำอะไรลินิน” วิลเลียมเห็นว่าอีกคนดูมีท่าทางล่วงล้ำ จึงหวังจะตรงเข้ามาให้ช่วยเหลือ แต่ก็ถูกลินินยกมือขึ้นเป็นสัญญาณห้ามเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นก็เริ่มแนะนำให้ทักสองรู้จักกัน “เอ่อ วิลเลียมนี่เจย์เดน...เป็น...” “แฟนลินิน” ไม่พูดเปล่ายังเดินออกมาประชันหน้ากับอีกฝ
รุ่งเช้า เปลือกตาของคนตัวเล็กค่อย ๆ ลืมตื่นขึ้นมา เธอกระพริบตาเพื่อปรับความชัดของสายตาตัวเอง หลังจากเริ่มมองเห็นอะไรหลายอย่างชัดเจนขึ้นแล้ว ก็พบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาที่นอนหลับตาอยู่ข้างกาย และเริ่มทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจนใบหน้าขึ้นสีแดงฉาน ‘จะทำอย่างไรดี จะมองหน้าเขายังไงเนี่ย ทำไมถึงปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้นะลินิน’ หญิงสาวเริ่มว้าวุ่นใจ ก่อนจะได้ยินเสียงครวญครางแสนงัวเงียดังขึ้น “อื้อ...” เจย์เดนเริ่มพลิกตัว ดูเหมือนว่าเขาจะตื่นแล้วสินะ ลินินครุ่นคิดในใจ โดยหารู้ไม่ว่าอันที่จริงแล้วเขาไม่ได้หลับเลยสักนิด เพียงแค่พักสายตาเท่านั้น อีกทั้งยังรับรู้ได้ว่าเธอตื่นแล้วอีกต่างหาก เมื่อร่างสูงเริ่มขยับตัว ลินินที่ยังวางตัวไม่ถูก ซ้ำยังไม่ร็ว่าจะสู้หน้าเขาได้อย่างไรจึงรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงและแสร้งทำเป็นว่ายังหลับอยู่แทน ร่างสูงดันตัวลุกขึ้นในท่ากึ่งนอน สายตาคมกริบเหลือบมองคนตัวเล็กพลางยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มือหนาของเขาดึงผ้าห่มของเธอออกเล็กน้อยก่อนจะกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “หากเจ้าแกล้งหลับเช่นนี้ จะเจอดีอีกรอบนะ คุณภรรยา” คำว่า คุณภรรยา ที่เอ่ยออกมาพร้อมเสียงเข้
หลังจากไปเที่ยวจนหนำใจแล้ว เจย์เดนก็พาลินินกลับมาอยู่ที่คฤหาสน์ เนื่องจากว่าช่วงนี้มหาวิทยาลัยปิดเทอมอยู่นั่นเอง จึงไม่มีเหตุจำเป็นที่คนตัวเล็กจะอยู่ที่คอนโดต่อ ลินินเก็บข้าวของใส่กระเป๋า โดยมีบรรดาผู้รับใช้มาช่วยนำไปใส่รถ ส่วนตัวเธอก็อุ้มตุ๊กตาเจ้าเจย์เดนตัวน้อยเดินตามไปติด ๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ขาดเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ไม่ได้เลยสินะ เมื่อไปถึงคฤหาสน์ เธอก็ออกมาเดินเล่นสูดอากาศในสวนยามบ่าย ท่ามกลางสายตาของเจย์เดนที่มองลงมาจากระเบียงคฤหาสน์ด้านบน ขณะที่ลินินกำลังเดินเล่นวนรอบอยู่ตรงลานน้ำพุที่มีรูปปั้นของผู้นำตระกูลแบรดฟอร์ดคนแรก เจย์เดนก็ทิ้งตัวนั่งลงบนขอบระเบียงพลางมองเธอพร้อมสายตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ‘สวยมาแต่ไกลเชียวนะ เด่นกว่ารูปปั้นภายในสวนเสียอีก’ เขาแอบคิดในใจ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ภายในสวนก็ไม่อาจแข่งขันความสวยของเธอได้เลย นั่นทำให้เจ้าแวมไพร์ผู้น่าเกรงขามอย่างเจย์เดนถึงกับลอบยิ้มพร้อมส่งสายตาอ่อนโยนออกมาเชยชม “สหาย...” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นมาจากด้านหลังระเบียง ทำให้เจย์เดนรีบหันควับไปทันที ก่อนจะปรากฎร่างของชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ดวงหน้าหล่อเหลาเปี่ยมเสน
