ยามโฉ่ว (01.00 - 02.59 น.)
“ถึงแล้วหรือ”
“ขอรับ พื้นที่ตรงหน้าคือชายแดน ค่ายทหารน่าจะอยู่ไม่ไกล ” มีครั้งหนึ่งในตอนที่เหลียนฮวาพึ่งคลอดใหม่ๆ เจียหมิงเคยแอบออกมาล่าสัตว์ในป่าลึกหวังจะได้สัตว์ไปขาย ซื้อน้ำนมให้บุตรสาว ด้วยความที่ตัวเองมัวแต่จดจ่อกับสัตว์ที่กำลังล่าจนไม่รู้ตัวว่าเขาเกือบข้ามเข้าไปยังเขตของแคว้นลั่วหยาง ครั้นได้ยินเสียงที่คิดว่าน่าจะเป็นทหารของทางฝั่งนั้น จึงรีบกุลีกุจอกลับหมู่บ้าน
หลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะออกมาล่าบริเวณนี้คนเดียวอีกเลย กลัวว่าถ้าข้ามไปแล้วจะไม่ได้กลับมาเจอบุตรสาวอีก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีเหตุให้ต้องกลับมาอีกครั้ง
“แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเฝ้าอยู่ตรงนี้ดูต้นทาง กลุ่มสองลอบเข้าไปด้านใน ข้าจะนำเอง เลี่ยงการปะทะ เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ”
“เอ่อ แล้วข้าล่ะขอรับ” เจียหมิงโพล่งถามขึ้นมาเพราะไม่รู้ตัวเองต้องอยู่ตรงไหน ทำหน้าที่อะไรต่อจากนี้
“เจ้ารออยู่กับกลุ่มแรกที่นี่ หากได้รับสัญญาณให้วิ่งกลับไปยังทางที่เรามาให้เร็วที่สุด ไม่ต้องสนใจทหารคนอื่น” ที่บอกว่าไม่ต้องสนใจ เพราะว่าทหารคนอื่นจะวิ่งตรงไปยังค่ายศัตรู เนื่องจากสัญญาณที่ส่งให้เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ ซึ่งทุกคนจะทราบและรู้ว่าต้องทำอย่างไร
เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าไปในค่ายศัตรูด้วย เกรงว่าตัวเขาเองจะไม่สามารถอยู่คุ้มกันใกล้ๆได้ อย่างไรชายชาติทหารที่มีชีวิตเพื่อปกป้องบ้านเมืองอย่างเขา หากบาดเจ็บจนตายก็ถือว่าตายอย่างสมเกียรติ แต่ไม่ใช่กับเจียหมิง ชายหนุ่มยังมีลูกสาวให้กลับไปดูแล
“ทำตามแผน ไปได้!!” เป่ยหวงหันไปพูดกับทหารคนอื่น ทุกคนพยักหน้าเป็นอันรู้กันก่อนจะแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ เจียหมิงโดนทหารนายหนี่งพามาแอบซุ่มดูอยู่ห่างๆ
“ทางนั้นมีคน” เป่ยหวงเอ่ยเตือนพลทหารอีก 2 นาย
“เจ้าสังเกตหรือไม่ ช่วงนี้คล้ายจำนวนทหารในค่ายเราลดน้อยลงแปลกๆ” ทหารแคว้นลั่วหยางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะกำลังเดินล่าตระเวณรอบๆ
“อย่าเที่ยวพูดให้ใครได้ยิน เกรงว่าหัวจะหลุดจากบ่า” เพื่อนอีกคนมองซ้ายขวาเตือน ทั้งที่มันก็คิดไม่ต่างจากอีกฝ่าย
“บ๊ะ ก็ที่นี่มีแค่เรา ไหนจะเรื่องที่เรียกเราไปกรีดเลือดทุกวันอีก ข้าว่า…”
แกร็บ
“นั่นใคร!!” บทสนทนาเป็นอันต้องชะงักลงเพราะมีคนหนึ่งในนั้นได้ยินเสียงแปลกๆ แล้วตะโกนขึ้นมา เป่ยหวงที่ส่งสายตาบอกทหารคนที่เผลอเหยียบใบไม้ให้ค่อยๆเคลื่อนตัวไปอีกทาง
“เจ้าหูฝาดเองแล้ว ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย” ยังเป็นทหารที่พูดไม่หยุดคนเดิมที่ขัดขึ้น ทว่าอีกคนยังไม่ลดความระแวง โชคดีที่ลมพัดมาพอดี เศษใบไม้ปลิวตามลม “เห็นไหม ข้าบอกแล้ว เข้าหูฟาดไปเอง”
ทหารฝ่ายแคว้นจ้าวทุกคนได้ยินอย่างนั้นจึงพากันโล่งอก ไม่ต้องการปะทะ โดยเฉพาะในถิ่นศัตรู
กระโจมทดลอง
“อึก อื้อ” บนตั่งไม้หยาบ มีร่างหนึ่งดีดดิ้นด้วยความทรมาน เหงื่อผุดพราย สีหน้าแสดงความเจ็บปวด เขาโดนมัดไว้ทั่วร่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งปาก เขาพยายามดิ้นให้หลุดพันธนาการ ทว่ากลับไร้ซึ่งหนทางรอด พลันเรื่องราวตัวเองผุดขึ้นมาในความคิด เขาเป็นหนึ่งในสายลับแคว้นจ้าว ถูกส่งให้มาสืบการซ่องสุมกำลังของพวกลั่วหยาง ลอบเข้ามาสืบยังค่ายนี้ได้สำเร็จ คราแรกยังนึกแปลกใจทำไมการป้องกันของค่ายถึงหละหลวมยิ่งนัก
