“ทางโรงครัวส่งสำรับอาหารมาครบทุกมื้อ แต่ข้าอยู่ว่างๆ จึงทำอะไรเล่น ท่านแม่ทัพลองชิมดูนะเจ้าคะ”
นางเกรงว่าเขาจะตำหนิผู้อื่น ปกตินางอยู่ที่จวนสกุลจ้าวก็เข้าครัวทำอาหาร ทั้งของตัวเองและน้องๆ รวมทั้งของผู้อื่น ยามมารดายังมีชีวิตอยู่ เพราะมีบุตรชายจึงไม่ค่อยมีใครกล้ารังแก แต่เมื่อมารดาตายและน้องยังเล็ก น้องชายคนรองอายุสิบสองขวบ คนเล็กเพียงหกขวบ นางจึงต้องเข้มแข็งดูแลน้องๆ ด้วยตนเอง
กู้ตงหยางชิมน้ำแกงหัวปลา หลังกลืนน้ำแกงลงท้องแล้วรู้สึกสบายตัว นอกจากอาหารอุ่นร้อนพอดีแล้วยังให้รสชาติกลมกล่อมอีกด้วย
จ้าวจื่อรั่วเห็นเขากินไปหลายคำจึงใจชื้น กล้าเอ่ยถามเขา “ท่านแม่ทัพจะรับข้าวไหมเจ้าคะ ยังมีปลาผัดเปรี้ยวหวานกับ ผัดผักเจ้าค่ะ”
เขาพยักหน้าแทนคำตอบรับเพียงแค่นั้นหญิงสาวก็หมุนตัวเดินออกไป เขาแปลกใจที่นางไม่เรียกคนรับใช้ ก็นึกได้ว่า เสี่ยวฉู่อุ้มแพะไปเก็บ แต่นางก็ใช้เวลาไม่นาน อาหารก็วางบนโต๊ะ แม้เป็นอาหารง่ายๆ แต่เลิศรสไม่น้อย เขาเองยังไม่กินมื้อเย็นจึงเผลอกินเข้าไปจนเกลี้ยงทุกอย่างจึงนึกได้ว่า... อาหารบนโต๊ะเป็นของนาง ครั้นจะถามก็ปากหนักเกินไป จึงได้แต่ทำหน้านิ่งและรับน้ำชาจากนางมาดื่ม
“ไม่รู้ว่าคนสกุลจ้าวกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหนถึงกล้าส่งสาวใช้มาเป็นฮูหยินแม่ทัพใหญ่เช่นข้า”
จ้าวจื่อรั่วได้ยินพลันชะงักมือไปเล็กน้อย แต่ยังส่งผ้าเปียกให้เขาเช็ดมือ
“เป็นเพราะราชโองการของฮ่องเต้ หากไม่แล้ว ข้าเป็นเพียงลูกอนุไม่อาจเอื้อมตำแหน่งสูงส่งนี้” นางกล่าวอย่างเจียมตัว “แต่ท่านวางใจได้ ข้าจะอยู่ในที่ของตนเองอย่างสงบเจ้าค่ะ”
‘อยู่ในที่ของตัวเอง’
เขาแค่นหัวเราะในลำคอแล้วยื่นหน้าไปใกล้หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“เจ้าติดค้างข้า ไม่ว่าจะเล่นลิ้นอย่างไร เจ้าย่อมรู้ดีว่าสกุลจ้าวปลิ้นปล้อน อย่าได้หวังว่าจะได้อยู่อย่างสุขสบายเลย”
พูดจบชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นเดินจากไปอย่างรวดทิ้งให้หญิงสาวนั่งเพียงลำพัง แม้จเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็อดเศร้าใจไม่ได้
ชีวิตนางจะได้พบความสุขเช่นคนอื่นบ้างไหม.
“ขนมดอกกุ้ยของฮูหยินนี่อร่อยยิ่งนัก”
“พวกเจ้านี่ก็อย่างไรกัน ปล่อยให้ฮูหยินเข้าครัวแล้วพวกเจ้านั่งกิน!”
