ขณะคนที่กำลังถูกพูดถึงขยับตัวอย่างขี้เกียจ ก่อนจะตบศีรษะตัวเองเบา ๆ ทั้งที่ยังไม่ลืมตา อาการเมาแฮงค์กำเริบทันทีที่รู้สึกตัว ตามด้วยอาการมึนหัววิงเวียนผะอืดผะอม ก่อนจะลืมตาขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งของพื้นที่นอนอยู่ แต่เธอก็ต้องหลับตาลงอีกครั้งเมื่อมีแสงสีขาวสาดส่องเข้าตาอย่างกะทันหัน
มือบางลูบลงบนที่นอนแม้จะปูผ้านวมแต่ก็ไม่ได้นุ่มเหมือนนอนบนฟูกอย่างที่เคยนอน แถมกลิ่นผ้านวมก็เป็นกลิ่นหอมในแบบที่ไม่คุ้นเคย มันไม่ใช่กลิ่นกุหลาบที่เธอชอบใช้ แต่เป็นกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อน ๆ
หญิงสาวตั้งสติที่ยังมึนงงแล้วลืมตาขึ้นก่อนจะกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อรอบข้างไม่คุ้นตาสักนิด เธอนอนอยู่ข้างเตียง บนพื้นปูด้วยผ้านวมสีเทา ผ้าห่มลายสก็อตสีน้ำตาลเข้มสลับขาว เธอลุกขึ้นนั่งหันไปทางฝั่งซ้ายมือเป็นเตียงนอนขนาดห้าฟุตซึ่งปูไว้อย่างดี ด้วยผ้านวมสีเทาเข้ม ลักษณะการปูเหมือนกับการปูเตียงแบบโรงแรม บนเตียงเรียบตึงราวกับไม่มีใครเคยนอนมาก่อน ทุกอย่างในห้องสะอาดสะอ้านไม่มีสิ่งใดเกะกะสายตา
ฝั่งขวามือเป็นหน้าต่างกระจกที่แสงจากข้างนอกส่องจ้าเข้ามา ผนังส่วนที่ติดกับกระจกเป็นตู้และชั้นวางของทำด้วยไม้เป็นแบบบิลต์อินติดผนัง ทุกอย่างถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ หนังสือเล่มหนาโชว์สันปกทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษหลายเล่มวางเรียงกัน ดูลักษณะการแต่งห้องแล้วเหมือนกับห้องผู้ชายมากกว่าห้องผู้หญิง
“ที่ไหนเนี่ย หรือว่าห้องแม็กซ์” ความทรงจำอันพร่าเลือนของเธอเริ่มฟื้นคืน เมื่อย้อนกลับไปคิดว่าเมื่อคืนเธอไปงานเลี้ยงศิษย์เก่าที่โรงแรมแล้วก็ดื่มกินอย่างสนุกสนานกับเพื่อน ๆ ก่อนจะโทร. ให้พี่ชายส่งคนมารับ และคนที่ไปรับเธอก็คือนภดลหรือแม็กซ์ น้องชายของเพียงฤดี เพื่อนสาวคนสนิทของเธอ ที่ตอนนี้แต่งงานกับคีรินพี่ชายของเธอไปเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อคิดได้ว่าอาจจะเป็นห้องของนภดลเพราะห้องนี้มีลักษณะเป็นห้องไม้เหมือนกับบ้านไม้ของเพียงฤดีเธอก็ถอนใจโล่งอก จึงขยับตัวลุกขึ้นยืนช้า ๆ ไม่ให้ร่างกายซวนเซจนเกินไป แต่แล้วสายตาของเธอก็สะดุดอยู่ที่รูปถ่ายบนหัวเตียง จึงเดินไปหยิบมาดูให้ชัด ๆ แล้วภาพถ่ายที่เห็นก็ทำให้เธอนึกถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างเธอกับผู้ชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน ว่าเขาเคยแย่งที่จอดรถ แล้วเธอก็ลงไปเคาะประตูรถเรียกให้เขาถอยไป แต่คนหน้าด้านกลับมาโวยวาย
‘คุณ ๆ คุณถอยรถออกเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ฉันจะจอดช่องนี้ ฉันจอดรออยู่ตั้งนานให้เขาถอยออก แล้วอยู่ ๆ คุณก็เข้ามาเสียบ คุณถอยไปเลยค่ะ’
‘อ้าว ผมไม่เห็นจริง ๆ ครับ ว่าคุณจอดรออยู่ แต่ตรงโน้นก็จอดได้ คุณไปจอดตรงโน้นดีไหมครับ’
