“อี้ฟ่าน เจ้าอดทนไว้” กู้หานพยุงร่างเพื่อนที่แทบประคองสติไว้ไม่อยู่ หากเลือดยังไม่หยุดไหล คาดว่าเลือดได้ออกหมดตัวแน่ มืออีกข้างยังคงถือพลุสัญญาณไว้
“กู้หาน อี้ฟ่าน เกิดอะไรขึ้น!!” เสียงฝีเท้า 6 คู่ วิ่งมาถึง ทำเอากู้หานหายใจโล่งขึ้น คนมาใหม่ขมวดคิ้วสงสัยเมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของอี้ฟ่าน
“ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ท่านแม่ทัพกำลังสู้กับไอ้ตัวประหลาดอยู่”
“ข้ากับอีกคนจะไปช่วยท่านแม่ทัพ ส่วนเจ้ามาช่วยดูอาการอี้ฟ่านที” ไม่มีเวลาให้ได้ถามถึงสถานการณ์อื่น ว่าจบจึงพากันรีบวิ่งไปทางที่กู้หานชี้บอก
“บาดแผลสาหัสเอาการ เราต้องรีบพาเขาไปรักษา” คนพูดสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกล อีกทั้งยาห้ามเลือดที่นำมายังใช้แทบไม่ได้ผล
“เฟยจินถึงไหนแล้ว” กู้หานถามขึ้น เฟยจิน เป็นชื่อของสายลับคนที่สอง
“เขาบอกว่าตอนนี้อยู่ไกลจากที่นี่ อาจใช้เวลาเดินทาง”
“แต่หากเราพาอี้ฟ่านกลับหมู่บ้านเกาซาน เขาคงทนไม่ไหวแน่” กู้หานทวีความเครียด เพราะถ้าสายลับอีกคนมาถึงอย่างน้อยยังพาไปรักษาหมู่บ้านแถวนี้ได้
“คะ แค่กๆ ปะ ไปช่วยท่าน มะ แม่ทัพเถอะ” อี้ฟ่านที่หน้าซีด เนื่องจากเสียเลือดกลั้นใจพูดกับทุกคน ไม่ว่าทางไหนเขาก็ไม่น่ารอดแล้ว
“เจ้าหยุดพูดได้แล้ว ข้าจะรีบพาเจ้าไปรักษา” กู้หานเอ่ยขัด พร้อมหันไปพยักหน้ากับอีกคนหิ้วปีกซ้ายขวา เป็นไงเป็นกัน จะลองเสี่ยงลองหาหมู่บ้านใกล้ๆดู
แต่ระหว่างนั้นเอง
“เกิดอะไรขึ้น!” กู้หานที่ได้ยินคนถามประโยคเดิมสองครั้งติดถึงกับต้องหันมองผู้มาใหม่อย่างไม่เชื่อสายตา เหล่มองเพื่อนอีกคนถามทางสายตาว่าไม่มีคนพูดย้ำให้อีกฝ่ายกลับไปหรือ อีกคนพยักหน้าเป็นอันรู้กันว่าบอกไปแล้ว งั้นชายผู้นี้ดื้อดึง แอบตามมาเองสินะ เมื่อได้ข้อสรุปจึงหันมาหาตัวต้นเหตุ
“ท่านแม่ทัพบอกให้เจ้ากลับไปไม่ใช่หรือ” ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายแอบตามมา ท่านแม่ทัพคงได้ลงโทษพวกเขาแน่ ฐานปล่อยให้อีกฝ่ายตามมา
“เรื่องนั้นช่างก่อน เขาเป็นอะไรมากหรือไม่” เจียหมิงมองคนบาดเจ็บอย่างเป็นห่วง แม้จะพึ่งรู้จักกันไม่นาน ทว่าก็ไม่อยากเห็นใครมาบาดเจ็บ หรือล้มตายไปต่อหน้าต่อตา
“สาหัสเอาการ เขาเสียดลือด แถมเลือดยังไม่มีทีท่าหยุดไหล” ไหนๆก็มาแล้ว กู้หานเลยทำเป็นหลับตาข้าง มองข้ามไปก่อน อย่างไรคนบาดเจ็บสำคัญกว่า
“เจ้ามาก็ดี งั้นข้าขอตัวไปช่วยคนที่เหลือ ฝากด้วยนะ” ทหารอีกคนเห็นว่าตัวเองอยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก อีกทั้งยังมีชายอีกคนโผล่มาได้จังหวะพอดี จึงขอตัวไปช่วยคนอื่น เห็นว่าทีมที่เข้าไปช่วยทีหลังไปนานแล้วยังไม่กลับมา