“ก็ฮูหยินไม่ให้เราช่วยนี่”
“ยังจะเถียงอีก”
“เอาเถิด เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง”
จ้าวจื่อรั่วหัวเราะน้อยๆ มองดูบ่าวไพร่ในครัวพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง หลังจากอยู่ที่นี่มาหนึ่งเดือน นางสนิทสนมกับทุกคน จดจำชื่อและตำแหน่งหน้าที่ของแต่ละคนได้ ยิ่งได้รู้ ยิ่งนับถือแม่ทัพกู้ตงหยาง ภาพนอกดูโหดเหี้ยมแต่แท้ที่จริงห่วงใยผู้อื่น เหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนเป็นญาติพี่น้องของคนในกองทัพที่ไม่มีที่ไป บางคนบาดเจ็บพิการไม่มีญาติพี่น้อง ท่านแม่ทัพก็ให้อยู่ในจวน ทำงานเล็กๆ น้อยๆ มีหญิงหม้ายที่สามีตายในสนามรบและไม่มีที่ไปก็มาอยู่ช่วยงานในจวน หากบางคนอยากออกไปตั้งตัว ท่านแม่ทัพก็ให้พ่อบ้านจัดการดูแลต่อไป
แม้เขาไม่เห็นนางเป็นภรรยา แต่สำหรับนาง เขาคือสามีสุดประเสริฐ นับว่าเป็นวาสนาของนางนัก หญิงสาวตั้งใจจะทำหน้าภรรยาที่ดีชดเชยที่ตระกูลจ้าวส่งลูกอนุต่ำต้อยเช่นนางมาเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพใหญ่ แทนที่จะเป็นบุตรสาวภรรยาเอกผู้เลอโฉมผู้นั้น
“อาหารที่ฮูหยินทำเลิศรสมาก ข้าแอบเห็นท่านแม่ทัพเติมข้าวตั้งสองถ้วย” เสี่ยวฉู่พูดด้วยท่าทีตื่นเต้น แต่ถึงกระนั้นคนทั้งจวนก็รู้ว่ามีแต่ท่านแม่ทัพที่หมางเมิน
“วันๆ ไม่เห็นมาหาฮูหยิน เอาแต่สนใจสตรีชุดแดงผู้นั้น” เสี่ยวฉู่พูดอย่างน้อยใจ ฮูหยินดีถึงเพียงนี้ ทำไมท่านแม่ทัพไม่เหลียวแลภรรยาของตน
“เสี่ยวฉู่!” แม่ครัวหันมาตำหนิสาวใช้ แต่คนอื่นก็ลอบมองสีหน้าฮูหยิน แม้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าแต่ท่าทีขมขื่นไม่น้อย
“ฮูหยิน ท่านอย่าคิดมากนะเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพของเรา ปกติเป็นคนใส่ใจผู้อื่น คงเห็นว่าแม่นางผู้นั้นน่าสงสารจึงดูแลเป็นพิเศษ”
นางจะไปมีสิทธิ์รู้สึกอะไรได้ แค่เขาไม่เอาเรื่องที่ถูกเปลี่ยนตัวเจ้าสาวก็นับว่าดีมากแล้ว
“ฮูหยินขอรับ บ่าวมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือขอรับ”
“มีเรื่องใดรึ ถ้าข้าช่วยได้ย่อมทำสุดกำลัง”
“เป็นเรื่องของท่านแม่ทัพขอรับ” พ่อบ้านมีสีหน้าหนักใจ แล้วเชิญฮูหยินออกมาสนทนาด้านนอกห้องครัว
“ที่นี่ไม่มีผู้อื่นแล้ว พ่อบ้านพูดมาเถิด” จ้าวจื่อรั่วร้อนใจ
“หมอทหารกำชับให้บ่าวดูแลท่านแม่ทัพให้ดี ท่านแม่ทัพกรำศึกมานาน มีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง แต่เรื่องนี้ย่อมให้ผู้อื่นรู้มิได้”
“ข้าเข้าใจ ข้าจะเก็บเป็นความลับ”
ได้ยินดังนั้น พ่อบ้านก็มีสีหน้าดีขึ้นและรีบพูดต่อ
“บ่าวอยากรบกวนฮูหยิน ช่วยดูแลท่านแม่ทัพขอรับ”
“ให้ข้าดูแลท่านแม่ทัพ? ทำอย่างไรเล่า? ปกติเขาไม่เคยเรียกพบข้าด้วยซ้ำ”
หากนางเสนอหน้าไปโดยที่เขาไม่เรียก จะไม่กลายเป็นว่าไปรบกวนสายตาและยังรบกวนเวลาที่อยู่กับแม่นางเฉียวฉู่หรือ?
“ข้าน้อยก็จนปัญญาขอรับ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นเฮือกหนึ่งก่อนพูดต่อ “เป็นหน้าที่พ่อบ้านอย่างข้าต้องดูแลใส่ยาให้นายท่าน แต่ต้องมารบกวนฮูหยินเช่นนี้ รู้สึกละอายใจยิ่งนัก”
“ใส่ยา?”
“ขอรับ นายท่านมีบาดแผลที่ด้านหลัง ใส่เองไม่สะดวก แต่พอข้าเข้าไปที่ไรก็โดนไล่ออกมาทุกที บรรดาหมอทหารก็ส่ายหน้าในความดื้อรัน แต่ทุกคนล้วนเป็นห่วงท่านแม่ทัพ”
“ก็ได้ ข้าจะลองดู” นางพยักหน้ารับ อย่างไรเขาก็เป็นสามี ให้ภรรยาเข้าไปปรนนิบัติก็คงไม่เป็นเรื่องผิดสังเกตใดกระมัง
“พ่อบ้านอธิบายมาเถิด ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง”
พ่อบ้านยิ้มกว้างและเริ่มอธิบาย หลังจากนั้นไม่นาน ฮูหยินก็เดินกลับเรือนไป สาวใช้และคนครัวที่แอบอยู่หลังบานประตูจึงโผล่หน้าออกมา
