“อี้ฟ่าน เจ้าอดทนไว้” กู้หานพยุงร่างเพื่อนที่แทบประคองสติไว้ไม่อยู่ หากเลือดยังไม่หยุดไหล คาดว่าเลือดได้ออกหมดตัวแน่ มืออีกข้างยังคงถือพลุสัญญาณไว้
“กู้หาน อี้ฟ่าน เกิดอะไรขึ้น!!” เสียงฝีเท้า 6 คู่ วิ่งมาถึง ทำเอากู้หานหายใจโล่งขึ้น คนมาใหม่ขมวดคิ้วสงสัยเมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของอี้ฟ่าน
“ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ท่านแม่ทัพกำลังสู้กับไอ้ตัวประหลาดอยู่”
“ข้ากับอีกคนจะไปช่วยท่านแม่ทัพ ส่วนเจ้ามาช่วยดูอาการอี้ฟ่านที” ไม่มีเวลาให้ได้ถามถึงสถานการณ์อื่น ว่าจบจึงพากันรีบวิ่งไปทางที่กู้หานชี้บอก
“บาดแผลสาหัสเอาการ เราต้องรีบพาเขาไปรักษา” คนพูดสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกล อีกทั้งยาห้ามเลือดที่นำมายังใช้แทบไม่ได้ผล
“เฟยจินถึงไหนแล้ว” กู้หานถามขึ้น เฟยจิน เป็นชื่อของสายลับคนที่สอง
“เขาบอกว่าตอนนี้อยู่ไกลจากที่นี่ อาจใช้เวลาเดินทาง”
“แต่หากเราพาอี้ฟ่านกลับหมู่บ้านเกาซาน เขาคงทนไม่ไหวแน่” กู้หานทวีความเครียด เพราะถ้าสายลับอีกคนมาถึงอย่างน้อยยังพาไปรักษาหมู่บ้านแถวนี้ได้
“คะ แค่กๆ ปะ ไปช่วยท่าน มะ แม่ทัพเถอะ” อี้ฟ่านที่หน้าซีด เนื่องจากเสียเลือดกลั้นใจพูดกับทุกคน ไม่ว่าทางไหนเขาก็ไม่น่ารอดแล้ว
“เจ้าหยุดพูดได้แล้ว ข้าจะรีบพาเจ้าไปรักษา” กู้หานเอ่ยขัด พร้อมหันไปพยักหน้ากับอีกคนหิ้วปีกซ้ายขวา เป็นไงเป็นกัน จะลองเสี่ยงลองหาหมู่บ้านใกล้ๆดู
แต่ระหว่างนั้นเอง
“เกิดอะไรขึ้น!” กู้หานที่ได้ยินคนถามประโยคเดิมสองครั้งติดถึงกับต้องหันมองผู้มาใหม่อย่างไม่เชื่อสายตา เหล่มองเพื่อนอีกคนถามทางสายตาว่าไม่มีคนพูดย้ำให้อีกฝ่ายกลับไปหรือ อีกคนพยักหน้าเป็นอันรู้กันว่าบอกไปแล้ว งั้นชายผู้นี้ดื้อดึง แอบตามมาเองสินะ เมื่อได้ข้อสรุปจึงหันมาหาตัวต้นเหตุ
“ท่านแม่ทัพบอกให้เจ้ากลับไปไม่ใช่หรือ” ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายแอบตามมา ท่านแม่ทัพคงได้ลงโทษพวกเขาแน่ ฐานปล่อยให้อีกฝ่ายตามมา
“เรื่องนั้นช่างก่อน เขาเป็นอะไรมากหรือไม่” เจียหมิงมองคนบาดเจ็บอย่างเป็นห่วง แม้จะพึ่งรู้จักกันไม่นาน ทว่าก็ไม่อยากเห็นใครมาบาดเจ็บ หรือล้มตายไปต่อหน้าต่อตา
“สาหัสเอาการ เขาเสียดลือด แถมเลือดยังไม่มีทีท่าหยุดไหล” ไหนๆก็มาแล้ว กู้หานเลยทำเป็นหลับตาข้าง มองข้ามไปก่อน อย่างไรคนบาดเจ็บสำคัญกว่า
“เจ้ามาก็ดี งั้นข้าขอตัวไปช่วยคนที่เหลือ ฝากด้วยนะ” ทหารอีกคนเห็นว่าตัวเองอยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก อีกทั้งยังมีชายอีกคนโผล่มาได้จังหวะพอดี จึงขอตัวไปช่วยคนอื่น เห็นว่าทีมที่เข้าไปช่วยทีหลังไปนานแล้วยังไม่กลับมา
“ระวังตัวด้วย” กู้หานตะโกนบอกเพื่อนในกลุ่ม
“แถวนี้จะมีหมอหรือ” เจียหมิงหันมาถามอย่างไม่แน่ใจ ยิ่งเป็นในถิ่นศัตรู
“ข้าก็ไม่แน่ใจ ที่นี่เป็นเขตค่ายทหารที่ติดบริเวณชายแดน แถมยังเป็นกลางคืนอีก” กู้หานเคร่งเครียด อับจนหนทาง
“เอ่อ หากว่า…” เจียหมิงทำหน้าครุ่นคิด เขาชั่งใจอยู่นาน ลังเลที่จะพูด เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ครั้งก่อนเขาก็รอดชีวิตมาได้ด้วยของจากในย่าม ครั้งนี้เขาเลยอยากลองเชื่อใจอีกครั้ง
“พูดมาเถอะ”
“ข้าได้ของบางอย่างมาขอรับ ข้าไม่รู้สรรพคุณมันคืออะไร แต่หากช่วยเพิ่มโอกาสรอดให้ดะ…”
“อึก ขะ ข้าจะ ละ ลอง แค่กๆ” อี้ฟ่านกะอักเลือดออกมาหลังพูดจบ เขานอนฟังทุกคนคุยกัน แค่จะเปล่งเสียงยังยากลำบาก แต่พอได้ยินชายที่แม่ทัพถึงกับไปขอร้องด้วยตนเองให้นำทางให้พูด จึงตัดสินใจได้ทันที พ่อของเด็กน้อยพิเศษคนนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว ดั่งลูกพยัคฆ์ไม่มีทางมีพ่อเป็นแมวป่าไปได้ ดังนั้น ถึงจะเป็นยาพิษเขาก็อยากจะลองดู
