หลังจากคุยกับพวกบอทเต้เสร็จ ก็ถึงเวลาตื่นนอนพอดี เธอลืมตาตื่นพบว่าท่านพ่อนอนหลับข้างๆ ด้วยความอ่อนเพลีย ไม่อยากรบกวนจึงเรียกขวดนมที่โรบอทชงให้ออกมาจากมิติ นอนดูดมองนั่นนี่ไปเรื่อย สักพักท่านพ่อก็ตื่น
“หืม ตื่นแล้วหรือลูก”
“แอ้ บา บู้” เจียหมิงสะลึมสะลือหลังจากตื่นขึ้น เขาสะดุ้งตื่นหลังกินยาที่ท่านหมอให้แล้วเผลอหลับไป มองบุตรสาวที่นอนอารมณ์ดี ใช้มือป้อมสั้นทั้งสองข้างประคองขวดนม ส่วนขาอวบๆยกไขว่ห้างสบายใจ
เจียหมิงขยี้ตา มองภาพนั้นนิ่งงัน บุตรสาวฉลาดเกินวัยนัก ทั้งกินนมเอง ไหนจะท่านอนที่ไม่เหมาะกับกุลสตรีนั่นอีก ว่าแต่เขาชงนมทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อไร สงสัยช่วงนี้กินยาที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม สมองเบลอ หลงลืมไปชั่วขณะ
“แอ้ ปะ ปา” เหลียนฮวาเห็นท่านพ่อตื่นขึ้นมา จะเอาขวดนมที่กินอยู่เก็บก็ไม่ทันเสียแล้ว ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย หากท่านพ่อจับได้เธอจะเปิดเผยความจริง แม้จะพูดไม่ได้ก็เถอะ ทว่าดูเหมือนเธอจะดูถูกความหลงลูกสาวของท่านพ่อน้อยไป นอกจากจะไม่สงสัยแล้ว ยังเอ่ยชมเสียยกใหญ่ ตัวแค่นี้รู้จักหยิบนมกินเอง
“หากอิ่มแล้วพ่อจะพาไปเดินเล่น” บาดแผลดีขึ้นมากแม้จะยังตึงๆอยู่ แต่ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ หากจะพาลูกสาวตัวอวบไปเดินเล่น อย่างไรสำหรับเขา บุตรสาวก็มาก่อนเสมอ
“แอ้ คิกๆ” เหลียนฮวาพลันได้ยินคำว่าเดินเล่น ก็ดีดดิ้นชอบใจ หัวเราะคิกคัก เธอชอบเดินเล่นที่สุด
“อ้าวเจียหมิง หายดีแล้วหรือ” คนในหมู่บ้านเอ่ยทัก หลังเห็นเขาอุ้มบุตรสาวเดินชมบรรยากาศตามทาง พร้อมชี้นั่นนี่ให้บุตรสาวดู ซึ่งเด็กน้อยก็อารมณ์ดี แจกยิ้มไปทั่ว ตากลมโตเบิกกว้างร้องอู้อ้าอย่างตื่นเต้น
“ดีขึ้นมากแล้วขอรับ” เจียหมิงหันไปตอบชาวบ้านที่ทักทายเขา ในช่วงเย็นแบบนี้มีหลายคนที่กำลังกลับจากทำงานในเมือง ทั้งนั่งเกวียน ทั้งเดินเท้า เดินขวักไขว้ คึกคักไม่น้อย แม้บ้านเล็กๆของเจียหมิงจะอยู่ห่างจากชาวบ้านคนอื่น แต่พอเดินออกมาไม่นานก็พบกับผู้คน นั่นทำให้ชายหนุ่มชอบบ้านที่อยู่ตอนนี้ไม่น้อย โดยเฉพาะไม่ต้องวุ่นวายกับใคร
“เจียหมิง” เสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงดังขึ้นด้านหลัง พอหันไปมองพบกับหลี่เหยาฉือ พี่ใหญ่ของเขานั่นเอง
“พี่ใหญ่มาได้อย่างไร” เจียหมิงถามขึ้น พลางมองสำรวจร่างผ่ายผอมของคนเป็นพี่ นึกเศร้าใจว่าร่างกายของพี่ใหญ่ผอมลงจากครั้งก่อนมากโข ดูท่าที่ผ่านมาเขาจะต้องทำงานหนัก แถมยังใช้ชีวิตลำบากไม่น้อย ซึ่งสาเหตุไม่ต้องคิดก็พอจะเดาออก