ไนเจลที่ล่วงหน้ามายังสวนหลังคฤหาสน์ก่อนเจย์เดนก็มาถึงที่หมายเรียบร้อย สายตาของเขากวาดมองไปทั่วสวนร่มรื่นย์ ก่อนจะสูดหายใจนำอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด “สวนเบ่งบานขนาดนี้แล้วหรือนี่ สงสัยข้าไม่ได้มาที่นี่นานแล้วสินะ” ระหว่างที่กำลังชื่นชมความสวยงามของสวนตระกูลปบรดฟอร์ดอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่กำลังดุ๊กดิ๊กอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล “ทำไม...ฉันถึงได้...เตี้ยขนาดนี้นะ!” อะไรกันน่ะ ไนเจลหยุดยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมุมปากอย่างนึกเอ็นดูกับท่าทางของหญิงสาวตรงหน้า แม้จะยังไม่ได้เห็นหน้าคร่าตา แต่เขาก็พอคาดเดาได้ว่าเธอผู้นี้คือใคร ก็ในคฤหาสน์แบรดฟอร์ดมีมนุษย์เสียที่ไหนกัน นอกจากนี้กลิ่นเลือดของเธอยังหอมหวนเด่นชัดเยี่ยงนี้ หากมิใช่ว่าได้กลิ่นของเจย์เดนที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของเธอ เขาคงหลงไปในภวังค์ของความหอมนี้อย่างแน่นอน หมับ! ร่างสูงยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลังของเธออย่างถือวิสาสะ ก่อนจะดึงผลแอปเปิ้ลนั้นลงมาก่อนจะยื่นมันไปตรงหน้าของเธอ “คุณ...เป็นใครคะ?” ลินินเอียงศีรษะมองคนตรงหน้าด้วยความฉงน ในตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเจย์เดน แต่เมื่อหันกลับมาแล้วพบว่าไม่ใช่ เธอจึงแตกตื่นไม่
"ไร่นี้เป็นของครอบครัวข้ามาตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน เริ่มจากท่านพ่อของข้าเห็นว่าตรงนี้เป็นพื้นโล่ง จึงนำเมล็ดองุ่นมาลงปลูก เมื่อเริ่มงอกงามก็วางแผนว่าจะทำโรงกลั่นไวน์ เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปดู” เจย์เดนเล่าประวัติของไร่องุ่นนี้ให้ลินินฟัง คนตัวเล็กฟังด้วยความตั้งใจ พร้อมมองไร่องุ่นสุดกว้างขวางด้วยแววตาเป็นประกาย และระหว่างที่ควบม้าไปตามทางไร่องุ่น พวกเขาก็พบคนสวนกลุ่มหนึ่งที่กำลังลงมือดูแลแปลงองุ่นอย่างขะมักขะเม้น เมื่อพวกเขาเหลือบมาเห็นเจย์เดนก็พากันแตกตื่นกันเสียยกใหญ่ เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยจะเห็นเจ้าตัวโผล่มาในสวนองุ่นนี้สักเท่าไหร่นัก ทุกคนต่างหยุดมือกันชั่วครู่พร้อมกับทักทายเขาที่นั่งควบม้าอย่างนอบน้อม แต่แล้ว สายตาของพวกเขาก็พากันจับจ้องไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของเจย์เดนบนหลังม้าด้วยความสนอกสนใจ ก่อนจะพากันกระซิบกระซาบ “นั่น…คุณหนูคนนั้นคือใครกัน?” “หรือจะเป็นคนสำคัญของท่านชาย?” “นั่นสิ ท่านชายไม่เคยพาใครมาแบบนี้มาก่อนเลย เว้นแต่ช่วงนั้นที่พาคุณหนูอลิเซียมา...” เจย์เดนได้ยินคำพูดนั้นก็แอบลอบมองลินินนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าร่างบางทำหน้าพองลมเหมือนปลาหักเป้า เจย์เดนก็เหมือนจะเ
ทั้งสองพาเธอชิมไปเรื่อย ๆ แต่ละถังให้รสชาติต่างกันไปอย่างน่าเหลือเชื่อ จนกระทั่งมาถึงถังหนึ่งที่ทำให้เธอเผยรอยยิ้มและเบิกตากว้างขึ้นมา “อันนี้หวานจัง” เธอพูดเสียงใส รสชาติหวานละมุนทำให้เธอรู้สึกประทับใจ อร่อยจนน่าเหลือเชื่อ ไนเจลและชาร์ลเห็นว่าลินินเพลิดเพลินกับการลิ้มลองไวน์ จึงยิ่งภูมิใจนำเสนอเข้าไปใหญ่ โดยหารู้ไม่ว่าระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายของหญิงสาวเริ่มที่จะสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว จนกระทั่งใบหน้าของหญิงสาวเริ่มแดงก่ำ สายตาเริ่มพร่ามัว การทรงตัวโซซัดโซเซอย่างเห็นได้ชัด แต่ถังไม้โอ๊คที่เรียงรายพวกนั้น กลับดูเหมือนว่าจะไม่หมดลงง่าย ๆ เนี่ยสิ ถึงอย่างนั้น สองหนุ่มก็ยังคงรินไวน์ให้เธอชิมต่อไป พวกเขาไม่มีความรู้ว่ามนุษย์นั้นเมามายง่ายกว่าแวมไพร์เช่นพวกเขา นอกจากนี้ยังไม่ได้สังเกตอาการของเธอด้วย และแล้ว...