“ขะ ข้าไม่รู้ว่าอันไหน….” เจียหมิงหยิบยา 2 เม็ดที่หน้าตาแตกต่างกันขึ้นมา กู้หานถึงกับขมวดคิ้ว เขาไม่เคยเห็นยาสีแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน
“อะ อันนั้น” อี้ฟ่านพูดเสียงเบาอย่างคนหมดแรง เขาตัดสินใจเลือกเม็ดเรียบๆ ก่อนที่จะถูกส่งเข้าปากสีซีด
อึก
อ่า รสชาติขมของมัน ไม่รู้ทำไม แต่ช่างรู้สึกดีเหลือเกิน อี้ฟ่านค่อยๆกลืนยาลงท้อง ท่ามกลางสีหน้าลุ้นละทึกของทุกคน
ไม่ถึง 1 เค่อผ่านไป
“ขะ เขา ตะ ตายแล้วหรือ” เจียหมิงกลืนก้อนเหนียวๆลงคอด้วยความรู้สึกผิด ยามเห็นคนที่พึ่งกินเม็ดหลากสีไปนอนหลับตานิ่งไม่ไหวติง ใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“เจ้าดูดีๆ สีหน้าเขาดีขึ้นกว่าทีแรก” กู้หานไม่มั่นใจ แต่สังเกตดีๆสีหน้าอี้ฟ่านดีขึ้นมาก จึงแหวใส่คนที่เสียงสั่นคล้ายกลัวความผิด
“อ่าใช่ หน้าไม่ซีดแล้ว” เจียหมิงเบาใจลงทันที เกือบมีตราบาปตลอดชีวิต
แควกกก
“เลือดเขาหยุดไหลลงแล้ว!” กู้หานฉีกเสื้อคนที่นอนนิ่ง ดูบาดแผลที่บัดนี้เลือดหยุดไหลไปแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ เขาพูดอย่างตื่นเต้น
“จริงด้วย!” เจียหมิงที่เห็นภาพอัศจรรย์เบื้องหน้าไม่ต่างกันยิ้มกว้าง ร้องบอกอย่างดีใจ กลับไปเขาจะต้องนำย่ามขึ้นหิ้ง รำถวายท่านเทพเช้าเย็นที่ส่งของวิเศษมาให้เขา
“ยาเจ้าใช้ได้ผล!”
“ชะ ช่วยเบาๆลงหน่อยได้หรือไม่” อี้ฟ่านที่กลับตานอนพักถึงกับต้องพูดเมื่อเสียงดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นสองคนดังกวนอยู่ข้างหู
“แหะๆ ขออภัย” กู้หานหัวเราะแห้ง เผลอดีใจไปหน่อย
“ขอบใจเจ้ามาก อึก เพราะยาของเจ้า ข้าเลยรอดมาได้” อี้ฟ่านหันมาพูดกับเจียหมิง แม้สีหน้าจะดีขึ้น ไม่ต้องออกแรงมากในการเปล่งเสียง ทว่าด้วยอาการก่อนหน้าที่เสียเลือดมากเกินไป อีกทั้งแผลยังเปิดอยู่แม้เลือดจะหลุดไหล ทำให้เขายังเจ็บอยู่ไม่น้อย “ยาอีกเม็ด ข้าขอลอง อึก ดูได้หรือไม่” เม็ดแรกพบถึงความวิเศษขนาดนี้ เขาอยากจะเสี่ยงลองอีกเม็ดดู เผื่อความเจ็บที่กำลังเผชิญจะพอบรรเทาลงได้บ้าง
“เชิญเลยๆ” เจียหมิงที่เชื่อสุดใจในของวิเศษรีบยื่นยาอีกเม็ดส่งให้ แม้จะไม่ได้หวังประสิทธิภาพมากมายเท่าเม็ดแรก อย่างน้อยก็น่าจะพอช่วยได้บ้าง จึงหยิบเม็ดสองสี เรียวยาวส่งให้ อี้ฟ่านกลืนลงคออย่างไม่ลังเล แอบตกใจเม็ดนี้ไม่มีความขมเลยแม้แต่น้อย
ไม่นานหลังจากกลืนลงท้อง ทุกคนพากันลุ้นกันตัวเกร็งไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อจากนั้น เมื่อฤทธิ์ยาออกผล พวกเขากลับต้องตะลึงตาค้างรอบสองหลังพบถึงความผิดปกติของบริเวณปากแผล
“นะ นี่มัน…” เจียหมิง
“ขะ ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่หรือไม่” กู้หานพูดอย่างเพ้อๆ ตาค้างมองบาดแผลของอี้ฟ่านค่อยๆสมานลงอย่างรวดเร็ว บาดแผลเหวอะหวะเนื้อหลุดลุ่ยในคราแรก บัดนี้เหลือเพียงรอยแผลเป็นทิ้งไว้ ไม่เคยมียาใดทำได้แบบนี้ ขนาดยาของหมอเทวดายังทำไม่ได้
นี่ต้องเป็นยาหนึ่งเดียวในใต้หล้า
ทั้งอี้ฟ่านและกู้หานหันมองเจ้าของยาวิเศษพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“อะ เอ่อ พูดตามตรง ข้าได้รับมาโดยบังเอิญ ไม่รู้จริงๆว่ามาจากไหน” เจียหมิงสบตาทั้งสองคนพร้อมเกาแก้มแก้เก้อ เขาพูดความจริงเรื่องไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ หลังสายตาทุกคนมองมาอย่างมีคำถาม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาคิดอะไร “แต่ช่วยเก็บเป็นความลับได้หรือไม่” แม้จะยากแต่ก็ยังอยากขอร้องดู
