ยามนี้ใบหน้าหญิงสาวแดงก่ำจนแทบคั้นออกมาเป็นหยดเลือด คำร้องห้ามไม่เป็นผล แม้มือเล็กพยายามผลักไสไม่ให้เขาก้มลงไปแต่สุดท้ายแล้ว นางก็ได้แต่อ่อนระทวยเพราะลิ้นร้อนแทรกเข้าไปในกลีบดอกไม้สาว
กลิ่นหอมหวานทำให้ชายหนุ่มแทบคลุ้มคลั่ง ลิ้นร้อนโลมเลียกลีบเนื้อสีหวานจนเรียวขางามสั่นระริก ยิ่งเขาตวัดลิ้นไล้เลียสลับกับใช้ลิ้นรุกรานในร่องรัก หยาดน้ำหวานหลั่งออกมามาก ความร้อนรุ่มแผ่ไปทั่วร่าง ลมหายใจหอบกระชั้นดังอย่างต่อเนื่อง หยาดน้ำตาคลอเบ้าตาของหญิงสาว สะโพกงามงอนส่ายยั่วเย้าอย่างไม่รู้ตัว ความเสียวซ่านทำเอาจ้าวจื่อรั่วได้แต่ครางอย่างสุดทนกลั้น ถูกลิ้นและนิ้วมือเร่งเร้าจนร่างกายเกร็งกระตุกและหวีดร้องออกมา
กู้ตงหยางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าฉ่ำหยาดน้ำตาของภรรยาตัวน้อย นางได้แต่สะอึกสะอื้นกับสัมผัสที่เขาตระเตรียมให้นางเพื่อรองรับสิ่งที่ใหญ่โตนี้ หากนางไม่ใช่ภรรยาของเขา เขาคงไม่ต้องใส่ใจว่านางจะรับได้ไหวหรือไม่ เขายื่นมือไปเกลี่ยน้ำตาที่เปื้อนแก้ม ความปรารถนาอันแข็งขันที่ทำให้เขาปวดหนึบอยู่นี้ทำให้เขาเร่งรีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนจนหมด แล้วจับมือนางมาแตะที่รอยแผลเป็นบนแผ่นอก
“กลัวหรือไม่” เขาถามเสียงแหบพร่า
ปลายนิ้วที่สัมผัสรอยแผลเป็นสั่นเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ นางไม่ได้กลัวหรือรังเกียจบาดแผลของเขา แต่สิ่งที่บดเบียนเนินเนื้ออยู่ตอนนี้ต่างหากที่ทำให้นางกลัว
ราวกับรู้ความคิดของอีกฝ่าย กู้ตงหยางจับมือนางให้มาแตะต้องส่วนที่แข็งขันอยู่ตอนนี้ ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ นางดึงมือกลับแต่เขากดมือนางไว้ มือเรียวเล็กถูกบังคับให้กุมลำเอ็นที่แทบกำไม่รอบ เสียงครางอย่างพอใจดังขึ้นเบาๆ แต่ในความเงียบนี้ทำให้นางได้ยินเสียงชัดเจน ความตื่นตระหนกค่อยๆ ลดลง มือใหญ่นำพาให้มือนุ่มรูดลำเอ็นเป็นจังหวะ มันขยายใหญ่ขึ้นจนจ้าวจื่อรั่วรู้สึกได้
ก่อนที่นางกลัวขึ้นมาอีกระลอก เขาปล่อยมือนางออกแล้วจับแก่นกายถูไถกลีบดอกไม้สาวที่ยังเปียกชื้นอยู่ ร่องรักที่ยังเปียกแฉะทำให้เขาส่งแก่นกายเข้าไปได้ง่ายขึ้น แต่ความใหญ่โตของท่อนเอ็นทำให้เขาขยับเรียวขาให้แยกออกกว้างแล้วค่อยๆกดลำทวนใหญ่ยักษ์เข้าไปในผนังอ่อนนุ่มที่ค่อยๆกลืนกินท่อนเนื้อของเขาจนหมด ความเสียวซ่านถาโถมขึ้นอีกครั้ง เขาขยับเอวถอนแก่นกายออกจนเกือบสุด นางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แต่เมื่อเขากดกระแทกดันกลับเข้าไปใหม่ นางก็ร้องครางออกมา
“อื้อ....”
