นางผล็อยหลับไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงแม่นางเฉียวฉู่โวยวายเรื่องอาหารไม่ถูกปาก นางจำใจต้องลุกขึ้นมาเข้าครัวด้วยตนเอง หลังจากนั้น แม่นางเฉียวฉู่ก็มีเรื่องมาให้นางต้องยื่นมือเข้าไปจัดการเอง แม่ทัพใหญ่ฝึกซ้อมทหารอย่างสม่ำเสมอ กลับมาก็ไม่ได้เรียกหานาง นางก็ไม่ได้หน้าหนาจะเข้าไปหา เขาเพียงกำชับให้ดูแลแม่นางเฉียวฉู่ให้ดี
ตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพที่ได้มา ช่างดูว่างเปล่าเสียจริง
จ้าวจื่อรั่วเดินมาถึงแปลงผักด้านหลัง เจ้าแพะน้อยร่าเริงที่ได้เห็นผักงามๆ น่ากิน ก็ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ หญิงสาวคว้าสายจูงที่ตนเองใช้เศษผ้าถักเป็นเชือกทำสายจูงให้มันไว้ได้ทัน
“ไม่ได้นะ เจ้าจะกินผักทั้งแปลงไม่ได้” จ้าวจื่อรั่วดุแพะน้อย แต่ดวงตากลมใสไร้เดียงสาทำให้นางหัวเราะออกมา แล้วจูงมันไปผูกไว้ที่ต้นไม้ไม่ไกลนัก
“รอที่นี่ ข้าจะเก็บถั่วฝักยาวให้” หญิงสาวลูบหูเล็กๆ ที่กระดิกไปมาแล้วเดินไปเด็ดถั่วฝักยาวอวบๆ หลายฝัก ความจริง นางก็แค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ หากเป็นตอนที่อยู่จวนสกุลจ้าว นางคงกำลังทำอาหารให้น้องชายทั้งสองและช่วยทบทวนตำราเรียนให้พวกเขา ยังดีที่นางได้เรียนหนังสือฝึกเขียนอักษร เหตุเพราะบิดาเชิญอาจารย์มาสอนบุตรสาวคนโต นางจึงได้เข้าเรียนด้วย ทำให้ตนเองอ่านออกเขียนได้ ไม่เช่นนั้นคงกลายเป็นคนโง่เขลา...
อันที่จริง นางก็เป็นคนโง่เขลาจริงๆนั้นแหละ นางยังไม่เคยเข้าใจ ต้องทำอย่างไรในฐานะฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่
“เปาเป่า! เจ้าค่อยๆกินหน่อยสิ” จ้าวจื่อรั่วยื้อแย่งถั่วฝักยาวกับแพะน้อย “เจ้าตะกละเสียเหลือเกิน ข้าแบ่งขนมน้ำตาลให้กินไปคำหนึ่งแล้วนะ”
เจ้าแพะน้อยไม่พอใจ มันใช้หัวดันๆ ขาของจ้าวจื่อรั่ว หญิงสาวหัวเราะเสียงใส นางหมุนตัวหลบเจ้าจอมตะกละ กระโปรงสีเขียวอ่อนพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้เบ่งบาน ภายแสงอาทิตย์ยามเย็นดูงดงามราวภาพวาดจับตา บุรุษผู้หนึ่งยืนมองจนแทบลืมหายใจ จ้าวจื่อรั่วหยอกล้อกับแพะน้อยอย่างสนุกสนานไม่รู้ว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ จนเท้าของนางไปสะดุดกับก้อนหินเข้าให้ทำให้เสียหลักล้มลง ทว่ามือใหญ่คู่หนึ่งประคองไว้ได้ทัน หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มพลันหายไปทันที ท่าทางตื่นตระหนกของนางทำให้ชายหนุ่มได้สติ เมื่อเห็นว่านางยืนได้มั่นคงแล้วจึงปล่อยมือออกจากไหล่ของนาง