“อะแฮ่มๆ ด้วยเกียรติของทหาร ข้าสาบานจะไม่บอกผู้ใด” อี้ฟ่านที่มองเจียหมิงเป็นผู้มีของวิเศษ จึงเผลอส่งสายตาเสื่อมใสไปให้ แม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าได้รับยาตัวนี้มาจากใคร แต่เขาสัญญาว่าจะไม่บอกผู้ใดเด็ดขาด อีกฝ่ายเป็นผู้ช่วยชีวิตเขา บุญคุณครั้งนี้อี้ฟ่านจะไม่มีวันลืม
“ข้าด้วย ข้าสัญญา” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากให้ใครรู้ เขาก็จะไม่ปากสว่าง เก็บไว้เป็นความลับชั่วชีวิต
“ขอบคุณพวกท่าน” เจียหมิงขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ
ทั้งสามไม่รู้เลยว่า ความสัมพันที่เริ่มต้นจากการช่วยชีวิตและช่วยกันเก็บความลับในวันนี้ ในอนาคตพวกเขาจะกลายเป็นเพื่อนร่วมตายในสนามรบแนวหน้าที่พร้อมฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกัน
“ท่านแม่ทัพ แฮ่กๆ เรา ถะ ถอยก่อนดีหรือไม่” ทหารนายหนึ่งที่บาดเจ็บจากการด่วนข่วนเต็มแขน สะบักสะบอม เอ่ยถามแม่ทัพที่มีสภาพไม่ต่างกัน “อึก ทุกคนถอย!” เป่ยหวงหันมองรอบๆ เห็นทหารได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งพวกมันยังไม่มีทีท่าจะเหนื่อยเลยสักนิด จึงพยักหน้ายืนยันคำสั่งถอย ไม่รู้ว่าคือตัวอะไรกันแน่ มันโจมตีตามสัญชาตญาณคล้ายสัตว์ป่ายามบ้าคลั่ง ทั้งแข็งแกร่ง ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่เหนื่อย แถมแรงยังมากกว่าคนปกติ ดาบทำอะไรพวกมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จากตอนแรกมีแค่ตัวเดียว ไม่รู้มาเพิ่มจากไหนอีก 2 ตัว กลายเป็น 3 พวกเขาทำอะไรมันไม่ได้เลย แค่ปัดป้องยังตึงมือ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นพวกเขาที่หมดแรงเอง แฮร่ กรร ทว่าพวกมันไม่เปิดทางให้หนี ตีวงล้อมเข้ามาใกล้ คล้ายบางครั้งมันก็มีความคิด บางครั้งก็ทำตามสัญชาตญาณ เหมือนมันกำลังเล่นกับเหยื่อ หรือจะมีผู้สั่งการ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ใครจะไปควบคุมคนได้ ยิ่งเป็นคนคลั่งด้วยแล้ว เป่ยหวงสลัดความคิดไร้สาระออกจากหัว หากว่าระหว่างนั้นเองเขากลับโดนมันโจมตีทางด้านหลัง “ท่านแม่ทัพระวัง!!” ไม่ทันได้ยินเสียงเตือน แต่แล้ว
ยามอู่ (11.00 - 12.59 น.) “แผนต่อไปเราจะเอาอย่างไรกันต่อ” หนึ่งในทหารพูดเปิดประเด็น หลังจากทุกคนพักผ่อนเอาแรงกันแล้ว จึงมานั่งหารือกันกลางป่า ไม่ไกลจากค่ายศัตรูมากนัก ทว่าครั้งนี้มีสายลับคนที่สองนามว่าเฟยจินเข้าร่วมด้วย “บาดแผลพวกเจ้าเป็นไงบ้าง พร้อมสำหรับภารกิจต่อไปหรือไม่” เป่ยหวงสอบถามประเมินความพร้อมของลูกน้อง “ดีขึ้นแล้วขอรับ” อี้ฟ่านเป็นคนแรกที่เอ่ย เขานำผ้ามาพันแผลไว้เพื่อไม่ให้ทุกคนสังเกตได้ว่าตอนนี้มันสมานไปแล้ว โดยมีกู้หานคอยแสร้งมาทำแผล โปะยาให้ตลอด แล้วหันไปขยิบตากับเจียหมิงที่สะดุ้ง อย่างคนมีชะงักติดหลัง แต่ก็ยิ้มส่งให้ ‘ขอบคุณที่รักษาสัญญา’ “ส่วนของพวกข้ามีแค่รอยข่วน” “อืมม ไหวกันหรือไม่” เป่ยหวงถามพลางครุ่นคิด หากบาดเจ็บจนไม่ไหว เขาก็อยากถอยกลับไปตั้งหลักก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ เขาเชื่อว่าสายลับคนที่ 1 ยังมีชีวิตอยู่ “ไหวขอรับ!” ทุกเสียงตอบพร้อมเพรียงกัน “เจ้าละเจียหมิง ข้าจะไม่บังคับเจ้าเช่นเดิม” “ทุกคนอยู่ ข้าก็อยู่ขอรับ” เจียหมิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยว ร่วมเดินทางมาถึงขนาดนี้ เขาไม่อาจหนีกลับก่อนได้