‘ก็ฉันจองตรงนี้ก่อนแล้ว จอดรออยู่ตั้งนานให้เขาถอยออก นายตาบอดหรือไร้มารยาท หือ ถึงได้เข้ามาเสียบโดยไม่ดูให้ดีว่าฉันรอเข้าจอดอยู่ก่อน’
‘ก็ผมไม่รู้ไงว่าคุณจะเข้าจอด นึกว่าคุณก็จะออกเหมือนกันเลยรีบเข้ามา คุณเข้าไปจอดช่องโน้นไม่เร็วกว่าให้ผมถอยออกเหรอครับ’ เขาชี้ไปที่ช่องถัดไป
‘ไม่ ฉันจะจอดตรงนี้ ฉันจองก่อนก็ต้องได้จอด แล้วฉันก็ไม่ไปจอดตรงไหนทั้งนั้นถ้านายไม่ยอมถอยออกไป นายต้องถอยออกไปเดี๋ยวนี้’
‘เฮ้ย นี่มันตลาดนัดนะคุณ ไม่ใช่ที่จอดรถส่วนบุคคลที่คุณจะจองเป็นของตัวเอง หน้าตาก็ดีนะ แต่ทำไมนิสัยแย่แบบนี้ โวยวายอย่างกับผู้หญิงเสียสติ โอเค คุณจะจอดก็จอดไปเลย จอดทั้งชีวิตไปเลยก็ได้ ผมถอยให้ ถือซะว่าถอยให้คนบ้าก็แล้วกัน’ ว่าแล้วเขาก็ถอยรถออกแล้วขับออกไปทันที โดยไม่ได้ไปจอดที่อื่นอีก
แล้วเธอก็มาพบเขาอีกครั้งในงานแต่งงานของพี่ชายกับเพื่อนรักของเธอ ซึ่งเขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ส่วนเธอก็มาเป็นเพื่อนเจ้าสาว เธอจำผู้ชายผิวขาว คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ปากแดงคนนี้ได้ดี ถ้าหากวันนั้นไม่ใช่วันแต่งงานของพี่ชาย เธอคงวีนแหลกไม่ไว้หน้าไปแล้ว
“นี่มันห้องนายเหรอ ไอ้หน้าวอก แล้วนายให้ฉันนอนข้างเตียงเนี่ยนะ เออ...แล้วกระเป๋า กระเป๋าฉันล่ะ” หญิงสาวก้มมองหากระเป๋าสุดหวง ก่อนจะเห็นกระเป๋าสตางค์ใบเล็กและของกระจุกกระจิกสองสามชิ้นกองอยู่ข้างหมอน
“กระเป๋า นายเอากระเป๋าฉันไปไหน ตายแล้ว ไอ้หน้าวอกนั่น มัน มันข่มขืนฉันแล้วขโมยกระเป๋าฉันไปแล้วแน่ ๆ สามแสน สามแสนเลยนะนั่น”
กรี๊ดดด!!!
เสียงกรีดร้องยาวเหยียดดังระดับร้อยยี่สิบเดซิเบล ทำให้คนที่อยู่บ้านใกล้กันถึงกับสะดุ้งเฮือก คีรินหันไปตามเสียง ก่อนจะหันมาหาชายหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังตักข้าวเข้าปาก ปรัชญาตกใจถึงกับปล่อยช้อนหลุดมือหล่นลงไปในจาน“ฉิบหายละพี่คี เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขาร้องทำไมอ่ะ”“ไม่รู้ นายไปดูหน่อย คงตกใจที่ตื่นมาแล้วไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนละมั้ง” คีรินเอ่ยเสียงเรียบ ๆ ราวกับคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างดี“ครับ” ปรัชญาตอบก่อนจะหันไปหาหทัยรัตน์“เดี๋ยวผมมากินต่อนะครับแม่ อย่าเพิ่งเก็บ” ว่าแล้ววางจานอาหารที่เหลือครึ่งจานไว้บนโต๊ะกลางของโซฟา ก่อนจะรีบเผ่นพรวดกลับไปยังกระท่อมของตัวเอง“เกิดอะไรขึ้นคุณ” เขาถามหญิงสาวที่นั่งอยู่กับกองผ้านวมแล้วส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นไม่หยุด มือก็ทุบหมอนทุบผ้าห่มไปด้วย พอเห็นหน้าเขา เธอก็ลุกพรวดขึ้นมาชี้นิ้วใส่แล้วถามเสียงดังลั่น“นาย ไอ้หน้าวอก นายทำอะไรฉันเมื่อคืนนี้ ทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่ นายข่มขืนฉันใช่ไหม” ปรัชญาอ้าปากค้าง ตาเหลือกลานอย่างตกใจกับข้อกล่าวหา เขากลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตั้งสติตอบ“บ้า ผมไปทำอะไรคุณ ก็พี่คีให้ผมไปรับคุณมา แล้วกุญแจบ้านก็ไม่มี เขาให้ผมเอาคุณมานอนที่นี่
