หลายวันต่อมา หลังจากทางการนำประกาศห้ามขึ้นภูเขามาติดไว้ลานกลางหมู่บ้าน มีชาวบ้านหลายคนออกมาประท้วงเนื่องจากหลายครอบครัวมีฐานะยากจน อยู่ได้ด้วยการหาของป่า ทว่าผู้นำหมู่บ้านซึ่งได้รับมอบหมายจากทางการก็ไม่ทำให้ผิดหวัง รับหน้าที่ในการแจ้งข่าวและลงชื่อแจกจ่ายเบี้ยเลี้ยงสำหรับทุกครัวเรือน ครัวละ 50 เหรียญทองแดง ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากสำหรับครอบครัวชาวบ้านทั่วไป เงินจำนวนนี้หากใช้อย่างประหยัด ครอบครัวหนึ่งสามารถอยู่ได้หลายเดือนเลยทีเดียว นับว่าท่านเจ้าหน้าที่ทางการมีเมตตายิ่งที่แจกจ่ายเงินจำนวนนี้ให้กับหมู่บ้านบริเวณรอบๆภูเขาทุกครัวเรือนอย่างไม่มีตกหล่น สถานการณ์จึงคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยเงินจำนวนไม่น้อยนี้ บางครอบครับจึงรีบมุ่งหน้าซื้อของที่ตลาดมากักตุนเอาไว้ เนื่องจากไม่อยากถือเป็นเหรียญเงินที่เสี่ยงต่อการขโมยได้ง่าย บางบ้านถึงกับต้องปิดตัวเงียบเพื่อที่ไม่ให้เป็นที่โดดเด่น โดยเฉพาะพวกโจรที่หวังจะมาปล้น
“เปิดประตู!!” ทว่านั่นไม่ใช่กับบ้านของเจียหมิงที่มีเสียงโหวกเวกโวยวายหลายเค่อดังไม่ลดละที่หน้าบ้านราวกับมีเรื่องคอขาดบาดตาย “เจ้าหมาป่าตาขาวข้าบอกให้เปิดประตู!!”
“ท่านมีเรื่องอันใด” เจียหมิงอดไม่ได้ที่จะต้องออกมาถามเสียงเรียบ คาดว่ารั้วที่พึ่งซ่อมไปจะพังอีกแล้ว คนพวกนี้ถึงเข้ามาได้ เหลือบมองไปยังรั้วกลับพบว่ายังอยู่ดี แสดงว่าแอบปีนเข้ามาสินะ เจียหมิงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
บุตรสาวเขานอนกลางวันไปแล้วเมื่อครู่ หากไม่ออกมากลัวแม่เลี้ยงของเขาจะตะโกนจนนางตื่น แต่จะว่าไปเหลียนเอ๋อร์ของเขาก็ช่างรู้ความนัก ขนาดมีเสียงไม่พึงประสงค์ดังอยู่หน้าบ้านกลับหลับลงได้ นางมีความสามารถจริงๆ
“เอาเงินแบ่งมาให้ข้า พวกเจ้ามีกันแค่สองคน ส่วนครอบครัวข้ามีคนเยอะ” นางจ้านไม่คิดจะอ้อมค้อม พูดออกไปด้วยความโลภ หวังจะรับเงินเร็วๆ หลังจากหัวหน้าหมู่บ้านประกาศแจกเงิน เงินจำนวนนี้จะทำให้ครอบครัวนางอยู่ไปสบายหลายเดือน ทว่าพอคิดว่าไอ้ลูกเลี้ยงมันก็ได้เงินจำนวนนี้เหมือนกัน พลันเกิดความริษยา เหตุใดถึงได้เท่ากัน ทั้งที่มีแค่มันกับลูกสองคน เด็กจะไปกินสิ้นเปลืองอันใด เงินที่เหลือควรเป็นของนางสิ
“นั่นมันเรื่องของท่าน ข้าแยกบ้านออกมาแล้ว” เจียหมิงมองหน้าคนไร้ยางอายอย่างเหลืออด หลงคิดไปถึงอดีตเขาเรียกนางว่าแม่ลงได้อย่างไร พฤติกรรมของนางไม่เหมาะสมกับคำนั้นสักนิด จะสงสารก็แต่พี่ใหญ่ คาดว่าเงินนั้นคงไม่ตกถึงมือพี่ใหญ่แน่ ทั้งที่เป็นเสาหลักครอบครัวหาเงินเข้าบ้าน
“หนอย เจ้าคนอกตัญญู หมาป่าตาขาว!!” นางจ้านด่าอย่างไม่ไว้หน้า โกรธจนหน้าดำหน้าแดง นึกสาปแช่งให้มันตกตายตามเมียมันไป
“ข้าจะย้ำอีกรอบ หากไม่อยากให้แจ้งทางการ กลับไปซะ!”