“หมายเลขหนึ่ง ยังไม่กลายร่างอีกหรือ” หมอผีเฒ่าเดินเข้ามาในกระโจม ยืนมองร่างที่นอนอ่อนแรงจากการขาดน้ำและอาหาร ขมวดคิ้วสงสัย ร่างกายมีเพียงแค่บริเวณศอกลงไปเท่านั้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลง “ยังขอรับ” ชายชุดขาวตอบอย่างฉงนใจ มันไม่สามารถเพิ่ม ‘สิ่งนั้น’ ได้อีก เพราะหมอผีกลัวว่ามันจะรับไม่ไหว จึงได้แต่รอเวลาร่างทดลองกลายร่าง “เจ้าจะฝืนไปทำไม อย่างไรเจ้าก็ต้องกลายมาเป็นตัวทดลองที่สมบูรณ์ของข้า” หมอผีเฒ่าพูดอย่างเย้ยหยัน นับถือในความพยายามเอาชีวิตรอด แต่จะทนไปได้สักเท่าไร ร่างกายที่อ่อนแรงเช่นนี้ไม่อาจฝืนใช้ปราณได้อีกนานนักหรอก “อึก ขะ ข้ายอม ตะ ตายดีกว่า” สายลับใช้สายตาเคียดแค้นจ้องมองกลับ เขายอมอดข้าว อดน้ำ ฝืนใช้ปราณจนตาย ดีกว่ากลายเป็นสัตว์ประหลาด “ฮ่าฮ่า เข้าจะไม่ตายจนกว่าการทดลองข้าจะสำเร็จ!” ฮั่วเฉิงหัวเราะเยาะกับคำพูดนั้น ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงชายชุดขาวกับตัวทดลองอื่นที่กำลังร้องขอชีวิตด้วยความทรมาน “ทหารเหลือน้อยจนน่าตกใจ” กู้หานพูดเบาๆ หลังจากที่เข้ามายังในค่ายได้อย่างง่ายดาย คนเฝ้าด้านหน้าเหลือเพียงแค่ 2 คน จาก 4 คน นี่พวกมันไม่สง
ทางด้านกู้หาน“ชายชุดขาวคล้ายบัณฑิต” กู้หานพึมพำย้ำๆเตือนความจำ สายตาก็พยายามสอดส่องหาเป้าหมาย ในคนอันน้อยนิดที่เดินไปมาในค่ายกลับไม่พบคนที่คล้ายกับที่ตามหาเลย ทั้งที่พอมาคิดดูอีกที ดึกแบบนี้ชายคนนั้นจะยังแต่งชุดขาวอยู่อีกหรือ กู้หานครุ่นคิดในเมื่อในบรรดาคนที่เดินเฝ้ายามในค่ายไม่มีใครดูคล้ายยคนที่ตามหา แสดงว่าอาจอยู่ในกระโจมใดกระโจมหนึ่ง คิดดังนั้นกู้หานจึงมุ่งหน้าไปหากระโจมที่ใกล้กับด้านหลังที่สุด เพราะอย่างไรคนที่ไอ้หมอผีชั่วมันไว้ใจถึงขนาดให้รู้เรื่องการทดลองของมัน คงไม่ปล่อยให้ไปพักไกลหูไกลตา ฝีเท้าเบาหยุดตรงกระโจมหลังหนึ่งคร่อก คร่อก~เสียงกรนดังขึ้น ขนาดอยู่ด้านนอกยังได้ยิน กู้หานค่อยๆย่างก้าวทีละก้าวเข้าไปด้านใน แม้แสงไฟจะน้อยนิดแต่ก็ยังพอเห็นคนที่นอนอยู่ เป็นชายสวมชุดขาวจริงด้วย นี่ใส่ยันตอนนอนเลยหรือกู้หานเดินสำรวจรอบๆอย่างเงียบงัน เพื่อหากุญแจ ในกระโจมของมันโล่งกว่าที่คิด ง่ายต่อการหาของ มองโดยรอบไม่เจอ งั้นแสดงว่าต้องเก็บไว้ใกล้ตัวและในที่สุดก็หาเจอ มันวางไว้ใต้หมอน โชคดีที่สอดไว้อย่างหมิ่นเหม่กับหัวพอดี จึงมองเห็นกุญแจสะท้อนกับแสงไฟที่สาดส่องเข้ามา เห็นเป็นแสงวิบวับ
“ขะ ข้าอยู่ที่ไหน” ฮุ่ยหมิงสะลืมสะลือลุกขึ้น หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่จำได้ล่าสุดเป็นตอนท่านแม่ทัพมาช่วยเขาไว้ ก่อนภาพจะตัด เขาเห็นชายสามคนกำลังรุมจ้องมาทางเข้า ด้วยอาการเบลอๆจากความอ่อนเพลียยังมึนงงว่าใครเป็นใครบ้าง“อะแฮ่มๆ เจ้าควรนอนพักก่อน อาการพึ่งดีขึ้น” อี้ฟ่านที่เอ่ยก่อน เขาสองคนกับเจียหมิงช่วยกันแก้ตัว ในสถานการณ์ก่อนหน้าเป็นพัลวัน หลังจากทหารอีกคนเริ่มเอ๊ะใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่จู่ๆคนสภาพร่อแร่ ผิวเริ่มซีด ตัวร้อนจี๋ จู่ๆอาการกลับดีขึ้นจนเห็นได้ชัด เหมือนคนหลับไปเท่านั้นหาข้ออ้างอยู่นานจนอีกฝ่ายปักใจเชื่อว่าแค่บังเอิญเพราะร่างกายตอบสนองต่อยา ดีนะที่ทหารอีกคนไม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเนื่องจากไปหยิบกระบอกน้ำมาให้ เลยยังพอถูไถคำตอบไปได้ แต่ก็เล่นทั้งคู่เหงื่อแตกพลั่กๆ“นั่นอี้ฟ่านรึ”“ใช่ข้าเอง เจ้าตัวร้อนจัด พวกเราเลยต้องให้เจ้ากินยา”“จริงสิ ขะ แขน แขนข้า...” ฮุ่ยหมิงลนลานดูแขนตัวเองที่เขาใช้ปราณสกัดกั้นมันเอาไว้ตลอด ตอนเผลอหลับไปไม่รู้ว่ามันจะลามไปยังส่วนไหนบ้าง “เอ๊ะ ทะ ทำไม…”“เจ้าได้ยาดีหน่ะ” อี้ฟ่านเหล่มองเจียหมิงที่พยักหน้างึกงักเออออตาม“อ้อ ฮะ ฮ่าๆ เป็นแบบนี้นี่เอง” แม้ฮุ