“ขออภัยที่ล่วงเกิน ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่จะช่วยแม่นางเท่านั้น”
จ้าวจื่อรั่วพยักหน้ารับขยับตัวถอยห่างพลางพูดเสียงแผ่ว “ขอบคุณท่าน”
“ข้าชื่ออ้ายเสิน” เขารีบแนะนำตัวก่อนหญิงสาวจะจูงแพะน้อยหนีไป “ข้าเป็นคนของแม่ทัพกู้”
จ้าวจื่อรั่วชะงักไป “ท่าน...เป็นทหารรึ”
“ข้าเป็นทหารของท่านแม่ทัพ ข้ารีบเดินทางกลับจึงใช้เส้นทางลัดและมาทางนี้”
ชายที่ชื่ออ้ายเสินพูดขึ้น รูปร่างของสูงหนาราวกับหมี เขากลัวนางจะหวาดกลัวจึงไม่ขยับไปใกล้อีก แต่ก็ดีใจที่นางไม่หวีดร้องเช่นสตรีอื่น
“เจ้าเป็นสาวใช้คนใหม่รึ สามเดือนก่อนออกเดินทางข้ายังไม่เห็นเจ้าเลย”
‘สาวใช้? เหตุใดใครก็เห็นนางเป็นสาวใช้ หรือนางอัปลักษณ์จนไม่มีใครคิดว่าคู่ควรกับตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพกู้’
“ข้าต้องไปแล้ว”
นางไม่ได้เอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ ขนาดแม่นางเฉียวฉู่พูดต่อหน้าแม่ทัพกู้คิดว่านางเป็นสาวใช้ เขายังไม่แก้ต่างให้เลยสักนิด ชายผู้นี้เป็นทหารของเขา เขาคงไม่ต้องการให้ใครรู้กระมังว่ามีภรรยาอัปลักษณ์เช่นนาง
“แม่นาง...”
อ้ายเสินก้าวเท้าตามร่างบางที่เดินจูงแพะน้อยกลับไปทางเรือน เขาเห็นนางพยายามเดินเร็วๆ หนีเขาแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ เขาผ่อนฝีเท้าลงให้นางเดินนำหน้าไปก่อน หากเป็นคนในจวนท่านแม่ทัพอย่างไรก็ต้องได้รู้จักกันอย่างแน่นอน
จ้าวจื่อรั่วรู้สึกกลัวชายแปลกหน้าผู้นั้น แม้เขาไม่ได้แสดงกิริยากักขฬะหรือหยาบคายใดๆ แต่นางก็ไม่สามารถจะแย้มยิ้มต้อนรับบุรุษตามลำพังสองคนได้ นางจึงเร่งเดินกลับไปที่โรงครัวเพราะอยู่ใกล้แปลงผัก ระยะเวลาเพียงหนึ่งเค่อ หญิงสาวก็เดินมาถึง เสี่ยวฉู่กำลังจะไปตามฮูหยินเพราะเกรงว่าจะเย็นค่ำเกินไปแล้วก็เห็นร่างอรชรของฮูหยินเดินกลับมาแล้ว
“เสี่ยวฉู่ ข้าจะกลับเรือน”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้พยักหน้ารับ แต่มองไปด้านหลังเห็นร่างใหญ่โตคุ้นตาเดินเข้ามาใกล้ นางก็ร้องทักด้วยความตื่นเต้นยินดี
“อ้ายเสิ่นกลับมาแล้ว!”