เจ้าของเธอก็กลับมาจนได้... “นี่พวกเจ้าให้นางดื่มอย่างนั้นเหรอ!?” สายตาคมกริบของเจย์เดนหันจ้องชาร์ลและไนเจลที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ลินินก็ยืนโอนเอนพลางถือไวน์แก้วที่แปดอยู่ในมือเตรียมจะกระดกเข้าไปอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าปาก เจย์เดนก็รีบพุ่งเข้ามารั้งมือเธอที่ถือแก้วเอาไว้ซะก่อน ไน
เฮ้อ...ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัยเมื่อหญิงสาวมีปากเสียงกับชายหนุ่มคนรักเมื่อใดก็จะต้องเดินหนีห่างไปเสียทุกคราสินะ เจย์เดนคิดในใจขณะที่กำลังเดินตามลินินไปถึงที่ห้อง หากเป็นชายหนุ่มผู้อื่นคงหมายคิดถึงการง้องอนหญิงสาว แต่กับแวมไพร์หนุ่มเช่นเขาที่มีอีโก้สูง เขาไม่ได้คิดถึงการง้อด้วยซ้ำ เพียงแค่จะไปพูดอธิบายเรื่องราวบางอย่างเพื่อหมายจะให้เธอเข้าใจตัวเอง จริงอยู่ว่าเขาเดินตามเธอออกมาแต่ก็ไม่ได้ยอมรับเสียหน่อยว่าจะมาง้อ เรื่ององุ่นนั่นก็เหมือนกัน เขาไม่ได้ทำไปเพื่อหวังจะง้อเธออย่างชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่หากเธอจะหายโกรธเพียงเพราะได้ทานมันก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ เมื่อเดินตรงมาถึงบริเวณหน้าห้องพัก มือหนาก็ยกขึ้นจับเข้าตรงลูกบิดประตูก่อนจะออกแรงผลัก แต่แล้ว... กึก กึก! มันกลับล็อคเสียได้! เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของแวมไพร์หนุ่มอย่างเขายิ่งนัก นางกล้าล็อคประตูใส่ว่าที่สวามีอย่างนั้นหรือ! “ลินิน เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงนั้นถึงแม้จะอ่อนโยนมากกว่าตอนพูดคุยกับคนอื่น แต่ก็แฝงไปด้วยการสั่ง ลินินที่อยู่อีกด้านของบานประตูก็ได้แต่หรี่ตาอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อย
ลินินหยิบองุ่นลูกหนึ่งเข้าปากอย่างช้า ๆ รสชาติหวานฉ่ำสดชื่นลื่นคอทำให้อดไม่ได้ที่จะหยิบลูกต่อไปเข้าปากอย่างเพลิดเพลิน และในระหว่างที่หญิงสาวนั่งเคี้ยวองุ่นอยู่นั้น เจย์เดนและผองเพื่อนแวมไพร์ของเขาก็แอบเหลือบมองท่าทีของเธอเป็นระยะ เหมือนเป็นการเสี่ยงลุ้นการกระทำว่าเธอจะยอมใจอ่อนลงหรือเปล่า และเป็นไปตามคาด เพราะเมื่อองุ่นเข้าปากแล้ว จากใบหน้าพองลมเป็นปลาปักเป้าก็เหมือนถูกเข็มเจาะให้แฟบลงไปเสียดื้อ ๆ “ดูนั่นสิ เมื่อสักครู่นางยังทำแก้มพองลมท่าทางดูหงุดหงิดอยู่เลย แต่พออาหารเข้าปากก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นสหาย เห็นทีข้าว่าเจ้าควรพกอาหารติดตัวเอาไว้เยอะ ๆ เพื่อใช้ล่อให้พวกผู้หญิงให้หายงอนไง” ไนเจลกระซิบอย่างขบขัน ป้าบ! สิ้นประโยคนั้น ฝ่ามือเรียวเล็กของเฟย์ก็ฟาดลงบนไหล่ของเขาเข้าอย่างจัง “เจ้าคิดว่าพวกผู้หญิงเห็นแก่กินอย่างนั้นหรือ!” “โอ๊ย นี่เจ้า ตีข้าทำไมกัน ข้าเพียงพูดเพราะเห็นไปตามเนื้อแท้ เจ้าเองก็ไม่รู้ตัวเลยสินะ เวลาข้าให้ขนมเจ้าก็หายงอนตลอด” เฟย์เท้าเอวก่อนจะเตรียมจะยกมือขึ้นฟาดแวมไพร์หนุ่มเจ้าของผมสีเงินอีกครั้ง แต่แล้วก็โดนปรามจากเจย์เดนเสียก่อน “พวกเจ้าเงียบ ๆ หน่อยได้ไหม” (ข้ากำล
