เซียวเหรินผงะไปเล็กน้อย ใบหน้างดงามยื่นมาประกบริมฝีปากของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว สองมือจับไหล่นางหมายจะผลักออก ทว่าไอเย็นที่ส่งผ่านเสื้อผ้าที่นางสวมทำให้เขาชะงัก และกลายเป็นนั่งนิ่งให้นางประกบริมฝีปากเช่นนั้น มือใหญ่นั้นค่อยๆ เลื่อนลงมาจับที่ข้อมือของนาง ไม่สนใจว่าจะเหมาะสมหรือไม่ เขาเลื่อนปลายแขนเสื้อของนางขึ้นเพื่อสัมผัสผิวกายของนาง เพียงเวลาครู่เดียวร่างกายของนางอุ่นขึ้น ชีพจรกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ดวงตาของเขาจับจ้องใบหน้าของนางเก็บทุกรายละเอียดแม้จะมีเพียงแสงสลัวจากจันทราที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย ทว่าสีหน้าอิ่มเอมของนางนั้นกลับปรากฏชัดเจน
เมื่อรู้สึกว่าร่างกายกลับฟื้นเป็นปกติแล้ว หญิงสาวก็ผละจากริมฝีปากบางแล้วยกมือทาบที่หน้าอกด้านซ้าย คล้ายสำรวจว่าหัวใจของตนยังเต้นดีอยู่ หญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วดีดตัวลงจากเตียงของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณซือจื่อ!”
เซียวเหรินเห็นท่าทางสดใสไม่ใช่คนใกล้ตายของนางแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้ รีบยื่นมือไปคว้าข้อมือของนางพลิกจับชีพจรอีกครั้ง น่าประหลาดนักที่ชีพจรของนางกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
นี่นางต้องกลืนกินลมหายใจของเขาจริงๆ งั้นหรือ
หากจะกล่าวว่าเขาถ่ายลมปราณให้นางก็มิถูกต้อง เขาไม่รู้สึกอะไรสักนิด ร่างกายของเขายังปกติดีทุกอย่าง มิรู้สึกมีสิ่งใดพร่องลงไปแต่อย่างใด หากจะกล่าวว่านางอุปาทานคิดไปเองกับบทสนทนาคุยกับคนตายในความฝันนั้น เช่นนั้นนางจะสามารถควบคุมอุณหภูมิของตนเอง ทั้งชีพจรและการเต้นของหัวใจได้อย่างนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง ควรนับเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ เมื่อตระหนักได้ในความคิดนี้เขารีบเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว ตั้งแต่เขา ‘เก็บ’ นางขึ้นมาจากน้ำ เขาไม่เห็นวี่แววว่านางมีวรยุทธ์แม้แต่น้อย ท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ของนางนั้น ชวนให้เขาสับสนยิ่ง
“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเป็นอย่างนี้หรือไม่” เขาถาม หรี่ตามองนางอย่างพิเคราะห์
“หมายถึงเป็นเช่นเมื่อครู่ใช่หรือไม่” นางถามกลับแล้วกลอกตาไปอย่างขบคิดแล้วรีบเอ่ยขึ้น “ตั้งแต่ฟื้นได้สติในร่างนี้ ข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ”
“ก่อนหน้านี้เล่า ตอนที่เจ้ายังไม่ตกน้ำ”
“หมายถึงตอนที่ข้ายังเป็นนกหงส์หยกนะหรือ?” นางแย้มยิ้ม “นอกจากเป็นนกอัปลักษณ์แล้ว ข้าไม่ค่อยเจ็บป่วยอะไรเลย มีเป็นหวัดบ้างนิดหน่อย ท้องเสียสามสี่ครั้ง อ้อ! บาดเจ็บถูกรังแกนี่นับด้วยหรือไม่”
“ถูกรังแก? เจ้าถูกรังแกได้อย่างไร” มิน่าเล่า ตามเนื้อตัวนางจึงมีรอยแผลและรอยบอบช้ำมากมายนัก
แม้เจ็บปวดแต่นางก็ยังคงยิ้ม
“บางครั้งคนพวกนั้นทำร้ายคุณหนูไม่ได้ ก็มารังแกที่ข้าผู้เป็นนกแทนนะสิ”
“เจ้าไม่เสียใจหรือที่ต้องมาเจ็บตัวเพราะผู้อื่น”
“ผู้อื่นที่ไหนกัน” นางย่นจมูกใส่ “คุณหนูเป็นผู้มีพระคุณของข้า แท้จริงนางถูกกลั่นแกล้งมากกว่าข้าเสียอีก หลายครั้งที่นางปกป้องข้าจนตัวเองต้องเจ็บไปด้วย หากข้าสามารถแบ่งเบาความเจ็บปวดแทนคุณหนูได้ ข้ายินดียิ่ง แต่ข้าผู้เป็นเพียงนกน้อยอัปลักษณ์ทำสิ่งใดไม่ได้เลย”
“เหตุใดเจ้าเรียกตัวเองว่านกอัปลักษณ์”