“ข้ากลับมาแล้ว” อ้ายเสิ่นร้องทักโบกไม้โบกมือให้ทุกคน แต่สายตายังคงมองร่างหญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อนผู้นั้น
“เดินทางราบรื่นหรือไม่” พ่อบ้านเอ่ยทักอ้ายเสิน
“ราบรื่นดี” เขาหัวเราะ “ข้าหิวมากแต่ขอไปพบท่านแม่ทัพกู้ก่อนนะ”
“ได้ๆ ข้าจะเตรียมกับข้าวไว้ให้”
แม่ครัวพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ดูเหมือนทุกคนลืมฮูหยินไปหมดสิ้น จ้าวจื่อรั่วไม่หันกลับมามอง สองเท้าเร่งเดินกลับไปที่เรือนของตนทันที นางพาแพะน้อยเข้าคอกแล้วกลับเข้าเรือน นางจุดเทียนในห้องแล้วก็มองกระดาษที่ว่างเปล่า เมื่อไหร่น้องชายทั้งสองจะส่งจดหมายมาหานางนะ หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วหยิบตะกร้าปักผ้าออกมานั่งทำงานที่ค้างไว้
อ้ายเสิ่นเดินตรงไปยังเรือนของท่านแม่ทัพตามคำบอกของพ่อบ้าน ท่านแม่ทัพกลับจากค่ายทหารแล้ว เมื่อเห็นทหารคนสนิทที่ส่งไปสืบข่าวกลับมาก็พลันโล่งใจ
“ลำบากเจ้าแล้ว”
“ทุกอย่างราบรื่นดีขอรับ” อ้ายเสิ่นรีบรายงานข่าวให้ท่านแม่ทัพใหญ่ทราบ เขาเป็นสายลับสอดแนมความเคลื่อนไหวของแคว้นเหลียง บางเรื่องไม่สามารถเขียนจดหมายรายงานได้
“ข้าเข้าใจแล้ว เดินทางไกลเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เจ้าไปพักผ่อนเถิด”
“ขอรับ”
แม่ทัพกู้เดินออกมาจากห้องหนังสือพร้อมพลทหารอ้ายเสิ่น พลันหญิงสาวในชุดแดงสดใสก็ปราดเข้ามาเกาะแขนกู้ตงหยาง
“ท่านแม่ทัพกู้ ข้ารอกินข้าวเย็นพร้อมท่าน!”
อ้ายเสิ่นเห็นท่าทางสนิทสนมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็นึกถึงข่าวที่ตนได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพแต่งงานแล้ว เขาจึงประสานมือคารวะหญิงสาวอย่างนอบน้อม
“ข้าอ้ายเสิ่นขอคารวะฮูหยิน”
เฉียวฉู่ได้ยินก็หัวเราะคิกคัก แต่กู้ตงหยางสีหน้าดุดัน อ้ายเสิ่นผู้โง่เขลาไม่เข้าใจสีหน้าของแม่ทัพใหญ่ หรือท่านแม่ทัพคิดว่าเขาคิดล่วงเกินภรรยาของท่าน ด้วยเกรงว่าจะยิ่งทำให้ไม่พอใจ เขาจึงรีบขอตัวลาทันที แม่ทัพกู้แกะมือของเฉียวฉู่ออกจากท่อนแขนของตน ใบหน้าหวานหุบยิ้มไปทันที
“อย่าทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเช่นนี้อีก”
“ท่านก็เห็น ข้าไม่ได้พูดอะไรสักคำ” นางแสร้งทำตาเศร้า “ท่านไม่สงสารข้าหรือ ข้าถูกโจรชั่วจับตัวไป ชื่อเสียงไม่เหลือแล้ว หากท่านไม่รับข้าไว้ เกรงว่ากลับบ้านไปคงมีแพรขาวสามฉื่อรอ อยู่”
กู้ตงหยางได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงสะบัดจากหญิงสาวแล้วเดินกลับเข้าห้องหนังสือ เพราะหันให้ เขาจึงไม่เห็นรอยยิ้มของหญิงสาวในชุดแดง
