ยามนี้ใบหน้าหญิงสาวแดงก่ำจนแทบคั้นออกมาเป็นหยดเลือด คำร้องห้ามไม่เป็นผล แม้มือเล็กพยายามผลักไสไม่ให้เขาก้มลงไปแต่สุดท้ายแล้ว นางก็ได้แต่อ่อนระทวยเพราะลิ้นร้อนแทรกเข้าไปในกลีบดอกไม้สาว
กลิ่นหอมหวานทำให้ชายหนุ่มแทบคลุ้มคลั่ง ลิ้นร้อนโลมเลียกลีบเนื้อสีหวานจนเรียวขางามสั่นระริก ยิ่งเขาตวัดลิ้นไล้เลียสลับกับใช้ลิ้นรุกรานในร่องรัก หยาดน้ำหวานหลั่งออกมามาก ความร้อนรุ่มแผ่ไปทั่วร่าง ลมหายใจหอบกระชั้นดังอย่างต่อเนื่อง หยาดน้ำตาคลอเบ้าตาของหญิงสาว สะโพกงามงอนส่ายยั่วเย้าอย่างไม่รู้ตัว ความเสียวซ่านทำเอาจ้าวจื่อรั่วได้แต่ครางอย่างสุดทนกลั้น ถูกลิ้นและนิ้วมือเร่งเร้าจนร่างกายเกร็งกระตุกและหวีดร้องออกมา
กู้ตงหยางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าฉ่ำหยาดน้ำตาของภรรยาตัวน้อย นางได้แต่สะอึกสะอื้นกับสัมผัสที่เขาตระเตรียมให้นางเพื่อรองรับสิ่งที่ใหญ่โตนี้ หากนางไม่ใช่ภรรยาของเขา เขาคงไม่ต้องใส่ใจว่านางจะรับได้ไหวหรือไม่ เขายื่นมือไปเกลี่ยน้ำตาที่เปื้อนแก้ม ความปรารถนาอันแข็งขันที่ทำให้เขาปวดหนึบอยู่นี้ทำให้เขาเร่งรีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนจนหมด แล้วจับมือนางมาแตะที่รอยแผลเป็นบนแผ่นอก
“กลัวหรือไม่” เขาถามเสียงแหบพร่า
ปลายนิ้วที่สัมผัสรอยแผลเป็นสั่นเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ นางไม่ได้กลัวหรือรังเกียจบาดแผลของเขา แต่สิ่งที่บดเบียนเนินเนื้ออยู่ตอนนี้ต่างหากที่ทำให้นางกลัว
ราวกับรู้ความคิดของอีกฝ่าย กู้ตงหยางจับมือนางให้มาแตะต้องส่วนที่แข็งขันอยู่ตอนนี้ ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ นางดึงมือกลับแต่เขากดมือนางไว้ มือเรียวเล็กถูกบังคับให้กุมลำเอ็นที่แทบกำไม่รอบ เสียงครางอย่างพอใจดังขึ้นเบาๆ แต่ในความเงียบนี้ทำให้นางได้ยินเสียงชัดเจน ความตื่นตระหนกค่อยๆ ลดลง มือใหญ่นำพาให้มือนุ่มรูดลำเอ็นเป็นจังหวะ มันขยายใหญ่ขึ้นจนจ้าวจื่อรั่วรู้สึกได้
ก่อนที่นางกลัวขึ้นมาอีกระลอก เขาปล่อยมือนางออกแล้วจับแก่นกายถูไถกลีบดอกไม้สาวที่ยังเปียกชื้นอยู่ ร่องรักที่ยังเปียกแฉะทำให้เขาส่งแก่นกายเข้าไปได้ง่ายขึ้น แต่ความใหญ่โตของท่อนเอ็นทำให้เขาขยับเรียวขาให้แยกออกกว้างแล้วค่อยๆกดลำทวนใหญ่ยักษ์เข้าไปในผนังอ่อนนุ่มที่ค่อยๆกลืนกินท่อนเนื้อของเขาจนหมด ความเสียวซ่านถาโถมขึ้นอีกครั้ง เขาขยับเอวถอนแก่นกายออกจนเกือบสุด นางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แต่เมื่อเขากดกระแทกดันกลับเข้าไปใหม่ นางก็ร้องครางออกมา
“อื้อ....”
จ้างจื่อรั่วครางเสียงสั่น ร่างกายปรับตัวกับลำทวนใหญ่ยาวที่เคลื่อนไหวเข้าออกในร่องสาว กู้ตงหยางใช้มือข้างหนึ่งจับเอวนางไว้และอีกข้างเอื้อมมาบีบเคล้นทรวงอกเพิ่มความเสียวซ่านแสนรัญจวน
“อ๊า...” ทุกการเคลื่อนไหวนำความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าสาดซัดใส่จนร่างกายสั่นไหวตามแรงกระแทกกระทั้น จนหัวสมองของนางขาวโพลนไปหมด ร่างกายถูกผลักดันจนเกร็งกระตุกไปอีกรอบ
เสียงครางของนางยิ่งปลุกเร้าชายหนุ่ม เขาจับเรียวขาเข้ามาชิดงอเข่าแล้วดันไปด้านหน้า สะโพกงามลอยขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อย ทรวงอกอวบอิ่มถูกดันขึ้น ช่องทางคับแคบยิ่งบีบรัดลำเอ็นมากยิ่งขึ้น เขาครางเสียวซ่านพร้อมขยับเอวเข้าสุดออกสุด ร่างเล็กสั่นไหวตามแรงกระแทก ใบหน้างามแดงเรื่อ นางคือภรรยาของเขา คนของเขา สตรีที่เขาครอบครองได้อย่างเต็มใจ
“ท่าน...อื้อ.. ช้า...ช้าหน่อย...ข้า มะ ไม่ ไม่ไหว อะ อ๊ะ”
ท่าทางทรมานของนางไม่อาจทำให้ชายที่มีฐานะเป็นสามีหยุดการเคลื่อนไหวได้เลย เขายังคงขยับสะโพกสอบตอกตรึงอย่างต่อเนื่อง ดิบเถื่อนและลึกล้ำ ทว่ามันปราศจากความเจ็บปวด แต่เป็นความรัญจวนเร่าร้อนและเรียกร้องให้นางตอบสนอง หญิงสาวไม่ประสีประสา เหมือนเขากำลังป้อนอาหารที่นางไม่เคยกินให้ลิ้มรสชาติแปลกใหม่ เขาเร่งจังหวะขยับโยกไม่หยุด พลางก้มมองกลีบเนื้อที่ดูดกลืนแท่งเอ็นร้อนของตนที่อาบน้ำรักจนเป็นมันวาว ผนังอ่อนนุ่มตอดรัดจนเขาไม่สามารถอดกลั้นได้อีก ส่งตัวตนเข้าไปจนสุดแล้วปลดปล่อยน้ำรักหลั่งรดอยู่ภายใน
จ้าวจื่อรั่วเห็นเขาแหงนหน้าคำราม ร่างแกร่งเกร็งกระตุกครู่หนึ่งจึงโน้มหน้าลงจูบหน้าผาก เขาพลิกตัวลงมานอนตะแคงโดยดึงร่างนางมาแนบชิด หญิงสาวค่อยๆปรับลมหายใจอยู่ครู่ใหญ่ จึงกล้าเงยหน้าสบตากับดวงตาแวววับที่จ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว นางขยับตัวอย่างเขินอายแต่มือใหญ่กดเอวนางไว้ไม่ให้ขยับ
“อย่าขยับ”
“แต่...ท่านจะอยู่อย่างนี้นะรึ”
“ข้าอยู่อย่างไรรึ?”
“ท่าน...ท่าน ออกไปสิ”
“เจ้านี้อย่างไรกัน กล้าไล่สามีรึ”
“ข้าหมายถึง...”
ใบหน้าหวานแดงเรื่อขึ้นมาอีก แก่นกายของเขายังอยู่ในกายนาง การขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็ทำให้นางเสียวซ่านขึ้นมาอีกครั้ง
ทำไมเขาหน้าหนาอย่างนี้นะ!
กู้ตงหยางแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ เขากอดนางไว้แน่นปล่อยให้แก่นกายของตนฝังในผนังอ่อนนุ่มของนางและค่อยๆเคลื่อนไหวตามแรงปรารถนาระลอกแล้วระลอกเล่า.
หญิงสาวตื่นมาก็พบเพียงข้างกายที่ว่างเปล่าและที่นอนที่เย็นเยียบ แสดงว่าเขาจากไปนานแล้ว แต่เหตุใดไม่เรียกนางสักคำ นางก็มิใช่คนตื่นยากเสียหน่อย ยิ่งนางเห็นสภาพตนเองที่เต็มไปด้วยรอยช้ำเป็นจุดแดง ทั้งเขินอายและสับสนปะปนจนใจเจ็บ นี่เขาโกรธแค้นที่นางไม่ใช่ภรรยาตัวจริงจึงได้ลงทัณฑ์นางถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“ฮูหยิน” เสี่ยวฉู่เรียกเสียงเบา สีหน้าฮูหยินดูซีดเซียวจนน่าเป็นห่วง “ให้ข้าเชิญท่านหมอมาดีไหมเจ้าคะ”
จ้าวจื่อรั่วถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้าไปมา ผู้อื่นจะได้คิดว่านางเรียกร้องความสนใจนะสิ
“เช่นนั้น...ฮูหยินกินอะไรสักหน่อยนะเจ้าค่ะ ตอนเช้าท่านก็ไม่ได้กินอะไร นี่ก็บ่ายแล้ว ท่านกินอะไรสักนิดนะเจ้าค่ะ”