“พี่มาเยี่ยมเจ้าหน่ะ ขอโทษที่ปล่อยผ่านมาหลายวัน ข้าพึ่งว่างจากงาน” เหยาฉือตอบผู้เป็นน้อง ความจริงอยากมาหาน้องชายตั้งแต่วันที่ได้ข่าวว่าเจียหมิงได้รับบาดเจ็บ ทว่าเพราะต้องทำงาน อีกทั้งยังโดนนางจ้านต่อว่า ด่าทอเสียใหญ่โต ว่าหากเขาหยุดงานที่บ้านจะเอาอะไรกิน ทำให้ต้องก้มหน้าทำงานต่อไป ปลีกตัวมาหาน้องชายที่ได้รับบาดเจ็บไม่ได้ ใจกระวนกระวายอยู่หลายวัน สุดท้ายเถ้าแก่คนใหม่ที่พึ่งจ้างงานเห็นถึงความผิดปกติจึงเอ่ยถาม และใจดีให้เขาลาได้ 1 วัน
เหยาฉือละสายตาจากน้องชาย มามองก้อนกลมๆในอ้อมแขน วันนี้ได้พบหลานสาวเสียที ดวงตาของเด็กน้อยมองเขาอย่างสำรวจ ไม่นานพอเขาหันมาสนใจก็ยิ้มหวานให้คล้ายเข้าใจที่พูด “นี่หลานสาวข้าหรือ นางช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก”
“ขอรับ หลานสาวพี่ใหญ่นางรู้ความนัก ส่วนเรื่องนั้นไม่เป็นอันใดขอรับ ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่เป็นห่วงข้า มาเถอะ เข้าบ้านกันก่อน” เจียหมิงตอบรับคำพี่ชายที่มองบุตรสาวเขาอย่างเอ็นดู ก่อนมองของในมือพี่ใหญ่ที่ถือมา คาดว่าน่าจะเป็นของฝาก หัวซ้ายขวามองดูรอบๆว่ามีคนที่รู้จักแม่เลี้ยงอยู่หรือไม่ ก่อนจะรีบเอ่ยให้เข้าบ้านทันที
“พี่ใหญ่อยากลองอุ้มนางไหม” หลังจากเข้ามาในบ้าน เจียหมิงเห็นพี่ใหญ่มองเหลียนฮวาไม่ละสายตา ส่วนเหลียนเอ๋อร์ก็จ้องอีกฝ่ายนิ่ง พร้อมส่งยิ้มหวานหยดไปให้ พลันพี่ใหญ่ชะงักงัน หลังเห็นรอยยิ้มพิชิตใจจากบุตรสาว คาดว่าพี่ใหญ่คงโดนเหลียนเอ๋อร์ตกเข้าแล้ว
“เอ่อ ข้ากลัวทำนางเจ็บ” เหยาฉือพูดกล้าๆกลัวๆ พรางมองเสื้อผ้าตัวเองที่สกปรกจนเผลอคิดว่าอาจเอาสิ่งสกปรกพวกนี้ไปติดหลานสาว ทำให้เขาไม่แม้แต่จะกล้าจับเด็กน้อยที่น่าเอ็นดูเช่นนี้ น้องชายเขาช่างเลี้ยงออกมาได้ดี
“ข้าเชื่อว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น ลองดูสักหน่อย ใช่ไหมเล่าเหลียนเอ๋อร์ ลูกก็อยากให้ท่านลุงอุ้มใช่หรือไม่”
“แอ้ แอ้!” แล้วบุตรสาวก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ร้องสนับสนุนคำพูดผู้เป็นพ่อ พลางทำท่ากระโจนเข้าหาผู้เป็นลุง พ่อนางหล่อตี๋ แม้ผิวจะกล้านแดด ส่วนท่านลุงกลับดูหล่อคมคายคนละแบบ แม้เสื้อผ้าจะมีรอยปะชุนและฉีกขาดอย่างไม่ใส่ใจดูแล และร่างกายยังดูผอมเกินไป
ไม่เป็นไรหากข้าโตขึ้นข้าจะเลี้ยงดูพวกท่านให้ดีเอง พวกเขาล้วนเป็นของแรร์ทั้งคู่ นางต้องเลี้ยงดูให้ดี อิอิ เด็กน้อยดีดขาไปมาคิดอย่างอารมณ์ดี
“ละ เหลียนเอ๋อร์หลานลุง” เมื่อทั้งน้องชายและหลายสาวปฏิบัติกับเขาอย่างไม่มีทีท่ารังเกียจ เขาจึงใช้มือเช็ดที่เสื้ออีกครั้ง ก่อนจะอุ้มหลานสาวที่กระโจนเข้ามาด้วยความดีใจ “จริงสิ ข้าซื้อกำไลข้อเท้ามาฝากหลานสาว ฝากเจ้าที” เหยาฉือพยักพเยิดไปที่ของที่เขาหิ้วมา เขาใช้เงินเดือนเกินครึ่งซื้อมาให้นางเพื่อเป็นของขวัญต้อนรับหลานสาว แม้จะไม่ใช่สิ่งของที่มีค่า ทว่าเขาก็อยากมอบให้นางจากใจจริง อยากให้ได้รู้ว่านอกจากพ่อของนางยังมีเขาที่เป็นลุงของนางอีกคน