“ของแพงขนาดนั้นมันต้องทนกว่าของราคาถูก ๆ สิ จะพังง่าย ๆ ได้ยังไงใช่มั้ย ใจเย็น ๆ น่า ไม่ต้องร้อง เดี๋ยวผมไปเอามาให้ดู” เขาว่าแล้วก็เดินไปหยิบ“เนี่ย มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย ดูสิ” เขาว่าพลางยื่นกระเป๋าให้นภาธรยื่นมือสั่นเทาไปรับกระเป๋าแสนรัก เธอสัมผัสมันอย่างแผ่วเบาราวกับว่าหากรุนแรงกว่านี้มันจะบุบสลายไปกับมือ“ผมก็แค่เอาน้ำฉีด ๆ ตรงที่เปื้อนเท่านั้นเอง แล้วผมก็ไม่มีวิธีไหนที่จะทำความสะอาดกระเป๋าเปื้อนอ้วกให้ดีกว่านี้แล้วด้วย นอกจากเอาน้ำล้าง มันเปียกผมก็เอามาตาก แล้วมันจะอะไรนักหนา” ว่าเสียงหงุดหงิด อีกคนมีท่าทีอ่อนลง เอ่ยเบา ๆ ว่า“นายก็ไม่ต้องเอามาตากแดดก็ได้นี่ มันบอบบางมาก เดี๋ยวสีซีด เอาวางตากลมก็ได้ เดี๋ยวก็แห้งเอง นี่ดีนะ ฮือ ๆ ที่น้องกระเป๋าไม่เป็นอะไรมาก”พูดเสียงอุบอิบ ก่อนจะเอากระเป๋ามากอดแนบอกอย่างถนอม ปรัชญามองแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมาเอ่ยว่า“อือ ไม่เป็นอะไรมากก็ดี ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว หน้าตาดูไม่ได้เลยอย่างกับหมีแพนด้า ขี้มูกขี้ตาเกรอะกรัง กลิ่นละมุดหึ่งไปทั้งตัว ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ขี้เมาหยำเป ใครได้ไปเป็นเมียเนี่ยซวยตายเลย ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนนั่นแหละ เด
๑ นางหงส์หญิงสาวร่างเพรียวบางในชุดเดรสยาวสำหรับออกงานสีชมพูนู้ด สะพายกระเป๋าใบเล็กสีชมพูเข้มดูโดดเด่น เดินอย่างมั่นใจเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรู วันนี้ทางโรงเรียนจัดงานเลี้ยงศิษย์เก่า นภาธรจึงมาร่วมงานตามที่ได้รับบัตรเชิญ ร่างสวยชะงักเมื่อมีเสียงเรียกอยู่ด้านหลัง“อ้าว นั่นน้องนภาใช่ไหมจ๊ะ” นภาธรหันไปมอง เธอย่นคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาวสวยคุ้นตา ทว่ายังจำไม่ค่อยได้นัก เพราะไม่ได้กลับบ้านต่างจังหวัดนานแล้ว ทำให้บางทีก็หลงลืมคนที่เคยรู้จักไปบ้างแต่ที่กลับมาคราวนี้ก็เนื่องจากพี่ชายคนรองเพิ่งโทร. ไปบอกเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ว่าบ้านของเธอสร้างเสร็จแล้วให้กลับมาดู เผื่อว่าต้องการจะให้แก้ไขอะไรจะได้รีบทำ เมื่อได้รับบัตรเชิญที่ทางโรงเรียนส่งไปให้ในช่วงเวลาเดียวกัน เธอก็ตัดสินใจกลับมาร่วมงานเลี้ยงศิษย์เก่าในวันนี้ทันที ด้วยคิดถึงเพื่อนเก่าที่เคยเรียนมาด้วยกันเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ไปหาบิดาและมารดาที่บ้านของชลธร ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตก่อน เพราะอยู่ใกล้กับโรงแรมที่จัดงานเลี้ยงมากกว่าก่อนจะนอนหลับพักผ่อนแล้วตื่นมาตอนบ่าย ๆ อาบน้ำแต่งตัวแล้วมางานเลี้ยงต่อโดยที่ยังไม่ได้เข้าไปดูบ้านของตัวเ