ตอนนี้กลับเข้าใจแจ่มแจ้ง พวกมันกำลังทดลองบางอย่าง ที่เขารู้เพราะจู่ๆก็ถูกเรียกให้เข้ามาในกระโจมพร้อมกับทหารอีก 4 นาย เหมือนมันสุ่มคน พอเข้ามาถึงด้วยความมืด ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกฉีดยาบางอย่างทำให้สลบไป ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนหมดเรี่ยวแรงบนตั่งเตียง โดนปิดตา มัดมือมัดเท้า แต่ละวันได้แต่ฟังเสียงพวกมันทำบางอย่าง ได้ยินมันพูดว่าตัวทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกมันช่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ทหารของฝ่ายมัน เขาได้ยินแต่เสียงร้องอู้อี้ บ้างก็เสียงคำราม ทว่าไม่ถึง 2 ชั่วยาม เสียงนั้นก็เงียบไป
แม้ความหวังจะริบหรี่ อย่างไรก็ต้องรอดไปให้ได้ กลับไปแจ้งข่าวแก่แม่ทัพใหญ่ ชีวิตของคนในแคว้นจ้าวไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ไม่รู้ว่ามันกำลังทดลองอะไร แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นผลดีต่อแคว้นอื่นแน่ๆ
ฟึบบ
แสงสาดส่องเข้าดวงตาจนสายลับที่คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาชะงัก หรี่ตาเพื่อปรับแสง มีแค่ผ้าที่ปิดตาที่โดนกระชากออกไปเท่านั้น พลันร่างของคนผู้หนึ่งแต่งชุดขาวทั้งตัว ทว่ากลับเปื้อนไปด้วยคราบเลือด กำลังทำบางอย่างกับข้อมือเขา
จึก
“อื้ออ” ชายคนนั้นเอาเข็มทิ่มข้อมือเสร็จ แล้วนำบางอย่างทาไปตรงบริเวรณที่ทิ่ม หลังจากนั้นสายลับเบิกตาโพรงด้วย ความตกใจ ร่างกายร้อนเป็นไฟ คล้ายกำลังแตกพล่าน มีบางอย่างกำลังแล่นเข้ามากลืนกินตัวเขา ใจสั่นแรง เจ็บดั่งถูกไฟแผดเผา จนกระทั่งเขาตัดสินใจเดินลมปราณเพื่อขับสิ่งแปลกปลอมออก ทว่านั่นก็ทำเอาเขาเหนื่อย เหมือนคนวิ่งมาหลายร้อยลี้
“ท่านหมอผี ผ่านไป 1 เค่อแล้ว ร่างของตัวทดลองหมายเลข 5 ยังไม่กลายร่างขอรับ” ลูกมือของหมอผีทำหน้าสงสัยก่อนจะเอ่ยรายงาน ซึ่งตัวมันเองรับหน้าที่คอยช่วยเหลือท่านหมอผี เปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นอาวุธอันทรงพลัง มองภาพคนหลายคนที่นอนดิ้นทุรนทุรายด้วยสายตาเรียบเฉย พวกมันก็แค่มดปลวกที่จะกลายเป็นตัวทดลอง ไม่ต้องสนใจว่าจะอยู่หรือตาย ทว่าทหารผู้นี้กลับสร้างความแปลกใจให้มัน ปกติไม่ถึง 1 เค่อก็กลายร่างแล้ว แต่หลังจากนั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อไหมก็อีกเรื่อง
“อืมม เจ้าใช้ ‘สิ่งนั้น’ น้อยไปหรือ” หมอผีเฒ่าที่วุ่นอยู่กับร่างทดลองหมายเลข 2 อยู่ไม่ไกลเอ่ยถาม
“ไม่ขอรับ ข้าใช้ในสัดส่วนเหมือนกับทุกคน”
“งั้นรึ ไปๆ ข้าดูต่อเอง เจ้ารีบนำร่างตัวทดลองที่ล้มเหลวนั่นไปฝังเถอะ” หมอผียกมือไล่ลูกมืออย่างตัดรำคาญ ชี้นิ้วไปทางร่างมนุษย์ขาวซีดที่นอนทับถมกันเป็นภูเขาขนาดย่อม กลิ่นศพเหม็นเน่าลอยคละคลุ้ง ก่อนเดินเข้ามาใกล้ร่างของสายลับที่จ้องมองทางตนอย่างเคียดแค้น “ฮ่าๆ สีหน้าดีนี่” ฮั่วหมิงหัวเราะชอบใจยามเห็นสีหน้าเหยื่อ ที่ต้องเอาผ้าปิดตาออก เพราะส่วนใหญ่จะสังเกตสีดวงตาที่จะต้องแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วย และปกติก็มักจะเห็นแต่สายตาหวาดกลัว ไม่ก็สายตาร้องขอชีวิต ทว่าชายคนนี้กลับมีสายตาที่แข็งกร้าว
“ถุย พะ พวกแกต้องไม่ตายดี!”