“นี่เกือบชั่วยามแล้วนะขอรับ ทั้งสองยังไม่กลับมา” ฮุ่ยหมิงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล เขารั้นจะอยู่รอเฟยจินและพลทหารอีกนาย ที่ท่านแม่ทัพเล่าว่าพวกเขารับหน้าที่เฝ้าหมอผีไว้ ทว่าเวลาผ่านไปก็ยังไม่เห็นวี่แววทั้งสองคนโดยเขาใช้ข้ออ้างว่าอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว เพราะอยากเห็นสหายที่ไปช่วยกลับมาอย่างปลอดภัยกับตา แม้จะแปลกใจกับร่างกายตัวเอง เหตุใดถึงฟื้นตัวได้ไว อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะแข็งแรงดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ในขณะที่ทหารคนอื่นรวมถึงเจียหมิงมุ่งหน้าพาชาวบ้านออกเดินทางก่อนแล้ว เพราะไม่อาจรั้งรอให้พักอยู่จุดเดิมได้นานตรงนี้จึงเหลือเพียงเขากับแม่ท่านแม่ทัพที่ซุ่มรอกันอยู่สองคน “เจ้าอยู่นี่ก่อน ข้าจะลองขะ...นั่นใคร!!!” ทว่ายังไม่ทันพูดจบ เป่ยหวงสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่อยู่ไม่ไกลสวบ สวบ“หึ ฮ่าฮ่า อยู่นี่กันเองรึ พวกแกทำแสบมากนะไอ้พวกแคว้นจ้าว!!” หมอผีเฒ่าโผล่ออกมาจากป่าด้านหน้า แต่สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดลงคือโซ่ที่มันถือไว้ คนที่ถูกล่ามก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเฟยจินที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บหนัก เลือดไหลเป็นทาง สภาพสะบักสะบอมจนแทบไม่เหลือเคล้าเดิม ด้านหลังมีผีดิบสองตัวที่ตามมาด้วย เป่ยหวงกระ
“ทุกคนพักตรงนี้ก่อน” แสงตะวันเริ่มสาดส่อง บ่งบอกถึงเช้าวันใหม่ พวกเขาเดินทางจากค่ายมาไกลพอสมควร“เราจะรอท่านแม่ทัพก่อนใช่หรือไม่” เจียหมิงถาม หากพักนานหน่อยจะได้เตรียมก่อไฟ ออกไปหาอาหาร ล่าสัตว์เผื่อทุกคน“ใช่ พวกเขาน่าจะเดินกันต่อไม่ไหวแล้วด้วย” อี้ฟ่านมองทุกคนที่เหน็ดเหนื่อยจนแทบก้าวขาไม่ออก บางคนก็เดินกะเผลก แต่ก็ไม่มีใครปริปากบ่น อาจเพราะความกลัวว่าต้องถูกจับไปอีกมีมากกว่า“งั้นข้าขอตัวไปล่าสัตว์ ไม่ไกลจากนี้ทางทิศเหนือมีแม่น้ำอยู่ หากไปก็ระวังสัตว์ใหญ่กันด้วย ฝากท่านแจ้งแก่พวกเขา” อี้ฟ่านพยักหน้าขอบคุณ หันไปบอกกับทุกคน ทว่าพอหันกลับมาอีกทีกะจะตามไปช่วยเจียหมิงล่าสัตว์ด้วย กลับไม่เห็นอีกฝ่ายเสียแล้ว อี้ฟ่านได้แต่เกาหัวอย่างงงๆกับความว่องไวของอีกฝ่าย“หืม นั่นมัน...” เจียหมิงที่เร่งออกมาหาอาหารให้กับทุกคนที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืน ก่อนที่จะพบกับหัวมันที่บุตรสาวเคยชี้บอกว่ากินได้ ทว่าตั้งแต่ครั้งนั้นเขาก็ยังไม่ได้ลองกินทุกอย่างตามที่นางบอก เพราะมีหัวมันหลากหลายชนิดมาก แต่บางอย่างก็ลองกินแล้วพบว่ามันกินได้จริงๆ แถมยังอร่อยอีกด้วยโดยเฉพาะเจ้าหัวมันที่มีรสหวาน นึกขอบคุณบุ
“เหลียนเอ๋อร์ พ่อกลับมาแล้ว”“กรี๊ดด ปะ ปะ” เหลียนฮวากรี๊ดออกมาในอ้อมกอดแม่นมหลวง หลังจากเห็นท่านพ่อนางกลับมานางดีใจจนแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ส่งเสียงดังลั่น กระโดดไปมาจนแม่นมหลวงอุ้มแทบไม่ไหว“คิดถึงเหลือเกินเหลียนเอ๋อร์ แต่พ่อยังอุ้มไม่ได้ลูก ต้องอาบน้ำก่อน” เจียหมิงก้มมองตัวเองที่มอมแมม เต็มไปด้วยคราบดิน เขายิ้มกว้างยามเห็นหน้าบุตรสาวแก้มแดงๆคล้ายซาลาเปา ตัวอวบอ้วนยังคงน่ารักน่าชังไม่เปลี่ยน ไม่อยู่เพียงกี่วันบุตรสาวเขาแต่งกายน่ารักยิ่ง ผิวเปล่งปลั่งดูนุ่มนิ่ม คงเพราะมีแม่นมหลวงที่ทางการส่งมาให้ดูแลเรื่องอาหาร การกิน เครื่องแต่งกายเป็นอย่างดี ผิดกับตอนอยู่กับเขาที่ทำแบบลวกๆ ตามภาษาพ่อมือใหม่ ว่าแต่ทำไมแม่นมหลวงกับผู้ช่วยอีกนางถึงทำหน้าเศร้าเช่นนั้นเล่า “ขอบคุณพวกท่านทั้งสองด้วยขอรับ” “ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เป็นหน้าที่ของพวกข้า ว่าแต่...” “มีอะไรหรือขอรับ” “ข้าได้ยินจากแม่ทัพว่าท่านต้องเดินทางไปยังค่ายทหารเพื่อรายงานสถานการณ์และรับเงินค่าจ้าง คาดว่าน่าจะใช้เวลาวันสองวัน ข้าขออยู่เลี้ยงเหลียนเอ๋อร์ต่อระหว่างนั้นได้หรือไม่” แม่นมหลวงกลั้นใจพูดประโยคน่าอายออกไป นางได้ยินแม่ทัพคุยกับ