“ก็ข้าอัปลักษณ์จริงๆนี่ ไม่เช่นนั้นคงมีคนซื้อข้าไปแล้วและไม่ต้อง
ถูกทิ้งขว้างให้อดอยากจนต้องหลบหนีออกไปหากินเอง แล้วเจอเจ้าแมวนั่นไล่ล่าจนมาพบท่านหรอก”
หลันหลันออกจะประหลาดใจเล็กน้อย ปกติเซียวเหรินไม่ค่อยพูดจากับนางด้วยซ้ำ แต่เอาเถิด เห็นแก่ที่เขายอมให้นางกลืนกินลมหายใจต่ออายุให้ นางยินดีตอบทุกคำถาม
เซียวเหรินลุกขึ้นจากเตียง ก้าวเดินไปหยุดยืนเบื้องหน้าหญิงสาว นางคือสาวใช้ข้างกายกงเสวี่ยหลิง น้องสาวคนเดียวของกงอี้เทาสหายรักของเขา ชะตากรรมของกงเสวี่ยหลิงตอนนี้ก็ไม่รู้เป็นเช่นไร แม้เขาจะส่งคนออกสืบข่าวแต่ยังไร้วี่แวว กงเสวี่ยหลิงแม้เป็นตัวประกันแต่ก็มีฐานะเป็นองค์หญิง นางหายไปเช่นนี้กลับไม่มีข่าวใดหรือมีใครออกตามหา ทว่าข่าวการเสียชีวิตกะทันหันของเสนาบดีหลี่กลับเป็นที่พูดถึงยิ่งกว่า แน่นอนว่าไม่ผู้ใดพูดความจริงว่าเสนาบดีฉ้อฉลผู้นั้นตายด้วยน้ำมือราษฎรที่เริ่มไม่พอใจการปกครองของฮ่องเต้ ข่าวที่ปล่อยออกมาจึงมีเพียงว่าเสนาบดีหลี่เสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบันและไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ที่ไฟไหม้นั้นด้วย
“หลันหลัน”
“เจ้าคะ” นางยืดอกพร้อมรอยยิ้มรอฟังถ้อยคำของเขา
“หากครั้งหน้าเจ้าจะ...กินลมหายใจของข้าอีก ให้บอกข้าก่อน อย่าเข้ามาเช่นนี้อีก”
“ข้ากินลมหายใจท่านได้จริงๆหรือ!” นางไม่อาจเก็บความดีใจนี้ไว้ได้ ร่างเล็กกระโดดไปเกาะแขนของเซียวเหรินแล้วเขย่าไปมา เกรงว่าเขา
ละเมอไม่ตั้งใจพูด ช่วงเวลาสั้นๆ เขารู้สึกคล้ายเห็นใบหน้านี้มาก่อน หรือเขากับนางจะเคยพบกันมาแล้วจริงๆ
เซียวเหรินมองมือเล็กๆ ที่เขย่าแขนของเขา นางเข้าใจสายตาของเขาจึงค่อยๆ ปล่อยมือออก ดวงตาเปี่ยมความหวังของนางทำให้เขาต้องพูดย้ำอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เชื่อคำพูดของเขา
“ได้ แต่ต้องจำเป็นจริงๆ เท่านั้นและไม่ให้ผู้อื่นเห็น”
“ได้” นางพยักหน้าขึ้นลง แต่ปลายนิ้วของเซียวเหรินเชยคางน้อยๆ ของนางไว้
“เลิกพยักหน้าขึ้นลงได้แล้ว”
“ก็ข้าเป็นนกนี่” นางแลบลิ้นยิ้มทะเล้น แต่เห็นสีหน้าเรียบนิ่งของเขาไร้รอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะ นางก็หุบยิ้มลงจะพยักหน้าเพื่อบอกว่า ‘เข้าใจ’ ก็ทำไม่ได้เพราะปลายนิ้วของเขาเชยคางนางไว้อยู่ นางฝืนตัวเองไม่ให้พยักหน้าหงึกๆ เช่นทุกครั้งแล้วพูดเสียงใสออกมาแทน
“ข้าเข้าใจแล้วซือจื่อ”
“แล้วก็เลิกเรียกข้าว่าซือจื่อด้วย” เขาดุนางด้วยสายตา “ข้าเคยบอกแล้วว่า...”
“ก็ท่านบอกว่าห้ามเรียกต่อหน้าผู้อื่นมิใช่หรือ” นางรีบพูดแทรกขึ้นมาก่อน แต่นึกได้ว่าตัวเองทำเสียมารยาทก็หุบปาก “ข้า...ข้าทราบแล้วท่านเซียว”
ความจริงเขาไม่ใช่คนเรื่องมากหรือต้องการให้ใครเรียก ‘ท่านเซียว’ แต่นางเอาแต่เรียกเขา ‘ซือจื่อ’ ตลอดเวลา แต่จะว่าไป นางก็เรียก ‘ซือจื่อ’ เมื่ออยู่กับเขาตามลำพังไม่มีผู้อื่น
หรือเขาพลั้งปากอนุญาตให้นางเรียกเขาด้วยชื่อนี้จริงๆ
“เอาละ เจ้ากลับไปนอนได้แล้ว รุ่งเช้ายังต้องเดินทางกันอีก” เขาปล่อยมือจากปลายคางของนาง ผิวกายนุ่มละมุนจนเขาเผลอถูปลายนิ้วไปมา
“ซือ..เอ่อ...ท่านเซียว เรากำลังกลับเข้าเมืองหลวงใช่ไหมเจ้าคะ”
“เจ้ารู้หรือ?”
หลันหลันจะพยักหน้าแต่นึกได้ฝืนตัวเองสุดกำลังก่อนเอ่ยออกมา “เจ้าค่ะ”
“ใช่ แต่ไม่ต้องกลัวไป เราเข้าเมืองหลวงแต่ไม่ได้ส่งเจ้ากลับเข้าวัง”
“ข้าเชื่อใจท่าน” นางยิ้มกว้างออกมา แต่คำพูดของนางทำให้เขาขมวดคิ้วอีกครั้ง
“เจ้าเชื่อใจคนง่ายเช่นนี้หรือ?”