“ท่านพ่อบ้านพูดอะไรกับฮูหยินรึ” เสี่ยวฉู่เอ่ยถาม “มีอะไรก็ให้ข้าไปทำก็ได้นี่”
“ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องให้ฮูหยินเป็นคนลงมือ”
“เรื่องใดกัน”
“พวกเจ้าไม่รู้อะไรนั้นก็ดีแล้ว” พ่อบ้านหัวเราะ “เอาล่ะ เสี่ยวฉู่ เจ้ารีบยกน้ำชาไปให้แม่นางเฉียวฉู่ได้แล้ว”
“ข้าไม่อยากไปเห็นหน้าแม่นางชุดแดงผู้นั้น” เสี่ยวฉู่เบ้ปาก“รีบไป แล้วคอยอยู่ดูจนแน่ใจว่าแม่นางเฉียวฉู่หลับสนิทแล้วค่อยกลับออกมา” พ่อบ้านกำชับ “พวกเจ้าก็คอยดูอย่าให้ใครไปใกล้เรือนของท่านแม่ทัพ”คราแรกทุกคนทำหน้างุนงง แต่เพียงครู่เดียวก็เข้าใจความหมาย ทุกคนรีบแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่อิดออด พ่อบ้านได้แต่ยิ้มกริ่มแล้วเดินไปตระเตรียม ‘ยา’ ให้ท่านแม่ทัพจ้าวจื่อรั่วมีเพียงใจที่ต้องการช่วยเหลือท่านแม่ทัพ พ่อบ้านแนะนำอย่างไร นางก็ท่องจำในใจได้ครบทุกขั้นตอน เมื่อถึงเวลาเย็นย่ำ แม่ทัพกลับจากค่ายทหารเข้ามาที่เรือนของตน นางจึงถือถาดยาเข้าไปหากู้ตงหยางประหลาดใจที่เห็นหญิงสาวเข้ามาในเรือนของเขา เขาจ้องนางเขม็งแต่หญิงสาวยังฝืนยิ้มน้อยๆ แล้วเดินเข้ามาใกล้“ใครให้เจ้าเข้ามา”จะเอ่ยตอบว่าเป็นพ่อบ้านก็เกรงว่าแม่ทัพใหญ่คงเรียกพ่อบ้านมาลงโทษ นางจึงตอบไปว่า“เป็นข้าเองเจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มน้อยๆ แล้ววางถาดลงบนโต๊ะ “ผู้อื่นมีงานล้นมือ ข้าจึงอาสามาปรนนิบัติท่านแม่ทัพ”“ปรนนิบัติข้า?” เขาทำเสียงดูแคลน เอาเถอะ นางอยากทำก็ให้ทำไป หากเห็นรอยแผลบนกายเขาก็คงขยาดหวาดกลัวไม่กล้ามาอีกจ้าวจื่อรั่วมองร่างสูงท
“ข้าจะอยากให้เจ้าตายเพื่อสิ่งใดกัน” เขาข่มความรู้สึกสั่นไหวในอก ท่าทางอ่อนแอไร้ที่พึ่งนี้หมายความว่าอย่างไร ชีวิตนางอยู่กับเขาไม่มีความสุขหรือ? นางเป็นถึงฮูหยินแม่ทัพใหญ่ มีบ่าวไพร่ค่อยรับใช้ บรรดาหญิงสาวในเมืองต่างหมายปองตำแหน่งนี้ แต่นางกลับได้มาอย่างง่ายดาย แล้วยังต้องการสิ่งใดอีก“ก็ท่าน...”“ช่างเถอะ เจ้าจะไปไหนก็ไป”ดวงตางามกะพริบปริบๆ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ความจริงนางต้องมาปรนนิบัติรับใช้เขา แต่เรื่องกลับเป็นเช่นนี้ ช่างน่าขันนัก นางคงลืมตัวไป ตนเองเป็นแค่ลูกอนุซ้ำยังไม่ใช่หญิงงาม เป็นแค่สตรีผู้หนึ่งที่ไม่ต่างจากเม็ดกรวดเม็ดทรายที่แทบมองไม่เห็น หากนางเจียมตัวอีกนิด ก็คงไม่ทำให้ท่านแม่ทัพขุ่นข้องหมองใจเช่นนี้จ้าวจื่อรั่วสูดลมหายใจลึก ฝืนไม่ให้ตนเองยกมือขึ้นปาดน้ำตา แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ แม้เสื้อผ้าของนางอยู่ครบทุกชิ้น แต่ยามนี้เปียกลู่แนบลำตัว ทว่านางไม่มีกระจิตกระใจยกมือขึ้นปกปิด อย่างไรนางก็แค่หญิงอัปลักษณ์ รีบไปให้พ้นสายตาของเขาจะดีกว่ากู้ตงหยางกัดฟันกรอด นางตั้งใจทำอะไร! ยั่วยวนเขารึ! แต่เดิมก็เป็นคนที่อดกลั้นกับเรื่องเย้ายวนเช่นนี้ได้ดี เขาเป็นบุรุษเต็มต
จ้าวจื่อรั่วไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนรู้สึกเมื่อครู่นั้นคืออะไร ร่างกายเบาหวิวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาขยับตัวขึ้นแล้วโน้มหน้าลงจูบนางอีกครั้ง แต่คราวนี้มีบางสิ่งที่ใหญ่โตดุนดันเข้ามาในร่างนาง หญิงสาวขยับตัวหนีตามสัญชาตญาณ ช่องทางอ่อนนุ่มคับแคบบีบรัดลำเอ็นของแม่ทัพหนุ่มจนเขาต้องแหงนหน้าคำรามออกมาเพราะเส้นทางนี้ไม่เคยถูกใครบุกรุกมาก่อนและลำทวนของเขายาวใหญ่อยู่มาก กู้ตงหยางต้องขยับเอวถอยลำออกแล้วกดซ้ำกลับเข้าไปใหม่ ทำซ้ำๆ ค่อยๆ เพิ่มความลึกเข้าไป“อึก...จะ...เจ็บ....” นางร้องอย่างสุดกลั้น ความรู้สึกเจ็บแปลบทำให้ร่างกายเกร็งไปหมด“อืม ผ่อนคลายหน่อย...” เขากัดฟันพูด ความรู้สึกที่ถูกดูดกลืนลำเอ็นทำให้เสียวซ่านสุดบรรยาย เขาแยกขานางออกกว้างอีกนิด พร้อมกับนวดคลึงหน้าอกที่ใหญ่เต็มไม้เต็มมือ ส่วนอีกมือสำรวจหาจุดอ่อนไหวจนพบไข่มุกที่ซ่อนอยู่ นิ้วกร้านขยี้เบาๆ ก็ทำให้ช่องทางคับแคบเปียกแฉะมากยิ่งขึ้นทำให้เขากดเอวดันลำเอ็นเข้าไปจนสุด“อ๊ะ!” จ้าวจื่อรั่วหวีดร้องออกมา เจ็บและจุกจนน้ำตาเอ่อคลอ“อา... เข้าไปหมดแล้ว” กู้ตงหยางรู้สึกสบายอย่างที่สุด ลำเอ็นถูกผนังอ่อนนุ่มโอบรัดจนเสียวซ่าน เขาเริ่มเดินหน้าขย