“สิ่งใดที่ข้าอยากได้ก็ต้องได้ ไม่เช่นนั้นอย่าเรียกข้าว่าเฉียวฉู่”
*** แพรขาวสามฉื่อ ผ้าขาวสำหรับผูกคอเพื่อฆ่าตัวตาย ***
“เสี่ยวฉู่...ข้าเหมือนสาวใช้รึ?” “เอ๋?” สาวใช้หันมามองผู้เป็นนายแล้วกวาดตาขึ้นลง “ทำไมฮูหยินถามเช่นนั้นเจ้าคะ” “ช่างเถอะ ถือว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน” “ใครมันตาไร้แววมองฮูหยินเป็นสาวใช้ บอกข้ามาเลยเจ้าค่ะ ข้าเสี่ยวฉู่จะไปจัดการเอง!” จ้าวจื่อรั่วหัวเราะออกมา เจ้าแพะน้อยเงยหน้ามองเจ้าของมือเรียวที่กำลังบิแป้งทอดให้มันกิน หัวทุยๆ ดันมือของนางเบาๆ ราวกับจะร้องขอของกินเพิ่ม “แกจะกินทุกอย่างไม่ได้นะเปาเป่า”เสี่ยวฉู่แยกเขี้ยวใส่แล้วยื่นมือไปคว้าแป้งทอดที่เหลือครึ่งแผ่นยัดใส่ปากตัวเอง เจ้าแพะน้อยไม่พอใจที่ถูกแย่งของกิน พุ่งเข้าใส่ เสี่ยวฉู่ถึงกระโดดหลบไปมา ทำให้จ้าวจื่อรั่วหัวเราะจนน้ำตาคลอเบ้า “แป้งทอดมีตั้งหลายชิ้น เจ้าจะไปแย่งของเปาเป่าทำไมกัน” จ้าวจื่อรั่วส่ายหน้าไปมา นึกถึงเฟยฉีและเฟยหลิง-น้องชายทั้งสองชอบกินขนมที่นางทำมาก ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไร ได้กินอิ่มนอนหลับ กลางคืนมีคนห่มผ้าให้หรือไม่ “ก็ของอร่อยเช่นนี้ ข้าก็หวงเป็นธรรมดา” “แค่แป้งทอดเอง” “ฮูหยินทำให้
นางยังจำความรู้สึกริษยาและน้อยใจที่เห็นพี่สาวน้องสาวต่างมารดาได้แต่กายงดงาม ได้ออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน แต่นางกลับได้ใช้ชีวิตไม่ต่างจากสาวใช้ มีเรื่องดีก็เพียงแค่ได้ฝีกเรียนเขียนอ่านกับอาจารย์ที่ฮูหยินใหญ่เชิญมาสอนคุณหนูใหญ่ หญิงสาวสะบัดหน้าไปมา เหตุใดช่วงนี้นางรู้สึกอ่อนไหวง่ายเหลือเกิน แต่ก่อนก็ไม่เคยร้องไห้ง่ายนัก เหตุใดยามนี้มีเรื่องกระทบจิตใจเล็กๆน้อยๆ น้ำตาก็พร้อมจะหลั่งริน นางไม่เข้าใจนัก ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอย่าคิดมาก จดหมายจากเมืองหลวงต้องใช้เวลา บางทีน้องๆ อาจส่งมาแล้วแต่ยังมาไม่ถึงมือ คิดได้ดั่งนี้ก็ใจชื้นขึ้นมาร่างผอมบางดุจกิ่งหลิวเดินมาที่หน้าต่าง แหงนหน้ามองพระจันทร์กลมโต หากคืนใดน้องเล็กไม่ได้ฟังนางเล่านิทานก็จะนอนไม่หลับ นางจะขยับมือเป็นหุ่นเงารูปสัตว์ต่างๆ หลอกล่อให้น้องเล็กหลับใหล จ้าวจื่อรั่วยกมือเรียวของตนขึ้นทั้งสองมือ กางมือออกโดยให้นิ้วโป้งทั้งสองมือชิดกัน แล้วค่อยๆ ขยับปลายนิ้วที่เหลือ นางมองเงาที่ทอดยาวไปที่ผนังเกิดเป็นรูปร่างผีเสื้อพลางขยับนิ้ว เงาผีเสื้อก็ขยับปีกราวกับมีชีวิตโบกบินใต้แสงจันทร์ นางขยับตัวหมุนไปมาพร้อมขยับมือเป
