เมื่อเห็นว่าลินินนั่งอ่านหนังสือบนเตียงด้วยความลำบากอย่างที่ผู้ติดตามคนสนิทของตนรายงาน เจย์เดนก็มานั่งคิดอีกครั้ง ก่อนจะเกิดอุบายว่า “ข้าอยากไปเที่ยวเดินเล่นในห้องสักหน่อย” จากนั้นเขาก็บอกให้ลินินติดสอยห้อยตามไปด้วย
“ห้างเหรอ?” เธอยืนแง้มประตูห้องนอนเพื่อพูดคุยกับเขา “แต่ฉํนต้องอ่านหนังสือนะ” ลินินกล่าวถึงความจำเป็นของตัวเอง เธอเพิ่งเลิกเรียนจากที่โรงเรียนมา ก็หวังจะรีบทบทวนบทเรียนและอ่าหนังสือต่อเลย “กฎอีกข้อ ข้าสั่งอะไรเจ้าต้องว่าตามนั้น” พูดจบ เจย์เดนก็ไม่มัวรีรอฟังคำโต้แย้งจากเธออีก เขาหมุนตัวหันหลังแล้วเดินลงไปรอเธอที่ลานจอดรถคฤหาสน์ ลินินเห็นแบบนั้นก็แอบอดถอนหายใจในความเอาแต่ใจของเจย์เดน แต่เมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้า เจย์เดนกลับไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจที่จะเดินไปไหนเลย เอาแต่ยกมือขึ้นป้องแสงจากหลอดไฟนีออน ที่ดูเหมือนจะแยงตาของเขามากจนเกินควร ลินินเห็นแบบนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ‘ไม่ชอบที่สว่าง ๆ แล้วทำไมถึงพามาเดินห้างกัน หรือว่าเป็นแวมไพร์ขี้เหงา นาน ๆ ทีจึงอยากออกมาเดินเล่นกับคนอื่นเขาบ้าง?’ หลังจากคิดเช่นนั้น เธอก็ส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหยิบหมวกแก๊ปที่ตัวเองพกติดกระเป๋าเป็นประจำออกมา สองขาก้าวเดินไปใกล้เขาแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้น ลินินเอื้อมตัวสวมหมวกใบนั้นให้เจย์เดนอย่างถือวิสาสะ ดีที่วันนี้เขาไม่ได้ใส่สูทเต็มยศออกมา การแต่งตัวจึงดูเข้ากับหมวกแก๊ปของเธออย่างน่าเหลือเชื่อ ลินินเห็นแบบนั้นก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจที่ใส่หมวกให้เขาได้สำเร็จ ส่วนเจ้าตัวที่ถูกกระทำเช่นนั้นก็ได้แต่มองหน้าเธอด้วยสายตาชวนตะลึง ไม่คิดว่าเธอจะทำอะไรแบบนี้กับตัวเอง “ไม่ต้องก็ได้...” ในขณะที่กำลังจะถอดหมวกออก ลินินก็รีบเขย่งปลายเท้าขึ้นอีกครั้งเพื่อเอื้อมปกป้องหมวกใบนั้นจากมือหนาที่กำลังจะถอดมันออก “ใส่เอาไว้เถอะ จะได้ไม่ต้องคอยยกมือป้องตาตัวเองอยู่” เมื่อเห็นแววตาจริงจังและดูเป็นห่วงเป็นใยส่งออกมาจากเธอ เจย์เดนก็ยอมลดแขนของตัวเองลงแล้วใส่หมวกนั้นต่อ หลังจากนั้น ร่างสูงก็เริ่มเดินวนไปเรื่อย ทำทีเป็นเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ จนสุดท้ายมาหยึดที่ร้านขายอุปกรณ์การเรียนซึ่งเปนรที่เขตั้งใจมาเป็นอันดับแรก แต่กลับต้องเดินอ้อมให้เมื่อยเสียก่อน เหมือนปากของตัวเองที่หนักมากเสียจนบอกกล่าวกันตรง ๆ ไม่ได้ ลินินเห็นว่าเขาเดินเข้ามาในร้านแบบนี้ เธอจึงถือโอกาสไปเลือกเครื่องเขียนของตัวเองด้วย เจย์เดนที่เห็นเธอเดินเลือกของตัวเองก็แอบยกยิ้มขึ้นมุมปาก และหลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นฝ่ายเดินตามลินินไปเสียแล้ว “นายไม่เลือกของตัวเองเหรอ?” ลินินเอ่ยถามเมื่อหันหลังกลับไปมองอีกสักกี่ครั้งก็ยังเห็นพ่อหนุ่มแวมไพร์นี้เดินตามเธออยูไม่ห่าง “เลือก...เลือกอยู่...” ว่าพลางยื่นมือหนาของตัวเองไปแตะลูบคลำเครื่องเขียนในร้าน “ใช้ของน่ารักขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย” ลินินเอ่ยขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เจย์เดนกำลังยืนเลือกปากกาลายการ์ตูนอยู่ ร่างสูงที่รู้ตัวว่าตัวเองทำเรื่องน่าอายก็หน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนจะรีบปล่อยมือออก “อะไรกัน ไม่ต้องอายหรอก ใคร ๆ ก็ใช้ของแบบนี้ดั้งนั้นแหละ” ลินินว่าก่อนจะหันหลังเดินเลือกของต่อไป แต่ก็ยังไม่วายแอบหัวเราะเขาต่ออีกนิดหน่อย เจย์เดนเห็นแบบนั้นก็หรี่ตามองเธออย่างคาดโทษ ‘เจ้ากล้าหัวเราะแวมไพร์ที่น่าเกรงขามอย่างข้างั้นหรือ!’ ว่าพลางทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยังตามติดเธอไม่ห่าง ลินินเลือกของใส่ตะกร้าเพียงสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ด้วยความที่งของเธอมีไม่มาก แต่เมื่อเดินผ่านตุ๊กตาตัวหนึ่งเข้า มันคือตุ๊กตาแดร็กคูล่าที่ในมือถือลูกฟักทองอยู่ โดยรวมมันก็น่ารักอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่มันเหมือนใครบางคนด้วย จึงถูกตาต้องใจเธอจนอยากได้เข้าไปใหญ่ อันที่จริงแล้ว การที่เธอมองตุ๊กตาตัวนี้โดยละสายตาไม่ได้ สาเหตูหนึ่งก็เป็นเพราะมันมีรูปร่างและท่าทางเหมือนเจย์เดนอย่างไรเล่า ดูเหมือนว่าช่วงนี้ใกล้เทศกาลฮาโลวีนแล้ว ในห้างจึงวางจำหน่ายของเช่นนี้ นอกจากนี้บนป้ายยังเขียนว่าลิมิเต็ดด้วย ซึ่งหมายความว่า มันมีเพียงไม่กี่ตัวบนโลกนี้ และดูเหมือนจะเป็นตัวสุดท้ายแล้วด้วยสิ... แต่ถึงอย่างนั้น ลินินก็ทำได้เพียงมองมันตาระห้อย ก่อนจะต้องจำใจร่ำลามัน แต่ความอาลัยอาวรณ์ของเธอที่มีต่อตุ๊กตานั้นหลบไม่พ้นสายตาอันเฉียบแหลมของเจย์เดน เขาพยายามภาวนาในใจว่า ‘อ้อนข้าสิ มาอ้อนข้าสิ’ ราวกับอยากให้เธอมาวิงวอนขอให้เขาซื้อให้ หากเป็นแบบนั้นเขาก็พร้อมจะควักเงินจ่ายให้ในทันที แต่ถึงอย่างนั้น ลินินก็ล่วงหน้าจากตุ๊กตาตัวนี้ไปไกลแล้ว เจย์เดนเห็นแบบนั้นก็ได้แต่เดินคอตกพลางถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย หลังจากนั้น มือหนาก็เอื้อมไปหยิบตุ๊กตาตัวนั้นแล้วเดินนำไปใส่ลงในตะกร้ารถเข็นของเธอด้วย “เอ๊ะ?” ลินินหันมองด้วยสีหน้าสงสัย เขาจะซื้อตุ๊กจาจัวนี้อย่างนั้นเหรอ? “ฉันชอบ...จะซื้อ...” ครั้นจะบอกว่าตั้งใจจะซื้อเพื่อเธอก็ทำไม่ได้อีกตามเคย “มัน...มันน่ารักดี” แต่บอกตามตรง เจย์เดนไม่ได้รู้สึกถึงความน่ารักของมันเลยแม้แต่น้อย มันก็แค่แดร็คคูล่า น่ารักตรงไหนกัน ไม่รู้ว่าทำไมลินินจะต้องอาลัยอาวรณ์มันขนาดนั้นด้วย ลินินเห็นแบบนั้นก็ได้แต่อิจฉาที่เจย์เดนสามารถซื้อมันไปครอบครองได้ แทนที่มันจะเป็นของเธอเอง หลังจากเดินไปสักพักก็ผ่านโซนเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นโต๊ะอ่าหนังสือ ลินินที่เห็นเข้าโดยบังเอิญก็มองมันด้วยความคิดที่ว่า หากได้ไปตั้งในห้องก็คงจะดีไม่น้อย “เจ้าช่วยข้าเลือกหน่อยสิ เอาโต๊ะแบบไหนดี” เจย์เดนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “จะซื้อโต๊ะใหม่เหรอ?” “อืม...อยากได้ไปตั้งในห้องทำงานอีกตัว ช่วยเลือกหน่อยสิ” ร่างสูงพาลินินเดินชมโต๊ะที่วางเรียงรายกันอยู่ในนั้น นอกจากนี้ยังให้เลือกเก้าอี้ลองมานั่งคู่กันด้วยอีกต่างหาก ว่าสูงพอเหมาะกับตัวเธอหรือไม่ แต่ลินินก็ไม่ได้เอะใจแต่อย่างใดว่าเขาตั้งใจจะซื้อให้เธอ ลินินลังเลอยู่หน้าชุดโต๊ะและเก้าอี้สองชุดที่เธอได้เลือกเอาไว้ในใจ โดยชุดหนึ่งทำจากไม้เนื้อดีราคาหลักหมื่น ส่วนอีกชุดนั้นสวยไม่แพ้กัน แต่หากเทียบกับวัสดุแล้วไม่ค่อยดีนัก ราคาจึงลดหลั่นลงมา ทำให้เธอรู้สึกลังเลใจที่จะเลือกยิ่งนัก แต่เมื่อนึกถึงระดับเจย์เดนแล้วก็ควรจะใช้ของดีสักหน่อย ระหว่างที่ลินินลองนั่ง เจย์เดนก็มองเธออย่างพิจารณา เมื่อเห็นว่ามันสูงพอดีกับสัดส่วนร่างกายของเธอจึงตัดสินใจเคาะว่าเอาเป็นโต๊ะกับเก้าอี้เซ็ตนี้แล้วกัน “ตัวนี้น่าจะดีนะ ปรับได้หลายระดับด้วย นายลองนั่งดูสิ ว่าพอดีกับตัวนายหรือเปล่า” ลินินกล่าวพร้อมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วพยายามดึงให้เจย์เดนมาลอง “ไม่ต้องหรอก เอาตัวนี้ตามที่เธอว่าแล้วกัน” จากนั้นเขาก็โบกมือเรียกให้พนักงานหาของเตรียมเอาไว้ “ครับ คุณเจย์เดน เดี๋ยวทางห้างจะจัดเตรียมของให้เรียบร้อยครับ” พนักงานชายคนหนึ่งกล่าวขึ้น เขาเป็นพนักงานระดับผู้จัดการ ในตอนแรกที่เห้นเจย์เดนก้าวเข้ามาเหยียบในร้านเขาก็คิดว่าจะเข้ามาบริการให้ระดับวีไอพี แต่เมื่อเจย์เดนเห็นแบบนั้นก็รีบยกมือหยุดเขาเสียก่อน ด้วยความอยากอยู่กับว่าที่ชายาของตนเพียงลำพังไร้ซึ่งคนรบกวน ลินินเลือกโต๊ะให้เจย์เดนเรียบร้อยแล้วก็ไปที่โซนร้านหนังสือ เพื่อหาซื้อหนังสือเตรียมสอบ เจย์เดนเห็นแบบนั้นก็แอบมองตาม ก่อนจะมองเธอเริ่มนับเงินในกระเป๋าของตัวเองอย่างน่าเอ็นดู รอยยิ้มนั้นดูอ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่เขาเคยยิ้มให้ผู้ใด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ตัวเองเลยว่ามีรอยยิ้มแบบนั้นให้กับเธอคนนี้เสียดื้อ ๆ เธอไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ยืนอยู่ในที่ของตัวเอง รอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนของเขาก็ปรากฎออกมาเสียอย่างนั้น “แบบนี้มนุษย์เขาเรียกว่าอาการคลั่งรักนะขอรับท่านชาย” ระหว่างที่ลินินกำลังเพลิดเพลินกับการเลือกหนังสือของตัวเอง เจย์เดนที่ยืนมองเธอด้วยสายตาเอ็นดูก็ไม่ทันสังเกตว่าผู้ติดตามคนสนิทอย่าง ชาร์ล โผล่มายืนข้างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อได้ยินเสียงของเขาก็สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมขึ้นแก้เก้อเขิน “คลั่งรักอะไรของเจ้า...แล้วนี่มาได้อย่างไรกัน” พยายามหลีกเลี่ยงบทสนทนาของการคลั่งรัก จึงเอ่ยถามเรื่องการมาเยือนขึ้นแทนเสียเลย “เห็นท่านชายขับรถออกมาโดยไม่บอกกล่าว ข้าซึ่งเป็นผู้ติดตามของท่านก็ต้องขับตามมาอยู่แล้วขอรับ” ว่าพลางกอดอกทำท่าภูมิใจเหมือนตัวเองเป็นผู้ติดตามที่น่ายกย่อง "เอาเถอะ เจ้ามาก็ดีแล้ว...