นางผล็อยหลับไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงแม่นางเฉียวฉู่โวยวายเรื่องอาหารไม่ถูกปาก นางจำใจต้องลุกขึ้นมาเข้าครัวด้วยตนเอง หลังจากนั้น แม่นางเฉียวฉู่ก็มีเรื่องมาให้นางต้องยื่นมือเข้าไปจัดการเอง แม่ทัพใหญ่ฝึกซ้อมทหารอย่างสม่ำเสมอ กลับมาก็ไม่ได้เรียกหานาง นางก็ไม่ได้หน้าหนาจะเข้าไปหา เขาเพียงกำชับให้ดูแลแม่นางเฉียวฉู่ให้ดีตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพที่ได้มา ช่างดูว่างเปล่าเสียจริงจ้าวจื่อรั่วเดินมาถึงแปลงผักด้านหลัง เจ้าแพะน้อยร่าเริงที่ได้เห็นผักงามๆ น่ากิน ก็ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ หญิงสาวคว้าสายจูงที่ตนเองใช้เศษผ้าถักเป็นเชือกทำสายจูงให้มันไว้ได้ทัน“ไม่ได้นะ เจ้าจะกินผักทั้งแปลงไม่ได้” จ้าวจื่อรั่วดุแพะน้อย แต่ดวงตากลมใสไร้เดียงสาทำให้นางหัวเราะออกมา แล้วจูงมันไปผูกไว้ที่ต้นไม้ไม่ไกลนัก“รอที่นี่ ข้าจะเก็บถั่วฝักยาวให้” หญิงสาวลูบหูเล็กๆ ที่กระดิกไปมาแล้วเดินไปเด็ดถั่วฝักยาวอวบๆ หลายฝัก ความจริง นางก็แค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ หากเป็นตอนที่อยู่จวนสกุลจ้าว นางคงกำลังทำอาหารให้น้องชายทั้งสองและช่วยทบทวนตำราเรียนให้พวกเขา ยังดีที่นางได้เรียนหนังสือฝึกเขียนอักษร เหตุเพราะบิดาเชิญอาจารย์มาสอนบุตรสา
“เสี่ยวฉู่...ข้าเหมือนสาวใช้รึ?” “เอ๋?” สาวใช้หันมามองผู้เป็นนายแล้วกวาดตาขึ้นลง “ทำไมฮูหยินถามเช่นนั้นเจ้าคะ” “ช่างเถอะ ถือว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน” “ใครมันตาไร้แววมองฮูหยินเป็นสาวใช้ บอกข้ามาเลยเจ้าค่ะ ข้าเสี่ยวฉู่จะไปจัดการเอง!” จ้าวจื่อรั่วหัวเราะออกมา เจ้าแพะน้อยเงยหน้ามองเจ้าของมือเรียวที่กำลังบิแป้งทอดให้มันกิน หัวทุยๆ ดันมือของนางเบาๆ ราวกับจะร้องขอของกินเพิ่ม “แกจะกินทุกอย่างไม่ได้นะเปาเป่า”เสี่ยวฉู่แยกเขี้ยวใส่แล้วยื่นมือไปคว้าแป้งทอดที่เหลือครึ่งแผ่นยัดใส่ปากตัวเอง เจ้าแพะน้อยไม่พอใจที่ถูกแย่งของกิน พุ่งเข้าใส่ เสี่ยวฉู่ถึงกระโดดหลบไปมา ทำให้จ้าวจื่อรั่วหัวเราะจนน้ำตาคลอเบ้า “แป้งทอดมีตั้งหลายชิ้น เจ้าจะไปแย่งของเปาเป่าทำไมกัน” จ้าวจื่อรั่วส่ายหน้าไปมา นึกถึงเฟยฉีและเฟยหลิง-น้องชายทั้งสองชอบกินขนมที่นางทำมาก ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไร ได้กินอิ่มนอนหลับ กลางคืนมีคนห่มผ้าให้หรือไม่ “ก็ของอร่อยเช่นนี้ ข้าก็หวงเป็นธรรมดา” “แค่แป้งทอดเอง” “ฮูหยินทำให้
นางยังจำความรู้สึกริษยาและน้อยใจที่เห็นพี่สาวน้องสาวต่างมารดาได้แต่กายงดงาม ได้ออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน แต่นางกลับได้ใช้ชีวิตไม่ต่างจากสาวใช้ มีเรื่องดีก็เพียงแค่ได้ฝีกเรียนเขียนอ่านกับอาจารย์ที่ฮูหยินใหญ่เชิญมาสอนคุณหนูใหญ่ หญิงสาวสะบัดหน้าไปมา เหตุใดช่วงนี้นางรู้สึกอ่อนไหวง่ายเหลือเกิน แต่ก่อนก็ไม่เคยร้องไห้ง่ายนัก เหตุใดยามนี้มีเรื่องกระทบจิตใจเล็กๆน้อยๆ น้ำตาก็พร้อมจะหลั่งริน นางไม่เข้าใจนัก ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอย่าคิดมาก จดหมายจากเมืองหลวงต้องใช้เวลา บางทีน้องๆ อาจส่งมาแล้วแต่ยังมาไม่ถึงมือ คิดได้ดั่งนี้ก็ใจชื้นขึ้นมาร่างผอมบางดุจกิ่งหลิวเดินมาที่หน้าต่าง แหงนหน้ามองพระจันทร์กลมโต หากคืนใดน้องเล็กไม่ได้ฟังนางเล่านิทานก็จะนอนไม่หลับ นางจะขยับมือเป็นหุ่นเงารูปสัตว์ต่างๆ หลอกล่อให้น้องเล็กหลับใหล จ้าวจื่อรั่วยกมือเรียวของตนขึ้นทั้งสองมือ กางมือออกโดยให้นิ้วโป้งทั้งสองมือชิดกัน แล้วค่อยๆ ขยับปลายนิ้วที่เหลือ นางมองเงาที่ทอดยาวไปที่ผนังเกิดเป็นรูปร่างผีเสื้อพลางขยับนิ้ว เงาผีเสื้อก็ขยับปีกราวกับมีชีวิตโบกบินใต้แสงจันทร์ นางขยับตัวหมุนไปมาพร้อมขยับมือเป
ยามนี้ใบหน้าหญิงสาวแดงก่ำจนแทบคั้นออกมาเป็นหยดเลือด คำร้องห้ามไม่เป็นผล แม้มือเล็กพยายามผลักไสไม่ให้เขาก้มลงไปแต่สุดท้ายแล้ว นางก็ได้แต่อ่อนระทวยเพราะลิ้นร้อนแทรกเข้าไปในกลีบดอกไม้สาวกลิ่นหอมหวานทำให้ชายหนุ่มแทบคลุ้มคลั่ง ลิ้นร้อนโลมเลียกลีบเนื้อสีหวานจนเรียวขางามสั่นระริก ยิ่งเขาตวัดลิ้นไล้เลียสลับกับใช้ลิ้นรุกรานในร่องรัก หยาดน้ำหวานหลั่งออกมามาก ความร้อนรุ่มแผ่ไปทั่วร่าง ลมหายใจหอบกระชั้นดังอย่างต่อเนื่อง หยาดน้ำตาคลอเบ้าตาของหญิงสาว สะโพกงามงอนส่ายยั่วเย้าอย่างไม่รู้ตัว ความเสียวซ่านทำเอาจ้าวจื่อรั่วได้แต่ครางอย่างสุดทนกลั้น ถูกลิ้นและนิ้วมือเร่งเร้าจนร่างกายเกร็งกระตุกและหวีดร้องออกมากู้ตงหยางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าฉ่ำหยาดน้ำตาของภรรยาตัวน้อย นางได้แต่สะอึกสะอื้นกับสัมผัสที่เขาตระเตรียมให้นางเพื่อรองรับสิ่งที่ใหญ่โตนี้ หากนางไม่ใช่ภรรยาของเขา เขาคงไม่ต้องใส่ใจว่านางจะรับได้ไหวหรือไม่ เขายื่นมือไปเกลี่ยน้ำตาที่เปื้อนแก้ม ความปรารถนาอันแข็งขันที่ทำให้เขาปวดหนึบอยู่นี้ทำให้เขาเร่งรีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนจนหมด แล้วจับมือนางมาแตะที่รอยแผลเป็นบนแผ่นอก“กลัวหรือไม่” เขาถามเสียงแหบพร
เสี่ยวฉู่ร้อนรน แรกทีเดียวพอรู้ว่าท่านแม่ทัพมาค้างเรือนฮูหยิน พวกบ่าวไพร่ต่างตื่นเต้นยินดี ทว่าปกติฮูหยินตื่นเช้า แต่วันนี้สายแล้วก็ยังไม่เห็นฮูหยินปรากฏกาย แม้ท่านแม่ทัพเอ่ยปากสั่งไว้ว่าไม่ต้องปลุกฮูหยิน แต่เสี่ยวฉู่รู้สึกผิดปกติ เมื่อเข้ามาจึงรู้ว่าฮูหยินมีไข้ซ้ำยังอ่อนเพลียมาก นางเป็นหญิงยังไม่ได้ออกเรือนแต่ก็พอรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาทำให้ฮูหยินบอบช้ำถึงเพียงนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” จ้าวจื่อรั่วฝืนยิ้ม “ให้แม่ครัวทำโจ๊กให้ข้าสักถ้วยก็พอ อ้อ! ขอน้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดงให้ข้าด้วย” “แต่ว่า...” “แม้แต่เจ้าก็ยังขัดใจข้ารึ”นางแสร้งทำเสียงดุ เสี่ยวฉู่จึงก้มหน้างุดแล้วเดินออกไป เมื่อในห้องไม่มีผู้ใดแล้วนางก็ถอนหายใจออกมา นิ้วเรียวงามแตะรอยช้ำที่ต้นคอเบาๆ หากเป็นหญิงที่เขารัก เขาคงไม่ทำรุนแรงถึงเพียงนี้สินะ แล้วนางจะทำอย่างไรได้ เป็นแค่สตรีที่ถูกส่งมาแทนเจ้าสาวตัวจริง ซ้ำฐานะที่แท้จริงก็เป็นเพียงลูกอนุในจวนเท่านั้น แค่เขาไม่หักหน้านาง ไม่เอาเรื่องคนในสกุลจ้าว ก็นับว่าดีมากแล้วจ้าวจื่อรั่วหย
แววตาจริงจังทำให้ซย่าเจียวซิ่งรู้ว่านางไม่ได้พูดเล่น และแน่นอนว่าเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ไม่ควรนำมาพูดเล่น “เจ้าตรวจแน่นอนแล้วหรือ?” เขาถามน้ำเสียงแหบแห้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาวพยักหน้ายืนยันคำตอบ “เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร” สีหน้าแทบไร้เลือดนั้นทำให้จ้าวจื่อรั่วสงสารอยู่ไม่น้อย “ข้าตอบในฐานะหมอหญิง นางตั้งครรภ์อ่อนๆ อายุครรภ์ราวสองเดือนซึ่งเป็นเหตุผลที่หมอท่านอื่นอาจตรวจชีพจรมงคลไม่พบ ส่วนเรื่องที่นางหลับใหลนั้น ...