เสี่ยวฉู่ร้อนรน แรกทีเดียวพอรู้ว่าท่านแม่ทัพมาค้างเรือนฮูหยิน พวกบ่าวไพร่ต่างตื่นเต้นยินดี ทว่าปกติฮูหยินตื่นเช้า แต่วันนี้สายแล้วก็ยังไม่เห็นฮูหยินปรากฏกาย แม้ท่านแม่ทัพเอ่ยปากสั่งไว้ว่าไม่ต้องปลุกฮูหยิน แต่เสี่ยวฉู่รู้สึกผิดปกติ เมื่อเข้ามาจึงรู้ว่าฮูหยินมีไข้ซ้ำยังอ่อนเพลียมาก นางเป็นหญิงยังไม่ได้ออกเรือนแต่ก็พอรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาทำให้ฮูหยินบอบช้ำถึงเพียงนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” จ้าวจื่อรั่วฝืนยิ้ม “ให้แม่ครัวทำโจ๊กให้ข้าสักถ้วยก็พอ อ้อ! ขอน้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดงให้ข้าด้วย” “แต่ว่า...” “แม้แต่เจ้าก็ยังขัดใจข้ารึ”นางแสร้งทำเสียงดุ เสี่ยวฉู่จึงก้มหน้างุดแล้วเดินออกไป เมื่อในห้องไม่มีผู้ใดแล้วนางก็ถอนหายใจออกมา นิ้วเรียวงามแตะรอยช้ำที่ต้นคอเบาๆ หากเป็นหญิงที่เขารัก เขาคงไม่ทำรุนแรงถึงเพียงนี้สินะ แล้วนางจะทำอย่างไรได้ เป็นแค่สตรีที่ถูกส่งมาแทนเจ้าสาวตัวจริง ซ้ำฐานะที่แท้จริงก็เป็นเพียงลูกอนุในจวนเท่านั้น แค่เขาไม่หักหน้านาง ไม่เอาเรื่องคนในสกุลจ้าว ก็นับว่าดีมากแล้วจ้าวจื่อรั่วหย
“ท่านแม่ทัพมาถึงเรือนท้ายจวน ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้ารับใช้เจ้าคะ” จ้าวจื่อรั่วยืดแผ่นหลังตั้งตรง แม้อยู่ในจวนสกุลจ้าว นางทำงานไม่ต่างจากสาวใช้ แต่กระนั้นฮูหยินที่เชิญนางข้าหลวงจากในวังมาสอนกิริยามารยาทของบุตรสาว ก็ยังให้นางเรียนรู้อบรมเรียนรู้พร้อมกัน ยามนี้จึงได้งัดวิชายุทธ์ออกมาใช้อย่างไม่รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด“ท่านแม่ทัพเป็นห่วงว่าข้าจะเหงา เลยตั้งใจมาพาข้ามาหาเจ้าอย่างไรเล่า” เฉียวฉู่ฉีกยิ้มอ่อนหวานแล้วเดินไปเกาะแขนอีกฝ่ายด้วยท่าทีสนิทสนม“ท่านแม่ทัพช่างใส่ใจฮูหยินยิ่งนัก”อ้ายเสิ่นมองแม่ทัพใหญ่ด้วยสายตาชื่นชม เขายกย่องบุรุษผู้นี้มาก ในสนามรบวางแผนเฉียบขาดแม้ผู้อื่นร่ำลือว่าโหดเหี้ยม แต่บุรุษผู้นี้ทอดทิ้งผู้อื่นไว้ด้านหลัง เหล่าพี่น้องทหารหาญล้วนเทิดทูนแม่ทัพกู้เหนือสิ่งใด แน่นอนว่า เขาที่ยังไม่มีภรรยา เห็นท่านแม่ทัพใส่ใจฮูหยินย่อมต้องเก็บไว้เผื่อใช้กับภรรยาในอนาคตของตนเอง พอเผลอคิดไปไกลถึงเพียงนี้ อ้ายเสิ่นเหลือบตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาเจอหญิงงามมาไม่น้อย แต่สตรีนางนี้งดงามและให้ความรู้สึกสงบใจยามอยู่ใกล้ หากมีวาสนาได้หญิงงามเช่นนี้เป็นภรรยา ชีวิตของเขาคงเหมือนอยู่ในส
“เจ้าปวดท้องก็ไปนอนพัก ประเดี๋ยวข้าจะไปรายงานฮูหยินเอง”“ฝากด้วยนะเจ้าค่ะ ท่านพ่อบ้าน”เพราะท่านพ่อบ้านรับมือได้ทุกสถานการณ์ การส่งพ่อบ้านไปจะไร้พิรุธมากที่สุด บ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้นได้แต่ภาวนาขอพรจากสวรรค์ให้ฮูหยินกับท่านแม่ทัพได้ปรับความเข้าใจกันเสียทีจ้าวจื่อรั่วถอนหายใจหนักหน่วงเมื่อรู้ว่าตนต้องนำเสื้อคลุมไปส่งท่านแม่ทัพเอง จู่ๆ เสี่ยวฉู่ก็ปวดท้อง พ่อบ้านก็เจ็บเข่า แน่นอนว่าผู้อื่นไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แม่ทัพกู้ นางไม่อยากเห็นเขากับแม่นางเฉียวฉู่ แต่อย่างไรนางจะให้เจ็บกับคนป่วยไปทำแทนก็ไม่ได้ หญิงสาวกัดริมฝีปากครุ่นคิด เวลานี้ท่านแม่ทัพคงยังไม่กลับจากค่ายทหารกระมัง นางรีบนำไปวางไว้ก็พอหญิงสาวหอบเสื้อคลุมที่ตั้งใจทำให้นั้น ร่างแบบบางเดินไปที่เรือนของแม่ทัพกู้ เดิมทีเคยคิดใช้ ‘สิ่งนี้’ สร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างสามีภรรยา แต่ดูแล้วไม่ว่าจะทำสิ่งใดล้วนไม่เป็นที่ถูกใจบุรุษผู้นั้น อย่างไรนางก็เป็นภรรยา จะละเลยหน้าที่ดูแลเขาก็ไม่ได้ นางคิดว่าเขาไม่อยู่ที่เรือนก็โล่งใจเพราะนอกประตูก็ไม่มีทหารยาวเฝ้า ทว่าเมื่อก้าวเข้าไปกลับพบว่าบุรุษที่ไม่อยากพบหน้ากำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างที่โต๊ะ