เดี๋ยวไปทำเรื่องจ่ายเงินให้เรียบร้อย แล้วก็โทรบอกให้คนของเราขับรถมารับของพวกนี้ไปด้วย" เจย์เดนเอ่ยสั่งเสียงเข้ม แม้ภายนอกจะพยายามทำตัวปกติ แต่ในใจกลับยังพะวงว่าคนอื่นจะจับได้ ในเรื่องที่เขาแอบตามใจว่าที่ชายาของตัวเอง “อ่อ... เจ้าช่วยไปดูของตกแต่งโต๊ะเรียนให้นางด้วย ชั้นวางหนังสือ กล่องใส่อุปกรณ์เครื่องเขียน จัดเซ็ตมาให้หมดเลยนะ” ชาร์ลได้รับคำสั่งก็รีบไปจัดการ ทิ้งให้เจย์เดนคอยเฝ้ามองลินินต่อไป และสาเหตุที่ต้องให้คนในคฤหาสน์ออกมารับแทนที่จะให้พนักงานจากห้างสรรพสินค้าขับรถไปส่งเองนั้น ก็เพราะกลัวว่าพวกมนุษย์จะไปเห็นคฤหาสน์แล้วเกิดความสนใจจึงรุกล้ำความเป็นส่วนตัวกันได้อย่างไรล่ะ หลังจากชาร์ลไปจัดการเรื่องจ่ายเงินและจัดส่งของให้เจย์เดนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขอตัวล่วงหน้ากลับไปที่คฤหาสน์ก่อน ส่วนเจย์เดนก็เดินตามลินินเหมือนลูกหมา และเมื่อเธอเลือกหนังสือเสร็จแล้ว ขณะที่ลินินกำลังจะควักเงินในกระเป๋าของตัวเองมาจ่ายค่าหนังสือ รวมถึงอุปกรณ์เครื่องเขียนที่ซื้อเพิ่มเติม เจย์เดนก็หยิบบัตรเครดิตตัวเองออกมาแล้วยื่นให้พนักงานตรงหน้าโดยไม่รีรอ “เอ๊ะ นี่มันส่วนของฉันนะ” ลินินกล่าวปาม กลัวว่าเขาจะลืมว่าของพวกนี้เป็นของที่เธอเลือกสรรค์เอง ไม่ได้เกี่ยวอะกับเขาเลย “เจ้าเก็บเงินเอาไว้กินขนมเถอะ” เจย์เดนว่าแบบนั้นแล้วพาเธอเดินออกจากร้านมาพร้อมของในมือ เขาพาลินินไปทานข้าวต่อ และนี่ถือเป็นการทานอาหารนอกคฤหาสน์ครั้งแรกระหว่างพวกเขาสองคน แต่ระหว่างที่เดินอยู่ด้วยกันนั้น ลินินไม่กล้าที่จะเดินเคียงข้างเจย์เดนเลยแม้แต่น้อย เธอรู้สึกประหม่าเมื่อเห็นความแตกต่างระหว่างตัวเองกับเขา การแต่งตัวของเธอไม่ได้ดูดีนัก แถมรองเท้ายังมีรอยขาดเล็ก ๆ ดูไม่น่ามองอีกด้วย แต่เจย์เดนกลับไม่รับรู้ถึงความประหม่าของเธอเลย แถมยังพาเธอเข้าไปในร้านระดับภัตราคารอีกต่างหาก เมื่อทั้งสองกลับมาถึงคฤหาสน์ ลินินก็ขอตัวกลับขึ้นห้องพร้อมหนังสือใหม่เอี่ยมในมือเตรยมพร้อมอ่านอย่างจริงจัง แต่เมื่อขึ้นมาถึงห้อง เธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าโต๊ะและเก้าอี้ที่เธอไปช่วยเจย์เดนเลือก ได้ถูกนำมาจัดเอาไว้ในห้องนอนของเธอเอง มันสวยงามมากราวกับถูกเสกมาวางเอาไว้ตรงนั้น และเมื่อนั้นเอง เธอจึงได้ทราบความตังใจของเจย์เดนที่ไปเดินห้างในวันนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ตุ๊กตาแดร็คคูล่าตัวนั้นยังมานั่งอยู่บนเตียงของเธออีกต่างหาก ลินินรีบเข้าไปอุ้มมันขึ้นมากอด ด้วยความดีใจเธอจึงกระโดดโลดเต้นไปมา “ขอบคุณนะเจย์เดน...” เธอกล่าวลอย ๆ แต่แล้วก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ถ้าอย่างนั้นแกชื่อเจย์เดนแล้วกัน” ว่าพลางลูบหัวเจ้าแดร็กคูล่าตัวน้อยและกอดรัดฟัดเหวี่ยงมันจนหนำใจ หารู้ไม่ว่าทุกการแสดงออกของเธอนั้นอยู่ในสายตาเจ้าของคฤหาสน์อย่างเจย์เดนที่กำลังแอบยืนมองจากระเบียงข้างนอกห้องพร้อมรอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปากลินินกระโดดโลดเต้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรไปกล่าวขอบคุณเจย์เดนอย่างเป็นทางการ เมื่อนั้นเธอจึงวิ่งออกจากห้องและตรงสู่ห้องนอนของเจย์เดนโดยเร็วไว เจย์เดนซึ่งตอนแรกยืนอยู่ตรงระเบียงห้องของเธอ เมื่อเห็นว่าลินินวิ่งออกไปข้างนอก เขาก็รีบวิ่งกลับห้องตัวเองอย่างรู้ทัน ‘อยู่ในห้องหรือเปล่านะ’ ลินินยังลังเลที่จะเคาะประตู ด้วยไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายหรือเปล่า เธอจึงกอดเจ้าเจย์เดนตัวน้อยและเดินวนเวียนไปมาอยู่ตรงหน้าห้องของเขาแทน ผ่านไปสักพัก ลินินก็เริ่มใช้หูแนบไปกับบานประตู เพื่อจับเสียงที่อยู่ภายในห้องนั้น และเมื่อภายในห้องเงียบงัน เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่กล้าเคาะประตูมากขึ้นเท่านั้น ‘เข้ามาสิ เข้ามาหาข้าสิ’ เจย์เดนคิดในใจ ขณะที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูห้องของตัวเองนัก แต่เมื่อผ่านไปสักพัก ก็ไร้วี่แววว่าคนข้างนอกจะเปิดเข้ามา ทั้งที่กลิ่นของเธอยังคงเด่นชัดว่าอยู่ตรงหน้าห้องของตน ‘เหตุใดนางจึงไม่เข้ามาหาข้า!’ ด้วยความฉุนเฉียวชั่วขณะ มือหนาจึงดึงเปิดบานประตูออกทันใด ซึ่งการกระทำนี้ทำให้ลินินที่กำลังแนบหูไปกับบานประตูอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเซถลาเข้าไปในเขตห้องขอ