ในเช้าวันหนึ่งหลังมื้ออาหาร อยู่ๆ ลินินก็ได้รับสายจากบริษัทว่ามีธุระเร่งด่วนต้องเข้าไปเจรจากับทางโรงงานฝ่ายผลิต ด้วยแบบเสื้อผ้าที่โรงงานจัดทำตัวอย่างรุ่นแรกออกมามันผิดไปจากแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้มากคิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจัดการบอกเลขาว่าเดี๋ยวจะเข้าไปที่โรงงานด้วยตัวเอง“ดูเหมือนต้องไปที่โรงงานเองแล้วล่ะ แบบที่ส่งมามันไม่ตรงกับที่สั่งไว้เลย” เธอบ่นให้สามีฟังขณะที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเจย์เดนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ทำหน้าฉงน “เจ้าสั่งเลขาไปแทนก็ได้หนิลินิน ไม่เห็นต้องไปเองเลย ทำไมต้องเหนื่อยเองด้วย?” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าคัดค้านสุดตัวลินินจึงหยุดมือจากการเตรียมเอกสารแล้วหันมามองมาทางเขาอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมสามีเธอจึงมีทีท่าเช่นนั้น“ก็เพราะเป็นแบรนด์ของฉันไง ฉันก็เลยอยากเข้าไปดูเอง”ได้ยินแบบนั้นเจ้าแวมไพร์ก็เริ่มขยับตัวเหมือนอยู่ไม่สุข สีหน้าของเขาเริ่มออกอาการกังวล ส่วนภรรยาตัวน้อยของเขาก็จับจ้องมองตามท่าทีนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยสงสัยว่าสามีเป็นอะไรไป“แต่เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้นี่นา ข้าแค่…แค่คิดว่าเจ้าควรพักบ้าง” ว่าจบก็ส่งมือหนาเข้ามากอบกุมมือเรียวของเธออ
ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเจย์เดนมาถึงพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ ทั้งสี่ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผู้ใหญ่ในครอบครัวอดตกใจเสียไม่ได้“ลินิน เจ้านี่เก่งเหลือเกิน” ท่านแม่เอ่ยชมขณะมองดูหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ “ของข้าแค่คนเดียวก็ลมแทบจับแล้ว” ลินินยิ้มตอบ ขณะเดียวกันนั้นเจย์เดนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นในทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ตัวเอง “อะไรกันท่านแม่ ข้าเลี้ยงยากเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไลเรนได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เลี้ยงยากมาก เจ้าดื้อมากตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว” “ดื้อเหรอคะ?” ลินินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ไม่เห็นเคยรู้เลย” เธอนึกภาพเจย์เดนผู้มีท่าทีสงบนิ่งกลายเป็นเด็กดื้อไม่ออกเลยจริง ๆ แต่ถ้าหากเรื่องความขี้แกล้ง อันนี้พอจะรู้อยู่บ้างแล้วล่ะเจย์เดนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่ได้ดื้ออะไรสักหน่อย ท่านแม่น่ะพูดเกินไป”“งั้นเหรอ?” ท่านแม่ส่งยิ้มพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเจย์เดน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเล่าเรื่องสมัยที่เจย์เดนยังเป็นเด็กขึ้น “แล้วใครกันที่ปีนต้นไม้หนีออกจากบ้านเพร