ดูจากสภาพร่างกายนาง ข้าคิดว่านางถูกพิษนิทรา” “พิษนิทรา? ข้าไม่เคยได้ยิน” “แม่บุญธรรมของช้าเชี่ยวชาญเรื่องยาพิษ ข้าจึงพอรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง” “รู้อยู่บ้าง? แล้วถอนพิษได้หรือไม่” หญิงสาวพยักหน้ารับ “ตัวยาที่ใช้ถอนพิษมีหลายชนิด ข้าจะเขียนเทียบยาให้ท่านจัดหามาให้ แต่เรื่องที่น่าเป็นกังวลคือเด็กในครรภ์ ...มิรู้ว่าจะแข็งแรงพอจะ...” “รักษานาง ส่วนเด็กนั้น...” “เด็กนั้น? ท่าเรียกได้ไร้ความเมตตาเสียจริง” เขากัดฟันแน่นจนเป็นสันนูน จ้าวจื่อรั่วสัมผัสไ
หญิงสาวแต่งกายเรียบง่ายด้วยชุดกระโปรงสีเขียวบงกช แต่กระนั้นก็ยังขับเน้นความงามสง่าของผู้สวมใส่ แต่ทำให้ซย่าเจียวซิ่งหรี่ตามองอย่างประเมิน เขาไม่มั่นใจว่าตนเองให้คนเตรียมเสื้อผ้าแบบใดให้หญิงสาวผู้นี้ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดรู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้ดูอิ่มเอิบเป็นพิเศษ “ข้าให้ไฉ่หงไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ใหม่” จ้าวจื่อรั่วยิ้มมุมปาก “ชุดที่ท่านสรรหามาให้เกรงว่าจะเหมาะกับอนุของท่านมากกว่า” “ข้าไม่มีอนุ” ซย่าเจียวซิ่งตอบเสียงแข็งอย่างรวดเร็ว “นั้นมันเรื่องของท่าน จะทำตาดุใส่ข้าด้วยเหตุใด” หญิงสาวทำหน้างุนงงและนางก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาจะทำเสียงเช่นนี้กับนางเพื่ออะไรกัน นางไม่ใช่คู่หมั้นของเขาเสียหน่อย ผู้บัญชาการหนุ่มราวกับเพิ่งนึกได้ว่าตนเอง ‘ร้อนตัว’เกินไปจึงกระแอมไอกลบเกลื่อน แล้วประชดหญิงสาวด้วยการเผยมือเชิญให้นางขึ้นรถม้าด้วยตนเอง “ไฉ่หงไม่ต้องไป” เขาสั่งน้ำเสียงเฉียบขาดทำให้สาวใช้สะดุ้งโหยงแล้วก้มหน้าหลบสายตา แต่นึกขึ้นได้ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับยื่นล่วมยาออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ผู้บัญชาการจึงจำเป็นต้องรับมาถือไว้เสียเอง ราวกับ
หน้าต่างห้องนอนค่อยๆ ถูกเปิดออกอย่างเบามือก่อนที่ร่างใหญ่จะแทรกกายเข้ามาอย่างเงียบเฉียบ เขาปลดเสื้อคลุมกันลมออกแล้วถูมือเรียกไออุ่นก่อนก้าวเข้าไปในเลิกม่านมุ้งขึ้นและนั่งลงริมเตียง ใบหน้าหวานยามหลับใหลประดับรอยยิ้มน้อยๆ ทำเอาชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเบาๆ “ท่านมาแล้ว” เสียงหวานพูดขึ้นแผ่วเบาก่อนจะลืมตาขึ้น แม้ในแสงสลัวของราตรีกาลแต่หญิงสาวก็รู้ว่าผู้ใดเข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้ “รอข้าหรือรอผู้ใด” กู้ตงหยางถอดรองเท้าแล้วขึ้นเตียงภรรยา นางเปิดผ้าห่มให้เขาแทรกตัวเข้าไปนอนเคียงข้าง “พูดเช่นนี้ ท่านหึงรึ” “ข้ามีสิทธิ์หึงหรือไม่เล่า” แม่ทัพหนุ่มพ่ายแพ้อย่างหมดท่าเพราะภรรยาตัวน้อยออดอ้อนเสียแล้ว เขาวาดวงแขนแล้วรั้งนางเข้ามาในอ้อมกอด นานเหลือเกินที่ไม่ได้กอดเมียรักเช่นนี้ “อากาศที่แคว้นหลี่เย็นนัก เจ้ากับลูกต้องระวังให้มาก” “ข้าเป็นถึงฮูหยินแม่ทัพกู้ ผู้ใดจะปล่อยให้ข้าต้องลำบากกันเล่า” นางพูดแล้วพริมตาหลับลงตามเดิม รู้อยู่เต็มอกว่ากู้ตงหยางต้องหาทางกลับมาหานางอยู่แล้ว จึงมิได้ลงกลอนแน่นหนา แต่แค่กลอนหน้าต่างมีรึแม่ทัพกู้จะหาท