ลินินพยายามจะไม่คิดเรื่องของเขา แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ จึงลุกขึ้นไปถามชาร์ล ที่มีฐานะเป็นถึงคนสนิทของเขา ชาร์ลได้ยินเธอเอ่ยถามก็อดดีใจแทนท่านชายของตนเสียไม่ได้ "ท่านชายอยู่บนห้องขอรับ แต่ช่วงนี้งานหนัก ท่านจึงอ่อนแรงไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ จึงไม่ได้ลงมาหาคุณหนูขอรับ" "เอ่อ...ฉันไม่ได้หวังให้เขามาหาสักหน่อย" เอาเป็นว่าหญิงสาวก็ปากแข็งพอตัว แต่สิ่งที่ชาร์ลบอกกบ่าวก็ทำให้เธออดเป็นกังวลเสียไม่ได้ ในกลางดึกคืนนั้น ลินินจึงแอบย่องไปหน้าห้องของเจย์เดน ฝีเท้าเบาเฉียบดุจแมวย่องเบา แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เธอซุกซ่อนตัวจากเจ้าของคฤหาสน์ได้เลยแม้แต่น้อย ใบหน้าหล่อยกยิ้มขณะที่นั่งหลับตาอยู่บนเตียง แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเธอสักเท่าไหร่ ด้วยแวมไพร์อ่อนแรงนั้นกระหายเลือดมนุษย์มากนัก เขาจึงอยากเลี่ยงที่จะพบเธอให้ถึงสุด แต่แล้วความตั้งใจนั้นก็พังลง เมื่ออยู่ ๆ ลินินก็เปิดประตูแง้มออก เห็นแบบนั้นมือหนาก็รีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาบดบังร่างของตัวเองทันที บอกตามตรง สภาพของเขาตอนนี้หากเธอได้เห็นคงต้องหวั่นใจเป็นแน่ ดวงหน้าหล่อเส้นเลือดปูดโปนอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาช้ำเลือดข้างหนึ่ง พร้อมมีเขี้ยวงอกออกมา
เช้าวันต่อมา ถึงแม้ว่าจะเป็นวันหยุดแต่ลินินก็ยังตื่นแต่เช้าตามความเคยชิน หลังจากลุกทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยเธอก็เดินลงมาข้างล่าง แต่แล้วก็พบว่าโต๊ะทานอาหารตรงตำแหน่งของเจย์เดนไร้ซึ่งเงาเจ้าของของมันอีกแล้วทำไมกัน...นี่มันสองวันติดแล้วนะ หรือว่าเขาจะไม่อยากร่วมโต๊ะทานอาหารกับเธอกันแน่ ลินินแอบคิดด้วยความน้อยเนื้อตำใจ เช่นนั้นแล้วเรื่องที่เธอแอบดีใจเมื่อคืนนี้ เธอเพียงคิดไปเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่าถึงจะคิดแบบนั้นแต่สายตาก็ยังกวาดหาเจ้าตัวจนทั่ว เหตุใดเธอจึงต้องรู้สึกว้าวุ่นใจกัน เฮ้อ ไม่เอาสิลินิน วันหยุดพักผ่อนแท้ ๆ หากมัวมานั่งเรียกร้องหาเขาเช่นนี้คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดีเมื่อคิดได้เช่นั้นเธอก็ส่ายศีรษะสลัดความคิดภายในใจออกไป และถึงแม้เจย์เดนจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ชาร์ลผู้ติดตามคนสนิทของเขาก็ยังคอยตามติดเธอไม่ห่างไปไหน เพราะเขาได้รับคำสั่งให้คอยดูแลเธออย่างไรล่ะและมีหรือ...ที่ท่าทางว้าวุ่นของลินินจะรอดพ้นสายตาอันฉียบแหลมของเขาไปได้ ชาร์ลยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาราวกับรู้ใจเธอ“ท่านชายไปเข้าประชุมกับคู่ค้าของบริษัทขอรับ”ลินินพยักหน้ารับทราบด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย แต่แล้วก็
หลายวันผ่านไป หลังจากเลิกเรียนในวันศุกร์และกลับมาถึงคฤหาสน์เป้นที่เรียบร้อย ลินินก็รีบวิ่งตามเจย์เดนที่กำลังเดินฉับ ๆ ไปยังห้องทำงานของเขาแล้วขออนุญาตเรื่องสำคัญกับเขา “พรุ่งนี้ขอออกไปทำรายงานกับเพื่อนได้หรือเปล่าคะ”เจย์เดนได้ยินแบบนั้นก็หยุดเดินลงกะทันหัน ยกแขนขึ้นกอดอกพร้อมส่งสายตาคมกริบจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าทันที “เพื่อนเจ้าผู้หญิงหรือผู้ชาย” สายตาคมกริบจ้องมองเธออย่างคาดโทษ จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ลืมเรื่องคำอธิษฐานที่โบสถ์ และชาตินี้ก็จะไม่มีวันลืมด้วย!“ผู้…หญิง…” ลินินตอบกลับไปด้วยความลังเล เธอไม่กล้าบอกตามตรงว่าอาจารย์จับคู่กับเพื่อนผู้ชายให้ ด้วยสายตาของเขานั้นราวกับจะเชือดเฉือนเธอให้ตายคาที่แบบนั้น ใครจะไปกล้าตอบอะไรที่เข้าข่ายว่าจะขัดใจเขากันเล่า“ถ้าเจ้ากล้าหลอกข้า แล้วข้าจับได้ ซึ่งได้แน่นอนเพราะเจ้าจะอยู่ในสายตาของข้าตลอด ถ้าเป็นแบบนั้นข้าจะไปหักคอเพื่อนเจ้าซะ!”“ผู้ชาย…” รีบเปลี่ยนคำตอบทันควันด้วยความจำนน“แล้วไปทำที่ไหน ห้ามไปที่บ้านมันเด็ดขาด” ประกาศกร้าวเหมือนตัวเองจะไปทำเองอย่างนั้นแหละ “หรือเจ้าจะพามันมาที่นี่ก็ได้นะ”“ได้เหรอ (‘ ‘)?” ถามด้วยความใสซื่อ“ได