“ระวังตัวด้วย” กู้หานตะโกนบอกเพื่อนในกลุ่ม
“แถวนี้จะมีหมอหรือ” เจียหมิงหันมาถามอย่างไม่แน่ใจ ยิ่งเป็นในถิ่นศัตรู
“ข้าก็ไม่แน่ใจ ที่นี่เป็นเขตค่ายทหารที่ติดบริเวณชายแดน แถมยังเป็นกลางคืนอีก” กู้หานเคร่งเครียด อับจนหนทาง
“เอ่อ หากว่า…” เจียหมิงทำหน้าครุ่นคิด เขาชั่งใจอยู่นาน ลังเลที่จะพูด เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ครั้งก่อนเขาก็รอดชีวิตมาได้ด้วยของจากในย่าม ครั้งนี้เขาเลยอยากลองเชื่อใจอีกครั้ง
“พูดมาเถอะ”
“ข้าได้ของบางอย่างมาขอรับ ข้าไม่รู้สรรพคุณมันคืออะไร แต่หากช่วยเพิ่มโอกาสรอดให้ดะ…”
“อึก ขะ ข้าจะ ละ ลอง แค่กๆ” อี้ฟ่านกะอักเลือดออกมาหลังพูดจบ เขานอนฟังทุกคนคุยกัน แค่จะเปล่งเสียงยังยากลำบาก แต่พอได้ยินชายที่แม่ทัพถึงกับไปขอร้องด้วยตนเองให้นำทางให้พูด จึงตัดสินใจได้ทันที พ่อของเด็กน้อยพิเศษคนนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว ดั่งลูกพยัคฆ์ไม่มีทางมีพ่อเป็นแมวป่าไปได้ ดังนั้น ถึงจะเป็นยาพิษเขาก็อยากจะลองดู
“ขะ ข้าไม่รู้ว่าอันไหน….” เจียหมิงหยิบยา 2 เม็ดที่หน้าตาแตกต่างกันขึ้นมา กู้หานถึงกับขมวดคิ้ว เขาไม่เคยเห็นยาสีแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน
“อะ อันนั้น” อี้ฟ่านพูดเสียงเบาอย่างคนหมดแรง เขาตัดสินใจเลือกเม็ดเรียบๆ ก่อนที่จะถูกส่งเข้าปากสีซีด
อึก
อ่า รสชาติขมของมัน ไม่รู้ทำไม แต่ช่างรู้สึกดีเหลือเกิน อี้ฟ่านค่อยๆกลืนยาลงท้อง ท่ามกลางสีหน้าลุ้นละทึกของทุกคน
ไม่ถึง 1 เค่อผ่านไป
“ขะ เขา ตะ ตายแล้วหรือ” เจียหมิงกลืนก้อนเหนียวๆลงคอด้วยความรู้สึกผิด ยามเห็นคนที่พึ่งกินเม็ดหลากสีไปนอนหลับตานิ่งไม่ไหวติง ใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“เจ้าดูดีๆ สีหน้าเขาดีขึ้นกว่าทีแรก” กู้หานไม่มั่นใจ แต่สังเกตดีๆสีหน้าอี้ฟ่านดีขึ้นมาก จึงแหวใส่คนที่เสียงสั่นคล้ายกลัวความผิด
“อ่าใช่ หน้าไม่ซีดแล้ว” เจียหมิงเบาใจลงทันที เกือบมีตราบาปตลอดชีวิต
แควกกก
“เลือดเขาหยุดไหลลงแล้ว!” กู้หานฉีกเสื้อคนที่นอนนิ่ง ดูบาดแผลที่บัดนี้เลือดหยุดไหลไปแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ เขาพูดอย่างตื่นเต้น
“จริงด้วย!” เจียหมิงที่เห็นภาพอัศจรรย์เบื้องหน้าไม่ต่างกันยิ้มกว้าง ร้องบอกอย่างดีใจ กลับไปเขาจะต้องนำย่ามขึ้นหิ้ง รำถวายท่านเทพเช้าเย็นที่ส่งของวิเศษมาให้เขา
“ยาเจ้าใช้ได้ผล!”