“ข้าไม่น่าเลี้ยงเจ้าให้โตมาเถียงข้าฉอดๆ” เมื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ นางจ้านจึงคิดเอาบุญคุณครั้นเมื่อตอนเจียหมิงยังเด็กมาพูด เพราะรู้ดีว่าตอนเด็กๆเจียหมิงต้องการความรักจากแม่มากแค่ไหน แต่สำหรับนางมันก็เป็นได้แค่แรงงานชั้นดีที่คอยหาเงินเข้าบ้าน ชิงชังไอ้ลูกเลี้ยงนี่ยิ่งนักเพราะมันไหวตัวทัน แยกบ้านออกมากับนังผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้า
“ท่านเคยเลี้ยงข้าด้วยหรือ เท่าที่ข้าจำได้มีแต่ตัวข้ากับพี่ใหญ่ที่ดูแลกันเอง”
“นี่แก…”
“จะเกลียดชังข้าก็ได้ แต่ช่วยเห็นแก่พี่ใหญ่หน่อยเถอะ เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำหาเงินเข้ากองกลางคนเดียว ท่านควรให้บุตรชาย บุตรสาวออกไปทำงานบ้าง” เจียหมิงได้ทีพูดสั่งสอนนางจ้าน ใครจะพูดหรือมองยังไงก็ช่าง เขาเหลืออดแล้วจริงๆ พี่ใหญ่สมควรได้แต่งงานมีครอบครัวได้แล้ว กลับต้องมาทำงานงกๆ เพียงเพราะคำว่าลูกคนโต ต้องดูแลครอบครัว แต่ครอบครัวปรสิตเช่นนี้สมควรแก่คำว่ากตัญญูด้วยหรือ
“ไอ้ไม่มีคนสั่งสอน ลูกของข้ายังเด็ก พี่เจ้าน่าจะชินกับการใช้แรงงานก็ให้ทำงานไปสิ” นางจ้านเท้าสะเอวอย่างดูถูก หนอย บังอาจเอาไอ้เด็กแรงงานมาเทียบกับลูกของนาง
“หึ จางหมิ่นห่างจากพี่ใหญ่เพียงสามปี ส่วนซิงอีก็ถึงวัยออกเรือน ความคิดของท่านนี่แปลกเสียจริงที่มองว่าพวกนั้นยังเด็ก หรือแท้จริงแล้วท่านนิยมสอนให้ลูกขี้เกียจสันหลังยาวเหมือนท่าน”
“อะ อะ ไอ้…” นางจ้านได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เมื่อได้ฟังคำพูดนั้น ตั้งแต่มันมีลูก นับวันยิ่งควบคุมได้ยาก ต่างจากเมื่อก่อนที่ยังมีความเกรงใจ หรือจะแอบหาทางกำจัดลูกของมันดี
“เก็บคำหยาบช้าพวกนี้ไว้พ่นกับลูกท่านเถอะ หากบุตรสาวข้าได้ยินคงจะไม่ดีนัก เดี๋ยวจะมีคนหาว่าไม่มีคนสั่งสอน” เจียหมิงเน้นคำว่าไม่มีคนสั่งสอนจนนางจ้านเงี้ยมือขึ้นทำท่าจะตบ “หากลงมือกับข้า เรื่องจะไม่จบแค่นี้แน่นอนขอรับ” เจียหมิงส่งสายตาจริงจังไปให้ บ่งบอกว่าพูดจริง และจะไม่มีการยอมความใดๆทั้งสิ้น
“หึย ไอ้คนถ่อย ฝากไว้ก่อนเถอะ” มือที่ยกค้างไว้ชะงักงัน ก่อนจะยกลงอย่างหงุดหงิด สะบัดหน้าเดินออกไปด้วยความไม่ พอใจ
“ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไรพี่ใหญ่” เจียหมิงมองตามร่างนางจ้านไปจนลับตา พลางพูดถึงพี่ชายที่เขาเคยเอ่ยชวนให้มาอยู่ด้วยกัน ทว่าอีกฝ่ายกลับทำสีหน้าอึกอักเพียงเพราะคำว่ากตัญญูค้ำคอ หลี่เหยาฉือถูกปลูกฝังว่าเป็นลูกคนโตมาตั้งแต่ยังเด็ก ความรับผิดชอบ หน้าที่ ความกดดันทุกอย่างจึงตกไปลงที่เขา หากจะยังยึดติดกับความคิดเดิมๆก็คงไม่แปลก สักวันข้าต้องพาท่านออกมาจากที่นั่นให้ได้
“บอทเต้ โรบอทได้ยินมั้ย” เหลียนฮวาตะโกนถามทางห้วงจิต
“ได้ยินขอรับ” เสียงที่ตอบกลับมาเป็นโรบอทที่ดูเหมือนจะเฝ้าดูเธออยู่ตลอด ดูจากการเลียนการพูดของคนยุคนนี้
“ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง” เหลียนฮวาสอบถาม เพราะยังวุ่นๆกับเรื่องภายนอก พ่อของนางพึ่งหายดี จนลืมติดตามความเป็นไปของมิติไปเลย ใจจริงอยากจะหยิบยาทาแผลไม่ก็แคปซูลรักษาให้ท่านพ่อรู้แล้วรู้รอด ทว่าเธอทำแบบนั้นไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลา เธออยากเป็นคนบอกจากปากของเธอเอง จึงได้แต่สังเกตอาการของท่าน หากร้ายแรงเธอคงไม่รอเวลานั้น ทว่าจากการสังเกตกลับพบว่าโชคดีที่บาดแผลไม่ติดเชื้อและยังตอบสนองดีต่อการรักษาของยาที่ท่านหมอมอบให้ แม้จะรักษาได้ช้ากว่ายาที่เธอมีก็เถอะ
“บอทเต้กับโรบอททำงานกันหนักมากครับ เจ้าหุ่นยนต์แรงงานผลิตของยังกะโด๊ปยา จนเกือบล้นคลัง เราทั้งคู่วิ่งสั่งงานกันให้วุ่น” บอทเต้รายงานเจ้านายอย่างโอดครวญ