หลันหลันส่ายหน้าไปมาแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวาน “เพราะเป็นท่าน ข้าจึงเชื่อใจ”
‘เพราะเป็นท่าน ข้าจึงเชื่อใจ’
ถ้อยคำของนางกระทบจิตใจของเขา นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้ยินใครให้ความสำคัญกับตนเองเช่นนี้
“เพราะคุณหนูบอกว่าท่านเป็นคนดี”
เซียวเหรินอ้าปากเหมือนจะพูดแต่เปลี่ยนใจ เขาไม่เคยพบกงเสวี่ยหลิง แม้จะรับรู้เรื่องของนางจากกงอี้เทาและจางซงหยวนเสมอ นางเองก็อาจจะรับรู้เรื่องราวของเขาจากปากของจางซงหยวน แต่ไม่คิดว่าจางซงหยวนจะยกย่องเขาจนทำให้หญิงสาวคนหนึ่งหลงรักเขาได้
“กลับไปนอนห้องเจ้าได้แล้ว”
หลันหลันพยักหน้าหงึกๆ แต่เมื่อนึกขึ้นได้นางก็แลบลิ้นยิ้มทะเล้นรีบหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“จูเต๋ออี้” เซียวเหรินเอ่ยเสียงไม่ดังนัก เพียงครู่เดียวบานหน้าต่างก็เปิดออกพร้อมกับร่างของบุรุษในชุดดำเข้ามาคุกเข่าข้างเดียวเบื้องหน้าชายหนุ่ม
“ขอรับนายท่าน”
“อีกกี่วันเราจะถึงหมู่ตึกนกยูงทอง”
“หากไม่มีเรื่องใดอีกสองวันจะถึงที่หมายขอรับ”
“เจ้าไม่ได้ยินอะไรใช่ไหม”
“ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้นขอรับ” จูเต๋ออี้ติดตามเซียวเหรินมากว่าสิบปี หากไม่เพราะมีคำสั่งของนายท่าน เขาคงเข้ามาขวางมิให้หญิงประหลาดผู้นั้นปีนเตียงนอนของนายท่านเป็นอันขาด“นางป่วยอยู่จึงทำอะไรประหลาดไปบ้าง” เขาเองก็ไม่แน่ใจเรื่องอาการป่วยอันแปลกประหลาดนี้นัก“ขอรับนายท่าน”“ดี”เซียวเหรินพยักหน้ารับรู้ พลันนึกถึงเมื่อครู่ที่เขาบอกไม่ให้หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ อีก เขาแสร้งกระแอมไอแล้วรินน้ำชาให้ตัวเอง โบกมือไล่ให้จูเต๋ออี้ออกไปเมื่อในห้องไม่มีผู้ใดแล้ว เขาก็ถอนหายใจหนักหน่วง หรือเขาจะติดโรค ‘พยักหน้า’ มาจากนกน้อยตัวนั้นเข้าแล้ว หญิงสาวนั่งมองสิ่งของตรงหน้าสลับกับมองใบหน้าเรียบเฉยของผู้ที่ถูกเรียกว่าหมอเทวดาไร้ใจ เมื่อต้องใช้เวลาในรถม้าเสียเป็นส่วนใหญ่ เซียวเหรินคิดว่าจะใช้เวลานี้บันทึกอาการแปลกประหลาดของหญิงสาวตรงหน้า “ตามหลักแล้ว ควรบันทึกอาการของผู้ป่วย ติดตามการรักษา บางครั้งอาการป่วยแบบเดียวกันแต่ผู้ป่วยคนละคน การใช้ยาย่อมแตกต่างกันไป ทั้งนี้รวมทั้งเพศ อายุ หรือน้ำหนักของคนป่วยด้วย” “ซือ...ท่านเซียวจะบันทึกอาการของข้าหรือ?” นางถามด้วยรอยยิ้มกว้าง ดวงตา
“เจ้ารับไปก่อน แล้วข้าจะใช้งานเจ้าทีหลัง” ดวงตาของหญิงสาวเบิกโตเป็นประกาย คราวนี้นางไม่ลังเลยื่นมือไปรับถุงเงินจากเขาแล้วมีท่าทีตื่นเต้น “จำไว้ว่าเจ้าต้องซื้อเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็น” “เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ “แล้ว...ข้าสามารถซื้อขนมได้หรือไม่” “ขนม? เจ้าหิวแล้วรึ” เขาตั้งใจจะไปให้ถึงที่หมายก่อนจึงไม่ได้คิดจะแวะพักกินอะไร “เปล่า” นางส่ายหน้าไปมาจนผมยาวส่ายไปมา “แค่...น่ากิน” “ซื้อขนมกินเล่นได้แต่อย่ามากนัก แต่ที่สำคัญ...” “ต้องซื้อของใช้ที่จำเป็นก่อน!” นางรีบพูดแล้วยืดแผ่นหลังขึ้นคล้ายโอ้อวดว่าตนเองจำคำสั่งของเขาได้ดี “รีบไปเถิด อย่าเถลไถล” “เจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้างแล้วมุดลงมาจากรถม้า พลันเหมือนคิดออกจึงยื่นหน้ากลับเข้ามาอีกครั้ง “ท่านเซียวไม่ไปด้วยกันหรือเจ้าคะ ท่าทางสนุกออก” จูเต๋ออี้ได้ยินถึงกับสะอึก นายท่านของเขานะหรือจะออกมาเดินเล่น โดยเฉพาะต้องมาเดินตามหญิงสาวซื้อเสื้อผ้าเช่นนี้ด้วย “เจ้าไปเถอะ จูเต๋ออี้ดูแลนางให้ดีอย่าให้พลัดหลงก