“ชะ ช่วยเบาๆลงหน่อยได้หรือไม่” อี้ฟ่านที่กลับตานอนพักถึงกับต้องพูดเมื่อเสียงดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นสองคนดังกวนอยู่ข้างหู
“แหะๆ ขออภัย” กู้หานหัวเราะแห้ง เผลอดีใจไปหน่อย
“ขอบใจเจ้ามาก อึก เพราะยาของเจ้า ข้าเลยรอดมาได้” อี้ฟ่านหันมาพูดกับเจียหมิง แม้สีหน้าจะดีขึ้น ไม่ต้องออกแรงมากในการเปล่งเสียง ทว่าด้วยอาการก่อนหน้าที่เสียเลือดมากเกินไป อีกทั้งแผลยังเปิดอยู่แม้เลือดจะหลุดไหล ทำให้เขายังเจ็บอยู่ไม่น้อย “ยาอีกเม็ด ข้าขอลอง อึก ดูได้หรือไม่” เม็ดแรกพบถึงความวิเศษขนาดนี้ เขาอยากจะเสี่ยงลองอีกเม็ดดู เผื่อความเจ็บที่กำลังเผชิญจะพอบรรเทาลงได้บ้าง
“เชิญเลยๆ” เจียหมิงที่เชื่อสุดใจในของวิเศษรีบยื่นยาอีกเม็ดส่งให้ แม้จะไม่ได้หวังประสิทธิภาพมากมายเท่าเม็ดแรก อย่างน้อยก็น่าจะพอช่วยได้บ้าง จึงหยิบเม็ดสองสี เรียวยาวส่งให้ อี้ฟ่านกลืนลงคออย่างไม่ลังเล แอบตกใจเม็ดนี้ไม่มีความขมเลยแม้แต่น้อย
ไม่นานหลังจากกลืนลงท้อง ทุกคนพากันลุ้นกันตัวเกร็งไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อจากนั้น เมื่อฤทธิ์ยาออกผล พวกเขากลับต้องตะลึงตาค้างรอบสองหลังพบถึงความผิดปกติของบริเวณปากแผล
“นะ นี่มัน…” เจียหมิง
“ขะ ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่หรือไม่” กู้หานพูดอย่างเพ้อๆ ตาค้างมองบาดแผลของอี้ฟ่านค่อยๆสมานลงอย่างรวดเร็ว บาดแผลเหวอะหวะเนื้อหลุดลุ่ยในคราแรก บัดนี้เหลือเพียงรอยแผลเป็นทิ้งไว้ ไม่เคยมียาใดทำได้แบบนี้ ขนาดยาของหมอเทวดายังทำไม่ได้
นี่ต้องเป็นยาหนึ่งเดียวในใต้หล้า
ทั้งอี้ฟ่านและกู้หานหันมองเจ้าของยาวิเศษพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“อะ เอ่อ พูดตามตรง ข้าได้รับมาโดยบังเอิญ ไม่รู้จริงๆว่ามาจากไหน” เจียหมิงสบตาทั้งสองคนพร้อมเกาแก้มแก้เก้อ เขาพูดความจริงเรื่องไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ หลังสายตาทุกคนมองมาอย่างมีคำถาม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาคิดอะไร “แต่ช่วยเก็บเป็นความลับได้หรือไม่” แม้จะยากแต่ก็ยังอยากขอร้องดู
“อะแฮ่มๆ ด้วยเกียรติของทหาร ข้าสาบานจะไม่บอกผู้ใด” อี้ฟ่านที่มองเจียหมิงเป็นผู้มีของวิเศษ จึงเผลอส่งสายตาเสื่อมใสไปให้ แม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าได้รับยาตัวนี้มาจากใคร แต่เขาสัญญาว่าจะไม่บอกผู้ใดเด็ดขาด อีกฝ่ายเป็นผู้ช่วยชีวิตเขา บุญคุณครั้งนี้อี้ฟ่านจะไม่มีวันลืม
“ข้าด้วย ข้าสัญญา” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากให้ใครรู้ เขาก็จะไม่ปากสว่าง เก็บไว้เป็นความลับชั่วชีวิต
“ขอบคุณพวกท่าน” เจียหมิงขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ
ทั้งสามไม่รู้เลยว่า ความสัมพันที่เริ่มต้นจากการช่วยชีวิตและช่วยกันเก็บความลับในวันนี้ ในอนาคตพวกเขาจะกลายเป็นเพื่อนร่วมตายในสนามรบแนวหน้าที่พร้อมฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกัน
“ท่านแม่ทัพ แฮ่กๆ เรา ถะ ถอยก่อนดีหรือไม่” ทหารนายหนึ่งที่บาดเจ็บจากการด่วนข่วนเต็มแขน สะบักสะบอม เอ่ยถามแม่ทัพที่มีสภาพไม่ต่างกัน “อึก ทุกคนถอย!” เป่ยหวงหันมองรอบๆ เห็นทหารได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งพวกมันยังไม่มีทีท่าจะเหนื่อยเลยสักนิด จึงพยักหน้ายืนยันคำสั่งถอย ไม่รู้ว่าคือตัวอะไรกันแน่ มันโจมตีตามสัญชาตญาณคล้ายสัตว์ป่ายามบ้าคลั่ง ทั้งแข็งแกร่ง ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่เหนื่อย แถมแรงยังมากกว่าคนปกติ ดาบทำอะไรพวกมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จากตอนแรกมีแค่ตัวเดียว ไม่รู้มาเพิ่มจากไหนอีก 2 ตัว กลายเป็น 3 พวกเขาทำอะไรมันไม่ได้เลย แค่ปัดป้องยังตึงมือ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นพวกเขาที่หมดแรงเอง แฮร่ กรร ทว่าพวกมันไม่เปิดทางให้หนี ตีวงล้อมเข้ามาใกล้ คล้ายบางครั้งมันก็มีความคิด บางครั้งก็ทำตามสัญชาตญาณ เหมือนมันกำลังเล่นกับเหยื่อ หรือจะมีผู้สั่งการ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ใครจะไปควบคุมคนได้ ยิ่งเป็นคนคลั่งด้วยแล้ว เป่ยหวงสลัดความคิดไร้สาระออกจากหัว หากว่าระหว่างนั้นเองเขากลับโดนมันโจมตีทางด้านหลัง “ท่านแม่ทัพระวัง!!” ไม่ทันได้ยินเสียงเตือน แต่แล้ว ฉับ ต
ยามอู่ (11.00 - 12.59 น.) “แผนต่อไปเราจะเอาอย่างไรกันต่อ” หนึ่งในทหารพูดเปิดประเด็น หลังจากทุกคนพักผ่อนเอาแรงกันแล้ว จึงมานั่งหารือกันกลางป่า ไม่ไกลจากค่ายศัตรูมากนัก ทว่าครั้งนี้มีสายลับคนที่สองนามว่าเฟยจินเข้าร่วมด้วย “บาดแผลพวกเจ้าเป็นไงบ้าง พร้อมสำหรับภารกิจต่อไปหรือไม่” เป่ยหวงสอบถามประเมินความพร้อมของลูกน้อง “ดีขึ้นแล้วขอรับ” อี้ฟ่านเป็นคนแรกที่เอ่ย เขานำผ้ามาพันแผลไว้เพื่อไม่ให้ทุกคนสังเกตได้ว่าตอนนี้มันสมานไปแล้ว โดยมีกู้หานคอยแสร้งมาทำแผล โปะยาให้ตลอด แล้วหันไปขยิบตากับเจียหมิงที่สะดุ้ง อย่างคนมีชะงักติดหลัง แต่ก็ยิ้มส่งให้ ‘ขอบคุณที่รักษาสัญญา’ “ส่วนของพวกข้ามีแค่รอยข่วน” “อืมม ไหวกันหรือไม่” เป่ยหวงถามพลางครุ่นคิด หากบาดเจ็บจนไม่ไหว เขาก็อยากถอยกลับไปตั้งหลักก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ เขาเชื่อว่าสายลับคนที่ 1 ยังมีชีวิตอยู่ “ไหวขอรับ!” ทุกเสียงตอบพร้อมเพรียงกัน “เจ้าละเจียหมิง ข้าจะไม่บังคับเจ้าเช่นเดิม” “ทุกคนอยู่ ข้าก็อยู่ขอรับ” เจียหมิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยว ร่วมเดินทางมาถึงขนาดนี้ เขาไม่อาจหนีกลับก่อนได้