“ราคามิน้อย พี่ใหญ่ไม่ต้องสิ้นเปลือง...” เจียหมิงหยิบกำไลข้อเท้าสีเงินทั้งสองข้างออกมาพิจารณา แม้จะไม่ได้ราคาสูงลิบ ทว่าก็นับว่ามีราคาไม่น้อยเมื่อเทียบกับรายได้ชาวบ้านทั่วไป เจียหมิงเอ่ยอย่างเกรงใจ
“เป็นความตั้งใจของข้าเอง อยากนำมาเป็นของขวัญต้อนรับนาง” เหยาฉือพูดพลางมองร่างอวบอ้วนในอ้อมกอด เหลียนฮวารู้สึกซาบซึ้ง แม้ท่านลุงจะไม่มีเงินแต่ก็ยังซื้อของขวัญต้อนรับนาง พลันในใจอุ่นวาบ ร่างอวบเอนซบอกของท่านลุงอย่างขอบคุณ
อืมม ดี แม้กล้ามเนื้อจะน้อยกว่าท่านพ่อ แต่ก็แน่นใช้ได้ คิกคิก เป็นเด็กก็ดีเหมือนกัน เหยาฉือไม่รู้เลยว่ากำลังโดนหลานสาวแอบกินเต้าหู้
“ขอบคุณแทนเหลียนเอ๋อร์ด้วยขอรับ นางต้องดีใจมากแน่” เจียหมิงมองบุตรสาวที่ออดอ้อนออเซาะท่านลุงของตนไม่ไปไหน คาดว่าน่าจะสัมผัสได้ว่าใครดีกับตน เขาดึงข้อเท้าของนางมาเพื่อจะใส่ให้ ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อสังเกตุขนาดของข้อเท้าและกำไลในมือ
ไม่เป็นไรอาจมองพลาด จับข้อเท้าอวบขึ้นมาจะสวมให้เท่านั้นแหล่ะ กลับต้องชะงักอีกรอบ ครานี้พี่ใหญ่ก็ชะงักไม่ต่างกัน พลันความเงียบเข้าปกคลุม เหลียนฮวาที่เห็นทั้งพ่อและลุงเงียบไปจึงเหลือบมองไปยังข้อเท้าของตนกับกำไลที่ยังค้างอยู่ในมือพ่อ
“แอ้ แอ๊ะ!” ไม่ได้อ้วนนะ! เหลียนฮวามองสายตาของท่านพ่อและท่านลุง ที่จดจ้องมายังข้อเท้าอวบๆของตนนิ่งงัน แล้วส่งเสียงประท้วง ฮื่อ น่าอายที่สุด เจ้ากำไล แกทำให้ฉันดูแย่ แต่ใครใช้ให้นมอร่อย จนนางหยุดกินไม่ได้กันล่ะ เหลือบมองพุงกลมๆของตัวเองได้แต่เศร้าใจ หลักฐานค้ำคอ ขนาดขายังกลมปล้องเป็นมัดๆ
“เอ่อ ข้าเลือกซื้อขนาดตามเจ้าของร้านแนะนำ สำหรับเด็กไม่ถึงขวบ” เหยอฉือเกาแก้มแก้เก้อ ไม่พูดออกมาตามตรง กลัวหลานสาวจะเสียใจ
ใช่แล้ว หลานสาวเขาไม่ได้อ้วน นางแค่ แค่ โตเกินวัย เหยาฉือถกเถียงกับตนเองในใจ
“ขะ ข้าจะเก็บไว้ให้นางใส่ตอนโตกว่านี้ขอรับ เขาว่ากันว่าเด็กเมื่อโตขึ้นร่างกายจะยืดเอง” เจียหมิงก็ทำสีหน้าไม่ถูกเช่นเดียวกัน ได้แต่ทำหน้าเลิ่กลัก ข้อเท้าของบุตรสาวเขาใหญ่กว่ากำไลมากโข แม้กระทั่งฝ่าเท้ายังสอดเข้าไม่ได้
“อ่า ใช่ๆ / ฮ่าๆ” ทั้งคู่พยักหน้าเออออให้กัน แล้วหลุดขำออกมา เหลียนฮวาแทบอยากมุดแผ่นดินหนี ก็พอรู้ว่าตัวนางตัวโตกว่าเด็กทั่วไป ทว่าพอได้ฟังจากท่านลุงว่ากำไลข้อเท้านี้สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ทั้งที่นางพึ่งยังไม่ถึง 5 เดือนด้วยซ้ำ คล้ายโดนตอกย้ำ แล้วเอาน้ำร้อนราดซ้ำ พวกท่านพูดออกมาตรงๆเลยก็ได้ว่าข้าอ้วน! อยากเถียงใจแทบขาด ได้แต่กำหมัดชูขึ้นฟ้าอย่างไม่ยอม