บ่าวไพร่พากันก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม มองผู้เป็นนายเดินออกไปแล้วจึงลงมือทำอาหารต่อจากที่คุณหนูทำเตรียมไว้รับแขกคนสำคัญ เพราะมัวแต่เสียเวลาลงมือตระเตรียมอาหารไว้ต้อนรับด้วยตนเอง กว่าอู๋หมิ่นลี่จะเดินออกมา แขกคนสำคัญก็มาถึงห้องรับรองแล้ว หญิงสาวก้าวเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม นางย่อตัวคารวะบุรุษหนุ่มในชุดสีฟ้ากระจ่างแม้เรียบง่ายแต่กลับทำให้เขาดูงามสง่า “คุณชายเซียวเหริน ไม่ได้พบกันเสียนาน” “แม่นางอู๋สบายดีหรือ?” เซียวเหรินเอ่ยถาม น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความอ่อนโยนอยู่บ้าง “ข้าสบายดี” นางยิ้มกว้างดีใจที่ได้เห็นบุรุษที่ตนชื่นชอบกลับมาเยือนอีกครั้ง ทว่าสายตาของนางมองเลยร่างสูงโปร่งไปยังร่างบอบบางที่ยืนหมุนตัวไปมา สายตากวาดมองไปรอบๆ ด้วยท่าทีตื่นเต้น สตรี! ไม่พบกันครึ่งปี เซียวเหรินมีสตรีข้างกายแล้วหรือ? จูเต๋ออี้กระแอมไอเบาๆ ทำให้หลันหลันเพิ่งรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง นางจึงหยุดกวาดสายตา แต่เมื่อดวงตาคู่สวยมองเห็นหญิงงามในชุดสีชมพูกลีบบัว นางอดกวาดตามองขึ้นลงไม่ได้แล้วยิ้มกว้างออกมา “สวย! สวยยิ่งนัก!” อู๋หมิ่นลี่ถึงกับสะดุ้งที
ตั้งแต่แขนขวาได้รับบาดเจ็บเพราะพิษร้ายของฝ่ายอธรรมเมื่อครึ่งปีก่อน โชคดีที่คราวนั้นเขาอยู่ใกล้ที่พักของเซียวเหริน คนสนิทพาเขาไปรักษา แม้จะรักษาชีวิตไว้ได้แต่เส้นประสาทแขนขวาถูกทำลายทำให้ไม่อาจขยับหรือใช้งานแขนข้างนี้ได้อีก หากว่าเขาเป็นคนพิการ แต่นางเป็นคนสติเลอะเลือน ไม่รู้ว่าคนเช่นไรน่าสงสารมากกว่ากัน “อาหารแต่ละจานอร่อยมาก” หลันหลันพูดออกมาจากใจ “เกิดมาข้าไม่เคยกินของอร่อยเช่นนี้มาก่อน” “แม่นางหลันกล่าวเกินไปแล้ว” อู๋หมิ่นลี่แม้ไม่ชอบที่เห็นนางใกล้ชิดเซียวเหริน แต่ท่าทางไร้เดียงสาของนางนั้นทำให้คนโกรธไม่ลงจริงๆ “ข้าพูดจริงๆนะ” นางพยักหน้าขึ้นลง “ชีวิตนี้โชคดีนัก ได้กินของอร่อยเช่นนี้” แค่ได้กินของอร่อยก็ทำหน้ามีความสุขเช่นนี้ ไม่รู้ชีวิตนางผ่านอะไรมาบ้าง อู๋ซิงว่านลอบมองนางเห็นใจพลางมองดูเนื้อปลาที่นางมีน้ำใจคีบมาวางไว้ให้เขา หลายเดือนมานี้แม้ปากจะพูดว่าทำใจยอมรับสภาพที่ไม่อาจใช้แขนขวาได้อีกแล้ว แต่ลึกๆ แล้วเขายังคาดหวังว่ามันจะกลับมาขยับได้อีก เขาไม่ชอบสายตาเห็นอกเห็นใจหรือมองเขาอย่างเวทนาสงสาร ตั้งแต่หัวไหล่
“คนเลวชั่วช้าเช่นนั้นย่อมมีคนต้องการชีวิต” อู๋ซิงว่านขบฟันด้วยความโมโห เขารับรู้เรื่องราวโฉดชั่วของเสนาบดีหลี่ดี “ชาวบ้านที่ทนทุกข์จากการถูกคนของทางการกดขี่ข่มเหงต่างลุกฮือขึ้นต่อต้านทางการกันบ้างแล้ว” “แต่ชาวบ้านไร้ฝีมือไม่ต่างจากแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มีแต่พบความตายเท่านั้น” อู๋ซั่วไต้ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “ถึงขั้นที่ชาวบ้านต่างอดทนไม่ไหว ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านเหล่าขุนนางฉ้อฉลเช่นนี้ พวกเรา...” อู๋ซิงว่านได้แต่กัดฟันข่มโทสะในอก หากแขนขวายังใช้งานได้ เขาจะจับกระบี่ยืนเคียงข้างชาวบ้านที่เดือดร้อนเป็นแน่ “ใจเย็นก่อนว่านเอ๋อร์” ผู้เป็นบิดาได้แต่ปรามเบาๆ แล้วเหลือบตามองยังเซียวเหรินอย่างมีความหมาย “คนของท่านส่งข่าวมาบ้างหรือไม่” เซียวเหรินยกน้ำชาขึ้นจิบ “ในวังนั้นไร้ข่าวคราวขององค์หญิงกงเสวี่ยหลิง คุณชายเซียวแน่ใจหรือว่านาง...” “น่าแปลกนัก คนหายไปทั้งคน เหตุใดยังปิดข่าวได้เงียบเช่นนี้” อู๋ซิงว่านโคลงศีรษะไปมา “ถ้ากระโตกกระตากเกินไปก็จะเป็นชนวนให้เกิดความบาดหมางยิ่งขึ้น” เซียวเหรินวางถ้วยชาลง หางตารับรู้การเคลื่อน