จ้างจื่อรั่วครางเสียงสั่น ร่างกายปรับตัวกับลำทวนใหญ่ยาวที่เคลื่อนไหวเข้าออกในร่องสาว กู้ตงหยางใช้มือข้างหนึ่งจับเอวนางไว้และอีกข้างเอื้อมมาบีบเคล้นทรวงอกเพิ่มความเสียวซ่านแสนรัญจวน
“อ๊า...” ทุกการเคลื่อนไหวนำความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าสาดซัดใส่จนร่างกายสั่นไหวตามแรงกระแทกกระทั้น จนหัวสมองของนางขาวโพลนไปหมด ร่างกายถูกผลักดันจนเกร็งกระตุกไปอีกรอบ
เสียงครางของนางยิ่งปลุกเร้าชายหนุ่ม เขาจับเรียวขาเข้ามาชิดงอเข่าแล้วดันไปด้านหน้า สะโพกงามลอยขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อย ทรวงอกอวบอิ่มถูกดันขึ้น ช่องทางคับแคบยิ่งบีบรัดลำเอ็นมากยิ่งขึ้น เขาครางเสียวซ่านพร้อมขยับเอวเข้าสุดออกสุด ร่างเล็กสั่นไหวตามแรงกระแทก ใบหน้างามแดงเรื่อ นางคือภรรยาของเขา คนของเขา สตรีที่เขาครอบครองได้อย่างเต็มใจ
“ท่าน...อื้อ.. ช้า...ช้าหน่อย...ข้า มะ ไม่ ไม่ไหว อะ อ๊ะ”
ท่าทางทรมานของนางไม่อาจทำให้ชายที่มีฐานะเป็นสามีหยุดการเคลื่อนไหวได้เลย เขายังคงขยับสะโพกสอบตอกตรึงอย่างต่อเนื่อง ดิบเถื่อนและลึกล้ำ ทว่ามันปราศจากความเจ็บปวด แต่เป็นความรัญจวนเร่าร้อนและเรียกร้องให้นางตอบสนอง หญิงสาวไม่ประสีประสา เหมือนเขากำลังป้อนอาหารที่นางไม่เคยกินให้ลิ้มรสชาติแปลกใหม่ เขาเร่งจังหวะขยับโยกไม่หยุด พลางก้มมองกลีบเนื้อที่ดูดกลืนแท่งเอ็นร้อนของตนที่อาบน้ำรักจนเป็นมันวาว ผนังอ่อนนุ่มตอดรัดจนเขาไม่สามารถอดกลั้นได้อีก ส่งตัวตนเข้าไปจนสุดแล้วปลดปล่อยน้ำรักหลั่งรดอยู่ภายใน
จ้าวจื่อรั่วเห็นเขาแหงนหน้าคำราม ร่างแกร่งเกร็งกระตุกครู่หนึ่งจึงโน้มหน้าลงจูบหน้าผาก เขาพลิกตัวลงมานอนตะแคงโดยดึงร่างนางมาแนบชิด หญิงสาวค่อยๆปรับลมหายใจอยู่ครู่ใหญ่ จึงกล้าเงยหน้าสบตากับดวงตาแวววับที่จ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว นางขยับตัวอย่างเขินอายแต่มือใหญ่กดเอวนางไว้ไม่ให้ขยับ
“อย่าขยับ”
“แต่...ท่านจะอยู่อย่างนี้นะรึ”
“ข้าอยู่อย่างไรรึ?”
“ท่าน...ท่าน ออกไปสิ”
“เจ้านี้อย่างไรกัน กล้าไล่สามีรึ”
“ข้าหมายถึง...”
ใบหน้าหวานแดงเรื่อขึ้นมาอีก แก่นกายของเขายังอยู่ในกายนาง การขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็ทำให้นางเสียวซ่านขึ้นมาอีกครั้ง
ทำไมเขาหน้าหนาอย่างนี้นะ!
กู้ตงหยางแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ เขากอดนางไว้แน่นปล่อยให้แก่นกายของตนฝังในผนังอ่อนนุ่มของนางและค่อยๆเคลื่อนไหวตามแรงปรารถนาระลอกแล้วระลอกเล่า.
หญิงสาวตื่นมาก็พบเพียงข้างกายที่ว่างเปล่าและที่นอนที่เย็นเยียบ แสดงว่าเขาจากไปนานแล้ว แต่เหตุใดไม่เรียกนางสักคำ นางก็มิใช่คนตื่นยากเสียหน่อย ยิ่งนางเห็นสภาพตนเองที่เต็มไปด้วยรอยช้ำเป็นจุดแดง ทั้งเขินอายและสับสนปะปนจนใจเจ็บ นี่เขาโกรธแค้นที่นางไม่ใช่ภรรยาตัวจริงจึงได้ลงทัณฑ์นางถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“ฮูหยิน” เสี่ยวฉู่เรียกเสียงเบา สีหน้าฮูหยินดูซีดเซียวจนน่าเป็นห่วง “ให้ข้าเชิญท่านหมอมาดีไหมเจ้าคะ”
จ้าวจื่อรั่วถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้าไปมา ผู้อื่นจะได้คิดว่านางเรียกร้องความสนใจนะสิ
“เช่นนั้น...ฮูหยินกินอะไรสักหน่อยนะเจ้าค่ะ ตอนเช้าท่านก็ไม่ได้กินอะไร นี่ก็บ่ายแล้ว ท่านกินอะไรสักนิดนะเจ้าค่ะ”