“แคว้นเว่ยเล็กที่สุด ทำไมจึงร่ำรวยที่สุดล่ะ” หยางหลงถามแม่นมที่เล่ามาถึงตรงนี้ หลังจากเขาขอให้นางเล่าเรื่องราวของแคว้นทั้งหมด“เพราะแคว้นขุดพบเหมืองทองเพคะ ห้าในสิบส่วนของแคว้นเป็นทอง แคว้นเราจึงมั่งคั่งที่สุด แต่เราขาดแคลนหลายอย่าง ใต้พื้นดินเต็มไปด้วยทองก็จริงแต่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก…”“…”“ดังนั้น จึงต้องนำเข้าสินค้าจากแคว้นต้ากับแคว้นเทียนที่อยูใกล้เราและยังเป็นแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งและสามอีกด้วยเพคะ” แม่นมที่อยู่มานาน ครูพักรักจำมาจากผู้อื่นอีกที เนื่องจากหญิงแคว้นเว่ยไม่สามารถเข้ารับการศึกษาได้ จะมีเพียงชายที่ถึงวัยกำหนด และมีกำลังเพียงพอต่อการจ่ายค่าเล่าเรียนเท่านั้นถึงมีโอกาสได้ร่ำเรียน“อืมม แบบนี้นี่เอง” หยางหลงวิเคราะห์ตาม ความจริงเขาพอรู้อยู่แล้วว่าแคว้นเว่ยต้องมีบางอย่างที่แคว้นอื่นไม่มี ถึงทำให้ร่ำรวยกว่าแคว้นต้าที่เป็นแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งแต่ไม่คิดว่าจะเป็นทอง แสดงว่าทองของคนยุคนี้มีราคาสูงมากสินะ“แล้วสินค้าชนิดใดที่ส่วนใหญ่พวกเขาแลกเปลี่ยนกัน” หยางหลงถามต่อ การรู้ความเป็นไปของบ้านเมืองรอบแคว้
“อึก ที่นี่ที่ไหนกัน” เฟลิกซ์ตื่นขึ้นมาอีกทีในที่แปลกประหลาด รอบตัวเขาเต็มไปด้วยความมืดมิด ทว่าแสงสลัวจากแสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้ยังคงเห็นภายในห้องนอน เตียงขนาดใหญ่ รอบห้องกลับว่างเปล่า“อะ โอ้ย…” พอขยับตัวลุกขึ้น ความเจ็บปวดบริเวณศีรษะแล่นเข้ามารวดเร็วจนกุมหัวร้องออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“องค์ชายตื่นแล้วหรือเพคะ” จู่ๆเสียงของหญิงนางหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาหน้าตาแตกตื่นระคนเป็นห่วง นางจุดตะเกียง รีบเข้าไปดูอาการองค์ชาย“บอกมาที่นี่ที่ไหน แล้วคุณเป็นใคร” เฟลิกซ์ยังคงกุมหัวที่เจ็บไว้ ท่าทีระแวงมองคนแปลกหน้า ถามเสียงดังลั่น ทว่าสิ่งที่เขาพึ่งรู้สึกตัวอีกอย่างคือเสียงที่เปล่งออกมาไม่ใช่เสียงของเขา ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาดูด้วยท่าทีแตกตื่น แขนขาเล็กนี่มันอะไรกัน เขามาอยู่ที่ไหนกันแน่ ความทรงจำล่าสุดที่พอจะนึกออกคือเขานอนหลับแล้วฝันไป ในฝันนั้นช่างมีความสุขเหลือเกิน เขาได้พบกับท่านแม่ นางบอกว่าเขาจะได้พบกับคนที่ตามหา หรือว่า“ฮื่อ เจ้าชายเพคะ จำแม่นมไม่ได้หรือ ใครก็ได้ตามหมอหลวงมาดูองค์ชายที” ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นแม่นมร้องอย่างแตกต
ศตวรรษ 3053“สังหารมันซะ” เซนท์ หรือเฟลิกซ์ ซัลลิแวนสั่งเสียงเหี้ยม ดวงตาสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์นิ่งเฉยแม้จะสั่งฆ่าคนเวลาผ่านไปอีก 1 ปี นับจากที่ลุงโรเบิร์ต บิดาของคนรักได้ส่งอาวุธมาให้ หลังจากนั้นเขาได้ทำสงครามกับจักรวรรดิไซเนียอย่างเต็มกำลัง ข่าวคราวจากโลกสีน้ำเงินขาดหายไปถ้านับระยะเวลาทั้งหมดก็เป็นเวลา 1 ปี แล้ว คล้ายขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิง วันเวลาผันผ่านไปช่างยาวนานสำหรับเขา วันแล้ววันเล่าที่รอเวลากลับไปหาคนรักชายหนุ่มจับจี้เรืองแสงที่ใส่ไว้ติดตัวตลอดซึ่งเป็นของสำคัญที่เขาต้องนำไปคืนคนรัก รวมถึงแหวนตกทอดของเสด็จแม่ที่ท่านให้ไว้ก่อนสวรรคต เพื่อนำไปมอบให้เจ้าของของมัน และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง สงครามจบลงโดยที่จักรวรรดิซีอัสเป็นฝ่ายชนะสงครามโดยเขากำลังสั่งให้ทหารลงมือสังหารจักรพรรดิของไซเนียและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ แม้จะชดเชยให้กับทหารที่เสียไปไม่ได้ก็ตาม“ระ เรามาเจรจากันดีหรือไม่” เสียงสั่นกลัวพยายามเรียกร้องการเจรจา“ไม่จำเป็น”