เพียงได้ยินคำว่า ‘รางวัล’ หลันหลันก็ยืดเอวแล้วอ้าปากน้อยๆ อย่างรอคอย นางสบตากับเซียวเหรินด้วยหัวใจเปี่ยมความหวัง กลอกตาดำมองไปทางขนมสีขาวราวหิมะก้อนนุ่มเบื้องหน้า เซียวเหรินมองตามสายตาของนางแล้วเอื้อมมือไปหยิบขนมขึ้นมา แต่เกรงว่าชิ้นจะใหญ่เกินไปจึงบิออกครึ่งหนึ่งแล้วยื่นไปจ่อปากของนาง ประหนึ่งป้อนอาหารให้นกตัวหนึ่ง ด้วยความดีใจและรีบร้อน หญิงสาวงับขนมเข้าปากโดนปลายนิ้วของอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ แต่นางก็ไม่รู้สึกว่าตนทำอะไรผิดไป รสหวานของขนมนั้นทำให้นางยิ้มแก้มแทบปริ สีหน้าปลื้มปริ่มกับรสหอมหวานในปากทั้งสองไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นทำให้ผู้อื่นมองอย่างกระอักกระอ่วนใจมากเพียงใด อู๋หมิ่นลี่เม้มริมฝีปากแน่นสะกดกลั้นความไม่พอใจ นางอุตส่าห์ทำขนมเพื่อให้เซียวเหรินได้ชิม เขายังไม่ได้กัดกินแม้แต่คำเดียวแต่กลับป้อนผู้หญิงคนนั้น อู๋ซิงว่านแม้เป็นบุรุษแต่ยังเขินอายแทนจนแก้มขึ้นสีแดง อู๋ซั่วไต้กระแอมไอเบาๆ “แม่นางหลัน...ไม่ทราบว่าเจ้าแซ่ใดรึ” อู๋ซั่วไต้รู้ว่าลูกสาวของตนไม่พอใจไม่น้อยที่ต้องเห็นภาพเมื่อครู่ แต่อย่างไรเซียวเหรินก็เป็นคนที่ล่วงเกินไม่ได้เช่นกัน“หลันหลัน” นางรีบตอบทั้งที่ขนมยังเ
ปกติไม่ค่อยมี หรือจะว่าไปก็ไม่เคยมีใครกล้าพูดจาต่อปากต่อคำกับเขานัก พอได้ยินที่หญิงสาวถามกลับ กลายเป็นเขาที่พูดอะไรไม่ออกเสียเอง หญิงสาวเห็นเขายังไม่พูดอะไรต่อจึงรีบนั่งลง รินน้ำชาให้เขาอีกถ้วยแล้วชิงพูดขึ้นมาก่อน “ข้าโกหกไม่เก่งและจะไม่โกหกท่าน ที่ข้าตอบไม่ได้เพราะไม่ต้องการโกหกท่าน ท่านเข้าใจใช่ไหม” เซียวเหรินเลิกคิ้วเล็กน้อย นางกลับเป็นฝ่ายยิงคำถามใส่เขาเสียนี่ “หลันหลัน” เขาเอ่ยเสียงเรียบรับน้ำชาจากนางมาจิบเล็กน้อย“ข้าไม่เคยถามเจ้าเรื่องเสนาบดีหลี่ ถึงเวลานี้เจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นในวันนั้น” นางเผยอปากขึ้นแล้วหุบ อ้าปากใหม่แล้วก็กัดริมฝีปาก คิ้วงามขมวดกันยุ่งเหยิง แต่อีกฝ่ายก็ยังรอคอยนางอย่างใจเย็น สุดท้ายแล้วหลันหลันเอื้อมมือไปรินน้ำชาให้ตัวเอง ใช้สองมือประคองถ้วยชาขึ้นดื่มรวดเดียวราวกับตัดสินใจแน่วแน่แล้วเอ่ยออกมา “เพราะ ‘ซือจื่อสำคัญที่สุด’ ข้าจึงเล่าเรื่องวันนั้นไม่ได้” นางพูดน้ำเสียงหนักแน่น “คุณหนูพูดเสมอว่า ไม่ว่าอย่างไรนางอดทนเพื่อท่านได้เสมอ ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูหมายถึงเรื่องใด แต่ข้
หญิงสาวสวมหมวกปีกกว้างมีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า นางทำตามที่จูเต๋ออี้แนะนำทุกอย่าง แต่ผ้าโปร่งนี้ทำให้นางเกะกะรำคาญตาจนนางตลบมันขึ้น ไม่ใส่ใจว่าจะมีสายตาของใครจ้องมองใบหน้าของนาง ร่างเล็กวิ่งบ้างเดินบ้าง บางครั้งนางก็กระโดดราวกับตัวเองเป็นกระต่ายตัวน้อย ด้วยท่าทางร่าเริงราวกับค้นพบเรื่องสนุกแปลกใหม่ ไม่สนใจความเป็นกุลสตรี นางคุ้นเส้นทางอยู่บ้างเพราะติดตามกงเสวี่ยหลิง ไม่ว่าไปที่ใด นกน้อยอย่างนางย่อมเกาะบ่าไปด้วยเสมอ แต่ก่อนนั้นนางไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่กงเสวี่ยหลิงทำ แต่เวลานี้นางมั่นใจแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร ทำสิ่งที่ค้างคาของคุณหนูให้สำเร็จ เพื่อถึงวันที่หมดเวลาของนาง นางจะได้พบคุณหนูด้วยรอยยิ้ม ชายผู้นั้นเล่า? เขาจะเป็นอย่างไร? เขาจะเป็นอย่างไรได้ ก็ย่อมต้องสบายดีมีความสุขไม่ต้องถูกนางขโมยกินลมหายใจนี่นะ หญิงสาวยกมือแตะริมฝีปากตนเอง แต่นางต้องคิดถึงเขามากแน่นอน อารามร้างเบื้องหน้าเงียบสงัด แม้เป็นเวลากลางวันที่แดดจัดจ้า อาจเพราะเงาไม้รกครึ้มนั้น ทำให้ดูลึกลับและน่าหวาดหวั่น แต่ใบหน้างดงามกลับปรากฏรอยยิ้มออกมา