เสี่ยวฉู่ร้อนรน แรกทีเดียวพอรู้ว่าท่านแม่ทัพมาค้างเรือนฮูหยิน พวกบ่าวไพร่ต่างตื่นเต้นยินดี ทว่าปกติฮูหยินตื่นเช้า แต่วันนี้สายแล้วก็ยังไม่เห็นฮูหยินปรากฏกาย แม้ท่านแม่ทัพเอ่ยปากสั่งไว้ว่าไม่ต้องปลุกฮูหยิน แต่เสี่ยวฉู่รู้สึกผิดปกติ เมื่อเข้ามาจึงรู้ว่าฮูหยินมีไข้ซ้ำยังอ่อนเพลียมาก นางเป็นหญิงยังไม่ได้ออกเรือนแต่ก็พอรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาทำให้ฮูหยินบอบช้ำถึงเพียงนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” จ้าวจื่อรั่วฝืนยิ้ม “ให้แม่ครัวทำโจ๊กให้ข้าสักถ้วยก็พอ อ้อ! ขอน้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดงให้ข้าด้วย” “แต่ว่า...” “แม้แต่เจ้าก็ยังขัดใจข้ารึ”นางแสร้งทำเสียงดุ เสี่ยวฉู่จึงก้มหน้างุดแล้วเดินออกไป เมื่อในห้องไม่มีผู้ใดแล้วนางก็ถอนหายใจออกมา นิ้วเรียวงามแตะรอยช้ำที่ต้นคอเบาๆ หากเป็นหญิงที่เขารัก เขาคงไม่ทำรุนแรงถึงเพียงนี้สินะ แล้วนางจะทำอย่างไรได้ เป็นแค่สตรีที่ถูกส่งมาแทนเจ้าสาวตัวจริง ซ้ำฐานะที่แท้จริงก็เป็นเพียงลูกอนุในจวนเท่านั้น แค่เขาไม่หักหน้านาง ไม่เอาเรื่องคนในสกุลจ้าว ก็นับว่าดีมากแล้วจ้าวจื่อรั่วหย
“ท่านแม่ทัพมาถึงเรือนท้ายจวน ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้ารับใช้เจ้าคะ” จ้าวจื่อรั่วยืดแผ่นหลังตั้งตรง แม้อยู่ในจวนสกุลจ้าว นางทำงานไม่ต่างจากสาวใช้ แต่กระนั้นฮูหยินที่เชิญนางข้าหลวงจากในวังมาสอนกิริยามารยาทของบุตรสาว ก็ยังให้นางเรียนรู้อบรมเรียนรู้พร้อมกัน ยามนี้จึงได้งัดวิชายุทธ์ออกมาใช้อย่างไม่รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด“ท่านแม่ทัพเป็นห่วงว่าข้าจะเหงา เลยตั้งใจมาพาข้ามาหาเจ้าอย่างไรเล่า” เฉียวฉู่ฉีกยิ้มอ่อนหวานแล้วเดินไปเกาะแขนอีกฝ่ายด้วยท่าทีสนิทสนม“ท่านแม่ทัพช่างใส่ใจฮูหยินยิ่งนัก”อ้ายเสิ่นมองแม่ทัพใหญ่ด้วยสายตาชื่นชม เขายกย่องบุรุษผู้นี้มาก ในสนามรบวางแผนเฉียบขาดแม้ผู้อื่นร่ำลือว่าโหดเหี้ยม แต่บุรุษผู้นี้ทอดทิ้งผู้อื่นไว้ด้านหลัง เหล่าพี่น้องทหารหาญล้วนเทิดทูนแม่ทัพกู้เหนือสิ่งใด แน่นอนว่า เขาที่ยังไม่มีภรรยา เห็นท่านแม่ทัพใส่ใจฮูหยินย่อมต้องเก็บไว้เผื่อใช้กับภรรยาในอนาคตของตนเอง พอเผลอคิดไปไกลถึงเพียงนี้ อ้ายเสิ่นเหลือบตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาเจอหญิงงามมาไม่น้อย แต่สตรีนางนี้งดงามและให้ความรู้สึกสงบใจยามอยู่ใกล้ หากมีวาสนาได้หญิงงามเช่นนี้เป็นภรรยา ชีวิตของเขาคงเหมือนอยู่ในส
“เจ้าปวดท้องก็ไปนอนพัก ประเดี๋ยวข้าจะไปรายงานฮูหยินเอง”“ฝากด้วยนะเจ้าค่ะ ท่านพ่อบ้าน”เพราะท่านพ่อบ้านรับมือได้ทุกสถานการณ์ การส่งพ่อบ้านไปจะไร้พิรุธมากที่สุด บ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้นได้แต่ภาวนาขอพรจากสวรรค์ให้ฮูหยินกับท่านแม่ทัพได้ปรับความเข้าใจกันเสียทีจ้าวจื่อรั่วถอนหายใจหนักหน่วงเมื่อรู้ว่าตนต้องนำเสื้อคลุมไปส่งท่านแม่ทัพเอง จู่ๆ เสี่ยวฉู่ก็ปวดท้อง พ่อบ้านก็เจ็บเข่า แน่นอนว่าผู้อื่นไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แม่ทัพกู้ นางไม่อยากเห็นเขากับแม่นางเฉียวฉู่ แต่อย่างไรนางจะให้เจ็บกับคนป่วยไปทำแทนก็ไม่ได้ หญิงสาวกัดริมฝีปากครุ่นคิด เวลานี้ท่านแม่ทัพคงยังไม่กลับจากค่ายทหารกระมัง นางรีบนำไปวางไว้ก็พอหญิงสาวหอบเสื้อคลุมที่ตั้งใจทำให้นั้น ร่างแบบบางเดินไปที่เรือนของแม่ทัพกู้ เดิมทีเคยคิดใช้ ‘สิ่งนี้’ สร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างสามีภรรยา แต่ดูแล้วไม่ว่าจะทำสิ่งใดล้วนไม่เป็นที่ถูกใจบุรุษผู้นั้น อย่างไรนางก็เป็นภรรยา จะละเลยหน้าที่ดูแลเขาก็ไม่ได้ นางคิดว่าเขาไม่อยู่ที่เรือนก็โล่งใจเพราะนอกประตูก็ไม่มีทหารยาวเฝ้า ทว่าเมื่อก้าวเข้าไปกลับพบว่าบุรุษที่ไม่อยากพบหน้ากำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างที่โต๊ะ