จ้าวจื่อรั่วมีของใช้ส่วนตัวไม่มาก ใครเลยจะรู้ว่าใช้เวลาเพียงชั่วยามเดียวทุกอย่างก็เรียบร้อย รวมทั้งเพิ่มหมอนและเปลี่ยนผ้าห่มบนเตียงนอนของท่านแม่ทัพ นางปรายตามองทางกู้ตงหยางที่ยังนั่งดื่มน้ำชาอ่านรายงานราวกับไม่เห็นว่ามีคนมากมายเครื่องย้ายสิ่งของเข้ามาในห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี พ่อบ้านก็พาบ่าวรับใช้ออกไปหมดสิ้นกู้ตงหยางเห็นไม่มีผู้อื่นแล้วจึงลุกขึ้นยืนแล้วหยิบจดหมายยื่นให้จ้าวจื่อรั่วนางรับจดหมายมาด้วยยิ้มแล้วก้าวเดินออกไปหมายจะไปอ่านจดหมายของน้องชาย แต่กู้ตงหยางคว้าไหล่นางมาไว้ก่อน หญิงสาวหันมามองด้วยความงุนงง เขากดไหล่ให้นางนั่งที่เก้าอี้ แล้วโน้มตัวลงกระซิบที่ริมหู“เจ้าอ่านจดหมายในห้องนี้” “เหตุใดต้องบังคับกันด้วย” “ข้าไม่ได้บังคับ แต่ข้าสั่ง” เขายิ้มที่มุมปาก “หากอยากเขียนจดหมายตอบคนที่บ้านก็ทำได้ แต่ส่งให้ข้าอ่านก่อน” “ท่านต้องทำถึงเพียงนี้เชียวรึ “ นางไม่อยากเชื่อเลย “หรือเจ้าไม่อยากเขียนจดหมายถึงน้องชายก็ได้” “ข้าทราบแล้ว” นางหงุดหงิดแต่ก็ยอมนั่งอ่านจดหมายในห้องนั้น เพราะสนใจแต่เรื่องราวในหน้ากระ
จ้าวจื่อรั่วอ่อนล้าจนไม่อาจคิดสิ่งใดได้อีก รู้เพียงแค่ว่าเขาจับดึงมือนางให้วางบนแผ่นอกที่มีรอยแผลเป็น นางหลับใหลไปพร้อมกับเสียงหัวใจของเขา เช้านี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา นางรู้สึกตัวตื่นเพราะการเคลื่อนไหวของกู้ตงหยาง แต่เขากลับลูบใบหน้าและบอกให้นางพักผ่อน “ข้ามีงานต้องไปที่ค่ายทหาร เจ้าไม่ต้องรีบลุกขึ้นมาหรอก” “แต่ข้าต้อง...” นางยันกายขึ้นนั่ง ผ้าห่มที่คลุมไว้เลื่อนหล่นเผยให้เห็นดอกบัวตูมคู่งาม นางเห็นดวงตาคู่นั้นจ้องมองจนนางรู้สึกร้อนวูบขึ้นมารีบคว้าผ้าขึ้นปกปิด “พักผ่อนเถิด” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “จวนนี้เป็นของข้า แต่การดูแลจวนนั้น เจ้าเป็นนายหญิงต้องจัดการให้ดี” จ้าวจื่อรั่วนิ่งงันไปชั่วขณะก่อนเอ่ยปากออกไป “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” “ไม่เข้าใจสิ่งใดให้ถามพ่อบ้าน” เขายกมือขึ้นลูบกลีบปากอ่อนนุ่ม “อย่าปล่อยให้ตนเองต้องเหนื่อย มีเพียงข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำให้เจ้าเหนื่อย” ถ้อยคำของเขาทำให้ใบหน้างามแดงระเรื่อ เขาผละจากไปแล้ว แต่นางยังนิ่งงันอยู่บนเตียงกว้างที่ไม่เย็นเยียบเช่นวันก่อน ‘ทำไมเขาพูดเรื่องน
“ฮูหยินเจ้าคะ” “มีอะไรรึเสี่ยวฉู่” นางยิ้มให้สาวใช้พลางปิดสมุดบัญชีและเก็บใส่กล่องไม้ให้เรียบร้อย “ฮูหยินมาอยู่ชายแดนได้หลายเดือนแล้ว แต่ไม่เคยออกไปนอกจวนเลย วันนี้ไปเดินเล่นที่ตลาดไหมเจ้าคะ” “ตลาด?” “แม้จะเป็นชายแดนแต่ตลาดที่นี่คึกคักนะเจ้าค่ะ” เสี่ยวฉู่คะยันคะยอแต่แล้วใบหน้าระบายยิ้มก็จางไป “ข้าลืมไป ที่นี่เป็นชายแดนคงไม่เจริญหูเจริญตาเท่าที่เมืองหลวง” จ้าวจื่อรั่วหัวเราะออกมา “ไฉนเจ้ากลายเป็นคนประชดประชัดเก่งเช่นนี้” “ข้าไม่ได้ประชดนะเจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นท่านอยูแต่ในจวนไม่ออกไปไหนเลย” “ข้าออกไปข้างนอกได้รึ” นางถามกลับ แม้นางเป็นฮูหยินแม่ทัพ แต่เป็นเจ้าสาวตัวแทนที่ถูกสับเปลี่ยนมา นางจะทำสิ่งใดต้องดูสีหน้ากู้ตงหยางทุกคราวไป “ท่านไม่ได้อยู่ในคุกนะเจ้าค่ะ” เสี่ยวฉู่ทำปากยื่น “เป็นฮูหยินแม่ทัพ สามารถไปไหนได้ตามใจอยู่แล้ว” “เป็นเจ้ากระมังที่อยากออกไปเที่ยวเล่น” “ฮูหยิน” เสี่ยวฉู่ทำท่ากระเง้ากระงอด “ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว” “ได้ๆ ข้าควรรับคำชี้แนะจ
