จ้าวจื่อรั่วมีของใช้ส่วนตัวไม่มาก ใครเลยจะรู้ว่าใช้เวลาเพียงชั่วยามเดียวทุกอย่างก็เรียบร้อย รวมทั้งเพิ่มหมอนและเปลี่ยนผ้าห่มบนเตียงนอนของท่านแม่ทัพ นางปรายตามองทางกู้ตงหยางที่ยังนั่งดื่มน้ำชาอ่านรายงานราวกับไม่เห็นว่ามีคนมากมายเครื่องย้ายสิ่งของเข้ามาในห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี พ่อบ้านก็พาบ่าวรับใช้ออกไปหมดสิ้นกู้ตงหยางเห็นไม่มีผู้อื่นแล้วจึงลุกขึ้นยืนแล้วหยิบจดหมายยื่นให้จ้าวจื่อรั่วนางรับจดหมายมาด้วยยิ้มแล้วก้าวเดินออกไปหมายจะไปอ่านจดหมายของน้องชาย แต่กู้ตงหยางคว้าไหล่นางมาไว้ก่อน หญิงสาวหันมามองด้วยความงุนงง เขากดไหล่ให้นางนั่งที่เก้าอี้ แล้วโน้มตัวลงกระซิบที่ริมหู“เจ้าอ่านจดหมายในห้องนี้” “เหตุใดต้องบังคับกันด้วย” “ข้าไม่ได้บังคับ แต่ข้าสั่ง” เขายิ้มที่มุมปาก “หากอยากเขียนจดหมายตอบคนที่บ้านก็ทำได้ แต่ส่งให้ข้าอ่านก่อน” “ท่านต้องทำถึงเพียงนี้เชียวรึ “ นางไม่อยากเชื่อเลย “หรือเจ้าไม่อยากเขียนจดหมายถึงน้องชายก็ได้” “ข้าทราบแล้ว” นางหงุดหงิดแต่ก็ยอมนั่งอ่านจดหมายในห้องนั้น เพราะสนใจแต่เรื่องราวในหน้ากระ
จ้าวจื่อรั่วอ่อนล้าจนไม่อาจคิดสิ่งใดได้อีก รู้เพียงแค่ว่าเขาจับดึงมือนางให้วางบนแผ่นอกที่มีรอยแผลเป็น นางหลับใหลไปพร้อมกับเสียงหัวใจของเขา เช้านี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา นางรู้สึกตัวตื่นเพราะการเคลื่อนไหวของกู้ตงหยาง แต่เขากลับลูบใบหน้าและบอกให้นางพักผ่อน “ข้ามีงานต้องไปที่ค่ายทหาร เจ้าไม่ต้องรีบลุกขึ้นมาหรอก” “แต่ข้าต้อง...” นางยันกายขึ้นนั่ง ผ้าห่มที่คลุมไว้เลื่อนหล่นเผยให้เห็นดอกบัวตูมคู่งาม นางเห็นดวงตาคู่นั้นจ้องมองจนนางรู้สึกร้อนวูบขึ้นมารีบคว้าผ้าขึ้นปกปิด “พักผ่อนเถิด” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “จวนนี้เป็นของข้า แต่การดูแลจวนนั้น เจ้าเป็นนายหญิงต้องจัดการให้ดี” จ้าวจื่อรั่วนิ่งงันไปชั่วขณะก่อนเอ่ยปากออกไป “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” “ไม่เข้าใจสิ่งใดให้ถามพ่อบ้าน” เขายกมือขึ้นลูบกลีบปากอ่อนนุ่ม “อย่าปล่อยให้ตนเองต้องเหนื่อย มีเพียงข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำให้เจ้าเหนื่อย” ถ้อยคำของเขาทำให้ใบหน้างามแดงระเรื่อ เขาผละจากไปแล้ว แต่นางยังนิ่งงันอยู่บนเตียงกว้างที่ไม่เย็นเยียบเช่นวันก่อน ‘ทำไมเขาพูดเรื่องน