จ้าวจื่อรั่วมีของใช้ส่วนตัวไม่มาก ใครเลยจะรู้ว่าใช้เวลาเพียงชั่วยามเดียวทุกอย่างก็เรียบร้อย รวมทั้งเพิ่มหมอนและเปลี่ยนผ้าห่มบนเตียงนอนของท่านแม่ทัพ นางปรายตามองทางกู้ตงหยางที่ยังนั่งดื่มน้ำชาอ่านรายงานราวกับไม่เห็นว่ามีคนมากมายเครื่องย้ายสิ่งของเข้ามาในห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี พ่อบ้านก็พาบ่าวรับใช้ออกไปหมดสิ้นกู้ตงหยางเห็นไม่มีผู้อื่นแล้วจึงลุกขึ้นยืนแล้วหยิบจดหมายยื่นให้จ้าวจื่อรั่วนางรับจดหมายมาด้วยยิ้มแล้วก้าวเดินออกไปหมายจะไปอ่านจดหมายของน้องชาย แต่กู้ตงหยางคว้าไหล่นางมาไว้ก่อน หญิงสาวหันมามองด้วยความงุนงง เขากดไหล่ให้นางนั่งที่เก้าอี้ แล้วโน้มตัวลงกระซิบที่ริมหู“เจ้าอ่านจดหมายในห้องนี้” “เหตุใดต้องบังคับกันด้วย” “ข้าไม่ได้บังคับ แต่ข้าสั่ง” เขายิ้มที่มุมปาก “หากอยากเขียนจดหมายตอบคนที่บ้านก็ทำได้ แต่ส่งให้ข้าอ่านก่อน” “ท่านต้องทำถึงเพียงนี้เชียวรึ “ นางไม่อยากเชื่อเลย “หรือเจ้าไม่อยากเขียนจดหมายถึงน้องชายก็ได้” “ข้าทราบแล้ว” นางหงุดหงิดแต่ก็ยอมนั่งอ่านจดหมายในห้องนั้น เพราะสนใจแต่เรื่องราวในหน้ากระ
จ้าวจื่อรั่วอ่อนล้าจนไม่อาจคิดสิ่งใดได้อีก รู้เพียงแค่ว่าเขาจับดึงมือนางให้วางบนแผ่นอกที่มีรอยแผลเป็น นางหลับใหลไปพร้อมกับเสียงหัวใจของเขา เช้านี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา นางรู้สึกตัวตื่นเพราะการเคลื่อนไหวของกู้ตงหยาง แต่เขากลับลูบใบหน้าและบอกให้นางพักผ่อน “ข้ามีงานต้องไปที่ค่ายทหาร เจ้าไม่ต้องรีบลุกขึ้นมาหรอก” “แต่ข้าต้อง...” นางยันกายขึ้นนั่ง ผ้าห่มที่คลุมไว้เลื่อนหล่นเผยให้เห็นดอกบัวตูมคู่งาม นางเห็นดวงตาคู่นั้นจ้องมองจนนางรู้สึกร้อนวูบขึ้นมารีบคว้าผ้าขึ้นปกปิด “พักผ่อนเถิด” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “จวนนี้เป็นของข้า แต่การดูแลจวนนั้น เจ้าเป็นนายหญิงต้องจัดการให้ดี” จ้าวจื่อรั่วนิ่งงันไปชั่วขณะก่อนเอ่ยปากออกไป “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” “ไม่เข้าใจสิ่งใดให้ถามพ่อบ้าน” เขายกมือขึ้นลูบกลีบปากอ่อนนุ่ม “อย่าปล่อยให้ตนเองต้องเหนื่อย มีเพียงข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำให้เจ้าเหนื่อย” ถ้อยคำของเขาทำให้ใบหน้างามแดงระเรื่อ เขาผละจากไปแล้ว แต่นางยังนิ่งงันอยู่บนเตียงกว้างที่ไม่เย็นเยียบเช่นวันก่อน ‘ทำไมเขาพูดเรื่องน
“ฮูหยินเจ้าคะ” “มีอะไรรึเสี่ยวฉู่” นางยิ้มให้สาวใช้พลางปิดสมุดบัญชีและเก็บใส่กล่องไม้ให้เรียบร้อย “ฮูหยินมาอยู่ชายแดนได้หลายเดือนแล้ว แต่ไม่เคยออกไปนอกจวนเลย วันนี้ไปเดินเล่นที่ตลาดไหมเจ้าคะ” “ตลาด?” “แม้จะเป็นชายแดนแต่ตลาดที่นี่คึกคักนะเจ้าค่ะ” เสี่ยวฉู่คะยันคะยอแต่แล้วใบหน้าระบายยิ้มก็จางไป “ข้าลืมไป ที่นี่เป็นชายแดนคงไม่เจริญหูเจริญตาเท่าที่เมืองหลวง” จ้าวจื่อรั่วหัวเราะออกมา “ไฉนเจ้ากลายเป็นคนประชดประชัดเก่งเช่นนี้” “ข้าไม่ได้ประชดนะเจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นท่านอยูแต่ในจวนไม่ออกไปไหนเลย” “ข้าออกไปข้างนอกได้รึ” นางถามกลับ แม้นางเป็นฮูหยินแม่ทัพ แต่เป็นเจ้าสาวตัวแทนที่ถูกสับเปลี่ยนมา นางจะทำสิ่งใดต้องดูสีหน้ากู้ตงหยางทุกคราวไป “ท่านไม่ได้อยู่ในคุกนะเจ้าค่ะ” เสี่ยวฉู่ทำปากยื่น “เป็นฮูหยินแม่ทัพ สามารถไปไหนได้ตามใจอยู่แล้ว” “เป็นเจ้ากระมังที่อยากออกไปเที่ยวเล่น” “ฮูหยิน” เสี่ยวฉู่ทำท่ากระเง้ากระงอด “ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว” “ได้ๆ ข้าควรรับคำชี้แนะจ