“หมายเลขหนึ่ง ยังไม่กลายร่างอีกหรือ” หมอผีเฒ่าเดินเข้ามาในกระโจม ยืนมองร่างที่นอนอ่อนแรงจากการขาดน้ำและอาหาร ขมวดคิ้วสงสัย ร่างกายมีเพียงแค่บริเวณศอกลงไปเท่านั้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลง “ยังขอรับ” ชายชุดขาวตอบอย่างฉงนใจ มันไม่สามารถเพิ่ม ‘สิ่งนั้น’ ได้อีก เพราะหมอผีกลัวว่ามันจะรับไม่ไหว จึงได้แต่รอเวลาร่างทดลองกลายร่าง “เจ้าจะฝืนไปทำไม อย่างไรเจ้าก็ต้องกลายมาเป็นตัวทดลองที่สมบูรณ์ของข้า” หมอผีเฒ่าพูดอย่างเย้ยหยัน นับถือในความพยายามเอาชีวิตรอด แต่จะทนไปได้สักเท่าไร ร่างกายที่อ่อนแรงเช่นนี้ไม่อาจฝืนใช้ปราณได้อีกนานนักหรอก “อึก ขะ ข้ายอม ตะ ตายดีกว่า” สายลับใช้สายตาเคียดแค้นจ้องมองกลับ เขายอมอดข้าว อดน้ำ ฝืนใช้ปราณจนตาย ดีกว่ากลายเป็นสัตว์ประหลาด “ฮ่าฮ่า เข้าจะไม่ตายจนกว่าการทดลองข้าจะสำเร็จ!” ฮั่วเฉิงหัวเราะเยาะกับคำพูดนั้น ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงชายชุดขาวกับตัวทดลองอื่นที่กำลังร้องขอชีวิตด้วยความทรมาน “ทหารเหลือน้อยจนน่าตกใจ” กู้หานพูดเบาๆ หลังจากที่เข้ามายังในค่ายได้อย่างง่ายดาย คนเฝ้าด้านหน้าเหลือเพียงแค่ 2 คน จาก 4 คน นี่พวกมันไม่สง
ทางด้านกู้หาน“ชายชุดขาวคล้ายบัณฑิต” กู้หานพึมพำย้ำๆเตือนความจำ สายตาก็พยายามสอดส่องหาเป้าหมาย ในคนอันน้อยนิดที่เดินไปมาในค่ายกลับไม่พบคนที่คล้ายกับที่ตามหาเลย ทั้งที่พอมาคิดดูอีกที ดึกแบบนี้ชายคนนั้นจะยังแต่งชุดขาวอยู่อีกหรือ กู้หานครุ่นคิดในเมื่อในบรรดาคนที่เดินเฝ้ายามในค่ายไม่มีใครดูคล้ายยคนที่ตามหา แสดงว่าอาจอยู่ในกระโจมใดกระโจมหนึ่ง คิดดังนั้นกู้หานจึงมุ่งหน้าไปหากระโจมที่ใกล้กับด้านหลังที่สุด เพราะอย่างไรคนที่ไอ้หมอผีชั่วมันไว้ใจถึงขนาดให้รู้เรื่องการทดลองของมัน คงไม่ปล่อยให้ไปพักไกลหูไกลตา ฝีเท้าเบาหยุดตรงกระโจมหลังหนึ่งคร่อก คร่อก~เสียงกรนดังขึ้น ขนาดอยู่ด้านนอกยังได้ยิน กู้หานค่อยๆย่างก้าวทีละก้าวเข้าไปด้านใน แม้แสงไฟจะน้อยนิดแต่ก็ยังพอเห็นคนที่นอนอยู่ เป็นชายสวมชุดขาวจริงด้วย นี่ใส่ยันตอนนอนเลยหรือกู้หานเดินสำรวจรอบๆอย่างเงียบงัน เพื่อหากุญแจ ในกระโจมของมันโล่งกว่าที่คิด ง่ายต่อการหาของ มองโดยรอบไม่เจอ งั้นแสดงว่าต้องเก็บไว้ใกล้ตัวและในที่สุดก็หาเจอ มันวางไว้ใต้หมอน โชคดีที่สอดไว้อย่างหมิ่นเหม่กับหัวพอดี จึงมองเห็นกุญแจสะท้อนกับแสงไฟที่สาดส่องเข้ามา เห็นเป็นแสงวิบวับ