“แอ้ !” นางไม่ได้อ้วน นางแค่กินแซ่บ! ฮึ่มๆ
หลายวันต่อมาหลังจากท่านลุงเดินทางกลับด้วยท่าทีอิดออด คงเพราะยังอยากเล่นกับหลานสาวผู้น่ารักอย่างนาง กิจวัตรประจำวันของทารกก็ไม่มีอะไรมาก นั่งๆ นอนๆ แล้วก็กิน ส่วนท่านพ่อก็ออกไปซ่อมรั้วให้แข็งแรงขึ้น ไม่ก็ลงแปลงปลูกผักบ้าง อ้อ มีอีกอย่าง ท่านพ่อมักหยิบอาวุธกระบองที่นางแอบนำไปวางในย่ามอย่างยากลำบากก่อนเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นมาเช็ดๆถูๆอยู่ทุกวัน ดูท่าจะหวงไม่น้อย วนเวียนอยู่แบบนี้ “ฮึบ อีกนิดลูกสาวพ่อ” “แอ้ ปะ ปะ” เหลียนฮวาเกร็งตัวเพื่อคว่ำจนหน้าดำหน้าแดง เหลือบมองท่าทีของผู้เป็นพ่อที่ลุ้นยิ่งกว่า ฮึบ ฮึบ ต้องทำให้ได้ อีกนิดเดียวเท่านั้น ฟุบบ และแล้วความพยายามก็สำเร็จผล ฟอดด “เก่งมาก” ได้รางวัลเป็นการหอมแก้มฟอดใหญ่จากท่านพ่อที่ลุ้นจนตัวโก่ง จะมีเด็กวัยเพียง 3 เดือนกว่าที่ไหน พลิกคว่ำตัวได้แล้วบ้าง แม้จะมีพุงกลมๆเป็นอุปสรรค เหลียนฮวาอยากอวดพ่อเหลือเกินว่านางพลิกตัวได้ตั้งแต่วันแรกที่เกิด ทว่าหลังๆที่ไม่เห็นนางพลิกตัวโชว์เพราะนางอ้วนขึ้นเลยขี้เกียจพลิกตัว “ปะ ปะ หม่ำๆ” เจ้าร่างกายทารกนี่พอออกแรงหน่อย
“ช่วยอย่าส่งเสียงดังด้วยนะขอรับ บุตรสาวข้า...” ระหว่างที่เจียหมิงกำลังพาทุกคนเข้ามาในบ้าน เพราะไม่อาจให้คุยกันนอกบ้านได้ เกรงว่าจะมีคนบังเอิญผ่านมาเห็นเข้า เขากำลังบอกให้ทุกคนเงียบๆ เพราะบุตรสาวเขาน่าจะกำลังนอนหลับอยู่ ทว่าพอเปิดประตูเข้าไปกลับต้องหน้าแดงก่ำ รีบวิ่งไปบังบุตรสาวไว้ เหลียนเอ๋อเล่นเขาเข้าแล้วไง “แอะ ปะ ปะ” “ฮ่าๆ ท่านอนดื่มนมของบุตรสาวเจ้า ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ” เป่ยหวงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ส่วนทหารที่เหลือ ขนาดได้ชื่อว่าเป็นพวกยิ้มยาก ยังแอบยิ้มขำ เมื่อเห็นร่างอวบอ้วนของเด็กน้อยนอนกินนมในท่าไขว้ห้าง เท้าป้อมๆกระดิกไปมา เป็นภาพแปลกตา หากฮูหยินหรือสตรีในเมืองหลวงเห็นคงต้องยกมือทาบอก อุทานอย่างตกใจเป็นแน่ นางเห็นพวกเขาที่ตัวใหญ่โตแทนที่จะตกใจ ร้องไห้อย่างเด็กทั่วไป กลับยิ้มแย้มยกมือโบกทักทายผู้เป็นพ่อ ครอบครัวนี้ช่างเปิดโลกแม่ทัพอย่างเขาดีแท้ “นะ นางแค่นอนในท่านี้แล้วสบาย ข้าไม่อยากบังคับลูก” เจียหมิงแก้ตัวแทนบุตรสาวด้วยสีหน้าเลิ่กลัก หันไปจัดท่านอนให้นางใหม่ “หึๆ ข้าเข้าใจ” เป่ยหวงมองตัวน้อยอย่างย