“ท่านแม่ทัพ” จ้าวจื่อรั่วเรียกเหมือนไม่เชื่อว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ “อยากได้อะไรเพิ่มหรือไม่?” กู้ตงหยางถาม ปกติเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ไม่รู้สตรีชมชอบเครื่องประดับใดบ้าง“อยากได้สิ่งใดก็เลือกเอา อย่าให้ผู้อื่นดูแคลนฐานะของเจ้า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าข้าดูแลเจ้าได้ไม่ดีพอ” เพียงได้ยินถ้อยคำของเขา รอยยิ้มที่ประดับอยู่เมื่อครู่พลันจางหายไปทันที แท้จริง...เขาเพียงแค่กังวลว่านางจะทำให้เขาเสียหน้าสินะ หรือว่า...เขาคงรู้ว่าในหีบสินเดิมของนางแทบไม่มีของมีค่าเลย เขาเห็นนางนิ่งเงียบไปจึงย้ายสายตาก้มมองที่ใบหน้านวลเนียนยามนี้ดู...เอ่อ..เขาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เมื่อครู่ยังเห็นนางยังดูดีอกดีใจมากเลยนี่ สตรีนี่ช่างเข้าใจยากเสียจริง “เช่นนั้น ข้าจะเลือกอีกสองสามชิ้นก็แล้วกัน” นางเอ่ยเสียงเบา คลี่ยิ้มบางๆ แล้วหันไปเลือกกำไลหยกและปิ่นประดับ กู้ตงหยางไม่เข้าใจจิตใจสตรี หรือเขาไม่ควรมาทักนางเช่นนี้ แต่เขาบังเอิญผ่านมาจริงๆ จ้าวจื่อรั่วเลือกเครื่องประดับอย่างใจลอย ไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แต่ท
“จะดีหรือเจ้าคะ” นางถามเพราะสิ่งนี้แขวนอยู่หน้าร้าน คงไม่ได้ทำมาเพื่อขาย หากเป็นเช่นนั้นจริงจะดูเหมือนนางแย่งชิงมา “หากเป็นสิ่งที่ฮูหยินแม่ทัพกู้ต้องการ ข้าสามารถมอบให้ได้ขอรับ” ช่างตีเหล็กเอ่ยอย่างสุภาพ “นับเป็นเกียรติของครอบครัวช่างตีเหล็กของพวกข้ายิ่งนัก” ได้ยินเช่นนี้แล้วนางค่อยเบาใจลง ใบหน้าจึงระบายยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก” “เรื่องเล็กน้อยขอรับ” ดวงตางดงามก้มมองกระดิ่งลมในมือ ใบหน้าหวานแย้มยิ้มราวบุปผาป่าชวนมองจนไม่อาจถอนสายตา นางมัวแต่ชื่นชมกระดิ่งลมในมือจนไม่รู้ว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมอง เด็กหนุ่มอายุน้อยเห็นสาวงามแย้มยิ้มก็พลันหน้าแดงเก้อเขิน ใครเลยจะรู้ว่าฮูหยินของแม่ทัพผู้โหดเหี้ยมจะแลดูบอบบางน่าทะนุถนอมถึงเพียงนี้ ทำเอาหนุ่มโสดถึงกับฝันหวานไปไกลหากจะมีภรรยาต้องหาหญิงสาวที่อ่อนหวานและงดงามเช่นภรรยาของแม่ทัพกู้ให้ได้ เพราะสนใจเพียงกระดิ่งลมจึงไม่รู้ว่าถูกจ้องมอง กู้ตงหยางผู้ไม่เข้าใจสตรีก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น นางดูชมชอบของไร้ราคาเช่นนี้มากกว่าเครื่องประดับเหล่านั้น และดูเหมือนนางจะไม่รู้ว่าสา
แสงที่กระทบเปลือกตาทำให้หญิงสาวรู้สึกตัว ดวงตางดงามค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วเมื่อตั้งสติตื่นเต็มตาจึงรู้ว่าตัวเองหลับในเรือนหลังหนึ่ง นางยันกายขึ้นนั่งด้วยความอ่อนเพลีย อยู่บนรถม้ามาสองวันสองคืน หยุดพักแค่ให้เธอปลดทุกข์และเปลี่ยนม้า จ้าวจื่อรั่วไม่รู้ว่าตัวเองมาที่ใด แม้จะหลับๆตื่นๆมาตลอดทางจนกระทั่งรถม้าหยุดนิ่งและชายผู้นั้นยื่นหน้าเข้ามาในรถม้า หญิงสาวจำได้ว่าตัวเองกระถดกายถอยหนี ชายผู้นั้นกระชากข้อเท้านางไว้ หญิงสาวกลัวว่าจะกระทบเทือนถึงลูกในท้องจึงไม่กล้าขัดขืน เขาใช้เสื้อคลุมห่อตัวนางก่อนอุ้มลงมาแล้วก้าวเดินอย่างมั่นคงเข้ามาในเรือนหลังนี้ ด้วยความอ่อนเพลีย นางหลับไปบนเตียงอ่อนนุ่มที่ไม่ได้สัมผัสมานาน และความอบอุ่นจากเตาไฟในห้องทำให้หลับสบายจนตื่นสายเช่นนี้ “แม่นาง...ท่านตื่นแล้วรึ” หญิงสาวหันไปตามเสียงที่ได้ยิน ผู้ที่เข้ามาเป็นเด็กสาววัยสิบห้าใบหน้ากลมแลดูน่ารักน่าเอ็นดู เสียดายที่แววตาคู่นั้นดูหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา “อืม” นางตอบรับเบาๆ “นี่คงเที่ยงแล้วกระมัง” เด็กสาวพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวเดินออกไป ไม่กี่อึดใจก็