“ขะ ข้าอยู่ที่ไหน” ฮุ่ยหมิงสะลืมสะลือลุกขึ้น หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่จำได้ล่าสุดเป็นตอนท่านแม่ทัพมาช่วยเขาไว้ ก่อนภาพจะตัด เขาเห็นชายสามคนกำลังรุมจ้องมาทางเข้า ด้วยอาการเบลอๆจากความอ่อนเพลียยังมึนงงว่าใครเป็นใครบ้าง“อะแฮ่มๆ เจ้าควรนอนพักก่อน อาการพึ่งดีขึ้น” อี้ฟ่านที่เอ่ยก่อน เขาสองคนกับเจียหมิงช่วยกันแก้ตัว ในสถานการณ์ก่อนหน้าเป็นพัลวัน หลังจากทหารอีกคนเริ่มเอ๊ะใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่จู่ๆคนสภาพร่อแร่ ผิวเริ่มซีด ตัวร้อนจี๋ จู่ๆอาการกลับดีขึ้นจนเห็นได้ชัด เหมือนคนหลับไปเท่านั้นหาข้ออ้างอยู่นานจนอีกฝ่ายปักใจเชื่อว่าแค่บังเอิญเพราะร่างกายตอบสนองต่อยา ดีนะที่ทหารอีกคนไม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเนื่องจากไปหยิบกระบอกน้ำมาให้ เลยยังพอถูไถคำตอบไปได้ แต่ก็เล่นทั้งคู่เหงื่อแตกพลั่กๆ“นั่นอี้ฟ่านรึ”“ใช่ข้าเอง เจ้าตัวร้อนจัด พวกเราเลยต้องให้เจ้ากินยา”“จริงสิ ขะ แขน แขนข้า...” ฮุ่ยหมิงลนลานดูแขนตัวเองที่เขาใช้ปราณสกัดกั้นมันเอาไว้ตลอด ตอนเผลอหลับไปไม่รู้ว่ามันจะลามไปยังส่วนไหนบ้าง “เอ๊ะ ทะ ทำไม…”“เจ้าได้ยาดีหน่ะ” อี้ฟ่านเหล่มองเจียหมิงที่พยักหน้างึกงักเออออตาม“อ้อ ฮะ ฮ่าๆ เป็นแบบนี้นี่เอง” แม้ฮุ
“นี่เกือบชั่วยามแล้วนะขอรับ ทั้งสองยังไม่กลับมา” ฮุ่ยหมิงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล เขารั้นจะอยู่รอเฟยจินและพลทหารอีกนาย ที่ท่านแม่ทัพเล่าว่าพวกเขารับหน้าที่เฝ้าหมอผีไว้ ทว่าเวลาผ่านไปก็ยังไม่เห็นวี่แววทั้งสองคนโดยเขาใช้ข้ออ้างว่าอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว เพราะอยากเห็นสหายที่ไปช่วยกลับมาอย่างปลอดภัยกับตา แม้จะแปลกใจกับร่างกายตัวเอง เหตุใดถึงฟื้นตัวได้ไว อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะแข็งแรงดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ในขณะที่ทหารคนอื่นรวมถึงเจียหมิงมุ่งหน้าพาชาวบ้านออกเดินทางก่อนแล้ว เพราะไม่อาจรั้งรอให้พักอยู่จุดเดิมได้นานตรงนี้จึงเหลือเพียงเขากับแม่ท่านแม่ทัพที่ซุ่มรอกันอยู่สองคน “เจ้าอยู่นี่ก่อน ข้าจะลองขะ...นั่นใคร!!!” ทว่ายังไม่ทันพูดจบ เป่ยหวงสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่อยู่ไม่ไกลสวบ สวบ“หึ ฮ่าฮ่า อยู่นี่กันเองรึ พวกแกทำแสบมากนะไอ้พวกแคว้นจ้าว!!” หมอผีเฒ่าโผล่ออกมาจากป่าด้านหน้า แต่สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดลงคือโซ่ที่มันถือไว้ คนที่ถูกล่ามก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเฟยจินที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บหนัก เลือดไหลเป็นทาง สภาพสะบักสะบอมจนแทบไม่เหลือเคล้าเดิม ด้านหลังมีผีดิบสองตัวที่ตามมาด้วย เป่ยหวงกระ