หลังจากกลับมาถึงคฤหาสน์ ลินินก็พบว่าบริเวณลานจอดรถมีรถหรูที่ไม่คุ้นเคยจอดอยู่คันหนึ่ง แต่ก่อนที่จะทันได้สงสัยไปมากกว่านี้ ก็ปรากฎภาพหญิงสาวผมสีบลอนด์ท่าทางดูสง่าวิ่งยิ้มร่าเข้ามา“เจย์เดน...” เสียงแหลมเอ่ยเรียกตั้งแต่บริเวณหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ ก่อนจะรีบวิ่งตรงเข้ามาเกาะแขนเจย์เดนด้วยท่าทีออดอ้อน “ไม่เจอกันนานเลย ทำไมเดี๋ยวนี้เจ้าไม่ไปหาข้าที่บ้านเลยล่ะ”“ไง อลิเซีย”หญิงสาวเจ้าของชื่อยิ้มร่าเมื่อได้ยินเจย์เดนทักทาย แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นเมื่อเห็นว่าลินินลงมาจากรถที่เจย์เดนเป็นคนขับ“นังนี่ใครกัน” เธอส่งสายตาแดงฉานใส่ ทำเอาลินินถึงกับผงะถอยหลังเจย์เดนไม่ตอบอะไร ด้วยความที่เขารู้ดีว่าอลิเซียนั้นคลั่งไคล้ในตัวเขามากขนาดไหน หากบอกไปว่าลินินคือว่าที่ชายาของตนตามตรง มีหวังลินินคงโดนอลิเซียฉีกทึ้งร่างเป็นแน่“เจ้ามีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ” เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถามเรื่องนั้น จึงถามเรื่องของอลิเซียขึ้นแทน ประหนึ่งว่าใส่ใจเรื่องของเธอมากกว่าแทน แต่มว่าน้ำเสียงของเขากลับดูไม่ค่อยอยากต้อนรับคนตรงหน้าสักเท่าไหร่เนี่ยสิ“ข้าคิดถึงเจ้า” เจ้าหล่อนก็บอกตามตรงอย่างไม่อายปาก ลินินเลิกคิ้วขึ้นทันทีเมื
ตกปากรับคำเป็นที่เรียบร้อย ลินินกลับขึ้นไปเก็บข้าวของในห้องนอนเดิมของตัวเอง แต่ถึงจะขุ่นเคืองเจ้าแวมไพร์ตัวโตที่ทำตัวผีเข้ามากเพียงใด เธอก็ยังหยิบเจ้าเจย์เดนตัวน้อยติดมือไปด้วย ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเธอติดมันไปแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นตุ๊กตาที่สื่อถึงบุคคลที่ใจร้ายใส่เธอก็ตามไม่นานนัก เธอก็ลงมาถึงห้องนอนชั้นใต้ดิน อากาศที่หนาวเย็นจัดยิ่งลงมาชั้นใต้ดินซึ่งปราศจากฮีทเตอร์ ก็ยิ่งสร้างความทรมานให้เธอเป็นเท่าตัวแต่เจย์เดนกลับไม่ได้วิเคราะห์เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ด้วยความที่คุ้นชินกับการอาศัยอยู่อย่างแวมไพร์ พวกเขาไม่ค่อยสนใจสภาพอากาศเป็นหลักสักเท่าไหร่ เนื่องจากอากาศพวกนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกรู้สาแต่อย่างใดหากแต่ลินินเป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น…ระหว่างที่กำลังเก็บข้าวของลงไป สาวใช้คนสนิทของเธออย่าง เบล ก็เข้ามาช่วยเหลือ เธอได้แต่มองลินินด้วยสีหน้าทนทุกข์ไม่แพ้กัน“ท่านชายทำเกินไปนะเจ้าคะ” เบลนั้นอดต่อว่าการกระทำของเจ้านายตัวเองเสียไม่ได้ ถึงแม้ในคฤหาสน์หลังนี้เขาจะมีอำนาจมากล้น แต่การกระทำเช่นนี้ต่อว่าที่ชายาของตน ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องต่างพูดว่ามันไม่เหมาะสมทั้งนั้นแหละ“ช่างเถอะ เขาจะสั่งให้ทำอ
กระทั่งยามดึกสงัด เจย์เดนลุกขึ้นมาเพื่อวัดไข้ให้ลินินอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอุณหภูมิร่างกายของเธอลดลงแล้ว เขาก็ทิ้งตัวลงนอน แต่อย่างที่บอกว่าแวมไพร์เช่นพวกเขาไม่จำเป็นต้องหลับนอนแต่อย่างใด เพราะฉะนั้น เขาจึงม่ได้หลับใหลเช่นที่ทุกคนเข้าใจ เพราะถึงแม้ดวงตาจะหลับลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจนแขนแกร่งเอื้อมไปโอบกอดร่างบางดั่งเดิมอีกครั้ง พลางในจิดว่า เธอช่างเป็นหมอนข้างที่กอดได้ลงตัวเหลือเกิน มือหนาประคองศีรษะของเธอขึ้นเพื่อให้นอนหนุนบนแขนของตนแทนนิ้วเรียวยาวเกลี่ยผมที่ปกดวงหน้าสวยอยู่เล็กน้อยออก ใบหน้าของเธอสงบนิ่งยามหลับใหล แต่ให้ความรู้สึกดึงดูดใจเขาอย่างน่าประหลาด“แม่คะ...” อยู่ ๆ เสียงหวานก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ดูเหมือนว่าจะครางเรียกหาผู้เป็นแม่ ทั้งดวงหน้าเล็กที่ยับยู่ มือเล็กกำผ้าห่มแน่น ทำให้ร่างสูง ต้องผงกหัวขึ้นมาดูอาการของเธออีกครั้งหลังจากที่ทิ้งศีรษะลงไปบนหมอนเรียบร้อยแล้ว“ฝันร้ายเหรอ?” เจย์เดนกระซิบข้างหูของเธอเบา ๆ พลางใช้มือหนาลูบศีรษะของเธอไปด้วยเพื่อเป็นการปลอบ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ดวงหน้าสวยเหงื่อแตกพลั่กอีกครั้ง หันซ้ายหันขวาราวกับกำล
ลินินกลับลงไปยังห้องใต้ดินอีกครั้ง เหตุเพราะเจย์เดนยังไม่ได้สั่งงานอะไรเพิ่ม เธอจึงลงมานั่งพักทบทวนความว้าวุ่นใจของตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพัง “คุณหนู ถึงเวลาทานมื้อเช้าแล้วเจ้าค่ะ” เบลมาตามถึงห้อง ด้วยเห็นว่าลินินไม่อยู่ข้างบน จึงคาดการณ์เอาไว้ว่าเจ้านายของเธอจะต้องลงมาอยู่ข้างล่างเป็นแน่ และเป็นไปตามคาด “ให้พวกเขากินกันไปก่อนเลย ยังไงข้าก็ไม่มีสิทธิ์นั่งร่วมโต๊ะอยู่แล้ว ไม่ต้องรอข้าหรอก” ลินินกล่าวแบบนั้น เบลก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับคำสั่งแล้วนำความนี้ไปบอกเจย์เดน ร่างสูงใบหน้าหล่อเหลานั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ บ่งบอกถึงตำแหน่งผู้นำตระกูล ในคราแรกสีหน้าของเขาดูองอาจยิ่งนัก แต่เมื่อเบลนำความจากว่าที่ชายาของเขามาบอกกล่าว สีหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นสลดใจทันที “ไปบอกนางว่าข้าสั่งให้ขึ้นมาทานด้วยกัน...” เขาทราบดีว่าสิ่งที่ตนทำลงไปเมื่อวานนี้มันผิดมหันต์ ถึงตอนนี้จึงอยากให้เธอมานั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่แล้วน้ำเสียงประชดประชันก็ดังขึ้นจากตรงตำแหน่งเก้าอี้ทางฝั่งซ้ายของเขาเสียก่อน “ในเมื่อนังชั้นต่ำนั่นไม่อยากมานั่งร่วมโต๊ะด้วย เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องใส่ใจไปหรอก-