ชีวิตสี่ปีของหลันหลันเป็นเช่นนี้เรื่อยมา หลัววั่งรู้สึกว่ามีคนเข้ามา จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครเขาก็ส่งยิ้มกว้างแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ “ท่านรีบกลับเถิด ที่นี่ข้าจัดการเองได้” “ไยรีบไล่ข้าไปเล่า หรือเจ้านัดผู้ใดไว้” หญิงสาวได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยจึงเงยหน้าขึ้น บุรุษร่างสูงโปร่งสวมอาภรณ์สีเขียวใบไผ่ใบหน้าอ่อนล้าแต่ยังมีรอยยิ้มอ่อนโยน“ท่านมาแล้ว”เซียวเหรินส่งยิ้มให้นาง แม้เหนื่อยล้าจากการเร่งรีบเดินทางมา ทว่าเพียงได้เห็นรอยยิ้มนาง ความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นพลันมลายหายไปสิ้น“เหตุใดกลับเร็วนักเล่า” หลันหลันอดเป็นห่วงไม่ได้ “ตามจริงต้องอีกสิบวันท่านจะกลับไม่ใช่หรือ? เดินทางไปตรวจดูการซ่อมแซมเขื่อนเป็นอย่างไรบ้าง ”“เจ้าไม่อยากเห็นหน้าสามีหรือไร”เขาทำเสียงไม่พอใจแต่เดินไปนั่งใกล้ๆ แล้วจับชีพจรให้นาง และไม่พูดเรื่องงานกับนาง จะว่าไป ก็ไม่มีมีเรื่องใดในชีวิตของเขาที่หลุดรอดสายตาของนาง เช่นเดียวกับที่เขารู้ว่าในแต่ละวันนางทำอะไร นางมีคนคอยส่งข่าว ส่งเขาให้จูเต๋ออี้วางองครักษ์ลับไว้โดบรอบ “พิษในตัวข้ายังต้องใช้เ
“คิดสิ” นางหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของนางทำให้กงอี้เทาปล่อยนางจากวงแขน เขาคิดว่านางจะเปลี่ยนใจจึงยอมคลายมือจากข้อมือนาง ทำให้นางส่งยาเม็ดนั้นส่งเข้าปากแล้วกลืนลงคอทันทีท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างของกงอี้เทา “เจ้า!” “ข้าไม่เสียใจ” นางยิ้มแล้วยกมือลูบใบหน้าของกงอี้เทา “บอกจางซงหยวนให้ดูแลกงเสวี่ยหลิงให้ดี” “หลันโหยว!” “ข้าอยากขอร้องเจ้าครั้งสุดท้าย” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง “ได้ข้ารับปากเจ้า ข้ารับปากเจ้าทุกเรื่อง” กงอี้เทาประคองร่างที่อ่อนยวบลงในวงแขน มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าของหญิงสาวมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาของนางปิดลง ชีพจรเต้นช้าลง ร่างกายเริ่มเย็นเยียบขึ้นมาที่ละน้อย นางวางมือไว้บนหน้าอก บริเวณหัวใจของตนเองที่เต้นแผ่วเบาลงไปทุกที ทุกที ทุกที ไม่มีอะไรให้นางลังเลและกังวลอีกแล้ว..จูเต๋ออี้เดินเข้ามาอย่างเงียบเฉียบ ภาพที่เห็นจนเริ่มชินตาคือเจ้าของร่างสูงสง่านั่งเหยียดแผ่นหลังตั้งตรง แววตามุ่งมั่นและมือตวัดพู่กันแก้ไขปัญหาน้อยใหญ่ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งปัญหาไว้มากมายเหลือคณานับ
“เจ้านกตะกละ!” เขาดุนางพลางแหวนหน้าคำรามเสียงพร่า ถูกนางรุกเร้าจนแท่งหยกไถลลื่นเข้าไปจนสุด นางหวีดร้องเบาๆ โผเข้ากอดเขา ปลายเล็บจิกที่แผ่นหลังไม่เคยรู้เลยว่าบุรุษผู้นี้จะมีซ่อนสิ่งใหญ่โตไว้ถึงเพียงนี้ ความเสียวซ่านแผ่นกระจายไปทั่วร่าง จนถึงปลายนิ้วเท้าที่เกร็งแทบเป็นตะคริว นางครวญเสียงกระเส่า ยามเมื่อเขาขยับสะโพกถอนแก่นกายออกช้าๆ แล้วกดกลับเข้ามาใหม่ นางได้แต่หวีดร้องส่งเสียงครางแทบขาดใจ เหงื่อร้อนหลั่งออกมาจนหยดบนกายของนาง ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นในคราวแรกหายไปสิ้น ทุกการเติมเต็มของเขาทำให้ร่างกายที่เคยเยียบเย็นร้อนระอุ เหงื่อร้อนผุดขึ้นทุกรูขุมขน ร่างกายนางทวีความร้อนและเปียกชื้น รวมทั้งที่ใจกลางของดอกไม้สาวที่รองรับการเคลื่อนไหวของผีเสื้อหนุ่มช่างแนบแน่น ลึกล้ำและซ่านเสียว“ข้า...” นางไม่รู้ว่าตนเองจะพูดอะไร เขาป้อนความสุขสมที่นางไม่เคยรู้จัก ทำให้นางอิ่มเอมครั้งแล้วครั้งเล่า และหิวโหยต้องการไม่สิ้นสุด ไม่ว่าท่วงท่าใดที่เขานำพา ล้วนทำให้นางปรารถนาในตัวเขามากขึ้น มากขึ้น“เซียวเหริน!”ดวงตาของเซียวเหรินราวลูกไฟ ไฟปรารถนาเผาไหม้หัวใจทำให้เคลื่อนไหวร่างกายเร็วขึ้น ถาโถมและโหมกระหน