“ทุกคนพักตรงนี้ก่อน” แสงตะวันเริ่มสาดส่อง บ่งบอกถึงเช้าวันใหม่ พวกเขาเดินทางจากค่ายมาไกลพอสมควร“เราจะรอท่านแม่ทัพก่อนใช่หรือไม่” เจียหมิงถาม หากพักนานหน่อยจะได้เตรียมก่อไฟ ออกไปหาอาหาร ล่าสัตว์เผื่อทุกคน“ใช่ พวกเขาน่าจะเดินกันต่อไม่ไหวแล้วด้วย” อี้ฟ่านมองทุกคนที่เหน็ดเหนื่อยจนแทบก้าวขาไม่ออก บางคนก็เดินกะเผลก แต่ก็ไม่มีใครปริปากบ่น อาจเพราะความกลัวว่าต้องถูกจับไปอีกมีมากกว่า“งั้นข้าขอตัวไปล่าสัตว์ ไม่ไกลจากนี้ทางทิศเหนือมีแม่น้ำอยู่ หากไปก็ระวังสัตว์ใหญ่กันด้วย ฝากท่านแจ้งแก่พวกเขา” อี้ฟ่านพยักหน้าขอบคุณ หันไปบอกกับทุกคน ทว่าพอหันกลับมาอีกทีกะจะตามไปช่วยเจียหมิงล่าสัตว์ด้วย กลับไม่เห็นอีกฝ่ายเสียแล้ว อี้ฟ่านได้แต่เกาหัวอย่างงงๆกับความว่องไวของอีกฝ่าย“หืม นั่นมัน...” เจียหมิงที่เร่งออกมาหาอาหารให้กับทุกคนที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืน ก่อนที่จะพบกับหัวมันที่บุตรสาวเคยชี้บอกว่ากินได้ ทว่าตั้งแต่ครั้งนั้นเขาก็ยังไม่ได้ลองกินทุกอย่างตามที่นางบอก เพราะมีหัวมันหลากหลายชนิดมาก แต่บางอย่างก็ลองกินแล้วพบว่ามันกินได้จริงๆ แถมยังอร่อยอีกด้วยโดยเฉพาะเจ้าหัวมันที่มีรสหวาน นึกขอบคุณบุ
“เหลียนเอ๋อร์ พ่อกลับมาแล้ว”“กรี๊ดด ปะ ปะ” เหลียนฮวากรี๊ดออกมาในอ้อมกอดแม่นมหลวง หลังจากเห็นท่านพ่อนางกลับมานางดีใจจนแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ส่งเสียงดังลั่น กระโดดไปมาจนแม่นมหลวงอุ้มแทบไม่ไหว“คิดถึงเหลือเกินเหลียนเอ๋อร์ แต่พ่อยังอุ้มไม่ได้ลูก ต้องอาบน้ำก่อน” เจียหมิงก้มมองตัวเองที่มอมแมม เต็มไปด้วยคราบดิน เขายิ้มกว้างยามเห็นหน้าบุตรสาวแก้มแดงๆคล้ายซาลาเปา ตัวอวบอ้วนยังคงน่ารักน่าชังไม่เปลี่ยน ไม่อยู่เพียงกี่วันบุตรสาวเขาแต่งกายน่ารักยิ่ง ผิวเปล่งปลั่งดูนุ่มนิ่ม คงเพราะมีแม่นมหลวงที่ทางการส่งมาให้ดูแลเรื่องอาหาร การกิน เครื่องแต่งกายเป็นอย่างดี ผิดกับตอนอยู่กับเขาที่ทำแบบลวกๆ ตามภาษาพ่อมือใหม่ ว่าแต่ทำไมแม่นมหลวงกับผู้ช่วยอีกนางถึงทำหน้าเศร้าเช่นนั้นเล่า “ขอบคุณพวกท่านทั้งสองด้วยขอรับ” “ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เป็นหน้าที่ของพวกข้า ว่าแต่...” “มีอะไรหรือขอรับ” “ข้าได้ยินจากแม่ทัพว่าท่านต้องเดินทางไปยังค่ายทหารเพื่อรายงานสถานการณ์และรับเงินค่าจ้าง คาดว่าน่าจะใช้เวลาวันสองวัน ข้าขออยู่เลี้ยงเหลียนเอ๋อร์ต่อระหว่างนั้นได้หรือไม่” แม่นมหลวงกลั้นใจพูดประโยคน่าอายออกไป นางได้ยินแม่ทัพคุยกับ
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า
“อื้มม พะ พอก่อนเจ้าค่ะ แฮ่กๆ” เหลียนฮวาหลบชายคนรักที่ตะบมจูบอย่างหื่นกระหาย“เราไม่ได้สกินชิพกันมาหลายวันแล้วนะ” หยางหลงเอ่ยอย่างงอนๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนระหว่างพวกเขามักมีสายตาจับจ้อง ทั้งยังส่งเสียงทักทายมาให้ตลอด พอจะอยู่กันสองคนก็จะมีสายตาจับผิดของพ่อตามองมาอยู่เสมอ ทำให้เขาแทบปลีกตัวอยู่กันสองต่อสองไม่ได้เลย“ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนดังล่ะเจ้าคะ” เหล่าทหารหลายคนที่อยากขับรถแบบเขา จึงพากันเข้ามาพูดคุยขอให้เขาช่วยสอนขับรถ ทั้งยังพูดถึงแต่เรื่องรถ ความชอบของพวกผู้ชายหนีไม่พ้นพวกนี้เลยจริงๆ“พี่สอนพ่อตากับลุงแม่ทัพขับแล้ว พวกเขาไม่ไปถามทั้งสองบ้าง” หยางหลงพูดน้องใจอย่างไม่จริงจังนัก“คิกคิก ก็ไม่มีใครขับได้ผาดโผนเท่าพี่นี่นา” เหลียนฮวาหัวเราะขำ พวกทหารติดใจความเร็วของรถเครื่อง พอกลับไปนั่งรถม้าเริ่มพากันบ่นว่าช้าบ้าง อืดบ้าง ทั้งที่พอนั่งรถเครื่องก็พากัน
ณ พระราชวัง“พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!!!” จ้าวฮ่องเต้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอพระทัย เหล่าแม่ทัพต่างพากันจับกุมเขาและขุนนางฝ่ายสนับสนุน ใช้สายตาไม่พอใจมองไปทางแม่ทัพเลี่ยงจินที่เดิมทีมีหน้าที่ปกป้องเขา แต่กลับเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่น“ฮ่องเต้ที่ละทิ้งประชาชน มิอาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” เลี่ยงจินเป็นคนตอบ เขาตัดสินใจได้ทันทีหลังจากได้พูดคุยกับแม่ทัพเป่ยหวงและลู่จือ สิ่งที่แม่ทัพลู่จือพบเจอไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง“คะ ใคร ใครรายงานพวกเจ้า ข้าปิดประตูเมืองเพียงแค่รอสถานการณ์คลี่คลายเท่านั้น หากดีขึ้น...”“ฝ่าบาทมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางที่ส่งจดหมายแจ้งแก่แม่ทัพเป่ยหวง พร้อมทั้งถือหลักฐานเดินเข้ามายังท้องพระโรง“พวกเจ้า ไม่จริง ข้าเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของราชครู!!” จ้าวฮ่องเต้ที่เห็นหลักฐานในมือขุนนางกลับทำตาโตกล่าวถึ
“นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ออกไป” เยว่เล่อกล่าวออกมาอย่างสับสนพร้อมสั่งพวกมัน เขามองผีดิบที่พากันรุมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนคำสั่งของเขา“เป็นอะไรไหมขอรับท่านแม่ทัพ”“ฮะ ฮุ่ยหมิง แค่กๆ” เป่ยหวงตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ฮุ่ยหมิงตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้า หรือเป็นเพียงภาพความฝันกันแน่ ทว่าสีตาของเขากลับเหมือนพวกคนคลั่ง“ข้าเองขอรับ” ฮุ่ยหมิงพยุงร่างของแม่ทัพขึ้น คิดว่าจะหนักแต่ผิดคาดตัวของท่านแม่ทัพเบากว่าที่คิด“จะ เจ้าจริงๆหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นดวงตาพร่ามัวที่ใกล้จะปิด เขากลัวจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หากเฟยจินมาอยู่ตรงนี้ด้วยอีกฝ่ายคงดีใจไม่น้อย“ขอรับ” สิ้นสุดคำตอบของเขา เป่ยหวงสลบไปทันที ฮุ่ยหมิงใช้มือเช็คลมหายใจแล้วเป่าปากอย่างโล่งอก โชคดีที่ท่านแม่ทัพสลบไปเท่านั้นผลักก