ในเช้าวันหนึ่งหลังมื้ออาหาร อยู่ๆ ลินินก็ได้รับสายจากบริษัทว่ามีธุระเร่งด่วนต้องเข้าไปเจรจากับทางโรงงานฝ่ายผลิต ด้วยแบบเสื้อผ้าที่โรงงานจัดทำตัวอย่างรุ่นแรกออกมามันผิดไปจากแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้มากคิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจัดการบอกเลขาว่าเดี๋ยวจะเข้าไปที่โรงงานด้วยตัวเอง“ดูเหมือนต้องไปที่โรงงานเองแล้วล่ะ แบบที่ส่งมามันไม่ตรงกับที่สั่งไว้เลย” เธอบ่นให้สามีฟังขณะที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเจย์เดนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ทำหน้าฉงน “เจ้าสั่งเลขาไปแทนก็ได้หนิลินิน ไม่เห็นต้องไปเองเลย ทำไมต้องเหนื่อยเองด้วย?” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าคัดค้านสุดตัวลินินจึงหยุดมือจากการเตรียมเอกสารแล้วหันมามองมาทางเขาอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมสามีเธอจึงมีทีท่าเช่นนั้น“ก็เพราะเป็นแบรนด์ของฉันไง ฉันก็เลยอยากเข้าไปดูเอง”ได้ยินแบบนั้นเจ้าแวมไพร์ก็เริ่มขยับตัวเหมือนอยู่ไม่สุข สีหน้าของเขาเริ่มออกอาการกังวล ส่วนภรรยาตัวน้อยของเขาก็จับจ้องมองตามท่าทีนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยสงสัยว่าสามีเป็นอะไรไป“แต่เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้นี่นา ข้าแค่…แค่คิดว่าเจ้าควรพักบ้าง” ว่าจบก็ส่งมือหนาเข้ามากอบกุมมือเรียวของเธออ
ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเจย์เดนมาถึงพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ ทั้งสี่ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผู้ใหญ่ในครอบครัวอดตกใจเสียไม่ได้“ลินิน เจ้านี่เก่งเหลือเกิน” ท่านแม่เอ่ยชมขณะมองดูหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ “ของข้าแค่คนเดียวก็ลมแทบจับแล้ว” ลินินยิ้มตอบ ขณะเดียวกันนั้นเจย์เดนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นในทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ตัวเอง “อะไรกันท่านแม่ ข้าเลี้ยงยากเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไลเรนได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เลี้ยงยากมาก เจ้าดื้อมากตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว” “ดื้อเหรอคะ?” ลินินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ไม่เห็นเคยรู้เลย” เธอนึกภาพเจย์เดนผู้มีท่าทีสงบนิ่งกลายเป็นเด็กดื้อไม่ออกเลยจริง ๆ แต่ถ้าหากเรื่องความขี้แกล้ง อันนี้พอจะรู้อยู่บ้างแล้วล่ะเจย์เดนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่ได้ดื้ออะไรสักหน่อย ท่านแม่น่ะพูดเกินไป”“งั้นเหรอ?” ท่านแม่ส่งยิ้มพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเจย์เดน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเล่าเรื่องสมัยที่เจย์เดนยังเป็นเด็กขึ้น “แล้วใครกันที่ปีนต้นไม้หนีออกจากบ้านเพร
บังเอิญว่าในวันนี้ลินินจะต้องไปตรวจงานออกแบบเสื้อผ้าที่บริษัทของเธอ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พร้อมจะออกเดินทางเจย์เดนในเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยมาดเข้ม "เจ้าจะไปนานไหม?" เขาถามลินินพร้อมย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือหนาออกไปช่วยสวมรองเท้าให้เธอ"ไม่นานหรอก นายอยู่ดูเด็ก ๆ ไหวใช่ไหม?" ลินินหันมายิ้มให้เล็กน้อยเจย์เดนพยักหน้ามั่นใจ "ข้าเป็นแวมไพร์นะ เลี้ยงเด็กแค่นี้จะไปยากอะไร" ใบหน้าหล่อแสยะยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจลินินเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะนิดหน่อย "งั้นฝากด้วยนะ อย่าให้พวกเขาทำบ้านพังล่ะ""บ้านทนจะตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย" เขาพูดติดตลก พร้อมยกมือโบกให้ลินินก่อนที่เธอจะเดินออกไปตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย เด็ก ๆ นั่งวาดรูปอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่นานนัก เรย์เน่เริ่มบ่นว่าเบื่อและอยากเล่นซ่อนแอบ"ท่านพ่อ เล่นซ่อนแอบกับพวกเราไหมคะ" ไม่เพียงแค่เอ่ยถาม ยังส่งสายตาแวอย่างออดอ้อนมาให้เจย์เดนอีกต่างหากร่างสูงที่นั่งเฝ้าลูก ๆ พร้อมทำงานไปด้วยก็ชายตาขึ้นจากกองงาน ก่อนจะตอบรับ "ได้สิ นับสิบนะ"ยังไม่ทันจะเริ่มนับ เด็ก ๆ ทั้งห้าก็วิ่งวุ่นหาที่ซ่อนไปทั่วคฤหาสน์