กู้ตงหยางยืนตระหง่านท่ามกลางเหล่าทหารและบ่าวไพร่ในจวน ยกเว้นเสี่ยวฉู่ที่ตั้งครรภ์อ่อนๆ โดยมีอ้ายเสิ่นประคองภรรยาอยู่ไม่ห่าง แม้ทั้งสองอยากคุกเข่าแต่แม่ทัพกู้ยกมือห้ามไว้ก่อนแม่ทัพหนุ่มแหงนหน้ามองฟ้า เหตุใดโชคชะตาเล่นตลกถึงเพียงนี้ เขาทำเมียหายอีกครั้งและนางกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ทั้งที่เคยสัญญากันไว้แล้ว หากนางตั้งครรภ์อีกครั้ง คราวนี้เขาจะอยู่เคียงข้างนางไม่ปล่อยให้นางตกระกำลำบากอีก แต่...มันก็เกิดขึ้นอีก “ลุกขึ้น” กู้ตงหยางสั่งแต่ยังไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้นยืน เขาขบฟันจนเป็นสันนูนก่อนตวาดออกมา “พวกเจ้าว่างนักหรือไง ไม่คิดจะตามหาฮูหยินของข้าเรอะ!” ได้ยินดังนั้นทุกขึ้นจึงลุกขึ้นยืนพร้อมเพรียงกัน แววตาทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยฮูหยินผู้มีจิตใจประเสริฐกลับมา “พวกเจ้าไปเตรียมตัวไว้ให้พร้อม รอข้าวางแผนแล้วจะเร่งออกเดินทาง” กู้ตงหยางสั่ง “เรื่องนี้ต้องให้เงียบที่สุด รู้เพียงแค่ว่าฮูหยินเก็บตัวอยู่ในจวนไม่พบผู้ใด” “รับทราบ!” แม่ทัพหนุ่มปรายตามองสาวใช้คนสนิทของจ้าวจื่อรั่วแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด ให้อ้ายเสิ่น
ใครจะคาดคิดชีวิตที่สงบสุขมานานผลันเกิดเรื่องพลิกผันพายุฝนกระหน่ำลงอย่างหนัก แสงแปลบปลาบทำให้กลางคืนสว่างวาบขึ้นมาและทำให้ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาเงยหน้าขึ้นมองเขาพอดี ดวงตาเย็นชาจ้องมองอย่างไร้ความรู้สึก ทว่ายังกวาดตามองไปเห็นที่ข้อเท้าของนางถูกบ่วงดักสัตว์ป่ารัดเท้าไว้แน่นหนา แม้ตัวนางจะเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลนแต่น้ำฝนที่กระหนำลงมาก็เผยใบหน้าขาวซีดและริมฝีปากที่สั่นระริก “ท่านผู้บัญชาการ” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้นแข่งกับเสียงฝนที่ยังกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา “จับผู้หลบหนีได้แล้วขอรับ” ซย่าเจียวซิ่ง เพียงพยักหน้ารับการรายงานแล้วตัดสินใจลงจากหลังม้า เดินตรงไปยังพุ่มไม้ด้านข้างที่มีร่างหญิงสาวคนนั้นซ่อนตัวอยู่ จ้าวจื่อรั่วเห็นชายผู้นั้นชักมีดสั้นออกมาก็ขดตัวห่อไหล่ด้วยความกลัว หรือว่านี่จะเป็นจุดจบชีวิตของนางแล้ว ไม่ได้นางต้องมีชีวิตกลับไปพบหน้าลูกและน้องชายรวมทั้งสามีของนาง นางหาทางหลบหนีพยายามไปให้ถึงค่ายทหาร ไม่น่าเลยนางไม่น่าประมาทถึงเพียงนี้อาจเพราะอยู่อย่างสงบสุขเกินไปทำไม่ระวังภัย ด้วยความต้องการแบ่งเบาภาระกู้ตงหยาง ทางชายแดนมีชาวบ้านอพยพเ