“เจ้าพวกนั้นผลิตอะไรจนเกือบล้นหรือ” เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
“ช่วงนี้มันผลิตแคปซูลยากับยาทาแผลครับ คราวก่อนผลิตแคปซูลอาหาร”
เอ๊ะ ทำไมการผลิตของมันดูแปลกๆ คล้ายสิ่งที่เธอคิดวนเวียนอยู่ตลอดเลย ยิ่งช่วงนี้ยิ่งชัดเพราะเธอนึกถึงแต่ของแบบนั้นเพราะท่านพ่อได้รับบาดเจ็บ
หรือว่า
“ก่อนหน้านั้นเจ้าหุ่นยนต์แรงงานผลิตนมผงใช่มั้ย” เหลียนฮวาลองถามหยั่งเชิง หากเธอคาดเดาไม่ผิด
“เจ้านายรู้ได้ยังไงครับ”
ชัดเลย
มันผลิตตามที่เธอคิด แต่คิดแบบไหนล่ะ หัวสมองน้อยๆที่เป็นทารกก็วนเวียนคิดอยู่ไม่กี่อย่าง แบบนี้วิธีใช้งานมิติยังคงเป็นความลับ ที่ต้องศึกษาหาคำตอบต่อไปสินะ แต่อย่างน้อยก็ได้รู้หนึ่งอย่างว่ามันจะผลิตตามความคิดของเธอ
“ดูท่ามันจะผลิตตามความคิดฉัน” เหลียนฮวาเอ่ยความคิดที่เธอคาดเดาออกมา แม้จะเป็นเพียงการคาดเดาแต่คิดว่าเธอเดาไม่ผิดแน่
หลังจากคุยกับพวกบอทเต้เสร็จ ก็ถึงเวลาตื่นนอนพอดี เธอลืมตาตื่นพบว่าท่านพ่อนอนหลับข้างๆ ด้วยความอ่อนเพลีย ไม่อยากรบกวนจึงเรียกขวดนมที่โรบอทชงให้ออกมาจากมิติ นอนดูดมองนั่นนี่ไปเรื่อย สักพักท่านพ่อก็ตื่น “หืม ตื่นแล้วหรือลูก” “แอ้ บา บู้” เจียหมิงสะลึมสะลือหลังจากตื่นขึ้น เขาสะดุ้งตื่นหลังกินยาที่ท่านหมอให้แล้วเผลอหลับไป มองบุตรสาวที่นอนอารมณ์ดี ใช้มือป้อมสั้นทั้งสองข้างประคองขวดนม ส่วนขาอวบๆยกไขว่ห้างสบายใจ เจียหมิงขยี้ตา มองภาพนั้นนิ่งงัน บุตรสาวฉลาดเกินวัยนัก ทั้งกินนมเอง ไหนจะท่านอนที่ไม่เหมาะกับกุลสตรีนั่นอีก ว่าแต่เขาชงนมทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อไร สงสัยช่วงนี้กินยาที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม สมองเบลอ หลงลืมไปชั่วขณะ “แอ้ ปะ ปา” เหลียนฮวาเห็นท่านพ่อตื่นขึ้นมา จะเอาขวดนมที่กินอยู่เก็บก็ไม่ทันเสียแล้ว ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย หากท่านพ่อจับได้เธอจะเปิดเผยความจริง แม้จะพูดไม่ได้ก็เถอะ ทว่าดูเหมือนเธอจะดูถูกความหลงลูกสาวของท่านพ่อน้อยไป นอกจากจะไม่สงสัยแล้ว ยังเอ่ยชมเสียยกใหญ่ ตัวแค่นี้รู้จักหยิบนมกินเอง “หากอิ่มแล้วพ่อจะพาไปเดินเล่น”
หลายวันต่อมาหลังจากท่านลุงเดินทางกลับด้วยท่าทีอิดออด คงเพราะยังอยากเล่นกับหลานสาวผู้น่ารักอย่างนาง กิจวัตรประจำวันของทารกก็ไม่มีอะไรมาก นั่งๆ นอนๆ แล้วก็กิน ส่วนท่านพ่อก็ออกไปซ่อมรั้วให้แข็งแรงขึ้น ไม่ก็ลงแปลงปลูกผักบ้าง อ้อ มีอีกอย่าง ท่านพ่อมักหยิบอาวุธกระบองที่นางแอบนำไปวางในย่ามอย่างยากลำบากก่อนเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นมาเช็ดๆถูๆอยู่ทุกวัน ดูท่าจะหวงไม่น้อย วนเวียนอยู่แบบนี้ “ฮึบ อีกนิดลูกสาวพ่อ” “แอ้ ปะ ปะ” เหลียนฮวาเกร็งตัวเพื่อคว่ำจนหน้าดำหน้าแดง เหลือบมองท่าทีของผู้เป็นพ่อที่ลุ้นยิ่งกว่า ฮึบ ฮึบ ต้องทำให้ได้ อีกนิดเดียวเท่านั้น ฟุบบ และแล้วความพยายามก็สำเร็จผล ฟอดด “เก่งมาก” ได้รางวัลเป็นการหอมแก้มฟอดใหญ่จากท่านพ่อที่ลุ้นจนตัวโก่ง จะมีเด็กวัยเพียง 3 เดือนกว่าที่ไหน พลิกคว่ำตัวได้แล้วบ้าง แม้จะมีพุงกลมๆเป็นอุปสรรค เหลียนฮวาอยากอวดพ่อเหลือเกินว่านางพลิกตัวได้ตั้งแต่วันแรกที่เกิด ทว่าหลังๆที่ไม่เห็นนางพลิกตัวโชว์เพราะนางอ้วนขึ้นเลยขี้เกียจพลิกตัว “ปะ ปะ หม่ำๆ” เจ้าร่างกายทารกนี่พอออกแรงหน่อย