ยามนี้ใบหน้าหญิงสาวแดงก่ำจนแทบคั้นออกมาเป็นหยดเลือด คำร้องห้ามไม่เป็นผล แม้มือเล็กพยายามผลักไสไม่ให้เขาก้มลงไปแต่สุดท้ายแล้ว นางก็ได้แต่อ่อนระทวยเพราะลิ้นร้อนแทรกเข้าไปในกลีบดอกไม้สาวกลิ่นหอมหวานทำให้ชายหนุ่มแทบคลุ้มคลั่ง ลิ้นร้อนโลมเลียกลีบเนื้อสีหวานจนเรียวขางามสั่นระริก ยิ่งเขาตวัดลิ้นไล้เลียสลับกับใช้ลิ้นรุกรานในร่องรัก หยาดน้ำหวานหลั่งออกมามาก ความร้อนรุ่มแผ่ไปทั่วร่าง ลมหายใจหอบกระชั้นดังอย่างต่อเนื่อง หยาดน้ำตาคลอเบ้าตาของหญิงสาว สะโพกงามงอนส่ายยั่วเย้าอย่างไม่รู้ตัว ความเสียวซ่านทำเอาจ้าวจื่อรั่วได้แต่ครางอย่างสุดทนกลั้น ถูกลิ้นและนิ้วมือเร่งเร้าจนร่างกายเกร็งกระตุกและหวีดร้องออกมากู้ตงหยางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าฉ่ำหยาดน้ำตาของภรรยาตัวน้อย นางได้แต่สะอึกสะอื้นกับสัมผัสที่เขาตระเตรียมให้นางเพื่อรองรับสิ่งที่ใหญ่โตนี้ หากนางไม่ใช่ภรรยาของเขา เขาคงไม่ต้องใส่ใจว่านางจะรับได้ไหวหรือไม่ เขายื่นมือไปเกลี่ยน้ำตาที่เปื้อนแก้ม ความปรารถนาอันแข็งขันที่ทำให้เขาปวดหนึบอยู่นี้ทำให้เขาเร่งรีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนจนหมด แล้วจับมือนางมาแตะที่รอยแผลเป็นบนแผ่นอก“กลัวหรือไม่” เขาถามเสียงแหบพร
เสี่ยวฉู่ร้อนรน แรกทีเดียวพอรู้ว่าท่านแม่ทัพมาค้างเรือนฮูหยิน พวกบ่าวไพร่ต่างตื่นเต้นยินดี ทว่าปกติฮูหยินตื่นเช้า แต่วันนี้สายแล้วก็ยังไม่เห็นฮูหยินปรากฏกาย แม้ท่านแม่ทัพเอ่ยปากสั่งไว้ว่าไม่ต้องปลุกฮูหยิน แต่เสี่ยวฉู่รู้สึกผิดปกติ เมื่อเข้ามาจึงรู้ว่าฮูหยินมีไข้ซ้ำยังอ่อนเพลียมาก นางเป็นหญิงยังไม่ได้ออกเรือนแต่ก็พอรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาทำให้ฮูหยินบอบช้ำถึงเพียงนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” จ้าวจื่อรั่วฝืนยิ้ม “ให้แม่ครัวทำโจ๊กให้ข้าสักถ้วยก็พอ อ้อ! ขอน้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดงให้ข้าด้วย” “แต่ว่า...” “แม้แต่เจ้าก็ยังขัดใจข้ารึ”นางแสร้งทำเสียงดุ เสี่ยวฉู่จึงก้มหน้างุดแล้วเดินออกไป เมื่อในห้องไม่มีผู้ใดแล้วนางก็ถอนหายใจออกมา นิ้วเรียวงามแตะรอยช้ำที่ต้นคอเบาๆ หากเป็นหญิงที่เขารัก เขาคงไม่ทำรุนแรงถึงเพียงนี้สินะ แล้วนางจะทำอย่างไรได้ เป็นแค่สตรีที่ถูกส่งมาแทนเจ้าสาวตัวจริง ซ้ำฐานะที่แท้จริงก็เป็นเพียงลูกอนุในจวนเท่านั้น แค่เขาไม่หักหน้านาง ไม่เอาเรื่องคนในสกุลจ้าว ก็นับว่าดีมากแล้วจ้าวจื่อรั่วหย