“หึ ยังปากดีได้อยู่ ดูหน่อย เหตุใดร่างกายเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง” หมอผีเฒ่าร่ายมนต์ ก่อนจะใช้มีดลงอาคมกรีดบนแขนจนเกิดบาดแผลเป็นทางยาว เลือดค่อยๆซึมไหลออกมา มือยื่นไปหยิบของที่เรียกว่า ‘สิ่งนั้น’ มาหยดใส่บนบาดแผล
“อึก อักก” พลันแขนของสายลับค่อยๆเปลี่ยนเป็นขาวซีดช้าๆ เส้นเลือดผุดขึ้นคล้ายผีดิบ ทว่ากลับเป็นไปได้ช้ามาก ผิดกับมนุษย์คนอื่น ที่แค่สัมผัสผิวที่มีรอยแผลแค่เล็กน้อย ก็สามารถกลายเป็นผีดิบกระหายเลือดได้
สายลับแม้จะเจ็บปวด แต่ความอยากรู้มีมากไม่ต่างกัน เขามองการกระทำของไอ้หมอผีวิปริต ที่แท้เจ้าสิ่งนั้นที่พวกมันพูดถึงกันก่อนหน้านี้คือเมือกเหนียวๆ ส่งกลิ่นเหม็นแทบอาเจียนที่นำมาใส่บนแผล เขาพยายามทำแบบเดิมโดยการโคจรลมปราณตัวเองให้กระจายไปทั่วร่าง ฝืนร่างกายเพื่อขับสิ่งแปลกปลอม ทว่าครั้งนี้กลับแปลกออกไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า เพราะแบบนี้นี่เอง” จู่ๆหมอผีเฒ่าหัวเราะลั่น หลังสังเกตเห็นการกระทำของตัวทดลองหมายเลข 5 ไม่สนใจสีหน้าแปลกใจของอีกฝ่ายเลยสักนิด “เจ้าคงสงสัยใช่หรือไม่ ทำไมวิธีที่เจ้าใช้ตอนแรกถึงใช้ไม่ได้ผล หึหึ”
“นะ นี่มันอะไรกัน”
“เจ้าเป็นวรยุทธใช่หรือไม่” หมอผีมองที่แขนข้างซ้ายที่โดนกรีดของหมายเลข 5 ก่อนจะยิ้มพึงพอใจ เชื้อไม่ได้แพร่กระจายอย่างตอนแรก ทว่ามันกลับมันกลับค่อยๆเปลี่ยนแทรกซึมทีละนิดจนไม่อาจสังเกตได้
ดูเหมือนจะตกหนูตัวใหญ่ได้เสียแล้ว เขารู้ว่าในค่ายทหารแห่งนี้นอกจากฮั่วหมิง ไม่มีใครมีวรยุทธที่แข็งแกร่ง เพราะเลือกมากับมือว่าคนในค่ายแห่งนี้จะต้องเป็นเหยื่อของการทดลอง ฮ้องเต้จึงส่งแต่พวกทหารชั้นเลวหรือไม่ก็พวกชาวบ้านธรรมดาๆมาให้ ดังนั้นไม่มีทางที่คนที่มีวรยุทธจะปะปนมายังค่าย เว้นเสียแต่เป็นพวกสายลับจากแคว้นอื่น จะมาจากแคว้นไหนกันนะ ชักตื่นเต้นเสียแล้ว แต่ไม่ว่าจะแคว้นไหน อย่างไรแผนของเขาก็คือยึดครองทุกแคว้นอยู่แล้ว
“กะ แกทำอะไรกับคนพวกนั้น” สายลับมีสีหน้าตื่นตระหนก แต่เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นเดิม และเลือกที่จะถามถึงศพมนุษย์ที่ถูกขนย้ายออกไปด้านหลังกระโจมทีละร่าง
“ทำอะไรนะหรือ ข้าก็แค่คัดสรรมนุษย์ด้วยเจ้าสิ่งนี้” พูดพรางยกบางอย่างขึ้นมา พบว่าเป็นเมือกที่ส่งกลิ่นเหม็น
“นั่นคืออะไร!”
“จุ๊จุ๊ ช่างน่าเสียดายที่มันไม่ได้เป็นกันได้ทุกคน แค่ผู้ถูกเลือกเท่านั้น” หมอผียังบรรยายต่อไป ไม่สนใจท่าทีของคนที่มองมา
“พบสิ่งผิดปกติอันใดหรือไม่” “ไม่ขอรับท่านแม่ทัพ” เป่ยหวงถามทหารอีกนายเสียงเครียด พวกเขาเข้ามายังถิ่นศัตรูแล้ว ทว่ายังไม่พบสิ่งปกติอะไร นอกจากการเดินลาดตระเวนอันหละหลวมของพวกทหาร ยิ่งเข้ามาด้านในค่ายเหมือนไม่ใช่ค่ายทหาร หน่วยก้านบางคนเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ถูกเกณฑ์มาด้วยซ้ำ ไหนจะประโยคสนทนาของพวกทหารก่อนหน้านั่นอีก “แปลกเกินไป กระจายกำลังสำรวจโดยรอบ อย่าให้โดนจับได้” “ให้ตายสิ กลิ่นบ้าอะไร เหม็นอย่างกับอะไรตาย” ทหารแคว้นจ้าวที่แอบเข้ามาสำรวจบริเวณด้านหลังสบถในใจ ทนไม่ไหวจนต้องยกมือขึ้นปิดจมูก พื้นที่ตรงนี้เหมือนจะไม่มีคนอยู่ เขาเห็นถึงความผิดปกติ เลยกะจะเข้ามาดูสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าพอมาถึงแวบแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นเหม็น และดูเหมือนว่ายิ่งเดินเข้ามาใกล้เท่าไร กลิ่นยิ่งทวีความรุนแรง เขามองซ้ายขวาไม่เห็นใคร จึงเดินออกจากที่ซ่อน เดินตามกลิ่นก่อนจะเจอกับปากหลุมหลุมหนึ่ง เขาพยายามเพ่งมอง ทว่าด้วยความมืดทำให้ไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ด้านล่าง แต่กลิ่นที่โชยมาแตะจมูกคงไม่ใช่อะไรที่ดีแน่ หรืออาจเป็นแค่ซากสัตว์ตาย เพราะบริเวณนี้ใกล้กับ