“ช่วยอย่าส่งเสียงดังด้วยนะขอรับ บุตรสาวข้า...” ระหว่างที่เจียหมิงกำลังพาทุกคนเข้ามาในบ้าน เพราะไม่อาจให้คุยกันนอกบ้านได้ เกรงว่าจะมีคนบังเอิญผ่านมาเห็นเข้า เขากำลังบอกให้ทุกคนเงียบๆ เพราะบุตรสาวเขาน่าจะกำลังนอนหลับอยู่ ทว่าพอเปิดประตูเข้าไปกลับต้องหน้าแดงก่ำ รีบวิ่งไปบังบุตรสาวไว้ เหลียนเอ๋อเล่นเขาเข้าแล้วไง “แอะ ปะ ปะ” “ฮ่าๆ ท่านอนดื่มนมของบุตรสาวเจ้า ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ” เป่ยหวงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ส่วนทหารที่เหลือ ขนาดได้ชื่อว่าเป็นพวกยิ้มยาก ยังแอบยิ้มขำ เมื่อเห็นร่างอวบอ้วนของเด็กน้อยนอนกินนมในท่าไขว้ห้าง เท้าป้อมๆกระดิกไปมา เป็นภาพแปลกตา หากฮูหยินหรือสตรีในเมืองหลวงเห็นคงต้องยกมือทาบอก อุทานอย่างตกใจเป็นแน่ นางเห็นพวกเขาที่ตัวใหญ่โตแทนที่จะตกใจ ร้องไห้อย่างเด็กทั่วไป กลับยิ้มแย้มยกมือโบกทักทายผู้เป็นพ่อ ครอบครัวนี้ช่างเปิดโลกแม่ทัพอย่างเขาดีแท้ “นะ นางแค่นอนในท่านี้แล้วสบาย ข้าไม่อยากบังคับลูก” เจียหมิงแก้ตัวแทนบุตรสาวด้วยสีหน้าเลิ่กลัก หันไปจัดท่านอนให้นางใหม่ “หึๆ ข้าเข้าใจ” เป่ยหวงมองตัวน้อยอย่างย
และแล้วก็ถึงวันนัดหมายเดินทาง ทางการส่งแม่นมหลวงและผู้ช่วยมาอย่างละคน ทั้งสองที่เคยทำหน้าที่ดูแลแต่เด็กบ้านที่มีฐานะ อย่างเช่น ขุนนาง ตระกูลพ่อค้าร่ำรวย พอมาเห็นบ้านที่ทางการส่งพวกนางมาก็ถึงกลับชะงัก ไม่คิดว่าจะเป็นบ้านของชาวบ้านธรรมดา ด้วยความเป็นมืออาชีพไม่นานก็ทำความเข้าใจได้ โดยเฉพาะแม่นมหลวงที่รับหน้าที่เลี้ยงดูบุตรหลานของพวกมีอันจะกินมาหลายบ้าน เรียกว่าใครๆก็อยากได้ตัวนางไปเลี้ยงดูบุตรหลานให้ เพราะนอกจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาแล้ว ยังบ่งบอกถึงความร่ำรวย เป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูล ส่วนสาเหตุที่เรียกว่าแม่นมหลวง เพราะเป็นแม่นมของทางการ ไม่ใช่แค่มีเงินจะสามารถจ้างได้ แต่ต้องได้รับการยอมรับจากทางการก่อนด้วย “ไม่รู้ว่าจะต้องไปกี่วัน พ่อต้องคิดถึงเจ้ามากแน่ๆ” เจียหมิงที่กำลังเอ่ยร่ำลาบุตรสาวอาลัยอาวรณ์ รอบๆมีชาวบ้านคนอื่นมาส่ง แต่ส่วนใหญ่จะอยากรู้อยากเห็นมากกว่า เมื่อเห็นชายหลายคนมาออกันที่บ้านของเจียหมิง คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ จึงพากันกระจายข่าว ทำให้ชาวบ้านหลายคนแห่กันมายืนออที่ริมรั้ว ส่วนซูหวินและโม่โฉวที่ทราบเรื่องคร่าวๆจ
ยามโฉ่ว (01.00 - 02.59 น.) “ถึงแล้วหรือ” “ขอรับ พื้นที่ตรงหน้าคือชายแดน ค่ายทหารน่าจะอยู่ไม่ไกล ” มีครั้งหนึ่งในตอนที่เหลียนฮวาพึ่งคลอดใหม่ๆ เจียหมิงเคยแอบออกมาล่าสัตว์ในป่าลึกหวังจะได้สัตว์ไปขาย ซื้อน้ำนมให้บุตรสาว ด้วยความที่ตัวเองมัวแต่จดจ่อกับสัตว์ที่กำลังล่าจนไม่รู้ตัวว่าเขาเกือบข้ามเข้าไปยังเขตของแคว้นลั่วหยาง ครั้นได้ยินเสียงที่คิดว่าน่าจะเป็นทหารของทางฝั่งนั้น จึงรีบกุลีกุจอกลับหมู่บ้าน หลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะออกมาล่าบริเวณนี้คนเดียวอีกเลย กลัวว่าถ้าข้ามไปแล้วจะไม่ได้กลับมาเจอบุตรสาวอีก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีเหตุให้ต้องกลับมาอีกครั้ง “แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเฝ้าอยู่ตรงนี้ดูต้นทาง กลุ่มสองลอบเข้าไปด้านใน ข้าจะนำเอง เลี่ยงการปะทะ เข้าใจหรือไม่” “เข้าใจขอรับ” “เอ่อ แล้วข้าล่ะขอรับ” เจียหมิงโพล่งถามขึ้นมาเพราะไม่รู้ตัวเองต้องอยู่ตรงไหน ทำหน้าที่อะไรต่อจากนี้ “เจ้ารออยู่กับกลุ่มแรกที่นี่ หากได้รับสัญญาณให้วิ่งกลับไปยังทางที่เรามาให้เร็วที่สุด ไม่ต้องสนใจทหารคนอื่น” ที่บอกว่าไม่ต้องสนใจ เ