“ฮูหยินเจ้าคะ” “มีอะไรรึเสี่ยวฉู่” นางยิ้มให้สาวใช้พลางปิดสมุดบัญชีและเก็บใส่กล่องไม้ให้เรียบร้อย “ฮูหยินมาอยู่ชายแดนได้หลายเดือนแล้ว แต่ไม่เคยออกไปนอกจวนเลย วันนี้ไปเดินเล่นที่ตลาดไหมเจ้าคะ” “ตลาด?” “แม้จะเป็นชายแดนแต่ตลาดที่นี่คึกคักนะเจ้าค่ะ” เสี่ยวฉู่คะยันคะยอแต่แล้วใบหน้าระบายยิ้มก็จางไป “ข้าลืมไป ที่นี่เป็นชายแดนคงไม่เจริญหูเจริญตาเท่าที่เมืองหลวง” จ้าวจื่อรั่วหัวเราะออกมา “ไฉนเจ้ากลายเป็นคนประชดประชัดเก่งเช่นนี้” “ข้าไม่ได้ประชดนะเจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นท่านอยูแต่ในจวนไม่ออกไปไหนเลย” “ข้าออกไปข้างนอกได้รึ” นางถามกลับ แม้นางเป็นฮูหยินแม่ทัพ แต่เป็นเจ้าสาวตัวแทนที่ถูกสับเปลี่ยนมา นางจะทำสิ่งใดต้องดูสีหน้ากู้ตงหยางทุกคราวไป “ท่านไม่ได้อยู่ในคุกนะเจ้าค่ะ” เสี่ยวฉู่ทำปากยื่น “เป็นฮูหยินแม่ทัพ สามารถไปไหนได้ตามใจอยู่แล้ว” “เป็นเจ้ากระมังที่อยากออกไปเที่ยวเล่น” “ฮูหยิน” เสี่ยวฉู่ทำท่ากระเง้ากระงอด “ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว” “ได้ๆ ข้าควรรับคำชี้แนะจ
“ท่านแม่ทัพ” จ้าวจื่อรั่วเรียกเหมือนไม่เชื่อว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ “อยากได้อะไรเพิ่มหรือไม่?” กู้ตงหยางถาม ปกติเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ไม่รู้สตรีชมชอบเครื่องประดับใดบ้าง“อยากได้สิ่งใดก็เลือกเอา อย่าให้ผู้อื่นดูแคลนฐานะของเจ้า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าข้าดูแลเจ้าได้ไม่ดีพอ” เพียงได้ยินถ้อยคำของเขา รอยยิ้มที่ประดับอยู่เมื่อครู่พลันจางหายไปทันที แท้จริง...เขาเพียงแค่กังวลว่านางจะทำให้เขาเสียหน้าสินะ หรือว่า...เขาคงรู้ว่าในหีบสินเดิมของนางแทบไม่มีของมีค่าเลย เขาเห็นนางนิ่งเงียบไปจึงย้ายสายตาก้มมองที่ใบหน้านวลเนียนยามนี้ดู...เอ่อ..เขาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เมื่อครู่ยังเห็นนางยังดูดีอกดีใจมากเลยนี่ สตรีนี่ช่างเข้าใจยากเสียจริง “เช่นนั้น ข้าจะเลือกอีกสองสามชิ้นก็แล้วกัน” นางเอ่ยเสียงเบา คลี่ยิ้มบางๆ แล้วหันไปเลือกกำไลหยกและปิ่นประดับ กู้ตงหยางไม่เข้าใจจิตใจสตรี หรือเขาไม่ควรมาทักนางเช่นนี้ แต่เขาบังเอิญผ่านมาจริงๆ จ้าวจื่อรั่วเลือกเครื่องประดับอย่างใจลอย ไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แต่ท
