ทางด้านกู้หาน“ชายชุดขาวคล้ายบัณฑิต” กู้หานพึมพำย้ำๆเตือนความจำ สายตาก็พยายามสอดส่องหาเป้าหมาย ในคนอันน้อยนิดที่เดินไปมาในค่ายกลับไม่พบคนที่คล้ายกับที่ตามหาเลย ทั้งที่พอมาคิดดูอีกที ดึกแบบนี้ชายคนนั้นจะยังแต่งชุดขาวอยู่อีกหรือ กู้หานครุ่นคิดในเมื่อในบรรดาคนที่เดินเฝ้ายามในค่ายไม่มีใครดูคล้ายยคนที่ตามหา แสดงว่าอาจอยู่ในกระโจมใดกระโจมหนึ่ง คิดดังนั้นกู้หานจึงมุ่งหน้าไปหากระโจมที่ใกล้กับด้านหลังที่สุด เพราะอย่างไรคนที่ไอ้หมอผีชั่วมันไว้ใจถึงขนาดให้รู้เรื่องการทดลองของมัน คงไม่ปล่อยให้ไปพักไกลหูไกลตา ฝีเท้าเบาหยุดตรงกระโจมหลังหนึ่งคร่อก คร่อก~เสียงกรนดังขึ้น ขนาดอยู่ด้านนอกยังได้ยิน กู้หานค่อยๆย่างก้าวทีละก้าวเข้าไปด้านใน แม้แสงไฟจะน้อยนิดแต่ก็ยังพอเห็นคนที่นอนอยู่ เป็นชายสวมชุดขาวจริงด้วย นี่ใส่ยันตอนนอนเลยหรือกู้หานเดินสำรวจรอบๆอย่างเงียบงัน เพื่อหากุญแจ ในกระโจมของมันโล่งกว่าที่คิด ง่ายต่อการหาของ มองโดยรอบไม่เจอ งั้นแสดงว่าต้องเก็บไว้ใกล้ตัวและในที่สุดก็หาเจอ มันวางไว้ใต้หมอน โชคดีที่สอดไว้อย่างหมิ่นเหม่กับหัวพอดี จึงมองเห็นกุญแจสะท้อนกับแสงไฟที่สาดส่องเข้ามา เห็นเป็นแสงวิบวับ
“ขะ ข้าอยู่ที่ไหน” ฮุ่ยหมิงสะลืมสะลือลุกขึ้น หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่จำได้ล่าสุดเป็นตอนท่านแม่ทัพมาช่วยเขาไว้ ก่อนภาพจะตัด เขาเห็นชายสามคนกำลังรุมจ้องมาทางเข้า ด้วยอาการเบลอๆจากความอ่อนเพลียยังมึนงงว่าใครเป็นใครบ้าง“อะแฮ่มๆ เจ้าควรนอนพักก่อน อาการพึ่งดีขึ้น” อี้ฟ่านที่เอ่ยก่อน เขาสองคนกับเจียหมิงช่วยกันแก้ตัว ในสถานการณ์ก่อนหน้าเป็นพัลวัน หลังจากทหารอีกคนเริ่มเอ๊ะใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่จู่ๆคนสภาพร่อแร่ ผิวเริ่มซีด ตัวร้อนจี๋ จู่ๆอาการกลับดีขึ้นจนเห็นได้ชัด เหมือนคนหลับไปเท่านั้นหาข้ออ้างอยู่นานจนอีกฝ่ายปักใจเชื่อว่าแค่บังเอิญเพราะร่างกายตอบสนองต่อยา ดีนะที่ทหารอีกคนไม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเนื่องจากไปหยิบกระบอกน้ำมาให้ เลยยังพอถูไถคำตอบไปได้ แต่ก็เล่นทั้งคู่เหงื่อแตกพลั่กๆ“นั่นอี้ฟ่านรึ”“ใช่ข้าเอง เจ้าตัวร้อนจัด พวกเราเลยต้องให้เจ้ากินยา”“จริงสิ ขะ แขน แขนข้า...” ฮุ่ยหมิงลนลานดูแขนตัวเองที่เขาใช้ปราณสกัดกั้นมันเอาไว้ตลอด ตอนเผลอหลับไปไม่รู้ว่ามันจะลามไปยังส่วนไหนบ้าง “เอ๊ะ ทะ ทำไม…”“เจ้าได้ยาดีหน่ะ” อี้ฟ่านเหล่มองเจียหมิงที่พยักหน้างึกงักเออออตาม“อ้อ ฮะ ฮ่าๆ เป็นแบบนี้นี่เอง” แม้ฮุ