“พบสิ่งผิดปกติอันใดหรือไม่” “ไม่ขอรับท่านแม่ทัพ” เป่ยหวงถามทหารอีกนายเสียงเครียด พวกเขาเข้ามายังถิ่นศัตรูแล้ว ทว่ายังไม่พบสิ่งปกติอะไร นอกจากการเดินลาดตระเวนอันหละหลวมของพวกทหาร ยิ่งเข้ามาด้านในค่ายเหมือนไม่ใช่ค่ายทหาร หน่วยก้านบางคนเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ถูกเกณฑ์มาด้วยซ้ำ ไหนจะประโยคสนทนาของพวกทหารก่อนหน้านั่นอีก “แปลกเกินไป กระจายกำลังสำรวจโดยรอบ อย่าให้โดนจับได้” “ให้ตายสิ กลิ่นบ้าอะไร เหม็นอย่างกับอะไรตาย” ทหารแคว้นจ้าวที่แอบเข้ามาสำรวจบริเวณด้านหลังสบถในใจ ทนไม่ไหวจนต้องยกมือขึ้นปิดจมูก พื้นที่ตรงนี้เหมือนจะไม่มีคนอยู่ เขาเห็นถึงความผิดปกติ เลยกะจะเข้ามาดูสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าพอมาถึงแวบแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นเหม็น และดูเหมือนว่ายิ่งเดินเข้ามาใกล้เท่าไร กลิ่นยิ่งทวีความรุนแรง เขามองซ้ายขวาไม่เห็นใคร จึงเดินออกจากที่ซ่อน เดินตามกลิ่นก่อนจะเจอกับปากหลุมหลุมหนึ่ง เขาพยายามเพ่งมอง ทว่าด้วยความมืดทำให้ไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ด้านล่าง แต่กลิ่นที่โชยมาแตะจมูกคงไม่ใช่อะไรที่ดีแน่ หรืออาจเป็นแค่ซากสัตว์ตาย เพราะบริเวณนี้ใกล้กับ
“รายงานท่านแม่ทัพ จู่ๆทหารรอบๆก็พากันหมดสติไม่ทราบสาเหตุ” ทหารคนหนึ่งรีบเอ่ยขึ้นหลังกลับมายังจุดรวมตัว เป่ยหวงพยักหน้ารับเพราะก็เห็นถึงความผิดปกตินี้เหมือนกัน สายตาคมกริบกวาดมอง พบว่าคนในทีมยังขาดไปอีกคน “อี้ฟ่านไปไหน” เป่ยหวงถาม สายตามองหาลูกน้องอีกคน “เขายังไม่กลับมาขอรับ ข้ามาถึงเป็นคนแรก” “แย่ล่ะ รีบตามข้ามา!!” หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่คิด กรรภ์ เคล้งง ‘โธ่เอ้ย นี่มันตัวบ้าอะไร’ ชายที่มีนามว่า อี้ฟ่าน กุมบาดแผลบริเวณหน้าท้องที่โดนทำร้าย เลือดหลั่งไหลจนเปียกชุ่ม สายตาเริ่มพร่ามัว ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนหน้า ‘ไม่ได้การ ต้องรีบไปรายงานท่านแม่ทัพ!’ อี้ฟ่านที่พบศพมนุษย์กำลังรีบตรงดิ่งเพื่อกลับไปยังจุดรวมตัว ‘หืม เหตุใดเงียบกว่าเดิม’ ทหารหนุ่มมองซ้ายขวาไม่พบศัตรูแม้แต่คนเดียว แม้แต่เสียงพูดคุยยังไม่ได้ยิน อย่างกับค่ายร้าง อี้ฟ่านเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น ฟึบบ หางตาเขาเหลือบไปเห็นเหมือนมนุษย์วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความหนาวของอากาศทำให้บรรยากาศเริ่มวังเวงมากขึ้น อี
“อี้ฟ่าน เจ้าอดทนไว้” กู้หานพยุงร่างเพื่อนที่แทบประคองสติไว้ไม่อยู่ หากเลือดยังไม่หยุดไหล คาดว่าเลือดได้ออกหมดตัวแน่ มืออีกข้างยังคงถือพลุสัญญาณไว้ “กู้หาน อี้ฟ่าน เกิดอะไรขึ้น!!” เสียงฝีเท้า 6 คู่ วิ่งมาถึง ทำเอากู้หานหายใจโล่งขึ้น คนมาใหม่ขมวดคิ้วสงสัยเมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของอี้ฟ่าน “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ท่านแม่ทัพกำลังสู้กับไอ้ตัวประหลาดอยู่” “ข้ากับอีกคนจะไปช่วยท่านแม่ทัพ ส่วนเจ้ามาช่วยดูอาการอี้ฟ่านที” ไม่มีเวลาให้ได้ถามถึงสถานการณ์อื่น ว่าจบจึงพากันรีบวิ่งไปทางที่กู้หานชี้บอก “บาดแผลสาหัสเอาการ เราต้องรีบพาเขาไปรักษา” คนพูดสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกล อีกทั้งยาห้ามเลือดที่นำมายังใช้แทบไม่ได้ผล “เฟยจินถึงไหนแล้ว” กู้หานถามขึ้น เฟยจิน เป็นชื่อของสายลับคนที่สอง “เขาบอกว่าตอนนี้อยู่ไกลจากที่นี่ อาจใช้เวลาเดินทาง” “แต่หากเราพาอี้ฟ่านกลับหมู่บ้านเกาซาน เขาคงทนไม่ไหวแน่” กู้หานทวีความเครียด เพราะถ้าสายลับอีกคนมาถึงอย่างน้อยยังพาไปรักษาหมู่บ้านแถวนี้ได้ “คะ แค่กๆ ปะ ไปช่วยท่าน มะ แม่ทัพเถอะ” อี้ฟ่า