“ท่านแม่ทัพ” จ้าวจื่อรั่วเรียกเหมือนไม่เชื่อว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ “อยากได้อะไรเพิ่มหรือไม่?” กู้ตงหยางถาม ปกติเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ไม่รู้สตรีชมชอบเครื่องประดับใดบ้าง“อยากได้สิ่งใดก็เลือกเอา อย่าให้ผู้อื่นดูแคลนฐานะของเจ้า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าข้าดูแลเจ้าได้ไม่ดีพอ” เพียงได้ยินถ้อยคำของเขา รอยยิ้มที่ประดับอยู่เมื่อครู่พลันจางหายไปทันที แท้จริง...เขาเพียงแค่กังวลว่านางจะทำให้เขาเสียหน้าสินะ หรือว่า...เขาคงรู้ว่าในหีบสินเดิมของนางแทบไม่มีของมีค่าเลย เขาเห็นนางนิ่งเงียบไปจึงย้ายสายตาก้มมองที่ใบหน้านวลเนียนยามนี้ดู...เอ่อ..เขาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เมื่อครู่ยังเห็นนางยังดูดีอกดีใจมากเลยนี่ สตรีนี่ช่างเข้าใจยากเสียจริง “เช่นนั้น ข้าจะเลือกอีกสองสามชิ้นก็แล้วกัน” นางเอ่ยเสียงเบา คลี่ยิ้มบางๆ แล้วหันไปเลือกกำไลหยกและปิ่นประดับ กู้ตงหยางไม่เข้าใจจิตใจสตรี หรือเขาไม่ควรมาทักนางเช่นนี้ แต่เขาบังเอิญผ่านมาจริงๆ จ้าวจื่อรั่วเลือกเครื่องประดับอย่างใจลอย ไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แต่ท
“จะดีหรือเจ้าคะ” นางถามเพราะสิ่งนี้แขวนอยู่หน้าร้าน คงไม่ได้ทำมาเพื่อขาย หากเป็นเช่นนั้นจริงจะดูเหมือนนางแย่งชิงมา “หากเป็นสิ่งที่ฮูหยินแม่ทัพกู้ต้องการ ข้าสามารถมอบให้ได้ขอรับ” ช่างตีเหล็กเอ่ยอย่างสุภาพ “นับเป็นเกียรติของครอบครัวช่างตีเหล็กของพวกข้ายิ่งนัก” ได้ยินเช่นนี้แล้วนางค่อยเบาใจลง ใบหน้าจึงระบายยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก” “เรื่องเล็กน้อยขอรับ” ดวงตางดงามก้มมองกระดิ่งลมในมือ ใบหน้าหวานแย้มยิ้มราวบุปผาป่าชวนมองจนไม่อาจถอนสายตา นางมัวแต่ชื่นชมกระดิ่งลมในมือจนไม่รู้ว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมอง เด็กหนุ่มอายุน้อยเห็นสาวงามแย้มยิ้มก็พลันหน้าแดงเก้อเขิน ใครเลยจะรู้ว่าฮูหยินของแม่ทัพผู้โหดเหี้ยมจะแลดูบอบบางน่าทะนุถนอมถึงเพียงนี้ ทำเอาหนุ่มโสดถึงกับฝันหวานไปไกลหากจะมีภรรยาต้องหาหญิงสาวที่อ่อนหวานและงดงามเช่นภรรยาของแม่ทัพกู้ให้ได้ เพราะสนใจเพียงกระดิ่งลมจึงไม่รู้ว่าถูกจ้องมอง กู้ตงหยางผู้ไม่เข้าใจสตรีก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น นางดูชมชอบของไร้ราคาเช่นนี้มากกว่าเครื่องประดับเหล่านั้น และดูเหมือนนางจะไม่รู้ว่าสา
แววตาจริงจังทำให้ซย่าเจียวซิ่งรู้ว่านางไม่ได้พูดเล่น และแน่นอนว่าเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ไม่ควรนำมาพูดเล่น “เจ้าตรวจแน่นอนแล้วหรือ?” เขาถามน้ำเสียงแหบแห้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาวพยักหน้ายืนยันคำตอบ “เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร” สีหน้าแทบไร้เลือดนั้นทำให้จ้าวจื่อรั่วสงสารอยู่ไม่น้อย “ข้าตอบในฐานะหมอหญิง นางตั้งครรภ์อ่อนๆ อายุครรภ์ราวสองเดือนซึ่งเป็นเหตุผลที่หมอท่านอื่นอาจตรวจชีพจรมงคลไม่พบ ส่วนเรื่องที่นางหลับใหลนั้น ...ดูจากสภาพร่างกายนาง ข้าคิดว่านางถูกพิษนิทรา” “พิษนิทรา? ข้าไม่เคยได้ยิน” “แม่บุญธรรมของช้าเชี่ยวชาญเรื่องยาพิษ ข้าจึงพอรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง” “รู้อยู่บ้าง? แล้วถอนพิษได้หรือไม่” หญิงสาวพยักหน้ารับ “ตัวยาที่ใช้ถอนพิษมีหลายชนิด ข้าจะเขียนเทียบยาให้ท่านจัดหามาให้ แต่เรื่องที่น่าเป็นกังวลคือเด็กในครรภ์ ...มิรู้ว่าจะแข็งแรงพอจะ...” “รักษานาง ส่วนเด็กนั้น...” “เด็กนั้น? ท่าเรียกได้ไร้ความเมตตาเสียจริง” เขากัดฟันแน่นจนเป็นสันนูน จ้าวจื่อรั่วสัมผัสไ