“ฮึก ฮึก” เจียวลู่หลังจากกลับจากร่ำลาพี่ใหญ่และทุกคน แอบมานั่งร้องไห้หลังครัวคนเดียว จุดเดิมที่เขาเคยนั่งกินปลาที่พี่ใหญ่แอบย่างให้กิน เขาคิดถึงพี่ใหญ่ พี่ใหญ่เป็นคนเดียวที่ดีกับเจียวลู่จากใจจริงในบ้านหลังนี้เรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่เจียวลู่แอบไปได้ยินว่าจางหมิ่นติดเงินพนันในตอนที่พวกผู้คุมบ่อนมาตามทวงหนี้ถึงหน้าบ้าน ช่วงนั้นไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากเจียวลู่และจางหมิ่น เจียวลู่จึงได้ยินเรื่องราวทั้งหมด และโดนจางหมิ่นขู่ว่าถ้านำเรื่องไปบอกใครจะจัดการเขา เด็กน้อยที่กลัวว่าจะโดนพี่สามตี จึงปิดปากเงียบ วันต่อมาจางหมิ่นตัดสินใจขอเงินนางจ้านโดยอ้างว่านำไปลงทุน นางจ้านที่เห็นดีเห็นงามกับบุตรชายให้เงินที่พึ่งได้รับมาหมาดๆไปทั้งหมด เรื่องราวเหมือนจะจบลงแค่ตรงนั้นทว่าผ่านไปเกือบเดือนจางหมิ่นกลับไปเล่นพนันอีก จนกระทั่งพวกคุมบ่อนตามมาทวงอีกรอบ คราวนี้เรื่องเลยแดงขึ้น เนื่องจากตอนนั้นทุกคนอยู่บ้านกันหมด ยกเว้นเหยาฉือที่โดนนางจ้านไล่ออกจากบ้านไปแล้ว ด้วยเงินที่ค้างไว้หลายเหรียญเงิน พวกเขาไม่สามารถหามาจ่ายได้ พวกคุมบ่อนเลยจะ
“ขะ ข้าขอเวลาอีกนิด เงินจำนวนนี้ข้าต้องแบ่งจ่ายให้กับพนักงาน” เถ้าแก่ใช้จุดบอดตอนหันหลังให้พวกมัน รีบยื่นตั๋วเงิน พร้อมรับค่าธรรมเนียมมาอย่างรวดเร็ว พลางกล่าวออกไปนับตั้งแต่โดนเจ้าถิ่นเข้ามาหาเรื่อง ยอดลูกค้าก็ตกลงอย่างเห็นได้ชัด กำไรที่ได้ก็ต้องแบ่งจ่ายให้พวกมัน ทำให้บางครั้งต้องติดค่าแรงพนักงานไว้ ผัดผ่อนหลายครั้ง ควักเงินส่วนตัวออกมาจ่ายก็หลายหน จะแจ้งทางการก็กลัวอิทธิพลของพวกมันชายชราอย่างเขาทำการค้าแลกเปลี่ยนตั๋วเงินด้วยความสุจริตมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี เกรงว่าจะนำความเดือดร้อนไปสู่ลูกหลาน พวกเขาออกเรือน แยกย้ายไปสร้างครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่มีคนหนุนหลัง มีแต่สองมือที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนต่อกรกับคนเลวพวกนี้ได้ นอกจากกล้ำกลืนฝืนทนจ่ายให้จบๆ“เห็นพวกข้าเป็นคนการกุศลงั้นรึ จ่ายมาเร็วๆ!!!” ชายร่างสูงใหญ่ตะคอกเสียงดัง มันไม่สนเหตุผล ข้ออ้างร้อยแปดอะไรทั้งนั้น วันนี้ต้องได้เงินกลับไปมอบให้กับนายท่าน“คนอย่างพวกเจ้ารู้จักคำว่ากุศลด้วยรึ” เจียหมิงตัดสินใจโพล่งออกไป แม้จะดูเสียมารยาท แต่อดไ
“อาหย่อยยยย” เหลียนฮวาตะโกนด้วยความสุขใจ จับแก้มกลมหลับตาพริ้ม ลิ้มรสอาหารที่ท่านพ่อท่านลุงผลัดกันป้อน โรงเตี๊ยมแห่งนี้อาหารช่างเป็นเลิศ นางมองอาหารหลายจานที่ทยอยนำมาเสิร์ฟ อาหารปรุงสุกอย่างไรก็ดีกว่าอาหารสำเร็จรูปแบบในโลกก่อนนางอยู่แล้ว เสียดายบอทเต้กับโรบอทไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ถ้าทั้งสองได้มาชิมคงจะคิดไม่ต่างกัน“โรบอทแค่เห็นเจ้านายกินก็มีความสุขแล้วขอรับ” เสียงแว่วของโรบอทดังผ่านความคิด ส่วนบอทเต้ไปปฏิบัติภารกิจที่นายท่านมอบหมายไว้อยู่ ท่านพ่อบอกว่าพวกเราไม่ต้องกลัวสายตาสงสัยของคนในหมู่บ้านอีกแล้ว สามารถใช้เงินที่หามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้อย่างเต็มที่ ส่วนท่านลุงเองก็มีเงินเก็บเยอะขึ้น เพราะไม่ต้องมีปลิงคอยสูบเงินแถมยังออกล่าสัตว์เกือบทุกวันกับท่านพ่อ นอกจากนี้ยังมีอาชีพเสริมเป็นนายหน้านำของในมิตินางไปขาย นางแบ่งปันเงินแต่ล่ะส่วนที่ได้มาให้เท่ากันทุกคนทุกวันนี้ในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ที่ท่านพ่อซื้อให้ยังนอนอยู่ในมิติ ซึ่งเต็มไปด้วยเหรียญหนักอึ้งจนยกไม่ไหว ต้องให้พ่อกับลุงช่วยยก หลังกินข้าวเสร็จ พวกเราจะไปโรงเตี๊ยมสำหรับแลกเงินกันต