แท้จริงแล้วเธอไม่ได้อยากจะคบหากับคนแบบนิสากรนัก เพียงแค่ถ้าหญิงสาวมีเงินซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมของเธอสักใบ ก็ถือว่าคุ้มกับค่านามบัตรใบละห้าบาทก็เท่านั้น เพราะความต้องการส่วนหนึ่งของเธอที่มาที่นี่ก็เพื่อเข้าสังคมกับเพื่อน ๆ เผื่อจะได้มีคอนเนกชันใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมธุรกิจที่ทำอยู่เนื่องจากวางแผนว่าจะกลับมาอยู่ที่บ้านนานแล้ว จึงควรจะมาทำความสนิทสนมกับเพื่อน ๆ ไว้บ้าง เพราะเธอรู้ว่ามีเพื่อนหลาย ๆ คนที่ไปเรียนกรุงเทพฯ และกลับมาอยู่ที่บ้านกันค่อนข้างมาก เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นี่ก็ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนในอดีตแล้ว“นภา ๆ ทางนี้ ๆ” นภาธรหันไปยังเสียงเรียก เห็นกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมทั้งชายและหญิงกวักมือเรียกอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง เธอจึงเดินรัวเท้าเข้าไปหา“บิว แบม แก้ว นิภา ดีใจจังได้เจอพวกเธอ เด พงศ์ อ้าว พี่ก้องก็มาด้วยเหรอคะ ดีใจจังที่ได้เจอ” เธอทักทายเพื่อนทั้งหกคนรวมทั้ง ก้องเกียรติที่เป็นรุ่นพี่เธอสองปี ซึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้วทุกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมัธยมต้นมาด้วยกัน เสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นของกลุ่มเพื่อนที่แย่งกันพูดคุยก็เริ่มดังขึ้นเพื่อนสาวของเธอต่างอยู่
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำนั่งดูข่าวอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่ทำด้วยปีกไม้ แม้เป็นห้องขนาดเล็กแต่ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เขาดูข่าวต่อมาอย่างตั้งใจเมื่อได้ยินเสียงประกาศจากผู้ประกาศข่าวชายว่า“มาถึงข่าววงการรับเหมาก่อสร้างกันต่อครับ วงการรับเหมาก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ ตอนนี้กำลังเจอปัญหาวิกฤตซ้อนวิกฤตจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเนื่องจากโควิด 19จนกระทั่งถึงวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาเหล็กและวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ราคาสูงขึ้นมากกว่าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น เป็นผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท เอส.เค.คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน) ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักจากการรับเหมางานหลายโครงการจากหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งข่าวนี้ก็ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก”“อีกไม่นานแล้วครับคุณพ่อ พวกเขาจะได้รับการชดใช้” ชายหนุ่มพึมพำมองภาพที่เคลื่อนไหวอยู่บนจอแล้วยกมุมปากขึ้นอย่างสาแก่ใจ เมื่อข่าวนั้นจบลง ก่อนจะกดรีโมทปิดโทรทัศน์แล้วเปิดประตูเข้าห้องนอนเขาล้มตัวนอนเพียงไม่นาน เสียงสมาร์ตโฟนที่อยู่บนหัวเตียงก็ดังขึ้น จึงเอื้อมมือไปควานหาต้นเสียงที่สั่นครืด ๆ อยู่บนตู้ข้างหัวเตียง แล้วหยีตาเพื่อดูหน้าจอให้ชัดว