หญิงสาวแต่งกายเรียบง่ายด้วยชุดกระโปรงสีเขียวบงกช แต่กระนั้นก็ยังขับเน้นความงามสง่าของผู้สวมใส่ แต่ทำให้ซย่าเจียวซิ่งหรี่ตามองอย่างประเมิน เขาไม่มั่นใจว่าตนเองให้คนเตรียมเสื้อผ้าแบบใดให้หญิงสาวผู้นี้ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดรู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้ดูอิ่มเอิบเป็นพิเศษ “ข้าให้ไฉ่หงไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ใหม่” จ้าวจื่อรั่วยิ้มมุมปาก “ชุดที่ท่านสรรหามาให้เกรงว่าจะเหมาะกับอนุของท่านมากกว่า” “ข้าไม่มีอนุ” ซย่าเจียวซิ่งตอบเสียงแข็งอย่างรวดเร็ว “นั้นมันเรื่องของท่าน จะทำตาดุใส่ข้าด้วยเหตุใด” หญิงสาวทำหน้างุนงงและนางก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาจะทำเสียงเช่นนี้กับนางเพื่ออะไรกัน นางไม่ใช่คู่หมั้นของเขาเสียหน่อย ผู้บัญชาการหนุ่มราวกับเพิ่งนึกได้ว่าตนเอง ‘ร้อนตัว’เกินไปจึงกระแอมไอกลบเกลื่อน แล้วประชดหญิงสาวด้วยการเผยมือเชิญให้นางขึ้นรถม้าด้วยตนเอง “ไฉ่หงไม่ต้องไป” เขาสั่งน้ำเสียงเฉียบขาดทำให้สาวใช้สะดุ้งโหยงแล้วก้มหน้าหลบสายตา แต่นึกขึ้นได้ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับยื่นล่วมยาออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ผู้บัญชาการจึงจำเป็นต้องรับมาถือไว้เสียเอง ราวกับ
หน้าต่างห้องนอนค่อยๆ ถูกเปิดออกอย่างเบามือก่อนที่ร่างใหญ่จะแทรกกายเข้ามาอย่างเงียบเฉียบ เขาปลดเสื้อคลุมกันลมออกแล้วถูมือเรียกไออุ่นก่อนก้าวเข้าไปในเลิกม่านมุ้งขึ้นและนั่งลงริมเตียง ใบหน้าหวานยามหลับใหลประดับรอยยิ้มน้อยๆ ทำเอาชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเบาๆ “ท่านมาแล้ว” เสียงหวานพูดขึ้นแผ่วเบาก่อนจะลืมตาขึ้น แม้ในแสงสลัวของราตรีกาลแต่หญิงสาวก็รู้ว่าผู้ใดเข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้ “รอข้าหรือรอผู้ใด” กู้ตงหยางถอดรองเท้าแล้วขึ้นเตียงภรรยา นางเปิดผ้าห่มให้เขาแทรกตัวเข้าไปนอนเคียงข้าง “พูดเช่นนี้ ท่านหึงรึ” “ข้ามีสิทธิ์หึงหรือไม่เล่า” แม่ทัพหนุ่มพ่ายแพ้อย่างหมดท่าเพราะภรรยาตัวน้อยออดอ้อนเสียแล้ว เขาวาดวงแขนแล้วรั้งนางเข้ามาในอ้อมกอด นานเหลือเกินที่ไม่ได้กอดเมียรักเช่นนี้ “อากาศที่แคว้นหลี่เย็นนัก เจ้ากับลูกต้องระวังให้มาก” “ข้าเป็นถึงฮูหยินแม่ทัพกู้ ผู้ใดจะปล่อยให้ข้าต้องลำบากกันเล่า” นางพูดแล้วพริมตาหลับลงตามเดิม รู้อยู่เต็มอกว่ากู้ตงหยางต้องหาทางกลับมาหานางอยู่แล้ว จึงมิได้ลงกลอนแน่นหนา แต่แค่กลอนหน้าต่างมีรึแม่ทัพกู้จะหาท
ซย่าเจียวซิ่งก้าวเท้าออกมาจากจวนเสนาบดี ใบหน้าที่เรียบนิ่งอยู่เป็นนิจมีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ‘หมอหลวงมารักษานางแล้วก็ต่างส่ายหน้า เจ้าประกาศหาหมอทั่วแคว้นมารักษานางก็ยังไม่ได้ผล เคยคิดหรือไม่ว่าทำเช่นนี้เป็นการทำลายชื่อเสียงของนาง’ ‘ชีวิตของนางสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด’ ซย่าเจียวซิ่งเอ่ยด้วยใจจริง แม้ไม่ได้รักใคร่นางเช่นหนุ่มสาวแต่เอ็นดูนางเป็นน้องสาวมาตลอด เขาย่อมไม่ต้องการเห็นนางอยู่ในห้วงทุกข์ และเวลานี้ที่นางหลับใหลไม่ตื่นเช่นนี้ เขาย่อมต้องเป็นห่วงนาง ‘หากท่านเกรงว่าหลี่หรูจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ข้ายินดีแต่งนางเป็นภรรยาแม้นางยังไม่ได้สติเช่นนี้’ ‘เป็นเจ้าที่เสนอขึ้นมาเอง ข้ามิใช่คนขู่บังคับเจ้า’ ‘แน่นอน ข้ายินดี แต่ข้าขออนุญาตให้พาหมอมาตรวจอาการของหลี่หรู’ ‘ถ้าเจ้ารับปากเช่นนี้ ก็ทำตามใจเถิด’ หากไม่กล่าวเช่นนั้นออกไปก็เกรงว่าเสนาบดีจะไม่ยอมให้เขาพาหมอเข้าไปตรวจอาการของหลี่หรู ภาพในความทรงจำปรากฏขึ้น หลี่หรูเป็นเด็กขี้อาย ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนักจึงไม่ค่อยได้ออกไปนอกจวน ครอบครัวของทั้