“รายงานท่านแม่ทัพ จู่ๆทหารรอบๆก็พากันหมดสติไม่ทราบสาเหตุ” ทหารคนหนึ่งรีบเอ่ยขึ้นหลังกลับมายังจุดรวมตัว เป่ยหวงพยักหน้ารับเพราะก็เห็นถึงความผิดปกตินี้เหมือนกัน สายตาคมกริบกวาดมอง พบว่าคนในทีมยังขาดไปอีกคน “อี้ฟ่านไปไหน” เป่ยหวงถาม สายตามองหาลูกน้องอีกคน “เขายังไม่กลับมาขอรับ ข้ามาถึงเป็นคนแรก” “แย่ล่ะ รีบตามข้ามา!!” หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่คิด กรรภ์ เคล้งง ‘โธ่เอ้ย นี่มันตัวบ้าอะไร’ ชายที่มีนามว่า อี้ฟ่าน กุมบาดแผลบริเวณหน้าท้องที่โดนทำร้าย เลือดหลั่งไหลจนเปียกชุ่ม สายตาเริ่มพร่ามัว ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนหน้า ‘ไม่ได้การ ต้องรีบไปรายงานท่านแม่ทัพ!’ อี้ฟ่านที่พบศพมนุษย์กำลังรีบตรงดิ่งเพื่อกลับไปยังจุดรวมตัว ‘หืม เหตุใดเงียบกว่าเดิม’ ทหารหนุ่มมองซ้ายขวาไม่พบศัตรูแม้แต่คนเดียว แม้แต่เสียงพูดคุยยังไม่ได้ยิน อย่างกับค่ายร้าง อี้ฟ่านเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น ฟึบบ หางตาเขาเหลือบไปเห็นเหมือนมนุษย์วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความหนาวของอากาศทำให้บรรยากาศเริ่มวังเวงมากขึ้น อี
“อี้ฟ่าน เจ้าอดทนไว้” กู้หานพยุงร่างเพื่อนที่แทบประคองสติไว้ไม่อยู่ หากเลือดยังไม่หยุดไหล คาดว่าเลือดได้ออกหมดตัวแน่ มืออีกข้างยังคงถือพลุสัญญาณไว้ “กู้หาน อี้ฟ่าน เกิดอะไรขึ้น!!” เสียงฝีเท้า 6 คู่ วิ่งมาถึง ทำเอากู้หานหายใจโล่งขึ้น คนมาใหม่ขมวดคิ้วสงสัยเมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของอี้ฟ่าน “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ท่านแม่ทัพกำลังสู้กับไอ้ตัวประหลาดอยู่” “ข้ากับอีกคนจะไปช่วยท่านแม่ทัพ ส่วนเจ้ามาช่วยดูอาการอี้ฟ่านที” ไม่มีเวลาให้ได้ถามถึงสถานการณ์อื่น ว่าจบจึงพากันรีบวิ่งไปทางที่กู้หานชี้บอก “บาดแผลสาหัสเอาการ เราต้องรีบพาเขาไปรักษา” คนพูดสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกล อีกทั้งยาห้ามเลือดที่นำมายังใช้แทบไม่ได้ผล “เฟยจินถึงไหนแล้ว” กู้หานถามขึ้น เฟยจิน เป็นชื่อของสายลับคนที่สอง “เขาบอกว่าตอนนี้อยู่ไกลจากที่นี่ อาจใช้เวลาเดินทาง” “แต่หากเราพาอี้ฟ่านกลับหมู่บ้านเกาซาน เขาคงทนไม่ไหวแน่” กู้หานทวีความเครียด เพราะถ้าสายลับอีกคนมาถึงอย่างน้อยยังพาไปรักษาหมู่บ้านแถวนี้ได้ “คะ แค่กๆ ปะ ไปช่วยท่าน มะ แม่ทัพเถอะ” อี้ฟ่า
“ท่านแม่ทัพ แฮ่กๆ เรา ถะ ถอยก่อนดีหรือไม่” ทหารนายหนึ่งที่บาดเจ็บจากการด่วนข่วนเต็มแขน สะบักสะบอม เอ่ยถามแม่ทัพที่มีสภาพไม่ต่างกัน “อึก ทุกคนถอย!” เป่ยหวงหันมองรอบๆ เห็นทหารได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งพวกมันยังไม่มีทีท่าจะเหนื่อยเลยสักนิด จึงพยักหน้ายืนยันคำสั่งถอย ไม่รู้ว่าคือตัวอะไรกันแน่ มันโจมตีตามสัญชาตญาณคล้ายสัตว์ป่ายามบ้าคลั่ง ทั้งแข็งแกร่ง ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่เหนื่อย แถมแรงยังมากกว่าคนปกติ ดาบทำอะไรพวกมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จากตอนแรกมีแค่ตัวเดียว ไม่รู้มาเพิ่มจากไหนอีก 2 ตัว กลายเป็น 3 พวกเขาทำอะไรมันไม่ได้เลย แค่ปัดป้องยังตึงมือ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นพวกเขาที่หมดแรงเอง แฮร่ กรร ทว่าพวกมันไม่เปิดทางให้หนี ตีวงล้อมเข้ามาใกล้ คล้ายบางครั้งมันก็มีความคิด บางครั้งก็ทำตามสัญชาตญาณ เหมือนมันกำลังเล่นกับเหยื่อ หรือจะมีผู้สั่งการ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ใครจะไปควบคุมคนได้ ยิ่งเป็นคนคลั่งด้วยแล้ว เป่ยหวงสลัดความคิดไร้สาระออกจากหัว หากว่าระหว่างนั้นเองเขากลับโดนมันโจมตีทางด้านหลัง “ท่านแม่ทัพระวัง!!” ไม่ทันได้ยินเสียงเตือน แต่แล้ว