ปรัชญามองรถของตัวเองที่นภดลขับออกไป ก่อนจะขึ้นรถของหญิงสาวคู่อริที่ไม่รู้ว่าเคยเป็นศัตรูกันตั้งแต่ชาติปางไหน ที่เจอกันทีไรก็ต้องเขม่นใส่กันทุกที แถมวันนี้ก็ไม่รู้เป็นดวงซวยอะไรของเขาที่ต้องมารับเธอกลับชายหนุ่มขับรถมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ของคีรินที่ใช้ชั้นล่างเป็นที่พักอาศัยของเจ้าของบ้านและใช้ชั้นบนเป็นออฟฟิศรับงานด้านออกแบบอาคารและระบบพลังงานทดแทน โดยมีบันไดวนซึ่งอยู่ด้านหน้าฝั่งซ้ายของตัวบ้านขึ้นไปยังออฟฟิศทางฝั่งปีกซ้ายของบ้าน ส่วนฝั่งปีกขวาชั้นบนเป็นส่วนห้องรับรองแขก ซึ่งเขาเคยใช้พื้นที่ตรงนั้นอาศัยก่อนที่จะไปสร้างกระท่อมหลังน้อยแยกไปอยู่ต่างหาก หลังจากที่เจ้าของบ้านแต่งงานไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน“คุณ ๆ ถึงบ้านแล้ว” เขาเขย่าร่างบางที่หลับคอพับคออ่อนอยู่ข้าง ๆ แต่สาวเจ้าเหมือนจะไม่รู้สึกตัว“คุณ ๆ กุญแจบ้านล่ะ มีหรือเปล่า” เขาถาม เพราะคิดว่าเธอน่าจะมีกุญแจบ้านพี่ชายเก็บไว้บ้าง ถึงได้บอกให้เขาไปรับกลับ เพราะกุญแจที่เขาเคยใช้ก็คืนให้กับคีรินไปแล้ว มีเพียงกุญแจในส่วนของออฟฟิศเท่านั้นที่คีรินให้เขาเก็บไว้“กุญแจอะรายยย ม่ายยยมี จะนอนนน” ทำเสียงหงุดหงิดพลางปัดมือเขาที่กำลังเขย่าแขนปลุกให้
“จริงเหรอนิภา ฉันก็กลับมาอยู่ที่บ้านแล้วเหมือนกัน เพิ่งมาถึงวันนี้นี่แหละ แต่ยังไม่ได้ขนของมา คงต้องใช้เวลาอีกสักเดือนแหละถึงจะลงตัว อ้อ เมื่อกี้ฉันเจอพี่สาวเธอด้วยนะ เขาก็กลับมาอยู่บ้านเหมือนกันเหรอ” นภาธรอดไม่ได้ที่จะถามถึงหญิงสาวที่ทักทายเธอตอนเข้ามาในงาน“อ้อ พี่นิสาน่ะเหรอ เขาคงอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก เขาชอบชีวิตในเมืองน่ะ” อรุณนิภาตอบ ใบหน้าไม่ได้ยินดียินร้ายที่ได้พูดเรื่องพี่สาวนัก“งั้นเหรอ แต่เขาดูสวยมากเลยนะ ต่างจากที่ฉันเคยเห็นตอนเด็ก จนแทบจำไม่ได้ แล้วตอนนี้เธอทำงานอะไรอยู่เหรอนิภา ตอนนั้นเห็นว่าเรียนจบแฟชั่นดีไซน์ใช่ป่ะ” นภาธรถามพลางสังเกตว่าเพื่อนดูอ่อนหวานเรียบร้อย แตกต่างจากพี่สาวที่ดูทันสมัยเป็นสาวสังคม ราวกับไม่ได้เป็นพี่น้องกัน“ใช่ ฉันน่ะเรียนจบแฟชั่นดีไซน์ ตอนเรียนจบก็ทำงานสายที่เรียนมาอยู่พักนึงแต่ชีวิตพลิกผันบริษัทปิดกิจการ สมัครงานสายที่เรียนมาอยู่สองสามเดือนแต่ไม่ได้งาน เลยลองไปสมัครเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตระหว่างรองานใหม่ กลับได้งานเฉยเลย พอได้งานก็เลยทำมาเรื่อย ๆ ไม่ได้ย้ายไปทำงานอื่นเลยมาสามปีแล้ว แต่ตอนนี้พ่ออายุมากแล้ว อยู่คนเดียวด้วย เลยคิด
๒เช้าอันวุ่นวาย ปรัชญาตื่นขึ้นมาตอนเช้า เขาก้มมองร่างสวยที่นอนอยู่ข้างเตียง เห็นว่ายังไม่ตื่นจึงรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมือซึ่งตอนนี้ก็เจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาต้องรีบออกไปเปิดออฟฟิศเนื่องจากลูกค้าที่นัดไว้จะเข้ามาตอนแปดโมงเช้า เขาแต่งตัวเรียบร้อยก็มองหญิงสาวที่นอนอยู่อย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจไม่ปลุก เพราะเชื่อว่าหากเธอตื่นขึ้นมา น่าจะมีปัญหาอื่นตามมาอีกมาก และอาจจะทำให้เขาต้องเสียเวลาที่นัดกับลูกค้าไว้“เอากระเป๋าไปตากแดดให้หน่อยละกัน ยังเปียกอยู่เลย” ว่าแล้วก็ก้มลงหยิบกระเป๋าเดินออกไปหน้าบ้านแล้วปิดประตู ก่อนจะนำกระเป๋าใบสวยไปแขวนห้อยไว้กับราวที่แขวนดอกพิททูเนียซึ่งบานสะพรั่งอยู่หน้ากระท่อม“ตรงนี้แหละน่าจะโดนแดดหน่อย” ว่าแล้วก็รีบออกไปจากกระท่อม ผ่านหน้าบ้านของนภดลที่พักกับมารดาก็ไม่เห็นรถของเขาจอดอยู่ จึงรีบเดินผ่านไปยังบ้านของคีริน เขารีบขึ้นไปชั้นบนเปิดประตูออฟฟิศ เปิดแอร์ไว้เรียบร้อยเพื่อรอต้อนรับลูกค้าที่นัดจะเข้ามาเซ็นสัญญากันวันนี้ ก่อนจะชงกาแฟแล้วเดินออกมายืนริมระเบียง ก้มมองลงไปด้านล่าง“พี่คียังไม่มาอีก ไหนบอกว่าจะมาถึงเช้า” เขาพึมพำไปพลางด
“ของแพงขนาดนั้นมันต้องทนกว่าของราคาถูก ๆ สิ จะพังง่าย ๆ ได้ยังไงใช่มั้ย ใจเย็น ๆ น่า ไม่ต้องร้อง เดี๋ยวผมไปเอามาให้ดู” เขาว่าแล้วก็เดินไปหยิบ“เนี่ย มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย ดูสิ” เขาว่าพลางยื่นกระเป๋าให้นภาธรยื่นมือสั่นเทาไปรับกระเป๋าแสนรัก เธอสัมผัสมันอย่างแผ่วเบาราวกับว่าหากรุนแรงกว่านี้มันจะบุบสลายไปกับมือ“ผมก็แค่เอาน้ำฉีด ๆ ตรงที่เปื้อนเท่านั้นเอง แล้วผมก็ไม่มีวิธีไหนที่จะทำความสะอาดกระเป๋าเปื้อนอ้วกให้ดีกว่านี้แล้วด้วย นอกจากเอาน้ำล้าง มันเปียกผมก็เอามาตาก แล้วมันจะอะไรนักหนา” ว่าเสียงหงุดหงิด อีกคนมีท่าทีอ่อนลง เอ่ยเบา ๆ ว่า“นายก็ไม่ต้องเอามาตากแดดก็ได้นี่ มันบอบบางมาก เดี๋ยวสีซีด เอาวางตากลมก็ได้ เดี๋ยวก็แห้งเอง นี่ดีนะ ฮือ ๆ ที่น้องกระเป๋าไม่เป็นอะไรมาก”พูดเสียงอุบอิบ ก่อนจะเอากระเป๋ามากอดแนบอกอย่างถนอม ปรัชญามองแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมาเอ่ยว่า“อือ ไม่เป็นอะไรมากก็ดี ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว หน้าตาดูไม่ได้เลยอย่างกับหมีแพนด้า ขี้มูกขี้ตาเกรอะกรัง กลิ่นละมุดหึ่งไปทั้งตัว ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ขี้เมาหยำเป ใครได้ไปเป็นเมียเนี่ยซวยตายเลย ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนนั่นแหละ เด