“นี่เกือบชั่วยามแล้วนะขอรับ ทั้งสองยังไม่กลับมา” ฮุ่ยหมิงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล เขารั้นจะอยู่รอเฟยจินและพลทหารอีกนาย ที่ท่านแม่ทัพเล่าว่าพวกเขารับหน้าที่เฝ้าหมอผีไว้ ทว่าเวลาผ่านไปก็ยังไม่เห็นวี่แววทั้งสองคนโดยเขาใช้ข้ออ้างว่าอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว เพราะอยากเห็นสหายที่ไปช่วยกลับมาอย่างปลอดภัยกับตา แม้จะแปลกใจกับร่างกายตัวเอง เหตุใดถึงฟื้นตัวได้ไว อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะแข็งแรงดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ในขณะที่ทหารคนอื่นรวมถึงเจียหมิงมุ่งหน้าพาชาวบ้านออกเดินทางก่อนแล้ว เพราะไม่อาจรั้งรอให้พักอยู่จุดเดิมได้นานตรงนี้จึงเหลือเพียงเขากับแม่ท่านแม่ทัพที่ซุ่มรอกันอยู่สองคน “เจ้าอยู่นี่ก่อน ข้าจะลองขะ...นั่นใคร!!!” ทว่ายังไม่ทันพูดจบ เป่ยหวงสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่อยู่ไม่ไกลสวบ สวบ“หึ ฮ่าฮ่า อยู่นี่กันเองรึ พวกแกทำแสบมากนะไอ้พวกแคว้นจ้าว!!” หมอผีเฒ่าโผล่ออกมาจากป่าด้านหน้า แต่สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดลงคือโซ่ที่มันถือไว้ คนที่ถูกล่ามก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเฟยจินที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บหนัก เลือดไหลเป็นทาง สภาพสะบักสะบอมจนแทบไม่เหลือเคล้าเดิม ด้านหลังมีผีดิบสองตัวที่ตามมาด้วย เป่ยหวงกระ
“ทุกคนพักตรงนี้ก่อน” แสงตะวันเริ่มสาดส่อง บ่งบอกถึงเช้าวันใหม่ พวกเขาเดินทางจากค่ายมาไกลพอสมควร“เราจะรอท่านแม่ทัพก่อนใช่หรือไม่” เจียหมิงถาม หากพักนานหน่อยจะได้เตรียมก่อไฟ ออกไปหาอาหาร ล่าสัตว์เผื่อทุกคน“ใช่ พวกเขาน่าจะเดินกันต่อไม่ไหวแล้วด้วย” อี้ฟ่านมองทุกคนที่เหน็ดเหนื่อยจนแทบก้าวขาไม่ออก บางคนก็เดินกะเผลก แต่ก็ไม่มีใครปริปากบ่น อาจเพราะความกลัวว่าต้องถูกจับไปอีกมีมากกว่า“งั้นข้าขอตัวไปล่าสัตว์ ไม่ไกลจากนี้ทางทิศเหนือมีแม่น้ำอยู่ หากไปก็ระวังสัตว์ใหญ่กันด้วย ฝากท่านแจ้งแก่พวกเขา” อี้ฟ่านพยักหน้าขอบคุณ หันไปบอกกับทุกคน ทว่าพอหันกลับมาอีกทีกะจะตามไปช่วยเจียหมิงล่าสัตว์ด้วย กลับไม่เห็นอีกฝ่ายเสียแล้ว อี้ฟ่านได้แต่เกาหัวอย่างงงๆกับความว่องไวของอีกฝ่าย“หืม นั่นมัน...” เจียหมิงที่เร่งออกมาหาอาหารให้กับทุกคนที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืน ก่อนที่จะพบกับหัวมันที่บุตรสาวเคยชี้บอกว่ากินได้ ทว่าตั้งแต่ครั้งนั้นเขาก็ยังไม่ได้ลองกินทุกอย่างตามที่นางบอก เพราะมีหัวมันหลากหลายชนิดมาก แต่บางอย่างก็ลองกินแล้วพบว่ามันกินได้จริงๆ แถมยังอร่อยอีกด้วยโดยเฉพาะเจ้าหัวมันที่มีรสหวาน นึกขอบคุณบุ