“ท่านแม่ทัพมาถึงเรือนท้ายจวน ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้ารับใช้เจ้าคะ” จ้าวจื่อรั่วยืดแผ่นหลังตั้งตรง แม้อยู่ในจวนสกุลจ้าว นางทำงานไม่ต่างจากสาวใช้ แต่กระนั้นฮูหยินที่เชิญนางข้าหลวงจากในวังมาสอนกิริยามารยาทของบุตรสาว ก็ยังให้นางเรียนรู้อบรมเรียนรู้พร้อมกัน ยามนี้จึงได้งัดวิชายุทธ์ออกมาใช้อย่างไม่รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด“ท่านแม่ทัพเป็นห่วงว่าข้าจะเหงา เลยตั้งใจมาพาข้ามาหาเจ้าอย่างไรเล่า” เฉียวฉู่ฉีกยิ้มอ่อนหวานแล้วเดินไปเกาะแขนอีกฝ่ายด้วยท่าทีสนิทสนม“ท่านแม่ทัพช่างใส่ใจฮูหยินยิ่งนัก”อ้ายเสิ่นมองแม่ทัพใหญ่ด้วยสายตาชื่นชม เขายกย่องบุรุษผู้นี้มาก ในสนามรบวางแผนเฉียบขาดแม้ผู้อื่นร่ำลือว่าโหดเหี้ยม แต่บุรุษผู้นี้ทอดทิ้งผู้อื่นไว้ด้านหลัง เหล่าพี่น้องทหารหาญล้วนเทิดทูนแม่ทัพกู้เหนือสิ่งใด แน่นอนว่า เขาที่ยังไม่มีภรรยา เห็นท่านแม่ทัพใส่ใจฮูหยินย่อมต้องเก็บไว้เผื่อใช้กับภรรยาในอนาคตของตนเอง พอเผลอคิดไปไกลถึงเพียงนี้ อ้ายเสิ่นเหลือบตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาเจอหญิงงามมาไม่น้อย แต่สตรีนางนี้งดงามและให้ความรู้สึกสงบใจยามอยู่ใกล้ หากมีวาสนาได้หญิงงามเช่นนี้เป็นภรรยา ชีวิตของเขาคงเหมือนอยู่ในส
“เจ้าปวดท้องก็ไปนอนพัก ประเดี๋ยวข้าจะไปรายงานฮูหยินเอง”“ฝากด้วยนะเจ้าค่ะ ท่านพ่อบ้าน”เพราะท่านพ่อบ้านรับมือได้ทุกสถานการณ์ การส่งพ่อบ้านไปจะไร้พิรุธมากที่สุด บ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้นได้แต่ภาวนาขอพรจากสวรรค์ให้ฮูหยินกับท่านแม่ทัพได้ปรับความเข้าใจกันเสียทีจ้าวจื่อรั่วถอนหายใจหนักหน่วงเมื่อรู้ว่าตนต้องนำเสื้อคลุมไปส่งท่านแม่ทัพเอง จู่ๆ เสี่ยวฉู่ก็ปวดท้อง พ่อบ้านก็เจ็บเข่า แน่นอนว่าผู้อื่นไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แม่ทัพกู้ นางไม่อยากเห็นเขากับแม่นางเฉียวฉู่ แต่อย่างไรนางจะให้เจ็บกับคนป่วยไปทำแทนก็ไม่ได้ หญิงสาวกัดริมฝีปากครุ่นคิด เวลานี้ท่านแม่ทัพคงยังไม่กลับจากค่ายทหารกระมัง นางรีบนำไปวางไว้ก็พอหญิงสาวหอบเสื้อคลุมที่ตั้งใจทำให้นั้น ร่างแบบบางเดินไปที่เรือนของแม่ทัพกู้ เดิมทีเคยคิดใช้ ‘สิ่งนี้’ สร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างสามีภรรยา แต่ดูแล้วไม่ว่าจะทำสิ่งใดล้วนไม่เป็นที่ถูกใจบุรุษผู้นั้น อย่างไรนางก็เป็นภรรยา จะละเลยหน้าที่ดูแลเขาก็ไม่ได้ นางคิดว่าเขาไม่อยู่ที่เรือนก็โล่งใจเพราะนอกประตูก็ไม่มีทหารยาวเฝ้า ทว่าเมื่อก้าวเข้าไปกลับพบว่าบุรุษที่ไม่อยากพบหน้ากำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างที่โต๊ะ