จ้าวจื่อรั่วอมยิ้มแล้วเดินเข้าเรือนหลังเล็กที่ถูกตระเตรียมไว้รับรอง มีบ่าวรับใช้สูงวัยอยู่หลายคน ดูๆไปเหมือนเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงดูนอกจวน นี่ผู้บัญชาการซย่าคงไม่ได้คิดจะให้นางเล่นบทเป็นนางบำเรอของเขากระมัง คนผู้นั้นคงมาถึงก่อนแล้วแต่ไม่อยู่รอต้อนรับซึ่งสร้างความสบายใจให้จ้าวจื่อรั่วเป็นอย่างนิ่ง ทุกคนรับรู้การมาของนางและต้อนรับตามมารยาท “ไฉ่หง ข้าหิวแล้ว เจ้าเข้าไปดูในครัวให้เขาทำอะไรร้อนๆ มาให้ข้ากินสักชาม และอย่างลืมที่ข้าสั่งไว้ล่ะ” “เจ้าค่ะ ข้าท่องขึ้นใจแล้ว” มีอาหารแสลงที่ไม่เหมาะกับคนท้อง นางไม่ได้บอกเรื่องนี้กับไฉ่หงแต่ให้สาวใช้ท่องจำและบอกว่านางแพ้อาหารเหล่านั้น ไฉ่หงเป็นเด็กซื่อและเชื่อฟังไม่ซักถามสิ่งใด เมื่อนางสั่งให้ท่องจำก็ทำตามที่สั่งและเมื่อนางสั่งให้ไปในครัว ไฉ่หงก็แทบจะวิ่งถลาไปทันที หญิงสาวยิ้มน้อยๆ เดินตามบ่าวรับใช้มาที่ห้องพักของตน “ท่านผู้บัญชาการได้สั่งให้บ่าวเตรียมของใช้ของฮูหยินแล้ว หากฮูหยินต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมโปรดบอกบ่าวได้ขอรับ” “เรียกข้าฮูหยินกู้” นางส่งยิ้มแต่แววตาจริงจัง “
เมืองหลวงคึกคักคือภาพที่เดาได้ไม่ยาก ไฉ่หงตื่นตากับภาพที่เห็นทำให้จ้าวจื่อรั่วอมยิ้มน้อยในความไร้เดียงสา สาวใช้ค้อนเข้าให้แล้วเอ่ยวาจา“พี่สาวอย่าหัวเราะข้าสิ”“ข้าหัวเราะเมื่อใดกัน” นางคลี่ยิ้มและวางมือบนหน้าท้องที่ยังไม่โตนัก “เจ้าอายุแค่สิบห้า ตื่นตากับภาพที่เห็นไม่แปลกอันใด”“พี่สาวเคยอยู่เมืองหลวงหรือ?”“อื้ม แต่ไม่ใช่ที่นี่” นางเคยอยู่เมืองหลวง แต่ที่นั้นไม่นับเป็นบ้านได้เลย หากไม่มีน้องชายทั้งสองนางคงไม่รู้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด แต่ตอนนี้นางมีครอบครัว มีบุรุษที่รักและลูกน้อย“ที่แคว้นของพี่สาวคงรื่นรมย์น่าดู ข้าได้ยินว่าการเพาะปลูกดีมีข้าวกินทั้งปีไม่ต้องกลัวอดยาก”“อืม” หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วยื่นมือไปขยับผ้าม่านหน้าต่างรถม้า ลมวูบหนึ่งเข้ามาปะทะใบหน้า แต่อากาศไม่หนาวเย็นเท่าชายแดนแต่กระนั้น นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนานุ่มที่ผู้บัญชาการผู้นั้นมอบให้ ตั้งแต่ออกจากโรงเตี้ยม เขาก็ควบม้าแยกไปก่อน ซึ่งก็นับว่าดีกับนางเพราะไม่อยากอยู่กับคนเย็นชาเช่นนั้นไฉ่หงลอบมองจ้าวจื่อรั่วอยู่บ่อยๆ สตรีผู้นี้มีใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ ดูสงบเยือกเย็นยามอยู่ต่อหน้าผู้บัญชาการก็ไม่แสดงอาก