เช้าวันหนึ่งลินินตื่นขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ยังหลับอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะทำข้าวกล่องไปให้สามีที่บริษัท จึงรีบเร่งเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน“ทำเสต๊กแล้วกัน” เธอว่าพลางตัดชื้นเนื้อแล้วจับมันพลิกใส่เตาย่าง เมื่อสุกได้ที่แบบกลาง ๆ แล้ว ก็นำมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำ และพร้อมเริ่มเตรียมอย่างอื่นต่อไปแต่ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลูก ๆ ทั้งสี่ เจย์เนส เรย์เน่ เคย์ลิส และไลเอนน์ ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าเสียก่อน"ท่านแม่ทำอะไรเหรอครับ/คะ?" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ย ถามอย่างตื่นเต้น และเมื่อทราบว่าท่านแม่ของพวกเขากำลังจะทำรู้ข้าวกล่องไปให้ท่านพ่อที่บริษัท ทุกคนก็ดูเหมือนอยากจะช่วยกันคนละไม้คนละมือขึ้นมาในทันทีแต่แทนที่การช่วยจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิมเสียอย่างนั้นเจย์เนสที่เป็นพี่ใหญ่สุดพยายามช่วยลินินหั่นผลไม้ แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่จึงหั่นออกมาได้ไม่ค่อยเท่ากันนัก บางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะยัดลงปากได้ ส่วนบางชิ้นก็บางเฉียบจนแทบไม่ไต้องเตี้ยวกันเลย จนลินินต้องเข้ามาแก้ให้ส่วนเรย์เน่ คนนี้ชื่นชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับหน้าที่ยืนแต่งจานสลัด แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก จึงใส่ใ
นานวันเข้า เจย์เนสและเรย์เน่ก็เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเข้าแล้ว ส่วนน้องน้อยของพวกเขาตอนนี้ก็คล้ายกับเด็กมนุษย์ในช่วงวัยห้าขวบ และใช่ ทั้งมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงปีเป็นอย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าพวกเขาจะโตไวและเรียนรู้เร็วมาก เจย์เดนกับลินินจึงจ้างครูมาคอยสอนพวกเขาที่บ้านด้วย เนื่องจากเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆนอกจากนี้ เมื่อเริ่มโตขึ้น การติดแม่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นน้อง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนเจย์เนสในวัยหนุ่มน้อยเริ่มสนใจการอ่านหนังสือในห้องเงียบ ๆ หรือออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ที่ท่านพ่อของเขาจ้างมาฝึกส่วนตัวเสียมากกว่ามาขลุกอยู่ในห้องกับน้อง ๆ และนอกเหนือจากนั้นนิสัยก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนผู้เป็นพ่ออย่างไม่ทิ้งห่างส่วนเรย์เน่ก็เริ่มมีความสนใจในเรื่องศิลปะและดนตรี บ่อยครั้งเธอจะเก็บตัวฝึกซ้อมเปียโนหรือวาดภาพในมุมของตัวเอง "ช่วงนี้ส่งไม้ต่อให้น้อง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเหงาเลย"ลินินได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ถึงก็ยังมีสมาชิกตัวโตที่ดูเหมือนจะคอยมาแย่งแม่ของพวกเขาอยู่ตลอด
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเข้าจนได้ เมื่อลินินส่องกระจกและเริ่มเห็นหน้าท้องที่ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้น“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายจนลงพุงหรือยังไงกันเนี่ย” เธอพึมพำ แต่แล้วก็นึกถึงตอนที่ตั้งท้องสองแฝดขึ้นมาได้ ว่ามันก็เริ่มต้นเช่นนี้นอกจากนี้เมื่อสังเกตอาการไปนานวันเข้า ยังมีอาการพะอืดพะอมร่วมด้วยอีกต่างหาก อาการนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจย์เดนต้องตัดสินใจพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลในที่สุด“ซูบผอมลงอีกแล้วนะขอรับท่านหญิง” ท่านหมอเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม"ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะกินเยอะไป อาหารก็เลยอาจจะไม่ย่อย แต่พอเห็นว่าผอมลงแล้วท้องป่องเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะ..." ลินินพูดเสียงเบาขณะที่ท่านหมอก็อัลตร้าซาวน์บริเวณหน้าท้องของเธอไปพลาง“ขอรับ ตั้งครรภ์อีกแล้ว..." ท่านหมอยืนยันความคิดของเธอเจย์เดนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลันหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลา ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องไปยังหมอหลวงราวกับอยากจะให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไป "ปกติแล้วแวมไพร์จะตั้งครรภ์ได้ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ?"“นั่นน่ะสิ” แววตาคู่สวยของลินินก็จับจ้องใบหน้าของท่านหมอด้วยความฉงนเช่นกัน พร้อมกับหันมองสามีของตน