บังเอิญว่าในวันนี้ลินินจะต้องไปตรวจงานออกแบบเสื้อผ้าที่บริษัทของเธอ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พร้อมจะออกเดินทางเจย์เดนในเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยมาดเข้ม "เจ้าจะไปนานไหม?" เขาถามลินินพร้อมย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือหนาออกไปช่วยสวมรองเท้าให้เธอ"ไม่นานหรอก นายอยู่ดูเด็ก ๆ ไหวใช่ไหม?" ลินินหันมายิ้มให้เล็กน้อยเจย์เดนพยักหน้ามั่นใจ "ข้าเป็นแวมไพร์นะ เลี้ยงเด็กแค่นี้จะไปยากอะไร" ใบหน้าหล่อแสยะยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจลินินเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะนิดหน่อย "งั้นฝากด้วยนะ อย่าให้พวกเขาทำบ้านพังล่ะ""บ้านทนจะตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย" เขาพูดติดตลก พร้อมยกมือโบกให้ลินินก่อนที่เธอจะเดินออกไปตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย เด็ก ๆ นั่งวาดรูปอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่นานนัก เรย์เน่เริ่มบ่นว่าเบื่อและอยากเล่นซ่อนแอบ"ท่านพ่อ เล่นซ่อนแอบกับพวกเราไหมคะ" ไม่เพียงแค่เอ่ยถาม ยังส่งสายตาแวอย่างออดอ้อนมาให้เจย์เดนอีกต่างหากร่างสูงที่นั่งเฝ้าลูก ๆ พร้อมทำงานไปด้วยก็ชายตาขึ้นจากกองงาน ก่อนจะตอบรับ "ได้สิ นับสิบนะ"ยังไม่ทันจะเริ่มนับ เด็ก ๆ ทั้งห้าก็วิ่งวุ่นหาที่ซ่อนไปทั่วคฤหาสน์
เช้าวันหนึ่งลินินตื่นขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ยังหลับอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะทำข้าวกล่องไปให้สามีที่บริษัท จึงรีบเร่งเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน“ทำเสต๊กแล้วกัน” เธอว่าพลางตัดชื้นเนื้อแล้วจับมันพลิกใส่เตาย่าง เมื่อสุกได้ที่แบบกลาง ๆ แล้ว ก็นำมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำ และพร้อมเริ่มเตรียมอย่างอื่นต่อไปแต่ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลูก ๆ ทั้งสี่ เจย์เนส เรย์เน่ เคย์ลิส และไลเอนน์ ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าเสียก่อน"ท่านแม่ทำอะไรเหรอครับ/คะ?" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ย ถามอย่างตื่นเต้น และเมื่อทราบว่าท่านแม่ของพวกเขากำลังจะทำรู้ข้าวกล่องไปให้ท่านพ่อที่บริษัท ทุกคนก็ดูเหมือนอยากจะช่วยกันคนละไม้คนละมือขึ้นมาในทันทีแต่แทนที่การช่วยจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิมเสียอย่างนั้นเจย์เนสที่เป็นพี่ใหญ่สุดพยายามช่วยลินินหั่นผลไม้ แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่จึงหั่นออกมาได้ไม่ค่อยเท่ากันนัก บางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะยัดลงปากได้ ส่วนบางชิ้นก็บางเฉียบจนแทบไม่ไต้องเตี้ยวกันเลย จนลินินต้องเข้ามาแก้ให้ส่วนเรย์เน่ คนนี้ชื่นชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับหน้าที่ยืนแต่งจานสลัด แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก จึงใส่ใ
นานวันเข้า เจย์เนสและเรย์เน่ก็เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเข้าแล้ว ส่วนน้องน้อยของพวกเขาตอนนี้ก็คล้ายกับเด็กมนุษย์ในช่วงวัยห้าขวบ และใช่ ทั้งมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงปีเป็นอย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าพวกเขาจะโตไวและเรียนรู้เร็วมาก เจย์เดนกับลินินจึงจ้างครูมาคอยสอนพวกเขาที่บ้านด้วย เนื่องจากเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆนอกจากนี้ เมื่อเริ่มโตขึ้น การติดแม่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นน้อง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนเจย์เนสในวัยหนุ่มน้อยเริ่มสนใจการอ่านหนังสือในห้องเงียบ ๆ หรือออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ที่ท่านพ่อของเขาจ้างมาฝึกส่วนตัวเสียมากกว่ามาขลุกอยู่ในห้องกับน้อง ๆ และนอกเหนือจากนั้นนิสัยก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนผู้เป็นพ่ออย่างไม่ทิ้งห่างส่วนเรย์เน่ก็เริ่มมีความสนใจในเรื่องศิลปะและดนตรี บ่อยครั้งเธอจะเก็บตัวฝึกซ้อมเปียโนหรือวาดภาพในมุมของตัวเอง "ช่วงนี้ส่งไม้ต่อให้น้อง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเหงาเลย"ลินินได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ถึงก็ยังมีสมาชิกตัวโตที่ดูเหมือนจะคอยมาแย่งแม่ของพวกเขาอยู่ตลอด
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเข้าจนได้ เมื่อลินินส่องกระจกและเริ่มเห็นหน้าท้องที่ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้น“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายจนลงพุงหรือยังไงกันเนี่ย” เธอพึมพำ แต่แล้วก็นึกถึงตอนที่ตั้งท้องสองแฝดขึ้นมาได้ ว่ามันก็เริ่มต้นเช่นนี้นอกจากนี้เมื่อสังเกตอาการไปนานวันเข้า ยังมีอาการพะอืดพะอมร่วมด้วยอีกต่างหาก อาการนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจย์เดนต้องตัดสินใจพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลในที่สุด“ซูบผอมลงอีกแล้วนะขอรับท่านหญิง” ท่านหมอเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม"ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะกินเยอะไป อาหารก็เลยอาจจะไม่ย่อย แต่พอเห็นว่าผอมลงแล้วท้องป่องเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะ..." ลินินพูดเสียงเบาขณะที่ท่านหมอก็อัลตร้าซาวน์บริเวณหน้าท้องของเธอไปพลาง“ขอรับ ตั้งครรภ์อีกแล้ว..." ท่านหมอยืนยันความคิดของเธอเจย์เดนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลันหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลา ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องไปยังหมอหลวงราวกับอยากจะให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไป "ปกติแล้วแวมไพร์จะตั้งครรภ์ได้ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ?"“นั่นน่ะสิ” แววตาคู่สวยของลินินก็จับจ้องใบหน้าของท่านหมอด้วยความฉงนเช่นกัน พร้อมกับหันมองสามีของตน
หลังจากเจย์เนสและเรย์เน่เริ่มรู้ความ ภายในบ้านก็เริ่มวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย โดยเฉพาะเรื่องที่แฝดทั้งสองติดลินินมากจนถึงขั้นที่ว่าต้องจัดตารางว่าใครจะได้นอนกับแม่ในวันไหนกันเลยทีเดียวภายในห้องนั่งเล่น เด็ก ๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้นก่อนจะวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะราวกับภูมิใจนำเสนอให้ลินินที่นั่งอยู่ในห้องนั้นได้ดูมัน"ตารางเวรนอนกับแม่" ลินินอ่านตัวหนังสือที่จ่าอยู่บนนั้นที่เรย์เน่และเจย์เนสช่วยกันออกแบบด้วยลายมือเด็ก ๆ ของพวกเขา นอกจากนี้ยังแบ่งช่องพร้อมใส่ชื่อตัวเองอย่างเสร็จสรรพด้วย"ใช่ค่ะ พวกเราจะได้ไม่ต้องแย่งกันว่าใครจะนอนกับท่านแม่วันไหน”“แม่นอนกับพวกลูกได้ทุกวันทั้งคู่อยู่แล้ว” ลินินอธิบาย แต่แล้วก็ได้รับการส่ายศีรษะตอบกลับจากพวกเด็ก ๆ“แต่ท่านแม่นอนตะแคงกอดพวกเราได้แค่คนเดียว เพราะฉะนั้นแบ่งเป็นวันแบบนี้เนี่ยะแหละครับดีแล้ว” เจย์เนสยังคงยืนกรานว่าจะจัดตารางแบบนี้ โดยมีน้องสาวฝาแฝดอย่างเรย์เน่พยักหน้าหงึกหงักอยู่ข้าง ๆ“วันนี้เป็นวันของพี่เจย์เนสนะ” เรย์เน่พูดขึ้นอย่างจริงจัง หลังจากมองดูตารางในมือ “พรุ่งนี้เป็นวันของน้อง” เธอเสริมพลางยิ้มกว้างให้พี่ชายเจย์เนสพยักหน้าใบหน
“เจ้าปีศาจยักษ์ ส่งตัวราชินีของข้ามา ไม่อย่างนั้นโดนดีแน่!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัยหนี่งขวบ (?) ดังลั่นไปทั่วขณะที่ถือดาบไม้ไล่ฟาดฟันพ่อของเขาใช่แล้ว อย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าลูกแวมไพร์นั้นโตเร็วและ แต่ก็ไม่คิดว่าเพียงหนึ่งปีจะโตถึงขนาดเล่นอัศวินกับท่านพ่อของพวกเขาได้แล้ว!ช่วงเดือนแรก หากเป็นทารกมนุษย์ทั่วไป ก็คงไม่ส่งเสียงพูดอ้อแอ้ใช่ไหมล่ะ แต่บ้านนี้ส่งเสียงได้ตั้งแต่หนึ่งเดือนหลังคลอด เรื่องนั้นว่าตกใจแล้ว แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาเริ่มคลานได้ในเดือนที่สอง และตั่งท่าเดินได้เสร็จสรรพในระยะเวลาเพียงหกเดือน! ทำเอาท่านแม่อย่างลินินตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นลูกโตวันโตคืนชนิดที่ว่าไม่ต้องสอนให้ตั้งคลานหรือยืนตั้งไข่เลย พวกเขาทำได้เองตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีก็ถือดาบวิ่งไล่ฟันเจย์เดนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วและในตอนนี้ หากนับตามลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ สองแฝดเหมือนเด็กอายุสี่ขวบเข้าให้แล้วล่ะ“ไม่ส่งคืนหรอก นี่ราชินีของข้า” แต่ดูเหมือนคนเป็นพ่อจะไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่นัก ดูจากที่เล่นกับลูกชายอย่างมีความสุขแล้วอยู่ ๆ ร่างสูงใช้สองแขนแกร่งช้อนตัวของลินินท
หลายเดือนต่อมา ท้องของลินินก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และอีกไม่นานก็จะถึงวันกำหนดคลอดของเธอแล้ว ถึงแม้จะตั้งครรภ์เพียงสี่เดือนครึ่ง อุ้มท้องไม่นานเท่าอายุครรภ์ของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายไปกว่ากันหรอก เพราะข้างในเป็นแวมไพร์เด็กที่เมื่อเวลาดิ้นทีก็ทำผู้เป็นแม่แทบลมจับเลยทีเดียว “ลินิน ข้าต้องออกไปบริษัท พอดีมีโครงการจะซื้อเครื่องบินลำใหม่ ต้องไปฟังความคิดเห็นคณะผู้บริหารด้วย เจ้าอยู่คนเดียวสักพักได้ไหม” จะว่าไปแล้ว ช่วงใกล้คลอดนี้เจย์เดนจับตาดูภรรยาทุกฝีก้าวเสียยิ่งกว่าช่วงแรกเสียอีก จะขยับแต่ละทีก็จะต้องมีเขาคอยช่วยประคองอยู่ตลอด ลินินที่ได้ยินสามีเอ่ยแบบนั้นก็พยักหน้าเหมือนว่ารับทราบ “นายไปเถอะ ฉันอยู่ได้ ไม่ต้องห่วง” โชคยังดี เพราะด้วยความที่ใกล้ครบกำหนดคลอดแล้ว แม่สามีจึงอาสาว่าจะมาช่วยดูแลเธออย่างใกล้ชิดอีกแรงด้วย นั่นทำให้เจย์เดนที่ข่วงนี้งานรัดตัวรู้สึกวางใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เป็นห่วงหรอกนะ “ห้ามดื้อนะรู้ไหม” ว่าจบเขาก็กดนิมฝีปากลงบนหน้าผากของเธอประหนึ่งว่าคนตรงหน้าคือสิ่งที่น่าทะนุถนอมที่สุดในโลก “สภาพนี้ฉันดื้อไม่ไหวหรอก” เธอกล่าวระคนติดตลก แ