จ้าวจื่อรั่วมีของใช้ส่วนตัวไม่มาก ใครเลยจะรู้ว่าใช้เวลาเพียงชั่วยามเดียวทุกอย่างก็เรียบร้อย รวมทั้งเพิ่มหมอนและเปลี่ยนผ้าห่มบนเตียงนอนของท่านแม่ทัพ นางปรายตามองทางกู้ตงหยางที่ยังนั่งดื่มน้ำชาอ่านรายงานราวกับไม่เห็นว่ามีคนมากมายเครื่องย้ายสิ่งของเข้ามาในห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี พ่อบ้านก็พาบ่าวรับใช้ออกไปหมดสิ้นกู้ตงหยางเห็นไม่มีผู้อื่นแล้วจึงลุกขึ้นยืนแล้วหยิบจดหมายยื่นให้จ้าวจื่อรั่วนางรับจดหมายมาด้วยยิ้มแล้วก้าวเดินออกไปหมายจะไปอ่านจดหมายของน้องชาย แต่กู้ตงหยางคว้าไหล่นางมาไว้ก่อน หญิงสาวหันมามองด้วยความงุนงง เขากดไหล่ให้นางนั่งที่เก้าอี้ แล้วโน้มตัวลงกระซิบที่ริมหู“เจ้าอ่านจดหมายในห้องนี้” “เหตุใดต้องบังคับกันด้วย” “ข้าไม่ได้บังคับ แต่ข้าสั่ง” เขายิ้มที่มุมปาก “หากอยากเขียนจดหมายตอบคนที่บ้านก็ทำได้ แต่ส่งให้ข้าอ่านก่อน” “ท่านต้องทำถึงเพียงนี้เชียวรึ “ นางไม่อยากเชื่อเลย “หรือเจ้าไม่อยากเขียนจดหมายถึงน้องชายก็ได้” “ข้าทราบแล้ว” นางหงุดหงิดแต่ก็ยอมนั่งอ่านจดหมายในห้องนั้น เพราะสนใจแต่เรื่องราวในหน้ากระ
จ้าวจื่อรั่วอ่อนล้าจนไม่อาจคิดสิ่งใดได้อีก รู้เพียงแค่ว่าเขาจับดึงมือนางให้วางบนแผ่นอกที่มีรอยแผลเป็น นางหลับใหลไปพร้อมกับเสียงหัวใจของเขา เช้านี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา นางรู้สึกตัวตื่นเพราะการเคลื่อนไหวของกู้ตงหยาง แต่เขากลับลูบใบหน้าและบอกให้นางพักผ่อน “ข้ามีงานต้องไปที่ค่ายทหาร เจ้าไม่ต้องรีบลุกขึ้นมาหรอก” “แต่ข้าต้อง...” นางยันกายขึ้นนั่ง ผ้าห่มที่คลุมไว้เลื่อนหล่นเผยให้เห็นดอกบัวตูมคู่งาม นางเห็นดวงตาคู่นั้นจ้องมองจนนางรู้สึกร้อนวูบขึ้นมารีบคว้าผ้าขึ้นปกปิด “พักผ่อนเถิด” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “จวนนี้เป็นของข้า แต่การดูแลจวนนั้น เจ้าเป็นนายหญิงต้องจัดการให้ดี” จ้าวจื่อรั่วนิ่งงันไปชั่วขณะก่อนเอ่ยปากออกไป “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” “ไม่เข้าใจสิ่งใดให้ถามพ่อบ้าน” เขายกมือขึ้นลูบกลีบปากอ่อนนุ่ม “อย่าปล่อยให้ตนเองต้องเหนื่อย มีเพียงข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำให้เจ้าเหนื่อย” ถ้อยคำของเขาทำให้ใบหน้างามแดงระเรื่อ เขาผละจากไปแล้ว แต่นางยังนิ่งงันอยู่บนเตียงกว้างที่ไม่เย็นเยียบเช่นวันก่อน ‘ทำไมเขาพูดเรื่องน