จ้าวเฟยฉีมองน้องเล็กส่ายหน้าไปมาแล้ว เขาเดินตรงไปหาพี่สาว ถอนหายใจบางเบาคราวหนึ่งก่อนเอ่ยออกมา“ตอนที่ข้ายังเด็กและก่อนที่ท่านแม่จะจากไป ท่านแม่พูดเสมอว่าให้ข้าเข้มแข็งคอยดูแลพี่ใหญ่ให้ดี แม้ในวันหน้าพี่ใหญ่ออกเรือนแล้วหากมีเรื่องใดก็ให้ช่วยเหลือ อย่าให้พี่ใหญ่ต้องโดดเดี่ยว”จ้าวจื่อรั่วนิ่งงันไป นางไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน“ท่านแม่พูดเช่นนั้นรึ”จ้าวเฟยหลิงยันกายขึ้นยืนได้ก็พูดขึ้น“ใช่ขอรับ ถึงตอนนั้นข้าจะยังเด็กมากๆ แต่ก็จำได้ว่าท่านแม่พูดเช่นนั้น ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่ กลัวว่าหลังแต่งงานแล้วเข้าบ้านผู้อื่นจะถูกรังแก แต่เห็นท่านแม่ทัพ เอ๊ย! พี่เขยรักใคร่พี่ใหญ่เช่นนี้ พวกเราก็สบายใจและไม่ผิดต่อคำสั่งเสียของท่านแม่แล้ว”หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ที่ผ่านมานางเพียงจดจำคำสั่งสอนและคำสั่งเสียสุดท้ายให้ดูแลน้องชายทั้งสองให้ดี จ้าวเฟยฉีเก่งบุ๋นนิสัยสงบเยือกเย็นในขณะที่จ้าวเฟยหลิงเก่งบู๊ใจร้อนพร้อมปะทะ แต่นางไม่เคยรู้เลยว่าที่ผ่านมามารดาก็สั่งเสียให้น้องชายทั้งสองดูแลนาง คงเกรงว่านางจะมีชะตากรรมเช่นมารดาที่ถูกข่มเหงในบ้านผู้อื่น“อย่าร้องไห้” กู้ตงหยางเอ่ยเสียงทุ
หลิงหยุนในวัยสามขวบ แม้สวมเสื้อผ้าฝ้ายแต่การตัดเย็บแสนประณีต ดวงตากลมโตกะพริบตาอย่างงุนงงก่อนยื่นมือไปข้างหน้าแล้วส่งเสียงร้อง “แม่...ท่านแม่” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนหวานกระตุกยิ้มด้วยสีหน้าพิกล ท่ามกลางเสียงกลั้นหัวเราะของคนรอบข้าง “หยุนเอ๋อร์ แม่อยู่ทางนี้” จ้าวจื่อรั่วหัวเราะเบาๆ แล้วตบมือส่งเสียงเรียกลูกชายตัวน้อย เด็กน้อยเอียงคอมองไปทางเสียงที่คุ้นเคยก่อนวิ่งถลาไปทางมารดา ยังไม่ทันที่จะโผเข้ากอด มือใหญ่ก็คว้าคอเสื้อไว้ได้ทันแล้วหิ้วจนหลิงหยุนตัวลอยขึ้นจากพื้น “หยุนเอ๋อร์จะพุ่งใส่ท่านแม่แบบนั้นไม่ได้” กู้ตงหยางดุลูกชายเบาๆ แต่ดูเหมือนเด็กน้อยไม่เข้าใจนัก กลับหัวเราะชอบใจที่ตัวเองถูกหิ้วจนเท้าลอยเหนือพื้นดินเช่นนี้ ช่างเป็นเด็กที่หัวเราะง่ายเสียจริง หากไม่เพราะใบหน้าน้อยๆ นี้มีเค้าโครงละม้ายคล้ายใบหน้าของผู้เป็นพ่อ ผู้อื่นคงไม่เชื่อว่าเด็กน้อยที่แสนร่าเริงเป็นบุตรชายของแม่ทัพปีศาจ ที่ใบหน้ามักเย็นชาอยู่เสมอ“ในท้องของท่านแม่เจ้า มีน้องของเจ้าอยู่นะ ต้องระวังให้มากๆ”“น้อง...” เด็กน้อยพูดเลียนแบบบิดา เด็กในวัยนี้พูดได้เพียงคำ
วันเวลาผันผ่าน หลิงหยุนอายุครบหนึ่งขวบปี กู้ตงหยางก็พาลูกชายและจ้าวจื่อรั่วเดินทางเข้าเมืองหลวงตามคำบัญชาของฮ่องเต้ ทั้งสามและผู้ติดตามเดินทางอย่างไม่รีบเร่งคล้ายท่องเที่ยวไปในพร้อมกัน กว่าจะมาถึงเมืองหลวงจึงใช้เวลาหนึ่งเดือน “ท่านพี่มีเรื่องในใจหรือเจ้าคะ” จ้าวจื่อรั่วถามหลังจากลูกชายหลับไปแล้ว “ข้าห่วงเพียงเจ้ากับลูกเท่านั้น” เขายื่นมือไปลูบแก้มนวลของภรรยาสาว “ท่านพี่คิดว่าฮ่องเต้ต้องการสิ่งใด” กู้ตงหยางถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนยิ้มออกมา“อย่างมากก็แค่ขอกำลังทหารคืน ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เจ้าเล่าหากข้าไม่ได้เป็นแม่ทัพแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร” “ข้าจะทำอะไรได้นอกจากเป็นภรรยาท่าน” นางหัวเราะเสียงใสไม่ได้หวาดกลัวสิ่งที่เขากังวล “ดีเสียอีก ท่านพี่เลี้ยงหลิงหยุนส่วนข้าจะเป็นหมอหญิงหาเงินเลี้ยงครอบครัวเอง” “ได้ เช่นนั้นชีวิตข้าต้องฝากในมือน้องหญิงแล้ว” ทั้งสองหัวเราะให้กัน ไม่หวั่นใจกับสิ่งที่กำลังเผชิญ จ้าวจื่อรั่วคว้าของสามีมาเกาะกุมไว้ ทั้งครอบครัวเดินทางเข้าเมืองหลวงพักที่คฤหาสน์หลังงามที่กู้ตงหยางซื้อไว้