“เจ้าอยู่ที่นี่ให้ข้าถอนพิษให้เจ้าเถิด” “ข้าจะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรได้” นางส่ายหน้าไปมาบนอกเสื้อของเขา นางจงใจทำร้ายองค์ชายหงก่วงต่อหน้าผู้อื่นหากนางยืนข้างกายเขา คนภายใต้การปกครองย่อมมองเขาไม่ดีเป็นแน่ ขณะที่สมองและหัวใจตีกันยุ่งเหยิง ปลายคางของนางถูกช้อนขึ้น ตามด้วยริมฝีปากหยักสวยทาบทับ นางคิดจะถอยหลังหลบหนีแต่เรียวลิ้นร้อนไล่ต้อนจนนางไม่อาจตั้งสติคิดสิ่งใดได้ ถูกจุมพิตของเขาทำให้สับสนจนเกือบขาดอากาศหายใจเขาจึงยอมละริมฝีปากจากนาง “ใจร้าย!” นางทุบแผ่นอกแกร่งของเขา “ข้าต้องการเวลาคิด”“เรื่องแบบนี้ต้องคิดอะไรนานนัก” เขาโน้นหน้าลงจุมพิตดวงตาของนางที่ยังมีหยาดน้ำตาวาวใส “ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ”‘ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ’เป็นอีกครั้งที่นางได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของนางเหม่อลอยไปชั่วขณะ และในจังหวะเดียวกัน เซียวเหรินตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ ช้อนร่างนุ่มนิ่มไว้แนบอกพานางกลับมาที่ห้องนอนของตนเอง การกักขังนกตัวหนึ่งไว้นั้น อาจไม่ใช่กรงขังที่แน่นหนาแต่เป็นความรู้สึกปรารถนาที่มีต่อนางจูเต๋ออี้เห็นผู้เป็นนายกลับมาพร้อมกับอุ้มหญิงสาวที่ซุกอยู่ในอกจนแทบมองไม่เห็นใบ
“งานเหล่านี้แท้จริงเป็นของเจ้า ยามนี้ลุงแค่ช่วยจัดการให้ไปก่อน” เขาพูดอย่างใจเย็น บ้านเมืองต้องพลิกฟื้นเป็นการใหญ่ กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยคงใช้เวลาอีกสามถึงสี่เป็นอย่างน้อย เขาก้มมองเห็นเด็กน้อยทำหน้านิ่วก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าต้องหมั่นเรียนรู้ เข้าใจหรือไม่” “หลานทราบแล้ว เสด็จลุง” “ดี” เขาพูดแล้วขยับปลายนิ้วเรียกจูเต๋ออี้ องครักษ์ข้างกายที่ทำหน้าที่รับใช้มายาวนานถอยออกไป ครู่หนึ่งจึงเดินกลับเข้ามาพร้อมขนม เด็กน้อยทำตาโตแล้วยื่นมือไปรับขนมจากเซียวเหริน “ข้าให้ในครัวปรุงให้เจ้าเป็นพิเศษ ในนี้มีส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงร่างกาย เจ้าจะได้แข็งแรงเติบใหญ่เร็วไว” “ขอบพระทัยเสด็จลุง” “ไปเถอะ” “อื้ม!” เด็กน้อยปีนลงจากตัก ขันทีผู้หนึ่งเข้ามารับ เขามองเด็กน้อยที่ชะตาชีวิตลิขิตให้นั่งบัลลังก์มังกร ได้แต่หวังว่าตัวเองจะขัดเกลาเด็กคนนี้ให้เป็นฮ่องเต้ที่ดี คงมีเพียงการทำเช่นนี้ที่ลดทอนความรู้สึกผิดที่เคยให้คำสัตย์สาบานไว้ แม้ว่าชื่อของเขาจะเคยเป็นรัชทายาทก็ตาม เซียวเหรินก้มหน้าอ่านฏีกา หยิบพู่กันขึ
“ข้า...” หลันหลันอ้ำอึ้ง ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องไปจากที่นี่ ไม่ใช่หรอก นางมิได้อาลัยสถานที่แห่งนี้ มีเพียงความรู้สึกที่ต้องจากไกลเซียว เหรินต่างหากที่ทำให้นางปวดใจมือเรียวเล็กยกขึ้นอกที่หน้าอกซ้าย บริเวณที่ถูกเซียวเหรินซัดฝ่ามือเข้าใส่ ความเจ็บปวดระลอกหนึ่งราวเข็มแหลมเล็กนับร้อยนับพันทิ่มแทงหัวใจเจ็บ?เหตุใดถึงเจ็บถึงเพียงนี้“หลันหลัน” อู๋หมินลี่เห็นใบหน้าหลันหลันซีดเซียวไร้สีเลือดก็ตื่นตระหนก “เจ้าเจ็บรึ ให้ข้าตามหมอดีหรือไม่”หลันหลันส่ายหน้าไปมา ครู่หนึ่งนางสูดลมหายใจลึกสะกดความเจ็บปวดทั้งหมดแล้วฝืนยิ้มให้อู๋หมินลี่ พลันเสียงของท่านป้าต๋าฝูดังแว่วเข้ามาในหัวน้อยๆ ของนาง‘มีเวลาเพียงสี่สิบเก้าวัน’จากบันทึกของเซียวเหริน นางเหลือเวลาอีกแค่สามวันแต่ถ้านางลองให้กงอี้เทาถอนมนตร์สะกดจิต บางทีนางอาจมีชีวิตได้ยาวนานกว่านี้ แต่ชีวิตของอูหลันโหยว ไม่อาจอยู่ที่แคว้นเฉียน เหลียงได้“หลันหลัน” อู๋หมิ่นลี่บีบมือเย็นเฉียบของหลันหลัน “ข้าพาเจ้ากลับที่พักดีกว่า” “ให้ข้าประคองนางเองเจ้าค่ะ” ไป๋ชิวเข้ามาช่วยประคองหลันหลันเพื่อเดินกลับที่พัก อู๋ซิงว่านผ่านมาพอดีเห็นไป๋ชิวประคองหลันหลันอยู