ซย่าเจียวซิ่งก้าวเท้าออกมาจากจวนเสนาบดี ใบหน้าที่เรียบนิ่งอยู่เป็นนิจมีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ‘หมอหลวงมารักษานางแล้วก็ต่างส่ายหน้า เจ้าประกาศหาหมอทั่วแคว้นมารักษานางก็ยังไม่ได้ผล เคยคิดหรือไม่ว่าทำเช่นนี้เป็นการทำลายชื่อเสียงของนาง’ ‘ชีวิตของนางสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด’ ซย่าเจียวซิ่งเอ่ยด้วยใจจริง แม้ไม่ได้รักใคร่นางเช่นหนุ่มสาวแต่เอ็นดูนางเป็นน้องสาวมาตลอด เขาย่อมไม่ต้องการเห็นนางอยู่ในห้วงทุกข์ และเวลานี้ที่นางหลับใหลไม่ตื่นเช่นนี้ เขาย่อมต้องเป็นห่วงนาง ‘หากท่านเกรงว่าหลี่หรูจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ข้ายินดีแต่งนางเป็นภรรยาแม้นางยังไม่ได้สติเช่นนี้’ ‘เป็นเจ้าที่เสนอขึ้นมาเอง ข้ามิใช่คนขู่บังคับเจ้า’ ‘แน่นอน ข้ายินดี แต่ข้าขออนุญาตให้พาหมอมาตรวจอาการของหลี่หรู’ ‘ถ้าเจ้ารับปากเช่นนี้ ก็ทำตามใจเถิด’ หากไม่กล่าวเช่นนั้นออกไปก็เกรงว่าเสนาบดีจะไม่ยอมให้เขาพาหมอเข้าไปตรวจอาการของหลี่หรู ภาพในความทรงจำปรากฏขึ้น หลี่หรูเป็นเด็กขี้อาย ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนักจึงไม่ค่อยได้ออกไปนอกจวน ครอบครัวของทั้
จ้าวจื่อรั่วอมยิ้มแล้วเดินเข้าเรือนหลังเล็กที่ถูกตระเตรียมไว้รับรอง มีบ่าวรับใช้สูงวัยอยู่หลายคน ดูๆไปเหมือนเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงดูนอกจวน นี่ผู้บัญชาการซย่าคงไม่ได้คิดจะให้นางเล่นบทเป็นนางบำเรอของเขากระมัง คนผู้นั้นคงมาถึงก่อนแล้วแต่ไม่อยู่รอต้อนรับซึ่งสร้างความสบายใจให้จ้าวจื่อรั่วเป็นอย่างนิ่ง ทุกคนรับรู้การมาของนางและต้อนรับตามมารยาท “ไฉ่หง ข้าหิวแล้ว เจ้าเข้าไปดูในครัวให้เขาทำอะไรร้อนๆ มาให้ข้ากินสักชาม และอย่างลืมที่ข้าสั่งไว้ล่ะ” “เจ้าค่ะ ข้าท่องขึ้นใจแล้ว” มีอาหารแสลงที่ไม่เหมาะกับคนท้อง นางไม่ได้บอกเรื่องนี้กับไฉ่หงแต่ให้สาวใช้ท่องจำและบอกว่านางแพ้อาหารเหล่านั้น ไฉ่หงเป็นเด็กซื่อและเชื่อฟังไม่ซักถามสิ่งใด เมื่อนางสั่งให้ท่องจำก็ทำตามที่สั่งและเมื่อนางสั่งให้ไปในครัว ไฉ่หงก็แทบจะวิ่งถลาไปทันที หญิงสาวยิ้มน้อยๆ เดินตามบ่าวรับใช้มาที่ห้องพักของตน “ท่านผู้บัญชาการได้สั่งให้บ่าวเตรียมของใช้ของฮูหยินแล้ว หากฮูหยินต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมโปรดบอกบ่าวได้ขอรับ” “เรียกข้าฮูหยินกู้” นางส่งยิ้มแต่แววตาจริงจัง “
เมืองหลวงคึกคักคือภาพที่เดาได้ไม่ยาก ไฉ่หงตื่นตากับภาพที่เห็นทำให้จ้าวจื่อรั่วอมยิ้มน้อยในความไร้เดียงสา สาวใช้ค้อนเข้าให้แล้วเอ่ยวาจา“พี่สาวอย่าหัวเราะข้าสิ”“ข้าหัวเราะเมื่อใดกัน” นางคลี่ยิ้มและวางมือบนหน้าท้องที่ยังไม่โตนัก “เจ้าอายุแค่สิบห้า ตื่นตากับภาพที่เห็นไม่แปลกอันใด”“พี่สาวเคยอยู่เมืองหลวงหรือ?”“อื้ม แต่ไม่ใช่ที่นี่” นางเคยอยู่เมืองหลวง แต่ที่นั้นไม่นับเป็นบ้านได้เลย หากไม่มีน้องชายทั้งสองนางคงไม่รู้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด แต่ตอนนี้นางมีครอบครัว มีบุรุษที่รักและลูกน้อย“ที่แคว้นของพี่สาวคงรื่นรมย์น่าดู ข้าได้ยินว่าการเพาะปลูกดีมีข้าวกินทั้งปีไม่ต้องกลัวอดยาก”“อืม” หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วยื่นมือไปขยับผ้าม่านหน้าต่างรถม้า ลมวูบหนึ่งเข้ามาปะทะใบหน้า แต่อากาศไม่หนาวเย็นเท่าชายแดนแต่กระนั้น นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนานุ่มที่ผู้บัญชาการผู้นั้นมอบให้ ตั้งแต่ออกจากโรงเตี้ยม เขาก็ควบม้าแยกไปก่อน ซึ่งก็นับว่าดีกับนางเพราะไม่อยากอยู่กับคนเย็นชาเช่นนั้นไฉ่หงลอบมองจ้าวจื่อรั่วอยู่บ่อยๆ สตรีผู้นี้มีใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ ดูสงบเยือกเย็นยามอยู่ต่อหน้าผู้บัญชาการก็ไม่แสดงอาก