ยามอู่ (11.00 - 12.59 น.) “แผนต่อไปเราจะเอาอย่างไรกันต่อ” หนึ่งในทหารพูดเปิดประเด็น หลังจากทุกคนพักผ่อนเอาแรงกันแล้ว จึงมานั่งหารือกันกลางป่า ไม่ไกลจากค่ายศัตรูมากนัก ทว่าครั้งนี้มีสายลับคนที่สองนามว่าเฟยจินเข้าร่วมด้วย “บาดแผลพวกเจ้าเป็นไงบ้าง พร้อมสำหรับภารกิจต่อไปหรือไม่” เป่ยหวงสอบถามประเมินความพร้อมของลูกน้อง “ดีขึ้นแล้วขอรับ” อี้ฟ่านเป็นคนแรกที่เอ่ย เขานำผ้ามาพันแผลไว้เพื่อไม่ให้ทุกคนสังเกตได้ว่าตอนนี้มันสมานไปแล้ว โดยมีกู้หานคอยแสร้งมาทำแผล โปะยาให้ตลอด แล้วหันไปขยิบตากับเจียหมิงที่สะดุ้ง อย่างคนมีชะงักติดหลัง แต่ก็ยิ้มส่งให้ ‘ขอบคุณที่รักษาสัญญา’ “ส่วนของพวกข้ามีแค่รอยข่วน” “อืมม ไหวกันหรือไม่” เป่ยหวงถามพลางครุ่นคิด หากบาดเจ็บจนไม่ไหว เขาก็อยากถอยกลับไปตั้งหลักก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ เขาเชื่อว่าสายลับคนที่ 1 ยังมีชีวิตอยู่ “ไหวขอรับ!” ทุกเสียงตอบพร้อมเพรียงกัน “เจ้าละเจียหมิง ข้าจะไม่บังคับเจ้าเช่นเดิม” “ทุกคนอยู่ ข้าก็อยู่ขอรับ” เจียหมิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยว ร่วมเดินทางมาถึงขนาดนี้ เขาไม่อาจหนีกลับก่อนได้
“หมายเลขหนึ่ง ยังไม่กลายร่างอีกหรือ” หมอผีเฒ่าเดินเข้ามาในกระโจม ยืนมองร่างที่นอนอ่อนแรงจากการขาดน้ำและอาหาร ขมวดคิ้วสงสัย ร่างกายมีเพียงแค่บริเวณศอกลงไปเท่านั้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลง “ยังขอรับ” ชายชุดขาวตอบอย่างฉงนใจ มันไม่สามารถเพิ่ม ‘สิ่งนั้น’ ได้อีก เพราะหมอผีกลัวว่ามันจะรับไม่ไหว จึงได้แต่รอเวลาร่างทดลองกลายร่าง “เจ้าจะฝืนไปทำไม อย่างไรเจ้าก็ต้องกลายมาเป็นตัวทดลองที่สมบูรณ์ของข้า” หมอผีเฒ่าพูดอย่างเย้ยหยัน นับถือในความพยายามเอาชีวิตรอด แต่จะทนไปได้สักเท่าไร ร่างกายที่อ่อนแรงเช่นนี้ไม่อาจฝืนใช้ปราณได้อีกนานนักหรอก “อึก ขะ ข้ายอม ตะ ตายดีกว่า” สายลับใช้สายตาเคียดแค้นจ้องมองกลับ เขายอมอดข้าว อดน้ำ ฝืนใช้ปราณจนตาย ดีกว่ากลายเป็นสัตว์ประหลาด “ฮ่าฮ่า เข้าจะไม่ตายจนกว่าการทดลองข้าจะสำเร็จ!” ฮั่วเฉิงหัวเราะเยาะกับคำพูดนั้น ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงชายชุดขาวกับตัวทดลองอื่นที่กำลังร้องขอชีวิตด้วยความทรมาน “ทหารเหลือน้อยจนน่าตกใจ” กู้หานพูดเบาๆ หลังจากที่เข้ามายังในค่ายได้อย่างง่ายดาย คนเฝ้าด้านหน้าเหลือเพียงแค่ 2 คน จาก 4 คน นี่พวกมันไม่สง
ทางด้านกู้หาน“ชายชุดขาวคล้ายบัณฑิต” กู้หานพึมพำย้ำๆเตือนความจำ สายตาก็พยายามสอดส่องหาเป้าหมาย ในคนอันน้อยนิดที่เดินไปมาในค่ายกลับไม่พบคนที่คล้ายกับที่ตามหาเลย ทั้งที่พอมาคิดดูอีกที ดึกแบบนี้ชายคนนั้นจะยังแต่งชุดขาวอยู่อีกหรือ กู้หานครุ่นคิดในเมื่อในบรรดาคนที่เดินเฝ้ายามในค่ายไม่มีใครดูคล้ายยคนที่ตามหา แสดงว่าอาจอยู่ในกระโจมใดกระโจมหนึ่ง คิดดังนั้นกู้หานจึงมุ่งหน้าไปหากระโจมที่ใกล้กับด้านหลังที่สุด เพราะอย่างไรคนที่ไอ้หมอผีชั่วมันไว้ใจถึงขนาดให้รู้เรื่องการทดลองของมัน คงไม่ปล่อยให้ไปพักไกลหูไกลตา ฝีเท้าเบาหยุดตรงกระโจมหลังหนึ่งคร่อก คร่อก~เสียงกรนดังขึ้น ขนาดอยู่ด้านนอกยังได้ยิน กู้หานค่อยๆย่างก้าวทีละก้าวเข้าไปด้านใน แม้แสงไฟจะน้อยนิดแต่ก็ยังพอเห็นคนที่นอนอยู่ เป็นชายสวมชุดขาวจริงด้วย นี่ใส่ยันตอนนอนเลยหรือกู้หานเดินสำรวจรอบๆอย่างเงียบงัน เพื่อหากุญแจ ในกระโจมของมันโล่งกว่าที่คิด ง่ายต่อการหาของ มองโดยรอบไม่เจอ งั้นแสดงว่าต้องเก็บไว้ใกล้ตัวและในที่สุดก็หาเจอ มันวางไว้ใต้หมอน โชคดีที่สอดไว้อย่างหมิ่นเหม่กับหัวพอดี จึงมองเห็นกุญแจสะท้อนกับแสงไฟที่สาดส่องเข้ามา เห็นเป็นแสงวิบวับ