“เหลียนเอ๋อร์ พ่อกลับมาแล้ว”“กรี๊ดด ปะ ปะ” เหลียนฮวากรี๊ดออกมาในอ้อมกอดแม่นมหลวง หลังจากเห็นท่านพ่อนางกลับมานางดีใจจนแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ส่งเสียงดังลั่น กระโดดไปมาจนแม่นมหลวงอุ้มแทบไม่ไหว“คิดถึงเหลือเกินเหลียนเอ๋อร์ แต่พ่อยังอุ้มไม่ได้ลูก ต้องอาบน้ำก่อน” เจียหมิงก้มมองตัวเองที่มอมแมม เต็มไปด้วยคราบดิน เขายิ้มกว้างยามเห็นหน้าบุตรสาวแก้มแดงๆคล้ายซาลาเปา ตัวอวบอ้วนยังคงน่ารักน่าชังไม่เปลี่ยน ไม่อยู่เพียงกี่วันบุตรสาวเขาแต่งกายน่ารักยิ่ง ผิวเปล่งปลั่งดูนุ่มนิ่ม คงเพราะมีแม่นมหลวงที่ทางการส่งมาให้ดูแลเรื่องอาหาร การกิน เครื่องแต่งกายเป็นอย่างดี ผิดกับตอนอยู่กับเขาที่ทำแบบลวกๆ ตามภาษาพ่อมือใหม่ ว่าแต่ทำไมแม่นมหลวงกับผู้ช่วยอีกนางถึงทำหน้าเศร้าเช่นนั้นเล่า “ขอบคุณพวกท่านทั้งสองด้วยขอรับ” “ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เป็นหน้าที่ของพวกข้า ว่าแต่...” “มีอะไรหรือขอรับ” “ข้าได้ยินจากแม่ทัพว่าท่านต้องเดินทางไปยังค่ายทหารเพื่อรายงานสถานการณ์และรับเงินค่าจ้าง คาดว่าน่าจะใช้เวลาวันสองวัน ข้าขออยู่เลี้ยงเหลียนเอ๋อร์ต่อระหว่างนั้นได้หรือไม่” แม่นมหลวงกลั้นใจพูดประโยคน่าอายออกไป นางได้ยินแม่ทัพคุยกับ
หลายชั่วยามผ่านไป“เรื่องนี้เกี่ยวพันกับแคว้น ข้าคงต้องกราบทูลฝ่าบาทก่อน” ห่าวซวนตอบอย่างเอนเอียงไปทางเสียงส่วนมาก พร้อมทำหน้าเครียด หลังจากพวกเขาใช้เวลาไปครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ได้ข้อสรุปใดๆ“งั้นท่านจะบอกว่าให้เรื่องนี้รอไปก่อนหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นอย่างโมโหเล็กน้อย เหตุใดต้องรั้งรอ กว่าจะเข้าเฝ้า แจ้งฝ่าบาท แล้วกว่าจะออกราชโรงการอีก เขาไม่เถียงเลยว่าขั้นตอนการเข้าเฝ้ากษัตริย์นั้นช่างยากเย็น พิธีรีตองยิ่งนัก ใช้เวลาอย่างต่ำเป็นสัปดาห์ ชีวิตคนทั้งคน ไม่อาจรั้งรอได้ หากปล่อยไว้ฮุ่ยหมิงจะยิ่งเป็นอันตราย“เจ้าไม่ได้ยินแม่ทัพใหญ่บอกหรือ มันเรื่องใหญ่ไม่อาจตัดสินใจพลการได้” เยว่เล่อยิ้มหยัน กับอีแค่สายลับคนเดียว ทำไมต้องเอาชีวิตคนทั้งกองทัพไปเสี่ยง ส่วนเรื่องทดลองมันไม่มีทางสำเร็จอยู่แล้ว วิปลาสไปกับใหญ่ จะมีคนคลั่งแล้วกัดกินคนด้วยกันเองได้อย่างไร“งั้นท่านจะบอกให้เขาเสียสละ ปล่อยให้ไปเผชิญชะตากรรมอันใดก็ไม่รู้ โดยที่เขาทำประโยชน์ให้แคว้นมาไม่น้อยงั้นหรือ!!” เฟยจินที่เงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ชีวิตของคนคนเดียว แต่อาจรวมถึงชีวิตของทั้งแคว้น หากมันทดลองสำเร็จ แต่น