“ว้าว คนเยอะมักเจ้าก่ะ” เมื่อมาถึง ทั้งสามคนตื่นเต้น มองผู้คนในเมืองหลวงที่แต่งตัวดูดี พ่อค้าแม่ค้าข้างทาง ของขายมีเยอะจนเลือกไม่ถูก หลายคนดูเหมือนมาจากตระกูลชนชั้นสูงรถม้ามีตราสัญลักษณ์เฉพาะตระกูลวิ่งขวักไขว่ไปมา“เหลียนเอ๋อร์อยู่ใกล้ๆพ่อกับลุงเจ้าไว้นะ” เจียหมิงที่ลายตา เพราะไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี คล้ายบ้านนอกเข้ากรุงอย่างไงอย่างงั้น“จะ เจียหมิงเราจะไปทางไหนดี” เหยาฉือสับสน ไม่เคยมาเมืองหลวงมาก่อน“อืม ข้าก็ไม่แน่ใจ คิดว่าเราไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า” เจียหมิงก็ใช่ว่าจะรู้ทาง เขาพาทุกคนสุ่มเดินไปตามทางเรื่อยๆ หากเจอร้านอาหารค่อยแวะปรึกษากันอีกครั้ง “เดี๋ยว พวกเจ้าจะเข้ามาในร้านไม่ได้” ในที่สุดพวกเขาก็เจอโรงเตี๊ยมอาหารขนาดกลางแห่งหนึ่ง ตัดสินใจพากันเดินเข้าไปหาอะไรกิน ทว่าหญิงที่คาดว่าเป็นเสี่ยวเอ้อร์เอ่ยดักทั้งสามไว้ สายตาดูถูกมองผู้มาใหม่หัวจรดเท้า แอบชะงักชั่วครู่เมื่อกี้นางรู้สึกได้ถึงสายตากดดันจากเด็กน้อย แต่สลัดความคิดลง สงสัยจะตาฝาดไปเอง“เอ่อ ที่นี่ไม่ใช่ร้านอาหารหรือขอรับ” เจียหมิงถามอย่างสงสัย ไม่
“เก็บของเสร็จหรือยัง” และแล้ววันเวลาก็ผ่านไป โรบอทกับบอทเต้ได้ฝึกและให้ความรู้แก่นายท่านพวกมันจนมั่นใจว่าวิชาที่มอบให้จะช่วยให้พวกเขาชนะศัตรูได้ ทั้งดาบ ธนู หอก ปืน หน้าไม้ โรบอทรับหน้าที่ฝึกให้จนชำนาญ ส่วนบอทเต้ได้มอบความรู้ด้านกลยุทธ์ แผนการและวิธีทำอาวุธใช้เอง ไม่เว้นแม้แต่ตัวอักษรของโลกใบนี้บอทเต้ก็สามารถสอนได้บัดนี้นับว่าท่านพ่อและท่านลุงของนางพร้อมสำหรับการรบแล้ว ทุกวันพวกเขาจะฝึกกันถึง 3 รอบ บริเวณหลังบ้าน เพื่อไม่ให้ใครเห็น เรียกว่าเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมานี้แทบไม่มีใครเห็นตัวท่านพ่อกับท่านลุง เนื่องจากเก็บตัวเงียบ ส่วนนางก็ไม่ออกไปเล่นที่ไหน แม้เสี่ยวหยวนจะมาชวนหลายครั้งเหลียนฮวาที่ถูกห่อตัวด้วยผ้าหนาๆคล้ายเสี่ยวเหมา แก้มแดงปลั่งเพราะอากาศหนาว นางสะพายกระเป๋าผ้าที่มีเสบียงของตัวเองไว้ด้านหลัง ส่วนท่านพ่อท่านลุงมีจำพวกของใช้ เสื้อผ้าในถุงผ้าขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน“เสดแย้ว” เหลียนฮวาชูมืออย่างดีใจ เหมือนได้ออกไปผจญภัยกับทุกคน โรบอทกับบอทเต้นางให้เข้าไปในมิติแล้ว เกรงว่าถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าจะพากันตกใจ แล้วแห่มาบ้านนางไม
“แฮ่กๆ ละ ลุงต้องทำ อะ อีกกี่ครั้ง” หลี่เหยาฉือเหงื่อเปียกชุ่มเอ่ยถามหลานสาวเสียงหอบ เสื้อผ้าของเจียหมิงที่ใส่อยู่แนบลู่ติดไปกับตัว หลานสาวปลุกเขาตั้งแต่เช้าให้มาทำท่าแปลกๆที่เรียกว่าออกกำลังกาย“อีกยี่สิบครั้งเจ้าก่ะ ห้ามหยุดน้า” เหลียนฮวาให้ท่านลุงของนางทำท่าซิทอัพเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ ลดไขมันบริเวณหน้าท้อง ท่าต่อไปต้องเพิ่มกล้ามแขน ส่วนท่านพ่อของนางทำครบแล้ว เพราะลดเหลือวันละเซ็ต ตอนนี้น่าจะไปส่งจดหมายให้ทางการอยู่“อ่า ฮึบ แฮ่กๆ”“18 19 20 เย้ ท่างยุงเก่งที่สุด แปะๆ” เด็กน้อยกะโดดโลดเต้นผิดกับเทรนเนอร์สุดโหดเมื่อสักครู่“แฮ่กๆ ท่าต่อไป จัดมาเลย ลุงไหว” เหยาฉือที่บ้ายอ พอโดนหลานชมเก่งที่สุดก็มีแรงฮึดสู้ ไม่หวั่นแม้จะเหนื่อยแค่ไหน เข้าทางเด็กน้อยที่รอคำนี้อยู่แล้ว เวลาหนึ่งเดือนท่านพ่อและท่านลุงของนางต้องมีซิกแพ็ค เฮ้ย มีกล้ามเนื้อ แข็งแรงพอที่จะจับปืน จับดาบต่อสู้กับพวกศัตรูได้อย่างไม่แพ้ใคร ครึ่งเดือนผ่านไปเคล้ง เคล้ง! “ย๊า เจียหมิง เจ้าอย่าได้ออมแรง” เสียงชายผิ