“ขะ ข้าอยู่ที่ไหน” ฮุ่ยหมิงสะลืมสะลือลุกขึ้น หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่จำได้ล่าสุดเป็นตอนท่านแม่ทัพมาช่วยเขาไว้ ก่อนภาพจะตัด เขาเห็นชายสามคนกำลังรุมจ้องมาทางเข้า ด้วยอาการเบลอๆจากความอ่อนเพลียยังมึนงงว่าใครเป็นใครบ้าง“อะแฮ่มๆ เจ้าควรนอนพักก่อน อาการพึ่งดีขึ้น” อี้ฟ่านที่เอ่ยก่อน เขาสองคนกับเจียหมิงช่วยกันแก้ตัว ในสถานการณ์ก่อนหน้าเป็นพัลวัน หลังจากทหารอีกคนเริ่มเอ๊ะใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่จู่ๆคนสภาพร่อแร่ ผิวเริ่มซีด ตัวร้อนจี๋ จู่ๆอาการกลับดีขึ้นจนเห็นได้ชัด เหมือนคนหลับไปเท่านั้นหาข้ออ้างอยู่นานจนอีกฝ่ายปักใจเชื่อว่าแค่บังเอิญเพราะร่างกายตอบสนองต่อยา ดีนะที่ทหารอีกคนไม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเนื่องจากไปหยิบกระบอกน้ำมาให้ เลยยังพอถูไถคำตอบไปได้ แต่ก็เล่นทั้งคู่เหงื่อแตกพลั่กๆ“นั่นอี้ฟ่านรึ”“ใช่ข้าเอง เจ้าตัวร้อนจัด พวกเราเลยต้องให้เจ้ากินยา”“จริงสิ ขะ แขน แขนข้า...” ฮุ่ยหมิงลนลานดูแขนตัวเองที่เขาใช้ปราณสกัดกั้นมันเอาไว้ตลอด ตอนเผลอหลับไปไม่รู้ว่ามันจะลามไปยังส่วนไหนบ้าง “เอ๊ะ ทะ ทำไม…”“เจ้าได้ยาดีหน่ะ” อี้ฟ่านเหล่มองเจียหมิงที่พยักหน้างึกงักเออออตาม“อ้อ ฮะ ฮ่าๆ เป็นแบบนี้นี่เอง” แม้ฮุ
“แคว้นเว่ยเล็กที่สุด ทำไมจึงร่ำรวยที่สุดล่ะ” หยางหลงถามแม่นมที่เล่ามาถึงตรงนี้ หลังจากเขาขอให้นางเล่าเรื่องราวของแคว้นทั้งหมด“เพราะแคว้นขุดพบเหมืองทองเพคะ ห้าในสิบส่วนของแคว้นเป็นทอง แคว้นเราจึงมั่งคั่งที่สุด แต่เราขาดแคลนหลายอย่าง ใต้พื้นดินเต็มไปด้วยทองก็จริงแต่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก…”“…”“ดังนั้น จึงต้องนำเข้าสินค้าจากแคว้นต้ากับแคว้นเทียนที่อยูใกล้เราและยังเป็นแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งและสามอีกด้วยเพคะ” แม่นมที่อยู่มานาน ครูพักรักจำมาจากผู้อื่นอีกที เนื่องจากหญิงแคว้นเว่ยไม่สามารถเข้ารับการศึกษาได้ จะมีเพียงชายที่ถึงวัยกำหนด และมีกำลังเพียงพอต่อการจ่ายค่าเล่าเรียนเท่านั้นถึงมีโอกาสได้ร่ำเรียน“อืมม แบบนี้นี่เอง” หยางหลงวิเคราะห์ตาม ความจริงเขาพอรู้อยู่แล้วว่าแคว้นเว่ยต้องมีบางอย่างที่แคว้นอื่นไม่มี ถึงทำให้ร่ำรวยกว่าแคว้นต้าที่เป็นแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งแต่ไม่คิดว่าจะเป็นทอง แสดงว่าทองของคนยุคนี้มีราคาสูงมากสินะ“แล้วสินค้าชนิดใดที่ส่วนใหญ่พวกเขาแลกเปลี่ยนกัน” หยางหลงถามต่อ การรู้ความเป็นไปของบ้านเมืองรอบแคว้
“อึก ที่นี่ที่ไหนกัน” เฟลิกซ์ตื่นขึ้นมาอีกทีในที่แปลกประหลาด รอบตัวเขาเต็มไปด้วยความมืดมิด ทว่าแสงสลัวจากแสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้ยังคงเห็นภายในห้องนอน เตียงขนาดใหญ่ รอบห้องกลับว่างเปล่า“อะ โอ้ย…” พอขยับตัวลุกขึ้น ความเจ็บปวดบริเวณศีรษะแล่นเข้ามารวดเร็วจนกุมหัวร้องออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“องค์ชายตื่นแล้วหรือเพคะ” จู่ๆเสียงของหญิงนางหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาหน้าตาแตกตื่นระคนเป็นห่วง นางจุดตะเกียง รีบเข้าไปดูอาการองค์ชาย“บอกมาที่นี่ที่ไหน แล้วคุณเป็นใคร” เฟลิกซ์ยังคงกุมหัวที่เจ็บไว้ ท่าทีระแวงมองคนแปลกหน้า ถามเสียงดังลั่น ทว่าสิ่งที่เขาพึ่งรู้สึกตัวอีกอย่างคือเสียงที่เปล่งออกมาไม่ใช่เสียงของเขา ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาดูด้วยท่าทีแตกตื่น แขนขาเล็กนี่มันอะไรกัน เขามาอยู่ที่ไหนกันแน่ ความทรงจำล่าสุดที่พอจะนึกออกคือเขานอนหลับแล้วฝันไป ในฝันนั้นช่างมีความสุขเหลือเกิน เขาได้พบกับท่านแม่ นางบอกว่าเขาจะได้พบกับคนที่ตามหา หรือว่า“ฮื่อ เจ้าชายเพคะ จำแม่นมไม่ได้หรือ ใครก็ได้ตามหมอหลวงมาดูองค์ชายที” ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นแม่นมร้องอย่างแตกต
ศตวรรษ 3053“สังหารมันซะ” เซนท์ หรือเฟลิกซ์ ซัลลิแวนสั่งเสียงเหี้ยม ดวงตาสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์นิ่งเฉยแม้จะสั่งฆ่าคนเวลาผ่านไปอีก 1 ปี นับจากที่ลุงโรเบิร์ต บิดาของคนรักได้ส่งอาวุธมาให้ หลังจากนั้นเขาได้ทำสงครามกับจักรวรรดิไซเนียอย่างเต็มกำลัง ข่าวคราวจากโลกสีน้ำเงินขาดหายไปถ้านับระยะเวลาทั้งหมดก็เป็นเวลา 1 ปี แล้ว คล้ายขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิง วันเวลาผันผ่านไปช่างยาวนานสำหรับเขา