“อึก ที่นี่ที่ไหนกัน” เฟลิกซ์ตื่นขึ้นมาอีกทีในที่แปลกประหลาด รอบตัวเขาเต็มไปด้วยความมืดมิด ทว่าแสงสลัวจากแสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้ยังคงเห็นภายในห้องนอน เตียงขนาดใหญ่ รอบห้องกลับว่างเปล่า“อะ โอ้ย…” พอขยับตัวลุกขึ้น ความเจ็บปวดบริเวณศีรษะแล่นเข้ามารวดเร็วจนกุมหัวร้องออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“องค์ชายตื่นแล้วหรือเพคะ” จู่ๆเสียงของหญิงนางหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาหน้าตาแตกตื่นระคนเป็นห่วง นางจุดตะเกียง รีบเข้าไปดูอาการองค์ชาย“บอกมาที่นี่ที่ไหน แล้วคุณเป็นใคร” เฟลิกซ์ยังคงกุมหัวที่เจ็บไว้ ท่าทีระแวงมองคนแปลกหน้า ถามเสียงดังลั่น ทว่าสิ่งที่เขาพึ่งรู้สึกตัวอีกอย่างคือเสียงที่เปล่งออกมาไม่ใช่เสียงของเขา ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาดูด้วยท่าทีแตกตื่น แขนขาเล็กนี่มันอะไรกัน เขามาอยู่ที่ไหนกันแน่ ความทรงจำล่าสุดที่พอจะนึกออกคือเขานอนหลับแล้วฝันไป ในฝันนั้นช่างมีความสุขเหลือเกิน เขาได้พบกับท่านแม่ นางบอกว่าเขาจะได้พบกับคนที่ตามหา หรือว่า“ฮื่อ เจ้าชายเพคะ จำแม่นมไม่ได้หรือ ใครก็ได้ตามหมอหลวงมาดูองค์ชายที” ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นแม่นมร้องอย่างแตกต
ศตวรรษ 3053“สังหารมันซะ” เซนท์ หรือเฟลิกซ์ ซัลลิแวนสั่งเสียงเหี้ยม ดวงตาสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์นิ่งเฉยแม้จะสั่งฆ่าคนเวลาผ่านไปอีก 1 ปี นับจากที่ลุงโรเบิร์ต บิดาของคนรักได้ส่งอาวุธมาให้ หลังจากนั้นเขาได้ทำสงครามกับจักรวรรดิไซเนียอย่างเต็มกำลัง ข่าวคราวจากโลกสีน้ำเงินขาดหายไปถ้านับระยะเวลาทั้งหมดก็เป็นเวลา 1 ปี แล้ว คล้ายขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิง วันเวลาผันผ่านไปช่างยาวนานสำหรับเขา วันแล้ววันเล่าที่รอเวลากลับไปหาคนรักชายหนุ่มจับจี้เรืองแสงที่ใส่ไว้ติดตัวตลอดซึ่งเป็นของสำคัญที่เขาต้องนำไปคืนคนรัก รวมถึงแหวนตกทอดของเสด็จแม่ที่ท่านให้ไว้ก่อนสวรรคต เพื่อนำไปมอบให้เจ้าของของมัน และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง สงครามจบลงโดยที่จักรวรรดิซีอัสเป็นฝ่ายชนะสงครามโดยเขากำลังสั่งให้ทหารลงมือสังหารจักรพรรดิของไซเนียและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ แม้จะชดเชยให้กับทหารที่เสียไปไม่ได้ก็ตาม“ระ เรามาเจรจากันดีหรือไม่” เสียงสั่นกลัวพยายามเรียกร้องการเจรจา“ไม่จำเป็น”
“ฮึก ฮึก” เจียวลู่หลังจากกลับจากร่ำลาพี่ใหญ่และทุกคน แอบมานั่งร้องไห้หลังครัวคนเดียว จุดเดิมที่เขาเคยนั่งกินปลาที่พี่ใหญ่แอบย่างให้กิน เขาคิดถึงพี่ใหญ่ พี่ใหญ่เป็นคนเดียวที่ดีกับเจียวลู่จากใจจริงในบ้านหลังนี้เรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่เจียวลู่แอบไปได้ยินว่าจางหมิ่นติดเงินพนันในตอนที่พวกผู้คุมบ่อนมาตามทวงหนี้ถึงหน้าบ้าน ช่วงนั้นไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากเจียวลู่และจางหมิ่น เจียวลู่จึงได้ยินเรื่องราวทั้งหมด และโดนจางหมิ่นขู่ว่าถ้านำเรื่องไปบอกใครจะจัดการเขา เด็กน้อยที่กลัวว่าจะโดนพี่สามตี จึงปิดปากเงียบ วันต่อมาจางหมิ่นตัดสินใจขอเงินนางจ้านโดยอ้างว่านำไปลงทุน นางจ้านที่เห็นดีเห็นงามกับบุตรชายให้เงินที่พึ่งได้รับมาหมาดๆไปทั้งหมด เรื่องราวเหมือนจะจบลงแค่ตรงนั้นทว่าผ่านไปเกือบเดือนจางหมิ่นกลับไปเล่นพนันอีก จนกระทั่งพวกคุมบ่อนตามมาทวงอีกรอบ คราวนี้เรื่องเลยแดงขึ้น เนื่องจากตอนนั้นทุกคนอยู่บ้านกันหมด ยกเว้นเหยาฉือที่โดนนางจ้านไล่ออกจากบ้านไปแล้ว ด้วยเงินที่ค้างไว้หลายเหรียญเงิน พวกเขาไม่สามารถหามาจ่ายได้ พวกคุมบ่อนเลยจะ