หลังจากเจย์เนสและเรย์เน่เริ่มรู้ความ ภายในบ้านก็เริ่มวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย โดยเฉพาะเรื่องที่แฝดทั้งสองติดลินินมากจนถึงขั้นที่ว่าต้องจัดตารางว่าใครจะได้นอนกับแม่ในวันไหนกันเลยทีเดียวภายในห้องนั่งเล่น เด็ก ๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้นก่อนจะวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะราวกับภูมิใจนำเสนอให้ลินินที่นั่งอยู่ในห้องนั้นได้ดูมัน"ตารางเวรนอนกับแม่" ลินินอ่านตัวหนังสือที่จ่าอยู่บนนั้นที่เรย์เน่และเจย์เนสช่วยกันออกแบบด้วยลายมือเด็ก ๆ ของพวกเขา นอกจากนี้ยังแบ่งช่องพร้อมใส่ชื่อตัวเองอย่างเสร็จสรรพด้วย"ใช่ค่ะ พวกเราจะได้ไม่ต้องแย่งกันว่าใครจะนอนกับท่านแม่วันไหน”“แม่นอนกับพวกลูกได้ทุกวันทั้งคู่อยู่แล้ว” ลินินอธิบาย แต่แล้วก็ได้รับการส่ายศีรษะตอบกลับจากพวกเด็ก ๆ“แต่ท่านแม่นอนตะแคงกอดพวกเราได้แค่คนเดียว เพราะฉะนั้นแบ่งเป็นวันแบบนี้เนี่ยะแหละครับดีแล้ว” เจย์เนสยังคงยืนกรานว่าจะจัดตารางแบบนี้ โดยมีน้องสาวฝาแฝดอย่างเรย์เน่พยักหน้าหงึกหงักอยู่ข้าง ๆ“วันนี้เป็นวันของพี่เจย์เนสนะ” เรย์เน่พูดขึ้นอย่างจริงจัง หลังจากมองดูตารางในมือ “พรุ่งนี้เป็นวันของน้อง” เธอเสริมพลางยิ้มกว้างให้พี่ชายเจย์เนสพยักหน้าใบหน
“เจ้าปีศาจยักษ์ ส่งตัวราชินีของข้ามา ไม่อย่างนั้นโดนดีแน่!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัยหนี่งขวบ (?) ดังลั่นไปทั่วขณะที่ถือดาบไม้ไล่ฟาดฟันพ่อของเขาใช่แล้ว อย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าลูกแวมไพร์นั้นโตเร็วและ แต่ก็ไม่คิดว่าเพียงหนึ่งปีจะโตถึงขนาดเล่นอัศวินกับท่านพ่อของพวกเขาได้แล้ว!ช่วงเดือนแรก หากเป็นทารกมนุษย์ทั่วไป ก็คงไม่ส่งเสียงพูดอ้อแอ้ใช่ไหมล่ะ แต่บ้านนี้ส่งเสียงได้ตั้งแต่หนึ่งเดือนหลังคลอด เรื่องนั้นว่าตกใจแล้ว แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาเริ่มคลานได้ในเดือนที่สอง และตั่งท่าเดินได้เสร็จสรรพในระยะเวลาเพียงหกเดือน! ทำเอาท่านแม่อย่างลินินตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นลูกโตวันโตคืนชนิดที่ว่าไม่ต้องสอนให้ตั้งคลานหรือยืนตั้งไข่เลย พวกเขาทำได้เองตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีก็ถือดาบวิ่งไล่ฟันเจย์เดนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วและในตอนนี้ หากนับตามลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ สองแฝดเหมือนเด็กอายุสี่ขวบเข้าให้แล้วล่ะ“ไม่ส่งคืนหรอก นี่ราชินีของข้า” แต่ดูเหมือนคนเป็นพ่อจะไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่นัก ดูจากที่เล่นกับลูกชายอย่างมีความสุขแล้วอยู่ ๆ ร่างสูงใช้สองแขนแกร่งช้อนตัวของลินินท
หลายเดือนต่อมา ท้องของลินินก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และอีกไม่นานก็จะถึงวันกำหนดคลอดของเธอแล้ว ถึงแม้จะตั้งครรภ์เพียงสี่เดือนครึ่ง อุ้มท้องไม่นานเท่าอายุครรภ์ของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายไปกว่ากันหรอก เพราะข้างในเป็นแวมไพร์เด็กที่เมื่อเวลาดิ้นทีก็ทำผู้เป็นแม่แทบลมจับเลยทีเดียว “ลินิน ข้าต้องออกไปบริษัท พอดีมีโครงการจะซื้อเครื่องบินลำใหม่ ต้องไปฟังความคิดเห็นคณะผู้บริหารด้วย เจ้าอยู่คนเดียวสักพักได้ไหม” จะว่าไปแล้ว ช่วงใกล้คลอดนี้เจย์เดนจับตาดูภรรยาทุกฝีก้าวเสียยิ่งกว่าช่วงแรกเสียอีก จะขยับแต่ละทีก็จะต้องมีเขาคอยช่วยประคองอยู่ตลอด ลินินที่ได้ยินสามีเอ่ยแบบนั้นก็พยักหน้าเหมือนว่ารับทราบ “นายไปเถอะ ฉันอยู่ได้ ไม่ต้องห่วง” โชคยังดี เพราะด้วยความที่ใกล้ครบกำหนดคลอดแล้ว แม่สามีจึงอาสาว่าจะมาช่วยดูแลเธออย่างใกล้ชิดอีกแรงด้วย นั่นทำให้เจย์เดนที่ข่วงนี้งานรัดตัวรู้สึกวางใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เป็นห่วงหรอกนะ “ห้ามดื้อนะรู้ไหม” ว่าจบเขาก็กดนิมฝีปากลงบนหน้าผากของเธอประหนึ่งว่าคนตรงหน้าคือสิ่งที่น่าทะนุถนอมที่สุดในโลก “สภาพนี้ฉันดื้อไม่ไหวหรอก” เธอกล่าวระคนติดตลก แ