นางมุดอยู่ใต้ผ้าห่มแต่หูได้ยินเสียงพวกเขาตกลงต่อรองกัน สุดท้ายกงอี้เทาได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วก้าวออกไป นางคิดว่าในห้องไม่มีใครแล้วจึงโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม แต่กลับพบสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว “ระหว่างนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะเป็นฝ่ายหาเวลามาพบเจ้าเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเช่นที่เคยเป็น “เข้าใจหรือไม่” นางพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ แทนคำตอบ เซียวเหรินไม่เอ่ยอะไรอีก หมุนตัวแล้วเดินออกไปเงียบๆ จนนางมั่นใจว่าครั้งนี้ไม่มีผู้อื่นแล้วจริงๆ จึงยอมลุกขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง ‘ให้นางตัดสินใจเอง’ นางคิดมากจนตาลายเดือดร้อนบ่าวรับใช้ที่เฝ้าดูอาการเข้าใจผิดคิดว่าอาการของนางทรุดลง อู๋ซิงว่านรีบเข้ามาดูอาการของนาง พอรู้ว่านางหิวโหยจนหน้ามืดก็แหงนหน้าหัวเราะไม่เกรงใจคนป่วยอย่างนาง สั่งการให้บ่าวไพรยกสำรับอาหารมาให้ หลังจากถูกบิดาเรียกไปอบรม เขารู้ว่าควรทำใจเรื่องหลันหลัน อาจเพราะนางเป็นคนให้กำลังใจจนเขาสามารถใช้แขนขวาได้อีกครั้ง แต่พอรู้ว่านางอาการทรุดลงก็รีบมาดูทันที ใครจะรู้ว่านางแค่หิว ไม่สิ นางหิวมากจนจะเป็นลม ระ
“คุณหนู” ไป๋ชิวร้อนรน แต่หมอที่เก่งที่สุดกำลังดูแลสตรีอื่นจนทำให้คุณหนูของนางเป็นเช่นนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” นางพยายามสูดลมหายใจลึก แม้รู้อยู่แก่ใจว่าเซียวเหรินมองนางด้วยสายตาเช่นไร แต่นางก็ยังหวัง หวังว่าจะมีสักวันที่เขาจะรับรู้ความรู้สึกของนาง เปิดใจให้นางบ้าง “ไป๋ชิว พาคุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนก่อน” อู๋ซั่วไต้เอ่ยขึ้นแล้วมองบุตรสาวด้วยความเห็นใจต่อให้ไม่มีสตรีผู้นั้นเข้ามา หรือแม้กระทั่งเขาจะใช้คนของหมู่ตึกนกยูงทองช่วยชีวิตคนสกุลเซียวเอาไว้ เขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้จะเอามาเป็นบุญคุณเพื่อให้เซียวเหรินแต่งงานกับอู๋หมิ่นลี่ได้ แต่ด้วยฐานะที่แท้จริงของเซียวเหริน อู๋ซั่วไต้รู้ดีว่า บุตรสาวของเขาไม่สามารถเคียงข้างชายผู้นั้นได้ ไม่สิ จะเรียกเซียวเหรินเช่นแต่ก่อนได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เป็นถึง... “ท่านพ่อ” อู๋หมิ่นลี่กลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอ “ท่านรู้อยู่แล้วว่าท่านเซียวเป็นใคร จึงพยายามเตือนลูกใช่ไหมเจ้าคะ” “ลี่เอ๋อร์ เจ้าหักห้ามใจตัวเองเสียเถิด ยังมีบุรุษดีๆ อีกมากมาย พ่อจะคัดเลือกคนที่ดีและเหมาะสมกับเจ้าเอง” “แต่ว่า.
“ลูกข้าเป็นอะไร” ไทเฮาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “รักษาเขาสิ!” เซียวเหรินถึงกับนิ่งงันด้วยอับจนถ้อยคำ แต่ฮ่องเต้หงฉานหัวเราะเสียงปร่าแล้วโบกมือไปมา “มันใหญ่มากใช่ไหมละ” เขาหัวเราะขืนๆ “อะไรกัน” ไทเฮาหันมาถามอย่างงุนงง แต่เซียวเหรินไม่กล้าพูดออกมา “มันคือฝี” ฮ่องเต้ที่กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีตฮ่องเต้พูดขึ้นแล้วกดไปที่ท้องของตัวเอง “กระจายไปทั่วท้องแล้ว” “ไม่จริง... เหตุใดเป็นเช่นนี้” “เป็นมาเนิ่นนานแล้ว หมอหลวงรักษาไม่ได้ ลูกจึง...ไม่ใส่ใจกับมันอีก” ไทเฮาหันมาเขย่าแขนของเซียวเหริน “เจ้าได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ต้องรักษาได้!” “ถ้าได้รับการรักษาก่อนหน้านี้คงจะ...” “ช่างมันเถอะ” ฮ่องเต้หงฉานโบกมือไปมาจ้องมองใบหน้าของเซียวเหริน “เรารู้ ถึงได้ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้” “เจ้า! ทำไมโง่เช่นนี้” “เสด็จแม่” ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรง “ท่านเองก็รู้ว่า เสด็จพ่อยกบัลลังก์นี้ให้ใครตั้งแต่แรก” “หุบปากเสีย!” “เสด็จแม่...แท้จริงแล้วบัลลังก์นี้เป็น