“ขะ ข้าขอเวลาอีกนิด เงินจำนวนนี้ข้าต้องแบ่งจ่ายให้กับพนักงาน” เถ้าแก่ใช้จุดบอดตอนหันหลังให้พวกมัน รีบยื่นตั๋วเงิน พร้อมรับค่าธรรมเนียมมาอย่างรวดเร็ว พลางกล่าวออกไปนับตั้งแต่โดนเจ้าถิ่นเข้ามาหาเรื่อง ยอดลูกค้าก็ตกลงอย่างเห็นได้ชัด กำไรที่ได้ก็ต้องแบ่งจ่ายให้พวกมัน ทำให้บางครั้งต้องติดค่าแรงพนักงานไว้ ผัดผ่อนหลายครั้ง ควักเงินส่วนตัวออกมาจ่ายก็หลายหน จะแจ้งทางการก็กลัวอิทธิพลของพวกมันชายชราอย่างเขาทำการค้าแลกเปลี่ยนตั๋วเงินด้วยความสุจริตมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี เกรงว่าจะนำความเดือดร้อนไปสู่ลูกหลาน พวกเขาออกเรือน แยกย้ายไปสร้างครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่มีคนหนุนหลัง มีแต่สองมือที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนต่อกรกับคนเลวพวกนี้ได้ นอกจากกล้ำกลืนฝืนทนจ่ายให้จบๆ“เห็นพวกข้าเป็นคนการกุศลงั้นรึ จ่ายมาเร็วๆ!!!” ชายร่างสูงใหญ่ตะคอกเสียงดัง มันไม่สนเหตุผล ข้ออ้างร้อยแปดอะไรทั้งนั้น วันนี้ต้องได้เงินกลับไปมอบให้กับนายท่าน“คนอย่างพวกเจ้ารู้จักคำว่ากุศลด้วยรึ” เจียหมิงตัดสินใจโพล่งออกไป แม้จะดูเสียมารยาท แต่อดไ
“อาหย่อยยยย” เหลียนฮวาตะโกนด้วยความสุขใจ จับแก้มกลมหลับตาพริ้ม ลิ้มรสอาหารที่ท่านพ่อท่านลุงผลัดกันป้อน โรงเตี๊ยมแห่งนี้อาหารช่างเป็นเลิศ นางมองอาหารหลายจานที่ทยอยนำมาเสิร์ฟ อาหารปรุงสุกอย่างไรก็ดีกว่าอาหารสำเร็จรูปแบบในโลกก่อนนางอยู่แล้ว เสียดายบอทเต้กับโรบอทไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ถ้าทั้งสองได้มาชิมคงจะคิดไม่ต่างกัน“โรบอทแค่เห็นเจ้านายกินก็มีความสุขแล้วขอรับ” เสียงแว่วของโรบอทดังผ่านความคิด ส่วนบอทเต้ไปปฏิบัติภารกิจที่นายท่านมอบหมายไว้อยู่ ท่านพ่อบอกว่าพวกเราไม่ต้องกลัวสายตาสงสัยของคนในหมู่บ้านอีกแล้ว สามารถใช้เงินที่หามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้อย่างเต็มที่ ส่วนท่านลุงเองก็มีเงินเก็บเยอะขึ้น เพราะไม่ต้องมีปลิงคอยสูบเงินแถมยังออกล่าสัตว์เกือบทุกวันกับท่านพ่อ นอกจากนี้ยังมีอาชีพเสริมเป็นนายหน้านำของในมิตินางไปขาย นางแบ่งปันเงินแต่ล่ะส่วนที่ได้มาให้เท่ากันทุกคนทุกวันนี้ในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ที่ท่านพ่อซื้อให้ยังนอนอยู่ในมิติ ซึ่งเต็มไปด้วยเหรียญหนักอึ้งจนยกไม่ไหว ต้องให้พ่อกับลุงช่วยยก หลังกินข้าวเสร็จ พวกเราจะไปโรงเตี๊ยมสำหรับแลกเงินกันต
“ว้าว คนเยอะมักเจ้าก่ะ” เมื่อมาถึง ทั้งสามคนตื่นเต้น มองผู้คนในเมืองหลวงที่แต่งตัวดูดี พ่อค้าแม่ค้าข้างทาง ของขายมีเยอะจนเลือกไม่ถูก หลายคนดูเหมือนมาจากตระกูลชนชั้นสูงรถม้ามีตราสัญลักษณ์เฉพาะตระกูลวิ่งขวักไขว่ไปมา“เหลียนเอ๋อร์อยู่ใกล้ๆพ่อกับลุงเจ้าไว้นะ” เจียหมิงที่ลายตา เพราะไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี คล้ายบ้านนอกเข้ากรุงอย่างไงอย่างงั้น“จะ เจียหมิงเราจะไปทางไหนดี” เหยาฉือสับสน ไม่เคยมาเมืองหลวงมาก่อน“อืม ข้าก็ไม่แน่ใจ คิดว่าเราไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า” เจียหมิงก็ใช่ว่าจะรู้ทาง เขาพาทุกคนสุ่มเดินไปตามทางเรื่อยๆ หากเจอร้านอาหารค่อยแวะปรึกษากันอีกครั้ง “เดี๋ยว พวกเจ้าจะเข้ามาในร้านไม่ได้” ในที่สุดพวกเขาก็เจอโรงเตี๊ยมอาหารขนาดกลางแห่งหนึ่ง ตัดสินใจพากันเดินเข้าไปหาอะไรกิน ทว่าหญิงที่คาดว่าเป็นเสี่ยวเอ้อร์เอ่ยดักทั้งสามไว้ สายตาดูถูกมองผู้มาใหม่หัวจรดเท้า แอบชะงักชั่วครู่เมื่อกี้นางรู้สึกได้ถึงสายตากดดันจากเด็กน้อย แต่สลัดความคิดลง สงสัยจะตาฝาดไปเอง“เอ่อ ที่นี่ไม่ใช่ร้านอาหารหรือขอรับ” เจียหมิงถามอย่างสงสัย ไม่