“จะดีหรือเจ้าคะ” นางถามเพราะสิ่งนี้แขวนอยู่หน้าร้าน คงไม่ได้ทำมาเพื่อขาย หากเป็นเช่นนั้นจริงจะดูเหมือนนางแย่งชิงมา “หากเป็นสิ่งที่ฮูหยินแม่ทัพกู้ต้องการ ข้าสามารถมอบให้ได้ขอรับ” ช่างตีเหล็กเอ่ยอย่างสุภาพ “นับเป็นเกียรติของครอบครัวช่างตีเหล็กของพวกข้ายิ่งนัก” ได้ยินเช่นนี้แล้วนางค่อยเบาใจลง ใบหน้าจึงระบายยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก” “เรื่องเล็กน้อยขอรับ” ดวงตางดงามก้มมองกระดิ่งลมในมือ ใบหน้าหวานแย้มยิ้มราวบุปผาป่าชวนมองจนไม่อาจถอนสายตา นางมัวแต่ชื่นชมกระดิ่งลมในมือจนไม่รู้ว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมอง เด็กหนุ่มอายุน้อยเห็นสาวงามแย้มยิ้มก็พลันหน้าแดงเก้อเขิน ใครเลยจะรู้ว่าฮูหยินของแม่ทัพผู้โหดเหี้ยมจะแลดูบอบบางน่าทะนุถนอมถึงเพียงนี้ ทำเอาหนุ่มโสดถึงกับฝันหวานไปไกลหากจะมีภรรยาต้องหาหญิงสาวที่อ่อนหวานและงดงามเช่นภรรยาของแม่ทัพกู้ให้ได้ เพราะสนใจเพียงกระดิ่งลมจึงไม่รู้ว่าถูกจ้องมอง กู้ตงหยางผู้ไม่เข้าใจสตรีก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น นางดูชมชอบของไร้ราคาเช่นนี้มากกว่าเครื่องประดับเหล่านั้น และดูเหมือนนางจะไม่รู้ว่าสา
“ขอพวกท่านเมตตาคนผู้นี้ด้วย ข้าจะให้คนพาเขาไปที่อื่นเอง ส่วนเรื่องค่าเสียหายนั้น พวกท่านเรียกมาได้และรบกวนตามไปรับที่จวนแม่ทัพกู้ ข้าจะให้พ่อบ้านจัดการให้เอง”“จวนแม่ทัพกู้?”จ้าวจื่อรั่วยิ้มน้อยๆ เสี่ยวฉู่รีบสาวเท้ามาเบื้องหน้าแล้วพูดขึ้น“ได้ยินที่ฮูหยินท่านแม่ทัพกู้พูดแล้วใช่ไหม ผู้ใดเดือดร้อนไปขอรับเงินได้ที่จวนแม่ทัพกู้”“ฮูหยินแม่ทัพกู้!” เท่านี้ชาวบ้านก็ให้ความสนใจมากขึ้นไปอีก แม้ใบหน้าแย้มยิ้มแต่จ้าวจื่อรั่วลอบถอนหายใจอยู่ในอก นางไม่อยากใช้ชื่อเสียงของกู้ตงหยางมาทำตามอำเภอใจเช่นนี้ แต่หากไม่เอ่ยชื่อเขาออกไปก็เกรงว่าเรื่องจะไม่ยุติโดยง่าย“ถ้าฮูหยินท่านแม่ทัพเอ่ยปากขอด้วยตนเอง พวกเราก็ไม่เอาความใด ท่านรีบพาคนผู้นี้ไปให้พ้นหูพ้นตาพวกเราเถิด”“ขอบคุณทุกท่านมาก” นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย เมื่อผู้คนเลิกสนใจแล้ว นางจึงหันมามองชายผู้นั้น“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บที่ใด” นางเอ่ยถามแต่เมื่อสาวเท้าเข้าไปใกล้ เสี่ยวฉู่ก็รั้งแขนนางไว้ก่อน“ฮูหยินอย่าเข้าไปใกล้เจ้าค่ะ”“ก็ได้...เช่นนั้นเจ้าให้สารถีพาเขาขึ้นรถม้าไป”“ขึ้นรถม้า! ไม่ได้เจ้าค่ะ!” “เช่นนั้นจะทำอย่างไร”“เอ่อ...” เสี่ยวฉู่ขมวด
เพราะเหนื่อยล้ากับเรื่องราวที่พบเจอในวันนี้ จ้าวจื่อรั่วแช่กายในน้ำอุ่นจนเกือบผล็อยหลับไป หากไม่เพราะเสี่ยวฉู่มาเรียก นางคงหลับไปจริงๆ เมื่อซับน้ำจากเรือนร่างแล้ว ดวงตางดงามมองเสื้อผ้าที่เสี่ยวฉู่เตรียมไว้ให้อย่างงุนงง “แค่ไปกินมื้อเย็นต้องแต่งกายขนาดนี้เลยรึ” จ้าวจื่อรั่วถามพลางหยิบอาภรณ์สีฟ้าละมุนตา นางแทบจำไม่ได้ว่าเคยมีเสื้อผ้าสีแบบนี้ “นี่เสื้อผ้าของข้ารึ?” “ก็ต้องของฮูหยินอยู่แล้วเจ้าคะ ในเรือนนี้นอกจากท่านแล้วจะมีสตรีใดได้อีก” เสี่ยวฉู่ย่นจมูกใส่แล้วรีบจัดแจงสวมเสื้อผ้าให้ฮูหยิน สาวใช้ตัวดีแอบยิ้มทะเล้น ฮูหยินมิใช่คนตระหนี่ ยิ่งเป็นเรื่องของผู้อื่นยิ่งใส่ใจ แต่เมื่อเป็นเรื่องของตนเองกลับละเลย พ่อบ้านจึงให้คนไปหาซื้อมาเสื้อผ้าของฮูหยินมาเพิ่ม จ้าวจื่อรั่วมองเสี่ยวฉู่อย่างอ่อนใจก่อนจะยิ้มบ้างๆ เสี่ยวฉู่ร่าเริงเหมือนเด็กสาว แม้ชีวิตเคยผ่านความยากลำบากของสงครามมาก่อน สาวใช้คนดีทำราวกับการได้แต่งกายให้นางเป็นเรื่องสนุกสนาน จ้าวจื่อรั่วจึงตามใจ มองไปมองมาก็เห็นเสี่ยวฉู่เหมือนน้องสาวเล็กๆ คนหนึ่งมากกว่าเป็นสาวใช้“เสี่ยวฉู่ เจ้าอ่านออกเขียนได้
จ้าวจื่อรั่วใช้ตะเกียบคีบเนื้อเข้าปากคำน้อยๆ เนื้อตุ๋นเปื่อยได้ที่กำลังดีไม่เปื่อยมากเกินไป นางลอบมองทางกู้ตงหยาง เขากินไปเล็กน้อยแล้วยกจอกสุราขึ้นดื่ม“อร่อยไหมเจ้าคะ...ฮูหยิน” เฉียวฉู่เอ่ยถามแววตารอคอยคำตอบ“อร่อย” นางตอบไปตามตรง“ข้าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ท่านหมอบอกว่าเลือดจางหรืออะไรนี่แหละ ต้องกินอาหารบำรุงเลือด ขจัดพิษในร่างกาย แม่นมของข้าก็เลยปรุงอาหารหม้อนี้มาเป็นพิเศษ ฮูหยินเป็นสตรีอย่างไรก็ต้องกินอาหารบำรุงเลือดให้มาก ที่บ้านของข้าน่ะ เนื้อแพะคือยาบำรุงชั้นดีเลยล่ะ”“เนื้อ...เนื้อแพะ...” จ้าวจื่อรั่วรู้สึกแปลกใจกับสายตาของเฉียวฉู่ นางจงใจพูดเน้นย้ำว่า ‘เนื้อแพะ’ จนนางอดคิดไม่ได้ว่า...กู้ตงหยางแม้ไม่ได้สนใจอาหารการกินนัก แต่รับรู้ได้ว่าภรรยาสาวมีอาการแปลกไปจึงเงยหน้าขึ้นมองเห็นใบหน้านางซีดเผือดราวไร้สีเลือด“เจ้า...เจ้าเอาแพะที่ไหนมาทำอาหารหม้อนี้” จ้าวจื่อรั่วถามเสียงเบาบังคับไม่ให้ตัวเองเสียงสั่นเกินไป นางอาจคิดไปเอง แต่กระนั้นหญิงสาวก็หันไปทางเสี่ยวฉู่ที่ยืนรอรับใช้ใกล้ๆ“เสี่ยวฉู่ ...วันนี้เปาเป่า...”“เพราะข้าต้องกินเนื้อแพะเพื่อบำรุงร่างกายให้พร้อมเดินทางและข้าก็หาแ