จ้าวจื่อรั่วอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งจับชีพจรตนเอง พลันคิดอย่างโล่งใจว่าครรภ์นี้ช่างแข็งแรงดีเหลือเกิน แทบไม่มีอาการแพ้ท้องอาจเพราะที่ผ่านมาดูแลตัวเองอย่างดีและประสบการณ์เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หลิงหยุนนั้นสุขภาพนางอ่อนแอมากซ้ำยังคลอดก่อนกำหนด โชคดีที่ได้พบพ่อแม่บุญธรรมช่วยเหลือ มิเช่นนั้นทั้งนางและลูกคงไปแดนปรโลกแล้ว“พี่สาวอาบน้ำเสร็จแล้วรึเจ้าคะ” ไฉ่หงส่งเสียงถามและก้าวเข้ามาพร้อมเสื้อคลุมขนดูหนานุ่มและอบอุ่น สาวใช้คลี่ออกแล้วคลุมร่างให้จ้าวจื่อรั่ว “ผู้บัญชาการให้ข้านำมาให้พี่สาวเจ้าค่ะ”“นับว่ามีน้ำใจอยู่บ้าง” นางรู้ว่าเสื้อคลุมนี้ราคาไม่ธรรมดา“เอ่อ...คือท่านผู้บัญชาการให้เชิญพี่สาวไปกินข้าวเย็นด้วยกันเจ้าค่ะ”“อย่างนั้นรึ” เพราะเดินทางอยู่บนรถม้านานจึงอ่อนเพลีย นางไม่อยากกินข้าวเย็นนัก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องกินเพื่อบำรุงเด็กในท้องนางจึงพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้น มือเรียวกระชับเสื้อคลุมให้มิดชิดก่อนก้าวเท้าออกจากห้องพักของตนไปตามทางที่โฉ่หงนำทาง ใช้เวลาเดินแค่อึดใจก็มาถึงห้องที่โรงเตี้ยมเตรียมไว้รับรอง ซย่าเจียวซิ่งนั่งดื่มชารออยู่ก่อนแล้ว จ้าวจื่อรั่วกวาดต
แม้ชายแดนติดกันแต่สภาพอากาศต่างกันอาจเพราะเมืองเป่าติ้งล้อมรอบด้วยหุบเขาอากาศจึงหนาวเย็นกว่าแคว้นของตน จ้าวจื่อรั่วไม่ชอบอากาศหนาวเย็นแต่ก็ไม่เคยปริปากบ่น อาจเพราะแต่เด็กนางไม่ได้รับการใส่ใจนัก และหลังจากกู้ตงหยางรับนางกลับเข้าจวนพร้อมลูก เมื่ออากาศเย็นลงเขาจะให้คนตั้งกระถางไฟรอบๆ ห้องเพื่อให้นางอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องบอก และที่สำคัญ เรือนกายกำยำของเขาหลังผ่านการขับพิษแล้วมักอุ่นร้อนทำให้นางหลับในอ้อมแขนเขาอย่างเป็นสุข การถูกเอาอกเอาใจมากนั้นไม่ดีเลย เพราะยามนี้นางคิดถึงเขาเหลือเกิน ประตูรถม้าถูกเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ลมหนาววูบหนึ่งพัดเข้ามาตามเจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดดำเรียบง่ายแต่ตัดเย็บประณีต ดวงตาคมจ้องมองนางวูบหนึ่งก่อนรีบปิดประตูและนั่งลงตรงนั้นใช้ร่างกายของตนช่วยกันลมให้อีกทาง คนผู้นี้ดูเย็นชาแต่ก็ใส่ใจผู้อื่นอยู่บ้าง จ้าวจื่อรั่วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วซุกมือกับเตาพกเพื่ออุ่นมือ อย่างไรเสียนางก็ไม่ยอมให้ลูกในท้องต้องทรมานเพราะความหนาว “ไม่มีผู้ใดอบรมเรื่องมารยาทของท่านรึ” นางยังคงไม่เข้าใจ ได้ยินว่าเขาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แต่
เมืองเป่าติ้งอยู่ชายแดนแคว้นหลู่ อากาศเย็นตลอดทั้งปี แต่ในช่วงฤดูหนาวจะหนาวจัด ผู้คนที่มีฐานะล้วนอพยพเดินทางหนีลมหนาวเข้าไปในเมืองหลวงที่อบอุ่นกว่า แต่กระนั้นก็ยังมีชาวเมืองอาศัยอยู่มากและอยู่ด้วยความเคยชิน รวมถึงเชื่อมั่นใจผู้บัญชาการซย่าเจียวซิ่ง บุรุษรูปร่างสูงใหญ่สองคนเดินปะปนกับชาวเมือง แม้สวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบแบบนายพรานทั่วไป คนผู้หนึ่งสะพายคันธนู ทว่าบุรุษอีกคนนั้นท่าทางองอาจ แววตาวาวโรจน์และมีไอสังหาร ทุกการก้าวเดินมั่นคงย่อมไม่เหมือนนายพรานทั่วไป “พี่ใหญ่ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงเมีย แต่ช่วยเก็บไอสังหารหน่อยเถอะ” อี้ซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “เลี้ยวขวาที่ตรอกข้างหน้าก็ถึงแล้ว” กู้ตงหยางเพียงปรายตามอง ‘มือขวา’ ที่ยามนี้ใบหน้าเปื้อนหนวดเครารกรุงรังเหมือนโจรป่ามากกว่าคนเคยเป็นทหารข้างกายเขา เกือบสิบปีก่อนอี้ซวนได้รับบาดเจ็บสาหัสแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่เมื่อพ้นความตายมาได้ ก็ขอลาออกจากกองทัพ ใช้ชีวิตในป่าเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด แต่กระนั้นกู้ตงหยางก็ยังรับรู้การมีชีวิตของคนผู้นี้จนกระทั่งถูกเรียกตัวอีกครั้ง เขาไม่ใช่คนชอบทวงบุญคุณผู