วันแล้ววันเล่าที่รอเวลากลับไปหาคนรักชายหนุ่มจับจี้เรืองแสงที่ใส่ไว้ติดตัวตลอดซึ่งเป็นของสำคัญที่เขาต้องนำไปคืนคนรัก รวมถึงแหวนตกทอดของเสด็จแม่ที่ท่านให้ไว้ก่อนสวรรคต เพื่อนำไปมอบให้เจ้าของของมัน และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง สงครามจบลงโดยที่จักรวรรดิซีอัสเป็นฝ่ายชนะสงครามโดยเขากำลังสั่งให้ทหารลงมือสังหารจักรพรรดิของไซเนียและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ แม้จะชดเชยให้กับทหารที่เสียไปไม่ได้ก็ตาม“ระ เรามาเจรจากันดีหรือไม่” เสียงสั่นกลัวพยายามเรียกร้องการเจรจา“ไม่จำเป็น”
“ฮึก ฮึก” เจียวลู่หลังจากกลับจากร่ำลาพี่ใหญ่และทุกคน แอบมานั่งร้องไห้หลังครัวคนเดียว จุดเดิมที่เขาเคยนั่งกินปลาที่พี่ใหญ่แอบย่างให้กิน เขาคิดถึงพี่ใหญ่ พี่ใหญ่เป็นคนเดียวที่ดีกับเจียวลู่จากใจจริงในบ้านหลังนี้เรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่เจียวลู่แอบไปได้ยินว่าจางหมิ่นติดเงินพนันในตอนที่พวกผู้คุมบ่อนมาตามทวงหนี้ถึงหน้าบ้าน ช่วงนั้นไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากเจียวลู่และจางหมิ่น เจียวลู่จึงได้ยินเรื่องราวทั้งหมด และโดนจางหมิ่นขู่ว่าถ้านำเรื่องไปบอกใครจะจัดการเขา เด็กน้อยที่กลัวว่าจะโดนพี่สามตี จึงปิดปากเงียบ วันต่อมาจางหมิ่นตัดสินใจขอเงินนางจ้านโดยอ้างว่านำไปลงทุน นางจ้านที่เห็นดีเห็นงามกับบุตรชายให้เงินที่พึ่งได้รับมาหมาดๆไปทั้งหมด เรื่องราวเหมือนจะจบลงแค่ตรงนั้นทว่าผ่านไปเกือบเดือนจางหมิ่นกลับไปเล่นพนันอีก จนกระทั่งพวกคุมบ่อนตามมาทวงอีกรอบ คราวนี้เรื่องเลยแดงขึ้น เนื่องจากตอนนั้นทุกคนอยู่บ้านกันหมด ยกเว้นเหยาฉือที่โดนนางจ้านไล่ออกจากบ้านไปแล้ว ด้วยเงินที่ค้างไว้หลายเหรียญเงิน พวกเขาไม่สามารถหามาจ่ายได้ พวกคุมบ่อนเลยจะ
“ขะ ข้าขอเวลาอีกนิด เงินจำนวนนี้ข้าต้องแบ่งจ่ายให้กับพนักงาน” เถ้าแก่ใช้จุดบอดตอนหันหลังให้พวกมัน รีบยื่นตั๋วเงิน พร้อมรับค่าธรรมเนียมมาอย่างรวดเร็ว พลางกล่าวออกไปนับตั้งแต่โดนเจ้าถิ่นเข้ามาหาเรื่อง ยอดลูกค้าก็ตกลงอย่างเห็นได้ชัด กำไรที่ได้ก็ต้องแบ่งจ่ายให้พวกมัน ทำให้บางครั้งต้องติดค่าแรงพนักงานไว้ ผัดผ่อนหลายครั้ง ควักเงินส่วนตัวออกมาจ่ายก็หลายหน จะแจ้งทางการก็กลัวอิทธิพลของพวกมันชายชราอย่างเขาทำการค้าแลกเปลี่ยนตั๋วเงินด้วยความสุจริตมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี เกรงว่าจะนำความเดือดร้อนไปสู่ลูกหลาน พวกเขาออกเรือน แยกย้ายไปสร้างครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่มีคนหนุนหลัง มีแต่สองมือที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนต่อกรกับคนเลวพวกนี้ได้ นอกจากกล้ำกลืนฝืนทนจ่ายให้จบๆ“เห็นพวกข้าเป็นคนการกุศลงั้นรึ จ่ายมาเร็วๆ!!!” ชายร่างสูงใหญ่ตะคอกเสียงดัง มันไม่สนเหตุผล ข้ออ้างร้อยแปดอะไรทั้งนั้น วันนี้ต้องได้เงินกลับไปมอบให้กับนายท่าน“คนอย่างพวกเจ้ารู้จักคำว่ากุศลด้วยรึ” เจียหมิงตัดสินใจโพล่งออกไป แม้จะดูเสียมารยาท แต่อดไ
“อาหย่อยยยย” เหลียนฮวาตะโกนด้วยความสุขใจ จับแก้มกลมหลับตาพริ้ม ลิ้มรสอาหารที่ท่านพ่อท่านลุงผลัดกันป้อน โรงเตี๊ยมแห่งนี้อาหารช่างเป็นเลิศ นางมองอาหารหลายจานที่ทยอยนำมาเสิร์ฟ อาหารปรุงสุกอย่างไรก็ดีกว่าอาหารสำเร็จรูปแบบในโลกก่อนนางอยู่แล้ว เสียดายบอทเต้กับโรบอทไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ถ้าทั้งสองได้มาชิมคงจะคิดไม่ต่างกัน“โรบอทแค่เห็นเจ้านายกินก็มีความสุขแล้วขอรับ” เสียงแว่วของโรบอทดังผ่านความคิด ส่วนบอทเต้ไปปฏิบัติภารกิจที่นายท่านมอบหมายไว้อยู่ ท่านพ่อบอกว่าพวกเราไม่ต้องกลัวสายตาสงสัยของคนในหมู่บ้านอีกแล้ว สามารถใช้เงินที่หามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้อย่างเต็มที่ ส่วนท่านลุงเองก็มีเงินเก็บเยอะขึ้น เพราะไม่ต้องมีปลิงคอยสูบเงินแถมยังออกล่าสัตว์เกือบทุกวันกับท่านพ่อ นอกจากนี้ยังมีอาชีพเสริมเป็นนายหน้านำของในมิตินางไปขาย นางแบ่งปันเงินแต่ล่ะส่วนที่ได้มาให้เท่ากันทุกคนทุกวันนี้ในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ที่ท่านพ่อซื้อให้ยังนอนอยู่ในมิติ ซึ่งเต็มไปด้วยเหรียญหนักอึ้งจนยกไม่ไหว ต้องให้พ่อกับลุงช่วยยก หลังกินข้าวเสร็จ พวกเราจะไปโรงเตี๊ยมสำหรับแลกเงินกันต