และแล้วก็ถึงวันนัดหมายเดินทาง ทางการส่งแม่นมหลวงและผู้ช่วยมาอย่างละคน ทั้งสองที่เคยทำหน้าที่ดูแลแต่เด็กบ้านที่มีฐานะ อย่างเช่น ขุนนาง ตระกูลพ่อค้าร่ำรวย พอมาเห็นบ้านที่ทางการส่งพวกนางมาก็ถึงกลับชะงัก ไม่คิดว่าจะเป็นบ้านของชาวบ้านธรรมดา ด้วยความเป็นมืออาชีพไม่นานก็ทำความเข้าใจได้ โดยเฉพาะแม่นมหลวงที่รับหน้าที่เลี้ยงดูบุตรหลานของพวกมีอันจะกินมาหลายบ้าน เรียกว่าใครๆก็อยากได้ตัวนางไปเลี้ยงดูบุตรหลานให้ เพราะนอกจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาแล้ว ยังบ่งบอกถึงความร่ำรวย เป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูล ส่วนสาเหตุที่เรียกว่าแม่นมหลวง เพราะเป็นแม่นมของทางการ ไม่ใช่แค่มีเงินจะสามารถจ้างได้ แต่ต้องได้รับการยอมรับจากทางการก่อนด้วย “ไม่รู้ว่าจะต้องไปกี่วัน พ่อต้องคิดถึงเจ้ามากแน่ๆ” เจียหมิงที่กำลังเอ่ยร่ำลาบุตรสาวอาลัยอาวรณ์ รอบๆมีชาวบ้านคนอื่นมาส่ง แต่ส่วนใหญ่จะอยากรู้อยากเห็นมากกว่า เมื่อเห็นชายหลายคนมาออกันที่บ้านของเจียหมิง คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ จึงพากันกระจายข่าว ทำให้ชาวบ้านหลายคนแห่กันมายืนออที่ริมรั้ว ส่วนซูหวินและโม่โฉวที่ทราบเรื่องคร่าวๆจ
ยามโฉ่ว (01.00 - 02.59 น.) “ถึงแล้วหรือ” “ขอรับ พื้นที่ตรงหน้าคือชายแดน ค่ายทหารน่าจะอยู่ไม่ไกล ” มีครั้งหนึ่งในตอนที่เหลียนฮวาพึ่งคลอดใหม่ๆ เจียหมิงเคยแอบออกมาล่าสัตว์ในป่าลึกหวังจะได้สัตว์ไปขาย ซื้อน้ำนมให้บุตรสาว ด้วยความที่ตัวเองมัวแต่จดจ่อกับสัตว์ที่กำลังล่าจนไม่รู้ตัวว่าเขาเกือบข้ามเข้าไปยังเขตของแคว้นลั่วหยาง ครั้นได้ยินเสียงที่คิดว่าน่าจะเป็นทหารของทางฝั่งนั้น จึงรีบกุลีกุจอกลับหมู่บ้าน หลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะออกมาล่าบริเวณนี้คนเดียวอีกเลย กลัวว่าถ้าข้ามไปแล้วจะไม่ได้กลับมาเจอบุตรสาวอีก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีเหตุให้ต้องกลับมาอีกครั้ง “แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเฝ้าอยู่ตรงนี้ดูต้นทาง กลุ่มสองลอบเข้าไปด้านใน ข้าจะนำเอง เลี่ยงการปะทะ เข้าใจหรือไม่” “เข้าใจขอรับ” “เอ่อ แล้วข้าล่ะขอรับ” เจียหมิงโพล่งถามขึ้นมาเพราะไม่รู้ตัวเองต้องอยู่ตรงไหน ทำหน้าที่อะไรต่อจากนี้ “เจ้ารออยู่กับกลุ่มแรกที่นี่ หากได้รับสัญญาณให้วิ่งกลับไปยังทางที่เรามาให้เร็วที่สุด ไม่ต้องสนใจทหารคนอื่น” ที่บอกว่าไม่ต้องสนใจ เ