หลายวันผ่านไป เจียหมิงและบุตรสาวกลับมาอยู่ด้วยกันสองคนอีกครั้ง เหลียนฮวากลับมาสดใสร่าเริง พลอยทำให้ผู้เป็นพ่อมีความสุขไปด้วย หน้าที่ในแต่ละวันของเจียหมิงยังคงเหมือนเดิม แม้จะได้เงินมาพอที่จะตั้งตัวได้ แต่เขากลับยังเลี้ยงดูบุตรสาวเอง หาของป่า ล่าสัตว์ ไม่ได้ทำตัวหวือหวาแต่อย่างใด ยังมีโม่โฉว ซูเหวินและเหยาฉือที่ยังคงแวะเวียนมาหาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งวันนี้ก็เป็นเหยาฉือที่แวะมาเล่นกับหลานตัวน้อย“จ๊ะเอ๋ เหลียนเอ๋อร์ ลุงมาเล่นด้วยแล้ว” “แอ้ แอ้” เหลียนฮวาดีดดิ้นดีใจที่ลุงมาหา หน้าตาลุงเหยาแจ่มใสกว่าครั้งก่อนที่มาอีก ดูท่าวันนี้จะมีอะไรดีๆ“ลุงนำของเล่นป๋องแป๋งมาให้หนูด้วย ค่อยๆถือนะ” เหยาฉือที่วันนี้เงินเดือนออก เขาแวะซื้อป๋องแป๋งของเล่นเด็กที่ช่วงนี้นิยมกันมากมาฝากหลานสาว พลางเขย่าของเล่นในมือ แม้จิตวิญญาณของเหลียนฮวาจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทว่าในร่างกายนี้ของนางยังเป็นเด็ก ย่อมถูกของเล่นล่อตาล่อใจได้ง่ายตึง ตึง ตึง ตึง“แอ้ กรี๊ดดด” เหลียนฮวาตาโตเขย่าของเล่นในมือ คนยุคนี้สร้างสรรค์ไม่น้อย ของเล่นชิ้นนี้มีรูปลักษณ์คล้ายกลอง ด้านจับเป็นไม้ ส่วนตัวที่ทำให้เกิดเสียงทำจากกระดาษตึงไว้คล้ายแผ่นกลอ
2 ปี ผ่านไป“ป้อ ป้อ วังเน้ นุไปหาปานะ” เวลาล่วงเลยผ่านหลังจากเหตุการณ์หลายอย่าง บัดนี้เหลียนฮวาตัวน้อยอายุได้เกือบ 3 ขวบแล้ว เจ้าตัวเล็กช่างเจรจา แถมยังไม่กลัวคน ใช้ขาสั้นๆวิ่งเข้ามาหาเจียหมิงที่ปลูกผักอยู่หลังบ้าน“หืม ไปกับเสี่ยวหยวนหรือ” เสี่ยวหยวนลูกชายของบ้านโม่เป็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียวของบุตรสาว หลายครั้งที่ทั้งคู่พากันออกไปเล่นด้วยกันแล้วมีรอยถลอก เนื้อตัวมอมแมมกลับมา คาดคั้นถามจึงได้ความว่าบุตรสาวเขามักโดนเด็กในหมู่บ้านกลั่นแกล้งและล้อว่าไม่มีแม่ เป็นตัวโชคร้ายคราแรกที่ได้ยินเจียหมิงเศร้าใจและสงสารบุตรสาวยิ่งนัก พอจะเอ่ยปากอธิบาย บุตรสาวชิงพูดสวนกลับด้วยท่าทีร่าเริงว่านางจัดการเด็กพวกนั้นจนร้องไห้แงๆวิ่งไปฟ้องแม่แล้ว ท่าทีสดใสแบบนั้นทำให้เบาใจได้ว่าบุตรสาวของเขาไม่เก็บเอามาเป็นปมด้อย จากนั้นเขาก็เอ่ยสอนต่อว่าหากต้องจัดการกับคนที่มากลั่นแกล้งให้ทำกลับไปอย่างมีขอบเขต พร้อมกับเอ่ยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ของนางให้ฟัง“ชั่ยเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาตัวกลมไม่ต่างกว่าแต่ก่อนพยักหน้าหงึกหงัก แก้มแดงปลั่งอย่างเด็กสุขภาพดี บ่งบอกว่าเจ้าตัวถูกเลี้ยงมาด้วยความรักความเอาใจใส่ นางชอบแทนตัวเองว
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า
“อื้มม พะ พอก่อนเจ้าค่ะ แฮ่กๆ” เหลียนฮวาหลบชายคนรักที่ตะบมจูบอย่างหื่นกระหาย“เราไม่ได้สกินชิพกันมาหลายวันแล้วนะ” หยางหลงเอ่ยอย่างงอนๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนระหว่างพวกเขามักมีสายตาจับจ้อง ทั้งยังส่งเสียงทักทายมาให้ตลอด พอจะอยู่กันสองคนก็จะมีสายตาจับผิดของพ่อตามองมาอยู่เสมอ ทำให้เขาแทบปลีกตัวอยู่กันสองต่อสองไม่ได้เลย“ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนดังล่ะเจ้าคะ” เหล่าทหารหลายคนที่อยากขับรถแบบเขา จึงพากันเข้ามาพูดคุยขอให้เขาช่วยสอนขับรถ ทั้งยังพูดถึงแต่เรื่องรถ ความชอบของพวกผู้ชายหนีไม่พ้นพวกนี้เลยจริงๆ“พี่สอนพ่อตากับลุงแม่ทัพขับแล้ว พวกเขาไม่ไปถามทั้งสองบ้าง” หยางหลงพูดน้องใจอย่างไม่จริงจังนัก“คิกคิก ก็ไม่มีใครขับได้ผาดโผนเท่าพี่นี่นา” เหลียนฮวาหัวเราะขำ พวกทหารติดใจความเร็วของรถเครื่อง พอกลับไปนั่งรถม้าเริ่มพากันบ่นว่าช้าบ้าง อืดบ้าง ทั้งที่พอนั่งรถเครื่องก็พากัน
ณ พระราชวัง“พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!!!” จ้าวฮ่องเต้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอพระทัย เหล่าแม่ทัพต่างพากันจับกุมเขาและขุนนางฝ่ายสนับสนุน ใช้สายตาไม่พอใจมองไปทางแม่ทัพเลี่ยงจินที่เดิมทีมีหน้าที่ปกป้องเขา แต่กลับเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่น“ฮ่องเต้ที่ละทิ้งประชาชน มิอาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” เลี่ยงจินเป็นคนตอบ เขาตัดสินใจได้ทันทีหลังจากได้พูดคุยกับแม่ทัพเป่ยหวงและลู่จือ สิ่งที่แม่ทัพลู่จือพบเจอไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง“คะ ใคร ใครรายงานพวกเจ้า ข้าปิดประตูเมืองเพียงแค่รอสถานการณ์คลี่คลายเท่านั้น หากดีขึ้น...”“ฝ่าบาทมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางที่ส่งจดหมายแจ้งแก่แม่ทัพเป่ยหวง พร้อมทั้งถือหลักฐานเดินเข้ามายังท้องพระโรง“พวกเจ้า ไม่จริง ข้าเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของราชครู!!” จ้าวฮ่องเต้ที่เห็นหลักฐานในมือขุนนางกลับทำตาโตกล่าวถึ
“นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ออกไป” เยว่เล่อกล่าวออกมาอย่างสับสนพร้อมสั่งพวกมัน เขามองผีดิบที่พากันรุมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนคำสั่งของเขา“เป็นอะไรไหมขอรับท่านแม่ทัพ”“ฮะ ฮุ่ยหมิง แค่กๆ” เป่ยหวงตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ฮุ่ยหมิงตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้า หรือเป็นเพียงภาพความฝันกันแน่ ทว่าสีตาของเขากลับเหมือนพวกคนคลั่ง“ข้าเองขอรับ” ฮุ่ยหมิงพยุงร่างของแม่ทัพขึ้น คิดว่าจะหนักแต่ผิดคาดตัวของท่านแม่ทัพเบากว่าที่คิด“จะ เจ้าจริงๆหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นดวงตาพร่ามัวที่ใกล้จะปิด เขากลัวจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หากเฟยจินมาอยู่ตรงนี้ด้วยอีกฝ่ายคงดีใจไม่น้อย“ขอรับ” สิ้นสุดคำตอบของเขา เป่ยหวงสลบไปทันที ฮุ่ยหมิงใช้มือเช็คลมหายใจแล้วเป่าปากอย่างโล่งอก โชคดีที่ท่านแม่ทัพสลบไปเท่านั้นผลักก