เสียงกรีดร้องยาวเหยียดดังระดับร้อยยี่สิบเดซิเบล ทำให้คนที่อยู่บ้านใกล้กันถึงกับสะดุ้งเฮือก คีรินหันไปตามเสียง ก่อนจะหันมาหาชายหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังตักข้าวเข้าปาก ปรัชญาตกใจถึงกับปล่อยช้อนหลุดมือหล่นลงไปในจาน“ฉิบหายละพี่คี เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขาร้องทำไมอ่ะ”“ไม่รู้ นายไปดูหน่อย คงตกใจที่ตื่นมาแล้วไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนละมั้ง” คีรินเอ่ยเสียงเรียบ ๆ ราวกับคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างดี“ครับ” ปรัชญาตอบก่อนจะหันไปหาหทัยรัตน์“เดี๋ยวผมมากินต่อนะครับแม่ อย่าเพิ่งเก็บ” ว่าแล้ววางจานอาหารที่เหลือครึ่งจานไว้บนโต๊ะกลางของโซฟา ก่อนจะรีบเผ่นพรวดกลับไปยังกระท่อมของตัวเอง“เกิดอะไรขึ้นคุณ” เขาถามหญิงสาวที่นั่งอยู่กับกองผ้านวมแล้วส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นไม่หยุด มือก็ทุบหมอนทุบผ้าห่มไปด้วย พอเห็นหน้าเขา เธอก็ลุกพรวดขึ้นมาชี้นิ้วใส่แล้วถามเสียงดังลั่น“นาย ไอ้หน้าวอก นายทำอะไรฉันเมื่อคืนนี้ ทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่ นายข่มขืนฉันใช่ไหม” ปรัชญาอ้าปากค้าง ตาเหลือกลานอย่างตกใจกับข้อกล่าวหา เขากลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตั้งสติตอบ“บ้า ผมไปทำอะไรคุณ ก็พี่คีให้ผมไปรับคุณมา แล้วกุญแจบ้านก็ไม่มี เขาให้ผมเอาคุณมานอนที่นี่
ขณะคนที่กำลังถูกพูดถึงขยับตัวอย่างขี้เกียจ ก่อนจะตบศีรษะตัวเองเบา ๆ ทั้งที่ยังไม่ลืมตา อาการเมาแฮงค์กำเริบทันทีที่รู้สึกตัว ตามด้วยอาการมึนหัววิงเวียนผะอืดผะอม ก่อนจะลืมตาขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งของพื้นที่นอนอยู่ แต่เธอก็ต้องหลับตาลงอีกครั้งเมื่อมีแสงสีขาวสาดส่องเข้าตาอย่างกะทันหันมือบางลูบลงบนที่นอนแม้จะปูผ้านวมแต่ก็ไม่ได้นุ่มเหมือนนอนบนฟูกอย่างที่เคยนอน แถมกลิ่นผ้านวมก็เป็นกลิ่นหอมในแบบที่ไม่คุ้นเคย มันไม่ใช่กลิ่นกุหลาบที่เธอชอบใช้ แต่เป็นกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อน ๆหญิงสาวตั้งสติที่ยังมึนงงแล้วลืมตาขึ้นก่อนจะกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อรอบข้างไม่คุ้นตาสักนิด เธอนอนอยู่ข้างเตียง บนพื้นปูด้วยผ้านวมสีเทา ผ้าห่มลายสก็อตสีน้ำตาลเข้มสลับขาว เธอลุกขึ้นนั่งหันไปทางฝั่งซ้ายมือเป็นเตียงนอนขนาดห้าฟุตซึ่งปูไว้อย่างดี ด้วยผ้านวมสีเทาเข้ม ลักษณะการปูเหมือนกับการปูเตียงแบบโรงแรม บนเตียงเรียบตึงราวกับไม่มีใครเคยนอนมาก่อน ทุกอย่างในห้องสะอาดสะอ้านไม่มีสิ่งใดเกะกะสายตาฝั่งขวามือเป็นหน้าต่างกระจกที่แสงจากข้างนอกส่องจ้าเข้ามา ผนังส่วนที่ติดกับกระจกเป็นตู้และชั้นวางของทำด้วยไม้เป็นแบบบิลต์อินติดผนัง ทุกอย่าง