“เก็บของเสร็จหรือยัง” และแล้ววันเวลาก็ผ่านไป โรบอทกับบอทเต้ได้ฝึกและให้ความรู้แก่นายท่านพวกมันจนมั่นใจว่าวิชาที่มอบให้จะช่วยให้พวกเขาชนะศัตรูได้ ทั้งดาบ ธนู หอก ปืน หน้าไม้ โรบอทรับหน้าที่ฝึกให้จนชำนาญ ส่วนบอทเต้ได้มอบความรู้ด้านกลยุทธ์ แผนการและวิธีทำอาวุธใช้เอง ไม่เว้นแม้แต่ตัวอักษรของโลกใบนี้บอทเต้ก็สามารถสอนได้บัดนี้นับว่าท่านพ่อและท่านลุงของนางพร้อมสำหรับการรบแล้ว ทุกวันพวกเขาจะฝึกกันถึง 3 รอบ บริเวณหลังบ้าน เพื่อไม่ให้ใครเห็น เรียกว่าเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมานี้แทบไม่มีใครเห็นตัวท่านพ่อกับท่านลุง เนื่องจากเก็บตัวเงียบ ส่วนนางก็ไม่ออกไปเล่นที่ไหน แม้เสี่ยวหยวนจะมาชวนหลายครั้งเหลียนฮวาที่ถูกห่อตัวด้วยผ้าหนาๆคล้ายเสี่ยวเหมา แก้มแดงปลั่งเพราะอากาศหนาว นางสะพายกระเป๋าผ้าที่มีเสบียงของตัวเองไว้ด้านหลัง ส่วนท่านพ่อท่านลุงมีจำพวกของใช้ เสื้อผ้าในถุงผ้าขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน“เสดแย้ว” เหลียนฮวาชูมืออย่างดีใจ เหมือนได้ออกไปผจญภัยกับทุกคน โรบอทกับบอทเต้นางให้เข้าไปในมิติแล้ว เกรงว่าถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าจะพากันตกใจ แล้วแห่มาบ้านนางไม
“แฮ่กๆ ละ ลุงต้องทำ อะ อีกกี่ครั้ง” หลี่เหยาฉือเหงื่อเปียกชุ่มเอ่ยถามหลานสาวเสียงหอบ เสื้อผ้าของเจียหมิงที่ใส่อยู่แนบลู่ติดไปกับตัว หลานสาวปลุกเขาตั้งแต่เช้าให้มาทำท่าแปลกๆที่เรียกว่าออกกำลังกาย“อีกยี่สิบครั้งเจ้าก่ะ ห้ามหยุดน้า” เหลียนฮวาให้ท่านลุงของนางทำท่าซิทอัพเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ ลดไขมันบริเวณหน้าท้อง ท่าต่อไปต้องเพิ่มกล้ามแขน ส่วนท่านพ่อของนางทำครบแล้ว เพราะลดเหลือวันละเซ็ต ตอนนี้น่าจะไปส่งจดหมายให้ทางการอยู่“อ่า ฮึบ แฮ่กๆ”“18 19 20 เย้ ท่างยุงเก่งที่สุด แปะๆ” เด็กน้อยกะโดดโลดเต้นผิดกับเทรนเนอร์สุดโหดเมื่อสักครู่“แฮ่กๆ ท่าต่อไป จัดมาเลย ลุงไหว” เหยาฉือที่บ้ายอ พอโดนหลานชมเก่งที่สุดก็มีแรงฮึดสู้ ไม่หวั่นแม้จะเหนื่อยแค่ไหน เข้าทางเด็กน้อยที่รอคำนี้อยู่แล้ว เวลาหนึ่งเดือนท่านพ่อและท่านลุงของนางต้องมีซิกแพ็ค เฮ้ย มีกล้ามเนื้อ แข็งแรงพอที่จะจับปืน จับดาบต่อสู้กับพวกศัตรูได้อย่างไม่แพ้ใคร ครึ่งเดือนผ่านไปเคล้ง เคล้ง! “ย๊า เจียหมิง เจ้าอย่าได้ออมแรง” เสียงชายผิ
“ท่างป้อ ท่างยุง” เหลียนฮวาที่ตื่นนอนนานแล้ว ลุกมาพับที่นอน ใช้ฝักบัวน้อยๆรดน้ำผักรอท่านพ่อ พอได้ยินเสียงก็รีบวางทุกอย่างลงวิ่งดุกดิกเข้ามาหา พอเห็นว่าลุงมาด้วยก็ร้องเรียกอย่างดีใจ นางขมวดคิ้วมองสภาพของลุงที่เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นเล็กน้อย ตรงหน้าท้องมีรอยเท้าชัดเจน ใครบังอาจทำท่านลุงของนาง หลงลืมเรื่องที่ตัวเองต้องไปอยู่กับท่านลุงยามพ่อไปรบชั่วขณะ “เหลียนเอ๋อร์หลานลุง” หลี่เหยาฉืมองหลานแสนรักด้วยความคิดถึง “เกิดเยื่องไรเจ้ากะ ครายทามยุง” “เข้าบ้านกันก่อนสองลุงหลาน เราค่อยมาปรึกษาเรื่องนี้กันอีกที” เจียหมิงเรียกทุกคนไปคุยในบ้าน ก่อนที่เขาจะเปรยเรื่องขึ้นมา “แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรต่อเจียหมิง” เหยาฉือถามหลังจากพวกเขานั่งพูดคุย โดยมีเจ้าตัวน้อยตั้งใจฟังด้วย เด็กน้อยขมวดคิ้วไม่พอใจยามได้ยินเรื่องราวของท่านลุง หนอย ยายเฒ่ามหาภัย บังอาจทำร้ายท่านลุง แค้นนี้สักวันเหลียนเอ๋อร์จะชำระให้เอง “ข้าคิดมาสักแล้วว่าจะลองส่งเรื่องร้องขอทางการ หากพวกเขาไม่เห็นด้วย ข้าจะหาทางทำทุกอย่า