“ว้าว คนเยอะมักเจ้าก่ะ” เมื่อมาถึง ทั้งสามคนตื่นเต้น มองผู้คนในเมืองหลวงที่แต่งตัวดูดี พ่อค้าแม่ค้าข้างทาง ของขายมีเยอะจนเลือกไม่ถูก หลายคนดูเหมือนมาจากตระกูลชนชั้นสูงรถม้ามีตราสัญลักษณ์เฉพาะตระกูลวิ่งขวักไขว่ไปมา“เหลียนเอ๋อร์อยู่ใกล้ๆพ่อกับลุงเจ้าไว้นะ” เจียหมิงที่ลายตา เพราะไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี คล้ายบ้านนอกเข้ากรุงอย่างไงอย่างงั้น“จะ เจียหมิงเราจะไปทางไหนดี” เหยาฉือสับสน ไม่เคยมาเมืองหลวงมาก่อน“อืม ข้าก็ไม่แน่ใจ คิดว่าเราไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า” เจียหมิงก็ใช่ว่าจะรู้ทาง เขาพาทุกคนสุ่มเดินไปตามทางเรื่อยๆ หากเจอร้านอาหารค่อยแวะปรึกษากันอีกครั้ง “เดี๋ยว พวกเจ้าจะเข้ามาในร้านไม่ได้” ในที่สุดพวกเขาก็เจอโรงเตี๊ยมอาหารขนาดกลางแห่งหนึ่ง ตัดสินใจพากันเดินเข้าไปหาอะไรกิน ทว่าหญิงที่คาดว่าเป็นเสี่ยวเอ้อร์เอ่ยดักทั้งสามไว้ สายตาดูถูกมองผู้มาใหม่หัวจรดเท้า แอบชะงักชั่วครู่เมื่อกี้นางรู้สึกได้ถึงสายตากดดันจากเด็กน้อย แต่สลัดความคิดลง สงสัยจะตาฝาดไปเอง“เอ่อ ที่นี่ไม่ใช่ร้านอาหารหรือขอรับ” เจียหมิงถามอย่างสงสัย ไม่
“เก็บของเสร็จหรือยัง” และแล้ววันเวลาก็ผ่านไป โรบอทกับบอทเต้ได้ฝึกและให้ความรู้แก่นายท่านพวกมันจนมั่นใจว่าวิชาที่มอบให้จะช่วยให้พวกเขาชนะศัตรูได้ ทั้งดาบ ธนู หอก ปืน หน้าไม้ โรบอทรับหน้าที่ฝึกให้จนชำนาญ ส่วนบอทเต้ได้มอบความรู้ด้านกลยุทธ์ แผนการและวิธีทำอาวุธใช้เอง ไม่เว้นแม้แต่ตัวอักษรของโลกใบนี้บอทเต้ก็สามารถสอนได้บัดนี้นับว่าท่านพ่อและท่านลุงของนางพร้อมสำหรับการรบแล้ว ทุกวันพวกเขาจะฝึกกันถึง 3 รอบ บริเวณหลังบ้าน เพื่อไม่ให้ใครเห็น เรียกว่าเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมานี้แทบไม่มีใครเห็นตัวท่านพ่อกับท่านลุง เนื่องจากเก็บตัวเงียบ ส่วนนางก็ไม่ออกไปเล่นที่ไหน แม้เสี่ยวหยวนจะมาชวนหลายครั้งเหลียนฮวาที่ถูกห่อตัวด้วยผ้าหนาๆคล้ายเสี่ยวเหมา แก้มแดงปลั่งเพราะอากาศหนาว นางสะพายกระเป๋าผ้าที่มีเสบียงของตัวเองไว้ด้านหลัง ส่วนท่านพ่อท่านลุงมีจำพวกของใช้ เสื้อผ้าในถุงผ้าขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน“เสดแย้ว” เหลียนฮวาชูมืออย่างดีใจ เหมือนได้ออกไปผจญภัยกับทุกคน โรบอทกับบอทเต้นางให้เข้าไปในมิติแล้ว เกรงว่าถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าจะพากันตกใจ แล้วแห่มาบ้านนางไม
“แฮ่กๆ ละ ลุงต้องทำ อะ อีกกี่ครั้ง” หลี่เหยาฉือเหงื่อเปียกชุ่มเอ่ยถามหลานสาวเสียงหอบ เสื้อผ้าของเจียหมิงที่ใส่อยู่แนบลู่ติดไปกับตัว หลานสาวปลุกเขาตั้งแต่เช้าให้มาทำท่าแปลกๆที่เรียกว่าออกกำลังกาย“อีกยี่สิบครั้งเจ้าก่ะ ห้ามหยุดน้า” เหลียนฮวาให้ท่านลุงของนางทำท่าซิทอัพเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ ลดไขมันบริเวณหน้าท้อง ท่าต่อไปต้องเพิ่มกล้ามแขน ส่วนท่านพ่อของนางทำครบแล้ว เพราะลดเหลือวันละเซ็ต ตอนนี้น่าจะไปส่งจดหมายให้ทางการอยู่“อ่า ฮึบ แฮ่กๆ”“18 19 20 เย้ ท่างยุงเก่งที่สุด แปะๆ” เด็กน้อยกะโดดโลดเต้นผิดกับเทรนเนอร์สุดโหดเมื่อสักครู่“แฮ่กๆ ท่าต่อไป จัดมาเลย ลุงไหว” เหยาฉือที่บ้ายอ พอโดนหลานชมเก่งที่สุดก็มีแรงฮึดสู้ ไม่หวั่นแม้จะเหนื่อยแค่ไหน เข้าทางเด็กน้อยที่รอคำนี้อยู่แล้ว เวลาหนึ่งเดือนท่านพ่อและท่านลุงของนางต้องมีซิกแพ็ค เฮ้ย มีกล้ามเนื้อ แข็งแรงพอที่จะจับปืน จับดาบต่อสู้กับพวกศัตรูได้อย่างไม่แพ้ใคร ครึ่งเดือนผ่านไปเคล้ง เคล้ง! “ย๊า เจียหมิง เจ้าอย่าได้ออมแรง” เสียงชายผิ