“พบสิ่งผิดปกติอันใดหรือไม่” “ไม่ขอรับท่านแม่ทัพ” เป่ยหวงถามทหารอีกนายเสียงเครียด พวกเขาเข้ามายังถิ่นศัตรูแล้ว ทว่ายังไม่พบสิ่งปกติอะไร นอกจากการเดินลาดตระเวนอันหละหลวมของพวกทหาร ยิ่งเข้ามาด้านในค่ายเหมือนไม่ใช่ค่ายทหาร หน่วยก้านบางคนเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ถูกเกณฑ์มาด้วยซ้ำ ไหนจะประโยคสนทนาของพวกทหารก่อนหน้านั่นอีก “แปลกเกินไป กระจายกำลังสำรวจโดยรอบ อย่าให้โดนจับได้” “ให้ตายสิ กลิ่นบ้าอะไร เหม็นอย่างกับอะไรตาย” ทหารแคว้นจ้าวที่แอบเข้ามาสำรวจบริเวณด้านหลังสบถในใจ ทนไม่ไหวจนต้องยกมือขึ้นปิดจมูก พื้นที่ตรงนี้เหมือนจะไม่มีคนอยู่ เขาเห็นถึงความผิดปกติ เลยกะจะเข้ามาดูสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าพอมาถึงแวบแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นเหม็น และดูเหมือนว่ายิ่งเดินเข้ามาใกล้เท่าไร กลิ่นยิ่งทวีความรุนแรง เขามองซ้ายขวาไม่เห็นใคร จึงเดินออกจากที่ซ่อน เดินตามกลิ่นก่อนจะเจอกับปากหลุมหลุมหนึ่ง เขาพยายามเพ่งมอง ทว่าด้วยความมืดทำให้ไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ด้านล่าง แต่กลิ่นที่โชยมาแตะจมูกคงไม่ใช่อะไรที่ดีแน่ หรืออาจเป็นแค่ซากสัตว์ตาย เพราะบริเวณนี้ใกล้กับ
“รายงานท่านแม่ทัพ จู่ๆทหารรอบๆก็พากันหมดสติไม่ทราบสาเหตุ” ทหารคนหนึ่งรีบเอ่ยขึ้นหลังกลับมายังจุดรวมตัว เป่ยหวงพยักหน้ารับเพราะก็เห็นถึงความผิดปกตินี้เหมือนกัน สายตาคมกริบกวาดมอง พบว่าคนในทีมยังขาดไปอีกคน “อี้ฟ่านไปไหน” เป่ยหวงถาม สายตามองหาลูกน้องอีกคน “เขายังไม่กลับมาขอรับ ข้ามาถึงเป็นคนแรก” “แย่ล่ะ รีบตามข้ามา!!” หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่คิด กรรภ์ เคล้งง ‘โธ่เอ้ย นี่มันตัวบ้าอะไร’ ชายที่มีนามว่า อี้ฟ่าน กุมบาดแผลบริเวณหน้าท้องที่โดนทำร้าย เลือดหลั่งไหลจนเปียกชุ่ม สายตาเริ่มพร่ามัว ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนหน้า ‘ไม่ได้การ ต้องรีบไปรายงานท่านแม่ทัพ!’ อี้ฟ่านที่พบศพมนุษย์กำลังรีบตรงดิ่งเพื่อกลับไปยังจุดรวมตัว ‘หืม เหตุใดเงียบกว่าเดิม’ ทหารหนุ่มมองซ้ายขวาไม่พบศัตรูแม้แต่คนเดียว แม้แต่เสียงพูดคุยยังไม่ได้ยิน อย่างกับค่ายร้าง อี้ฟ่านเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น ฟึบบ หางตาเขาเหลือบไปเห็นเหมือนมนุษย์วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความหนาวของอากาศทำให้บรรยากาศเริ่มวังเวงมากขึ้น อี
“อี้ฟ่าน เจ้าอดทนไว้” กู้หานพยุงร่างเพื่อนที่แทบประคองสติไว้ไม่อยู่ หากเลือดยังไม่หยุดไหล คาดว่าเลือดได้ออกหมดตัวแน่ มืออีกข้างยังคงถือพลุสัญญาณไว้ “กู้หาน อี้ฟ่าน เกิดอะไรขึ้น!!” เสียงฝีเท้า 6 คู่ วิ่งมาถึง ทำเอากู้หานหายใจโล่งขึ้น คนมาใหม่ขมวดคิ้วสงสัยเมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของอี้ฟ่าน “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ท่านแม่ทัพกำลังสู้กับไอ้ตัวประหลาดอยู่” “ข้ากับอีกคนจะไปช่วยท่านแม่ทัพ ส่วนเจ้ามาช่วยดูอาการอี้ฟ่านที” ไม่มีเวลาให้ได้ถามถึงสถานการณ์อื่น ว่าจบจึงพากันรีบวิ่งไปทางที่กู้หานชี้บอก “บาดแผลสาหัสเอาการ เราต้องรีบพาเขาไปรักษา” คนพูดสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกล อีกทั้งยาห้ามเลือดที่นำมายังใช้แทบไม่ได้ผล “เฟยจินถึงไหนแล้ว” กู้หานถามขึ้น เฟยจิน เป็นชื่อของสายลับคนที่สอง “เขาบอกว่าตอนนี้อยู่ไกลจากที่นี่ อาจใช้เวลาเดินทาง” “แต่หากเราพาอี้ฟ่านกลับหมู่บ้านเกาซาน เขาคงทนไม่ไหวแน่” กู้หานทวีความเครียด เพราะถ้าสายลับอีกคนมาถึงอย่างน้อยยังพาไปรักษาหมู่บ้านแถวนี้ได้ “คะ แค่กๆ ปะ ไปช่วยท่าน มะ แม่ทัพเถอะ” อี้ฟ่า
“ท่านแม่ทัพ แฮ่กๆ เรา ถะ ถอยก่อนดีหรือไม่” ทหารนายหนึ่งที่บาดเจ็บจากการด่วนข่วนเต็มแขน สะบักสะบอม เอ่ยถามแม่ทัพที่มีสภาพไม่ต่างกัน “อึก ทุกคนถอย!” เป่ยหวงหันมองรอบๆ เห็นทหารได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งพวกมันยังไม่มีทีท่าจะเหนื่อยเลยสักนิด จึงพยักหน้ายืนยันคำสั่งถอย ไม่รู้ว่าคือตัวอะไรกันแน่ มันโจมตีตามสัญชาตญาณคล้ายสัตว์ป่ายามบ้าคลั่ง ทั้งแข็งแกร่ง ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่เหนื่อย แถมแรงยังมากกว่าคนปกติ ดาบทำอะไรพวกมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จากตอนแรกมีแค่ตัวเดียว ไม่รู้มาเพิ่มจากไหนอีก 2 ตัว กลายเป็น 3 พวกเขาทำอะไรมันไม่ได้เลย แค่ปัดป้องยังตึงมือ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นพวกเขาที่หมดแรงเอง แฮร่ กรร ทว่าพวกมันไม่เปิดทางให้หนี ตีวงล้อมเข้ามาใกล้ คล้ายบางครั้งมันก็มีความคิด บางครั้งก็ทำตามสัญชาตญาณ เหมือนมันกำลังเล่นกับเหยื่อ หรือจะมีผู้สั่งการ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ใครจะไปควบคุมคนได้ ยิ่งเป็นคนคลั่งด้วยแล้ว เป่ยหวงสลัดความคิดไร้สาระออกจากหัว หากว่าระหว่างนั้นเองเขากลับโดนมันโจมตีทางด้านหลัง “ท่านแม่ทัพระวัง!!” ไม่ทันได้ยินเสียงเตือน แต่แล้ว ฉับ ต
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า
“อื้มม พะ พอก่อนเจ้าค่ะ แฮ่กๆ” เหลียนฮวาหลบชายคนรักที่ตะบมจูบอย่างหื่นกระหาย“เราไม่ได้สกินชิพกันมาหลายวันแล้วนะ” หยางหลงเอ่ยอย่างงอนๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนระหว่างพวกเขามักมีสายตาจับจ้อง ทั้งยังส่งเสียงทักทายมาให้ตลอด พอจะอยู่กันสองคนก็จะมีสายตาจับผิดของพ่อตามองมาอยู่เสมอ ทำให้เขาแทบปลีกตัวอยู่กันสองต่อสองไม่ได้เลย“ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนดังล่ะเจ้าคะ” เหล่าทหารหลายคนที่อยากขับรถแบบเขา จึงพากันเข้ามาพูดคุยขอให้เขาช่วยสอนขับรถ ทั้งยังพูดถึงแต่เรื่องรถ ความชอบของพวกผู้ชายหนีไม่พ้นพวกนี้เลยจริงๆ“พี่สอนพ่อตากับลุงแม่ทัพขับแล้ว พวกเขาไม่ไปถามทั้งสองบ้าง” หยางหลงพูดน้องใจอย่างไม่จริงจังนัก“คิกคิก ก็ไม่มีใครขับได้ผาดโผนเท่าพี่นี่นา” เหลียนฮวาหัวเราะขำ พวกทหารติดใจความเร็วของรถเครื่อง พอกลับไปนั่งรถม้าเริ่มพากันบ่นว่าช้าบ้าง อืดบ้าง ทั้งที่พอนั่งรถเครื่องก็พากัน
ณ พระราชวัง“พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!!!” จ้าวฮ่องเต้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอพระทัย เหล่าแม่ทัพต่างพากันจับกุมเขาและขุนนางฝ่ายสนับสนุน ใช้สายตาไม่พอใจมองไปทางแม่ทัพเลี่ยงจินที่เดิมทีมีหน้าที่ปกป้องเขา แต่กลับเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่น“ฮ่องเต้ที่ละทิ้งประชาชน มิอาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” เลี่ยงจินเป็นคนตอบ เขาตัดสินใจได้ทันทีหลังจากได้พูดคุยกับแม่ทัพเป่ยหวงและลู่จือ สิ่งที่แม่ทัพลู่จือพบเจอไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง“คะ ใคร ใครรายงานพวกเจ้า ข้าปิดประตูเมืองเพียงแค่รอสถานการณ์คลี่คลายเท่านั้น หากดีขึ้น...”“ฝ่าบาทมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางที่ส่งจดหมายแจ้งแก่แม่ทัพเป่ยหวง พร้อมทั้งถือหลักฐานเดินเข้ามายังท้องพระโรง“พวกเจ้า ไม่จริง ข้าเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของราชครู!!” จ้าวฮ่องเต้ที่เห็นหลักฐานในมือขุนนางกลับทำตาโตกล่าวถึ
“นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ออกไป” เยว่เล่อกล่าวออกมาอย่างสับสนพร้อมสั่งพวกมัน เขามองผีดิบที่พากันรุมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนคำสั่งของเขา“เป็นอะไรไหมขอรับท่านแม่ทัพ”“ฮะ ฮุ่ยหมิง แค่กๆ” เป่ยหวงตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ฮุ่ยหมิงตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้า หรือเป็นเพียงภาพความฝันกันแน่ ทว่าสีตาของเขากลับเหมือนพวกคนคลั่ง“ข้าเองขอรับ” ฮุ่ยหมิงพยุงร่างของแม่ทัพขึ้น คิดว่าจะหนักแต่ผิดคาดตัวของท่านแม่ทัพเบากว่าที่คิด“จะ เจ้าจริงๆหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นดวงตาพร่ามัวที่ใกล้จะปิด เขากลัวจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หากเฟยจินมาอยู่ตรงนี้ด้วยอีกฝ่ายคงดีใจไม่น้อย“ขอรับ” สิ้นสุดคำตอบของเขา เป่ยหวงสลบไปทันที ฮุ่ยหมิงใช้มือเช็คลมหายใจแล้วเป่าปากอย่างโล่งอก โชคดีที่ท่านแม่ทัพสลบไปเท่านั้นผลักก