“อะไรกัน เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าถอนพิษให้ข้าหมดแล้ว”“ท่านมีเรี่ยวแรงขนาดนี้ พิษคงถูกขับออกไปหมดสิ้นแล้ว” นางขึงตาใส่ทั้งที่แก้มเนียนแดงเรื่อ“เรายังมีเวลาถึงเช้า รั่วเอ๋อร์ ขับพิษอีกเถิดนะ” เขาอ้อนวอนแล้วขบเม้มติ่งหูนางเบาๆ“ข้าไม่ทำแล้ว! ท่านไปให้หญิงอื่นขับพิษให้เถอะ!”“ถ้าไม่ใช่เจ้า ข้าก็ไม่ทำเรื่องเช่นนี้กับหญิงใด” เขาเงยหน้าสบตานางพูดด้วยความจริงจัง “ชีวิตข้ากู้ตงหยาง ขอมีเพียงจ้าวจื่อรั่วเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”“ท่าน...”“ข้าสาบาน...”“ไม่ต้องสาบาน” นางรีบห้ามเขาไว้ “ข้าเชื่อใจท่าน”เขายิ้มดีใจแล้วจุมพิตหน้าผากภรรยาสาว “ทำไมเจ้าเชื่อใจข้า”“ซูเม่ยบอกว่า บุรุษไม่ได้ปลดปล่อยมานานครั้งแรกจะเสร็จเร็ว เมื่อครู่...ครั้งแรกของท่านก็เร็วนะ”“หือ? พูดเช่นนี้เห็นทีต้องพิสูจน์อีกรอบ เจ้าจะได้รู้ว่าข้าเสร็จเร็วหรือไม่”“พอแล้ว! ข้าเหนื่อย!”“ไม่เป็นไร ครั้งนี้ข้าจะปรนนิบัติเจ้าเอง”เสียงหวานครางกระเส่าดังขึ้นอีกครั้ง ในห้องที่มีเพียงแสงเทียนสลัวจวบจนเทียนเล่มน้อยหลอมละลายไปพร้อมคนทั้งสอง การเคลื่อนไหวในห้องจึงหยุดลง แต่เส้นทางของหัวใจสองดวงราวกับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ทว่าครั้งนี้เ
อาจเพราะร่างกายที่ผ่านการฝังเข็มมายาวนานหกชั่วยามทำให้ร่างกายยังไร้เรี่ยวแรง กู้ตงหยางได้แต่มองภรรยาสาวบรรจงจุมพิตไปทั่วร่าง ลิ้นเปียกชื้นสัมผัสรอยแผลเป็นอย่างไม่รังเกียจหรือหวาดกลัว ท่อนล่างมีเพียงผ้าผืนยาวคลุมปกปิดไว้ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่นางทำเกี่ยวกับการถอนพิษอย่างไร แต่หวังใจให้นางสัมผัสเขามากกว่านั้นมือเรียวเล็กกอบกุมแก่นกายที่อยู่ใต้ผ้า มันแข็งขันท้าทายแต่ยังไม่พร้อมสู้แม้ขยับรูดไปมาก็ยังไม่ตั้งชัน จ้าวจื่อรั่วเม้มริมฝีปากกลั้นความกระดากอายแล้วเลื่อนผ้าผืนนั้นออก สิ่งนั้นจึงผงาดขึ้น แต่นางจำได้ว่ามันเคยแข็งแกร่งมากกว่านี้ หญิงสาวตัดสินใจโน้มใบหน้าลงแล้วอ้าปากครอบครองแก่นกายของสามี“อา....” กู้ตงหยางครางกระเส่า ไม่คิดว่าภรรยาตัวน้อยจะกล้าทำในสิ่งที่บุรุษปรารถนาเช่นนี้ เขาผงกศีรษะขึ้นมองนางค่อยๆดูดกลืนลำเอ็นไปจนหมดก่อนขยับศีรษะดูดดึงสร้างความเสียวซ่านจนเขาแทบคลั่งเสียงครวญครางที่ไม่อาจกลั้นได้ของเขายิ่งทำให้หญิงสาวลำพองใจ ซูเม่ยให้นางศึกษาตำรากามสูตร ยามเปิดดูก็เขินอายจนหน้าร้อนผ่าว แต่เมื่อลงมือทำจริงกับบุรุษที่เป็นสามีนาง ความเขินอายจึงลดลง มือเรียวลูบไล้ก้อนเนื้อกลมๆ พลา
“ท่านแม่... ข้าขอบคุณท่าน ที่ผ่านมาหากไม่มีท่านพ่อกับท่านแม่ข้ากับลูกคงไม่มีวันนี้” “คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องดูแลลูกอยู่แล้ว” นางพูดด้วยรอยยิ้ม นอกจากมารดาที่ให้กำเนิดแล้ว จ้าวจื่อรั่วไม่เคยได้รับความรักจากใครเช่นนี้มาก่อน ขอบตาจึงร้อนผ่าวขึ้นมา นับว่าสวรรค์ยังเมตตาส่งนางมาพบคนทั้งสองทั้งช่วยชีวิตนางกับลูกและยังรักใคร่เอ็นดูนางอย่างแท้จริง ฉินหวังเหล่ยก้าวเข้ามาในห้อง เขามองจ้าวจื่อรั่วส่งลูกให้ซูเม่ยอุ้มแล้วจึงพูดขึ้น“ท่านอาจารย์ให้เจ้าเข้าไปในห้องได้แล้ว” “ข้าทราบแล้ว” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณพี่หวังเหล่ยที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ” “เจ้าคงไม่เปลี่ยนใจแล้วสินะ” ฉินหวังเหล่ยถอนหายใจ “หนึ่งปีผ่านมาในใจเจ้าก็ยังมีเขาอยู่เสมอมา” “ข้า...” “ช่างเถอะ” เขาโบกมือไปมาแล้วหัวเราะเสียงปร่า “เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า ชายผู้นั้นก็คงเรียกได้ว่าเป็นน้องเขย ข้านี่ช่างโชคดีเสียจริงที่มีน้องเขยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งแดนใต้” ได้ยินฉินหวังเหล่ยพูดจาหยอกล้อเช่นนี้ นางก็พลอยสบายใจขึ้นมาบ้าง หญิงสาวยิ้มน้อยๆ แล้วเ