จ้าวจื่อรั่วอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งจับชีพจรตนเอง พลันคิดอย่างโล่งใจว่าครรภ์นี้ช่างแข็งแรงดีเหลือเกิน แทบไม่มีอาการแพ้ท้องอาจเพราะที่ผ่านมาดูแลตัวเองอย่างดีและประสบการณ์เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หลิงหยุนนั้นสุขภาพนางอ่อนแอมากซ้ำยังคลอดก่อนกำหนด โชคดีที่ได้พบพ่อแม่บุญธรรมช่วยเหลือ มิเช่นนั้นทั้งนางและลูกคงไปแดนปรโลกแล้ว“พี่สาวอาบน้ำเสร็จแล้วรึเจ้าคะ” ไฉ่หงส่งเสียงถามและก้าวเข้ามาพร้อมเสื้อคลุมขนดูหนานุ่มและอบอุ่น สาวใช้คลี่ออกแล้วคลุมร่างให้จ้าวจื่อรั่ว “ผู้บัญชาการให้ข้านำมาให้พี่สาวเจ้าค่ะ”“นับว่ามีน้ำใจอยู่บ้าง” นางรู้ว่าเสื้อคลุมนี้ราคาไม่ธรรมดา“เอ่อ...คือท่านผู้บัญชาการให้เชิญพี่สาวไปกินข้าวเย็นด้วยกันเจ้าค่ะ”“อย่างนั้นรึ” เพราะเดินทางอยู่บนรถม้านานจึงอ่อนเพลีย นางไม่อยากกินข้าวเย็นนัก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องกินเพื่อบำรุงเด็กในท้องนางจึงพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้น มือเรียวกระชับเสื้อคลุมให้มิดชิดก่อนก้าวเท้าออกจากห้องพักของตนไปตามทางที่โฉ่หงนำทาง ใช้เวลาเดินแค่อึดใจก็มาถึงห้องที่โรงเตี้ยมเตรียมไว้รับรอง ซย่าเจียวซิ่งนั่งดื่มชารออยู่ก่อนแล้ว จ้าวจื่อรั่วกวาดต
แม้ชายแดนติดกันแต่สภาพอากาศต่างกันอาจเพราะเมืองเป่าติ้งล้อมรอบด้วยหุบเขาอากาศจึงหนาวเย็นกว่าแคว้นของตน จ้าวจื่อรั่วไม่ชอบอากาศหนาวเย็นแต่ก็ไม่เคยปริปากบ่น อาจเพราะแต่เด็กนางไม่ได้รับการใส่ใจนัก และหลังจากกู้ตงหยางรับนางกลับเข้าจวนพร้อมลูก เมื่ออากาศเย็นลงเขาจะให้คนตั้งกระถางไฟรอบๆ ห้องเพื่อให้นางอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องบอก และที่สำคัญ เรือนกายกำยำของเขาหลังผ่านการขับพิษแล้วมักอุ่นร้อนทำให้นางหลับในอ้อมแขนเขาอย่างเป็นสุข การถูกเอาอกเอาใจมากนั้นไม่ดีเลย เพราะยามนี้นางคิดถึงเขาเหลือเกิน ประตูรถม้าถูกเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ลมหนาววูบหนึ่งพัดเข้ามาตามเจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดดำเรียบง่ายแต่ตัดเย็บประณีต ดวงตาคมจ้องมองนางวูบหนึ่งก่อนรีบปิดประตูและนั่งลงตรงนั้นใช้ร่างกายของตนช่วยกันลมให้อีกทาง คนผู้นี้ดูเย็นชาแต่ก็ใส่ใจผู้อื่นอยู่บ้าง จ้าวจื่อรั่วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วซุกมือกับเตาพกเพื่ออุ่นมือ อย่างไรเสียนางก็ไม่ยอมให้ลูกในท้องต้องทรมานเพราะความหนาว “ไม่มีผู้ใดอบรมเรื่องมารยาทของท่านรึ” นางยังคงไม่เข้าใจ ได้ยินว่าเขาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แต่
เมืองเป่าติ้งอยู่ชายแดนแคว้นหลู่ อากาศเย็นตลอดทั้งปี แต่ในช่วงฤดูหนาวจะหนาวจัด ผู้คนที่มีฐานะล้วนอพยพเดินทางหนีลมหนาวเข้าไปในเมืองหลวงที่อบอุ่นกว่า แต่กระนั้นก็ยังมีชาวเมืองอาศัยอยู่มากและอยู่ด้วยความเคยชิน รวมถึงเชื่อมั่นใจผู้บัญชาการซย่าเจียวซิ่ง บุรุษรูปร่างสูงใหญ่สองคนเดินปะปนกับชาวเมือง แม้สวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบแบบนายพรานทั่วไป คนผู้หนึ่งสะพายคันธนู ทว่าบุรุษอีกคนนั้นท่าทางองอาจ แววตาวาวโรจน์และมีไอสังหาร ทุกการก้าวเดินมั่นคงย่อมไม่เหมือนนายพรานทั่วไป “พี่ใหญ่ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงเมีย แต่ช่วยเก็บไอสังหารหน่อยเถอะ” อี้ซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “เลี้ยวขวาที่ตรอกข้างหน้าก็ถึงแล้ว” กู้ตงหยางเพียงปรายตามอง ‘มือขวา’ ที่ยามนี้ใบหน้าเปื้อนหนวดเครารกรุงรังเหมือนโจรป่ามากกว่าคนเคยเป็นทหารข้างกายเขา เกือบสิบปีก่อนอี้ซวนได้รับบาดเจ็บสาหัสแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่เมื่อพ้นความตายมาได้ ก็ขอลาออกจากกองทัพ ใช้ชีวิตในป่าเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด แต่กระนั้นกู้ตงหยางก็ยังรับรู้การมีชีวิตของคนผู้นี้จนกระทั่งถูกเรียกตัวอีกครั้ง เขาไม่ใช่คนชอบทวงบุญคุณผู