๒เช้าอันวุ่นวาย ปรัชญาตื่นขึ้นมาตอนเช้า เขาก้มมองร่างสวยที่นอนอยู่ข้างเตียง เห็นว่ายังไม่ตื่นจึงรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมือซึ่งตอนนี้ก็เจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาต้องรีบออกไปเปิดออฟฟิศเนื่องจากลูกค้าที่นัดไว้จะเข้ามาตอนแปดโมงเช้า เขาแต่งตัวเรียบร้อยก็มองหญิงสาวที่นอนอยู่อย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจไม่ปลุก เพราะเชื่อว่าหากเธอตื่นขึ้นมา น่าจะมีปัญหาอื่นตามมาอีกมาก และอาจจะทำให้เขาต้องเสียเวลาที่นัดกับลูกค้าไว้“เอากระเป๋าไปตากแดดให้หน่อยละกัน ยังเปียกอยู่เลย” ว่าแล้วก็ก้มลงหยิบกระเป๋าเดินออกไปหน้าบ้านแล้วปิดประตู ก่อนจะนำกระเป๋าใบสวยไปแขวนห้อยไว้กับราวที่แขวนดอกพิททูเนียซึ่งบานสะพรั่งอยู่หน้ากระท่อม“ตรงนี้แหละน่าจะโดนแดดหน่อย” ว่าแล้วก็รีบออกไปจากกระท่อม ผ่านหน้าบ้านของนภดลที่พักกับมารดาก็ไม่เห็นรถของเขาจอดอยู่ จึงรีบเดินผ่านไปยังบ้านของคีริน เขารีบขึ้นไปชั้นบนเปิดประตูออฟฟิศ เปิดแอร์ไว้เรียบร้อยเพื่อรอต้อนรับลูกค้าที่นัดจะเข้ามาเซ็นสัญญากันวันนี้ ก่อนจะชงกาแฟแล้วเดินออกมายืนริมระเบียง ก้มมองลงไปด้านล่าง“พี่คียังไม่มาอีก ไหนบอกว่าจะมาถึงเช้า” เขาพึมพำไปพลางด
“จริงเหรอนิภา ฉันก็กลับมาอยู่ที่บ้านแล้วเหมือนกัน เพิ่งมาถึงวันนี้นี่แหละ แต่ยังไม่ได้ขนของมา คงต้องใช้เวลาอีกสักเดือนแหละถึงจะลงตัว อ้อ เมื่อกี้ฉันเจอพี่สาวเธอด้วยนะ เขาก็กลับมาอยู่บ้านเหมือนกันเหรอ” นภาธรอดไม่ได้ที่จะถามถึงหญิงสาวที่ทักทายเธอตอนเข้ามาในงาน“อ้อ พี่นิสาน่ะเหรอ เขาคงอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก เขาชอบชีวิตในเมืองน่ะ” อรุณนิภาตอบ ใบหน้าไม่ได้ยินดียินร้ายที่ได้พูดเรื่องพี่สาวนัก“งั้นเหรอ แต่เขาดูสวยมากเลยนะ ต่างจากที่ฉันเคยเห็นตอนเด็ก จนแทบจำไม่ได้ แล้วตอนนี้เธอทำงานอะไรอยู่เหรอนิภา ตอนนั้นเห็นว่าเรียนจบแฟชั่นดีไซน์ใช่ป่ะ” นภาธรถามพลางสังเกตว่าเพื่อนดูอ่อนหวานเรียบร้อย แตกต่างจากพี่สาวที่ดูทันสมัยเป็นสาวสังคม ราวกับไม่ได้เป็นพี่น้องกัน“ใช่ ฉันน่ะเรียนจบแฟชั่นดีไซน์ ตอนเรียนจบก็ทำงานสายที่เรียนมาอยู่พักนึงแต่ชีวิตพลิกผันบริษัทปิดกิจการ สมัครงานสายที่เรียนมาอยู่สองสามเดือนแต่ไม่ได้งาน เลยลองไปสมัครเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตระหว่างรองานใหม่ กลับได้งานเฉยเลย พอได้งานก็เลยทำมาเรื่อย ๆ ไม่ได้ย้ายไปทำงานอื่นเลยมาสามปีแล้ว แต่ตอนนี้พ่ออายุมากแล้ว อยู่คนเดียวด้วย เลยคิด
ปรัชญามองรถของตัวเองที่นภดลขับออกไป ก่อนจะขึ้นรถของหญิงสาวคู่อริที่ไม่รู้ว่าเคยเป็นศัตรูกันตั้งแต่ชาติปางไหน ที่เจอกันทีไรก็ต้องเขม่นใส่กันทุกที แถมวันนี้ก็ไม่รู้เป็นดวงซวยอะไรของเขาที่ต้องมารับเธอกลับชายหนุ่มขับรถมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ของคีรินที่ใช้ชั้นล่างเป็นที่พักอาศัยของเจ้าของบ้านและใช้ชั้นบนเป็นออฟฟิศรับงานด้านออกแบบอาคารและระบบพลังงานทดแทน โดยมีบันไดวนซึ่งอยู่ด้านหน้าฝั่งซ้ายของตัวบ้านขึ้นไปยังออฟฟิศทางฝั่งปีกซ้ายของบ้าน ส่วนฝั่งปีกขวาชั้นบนเป็นส่วนห้องรับรองแขก ซึ่งเขาเคยใช้พื้นที่ตรงนั้นอาศัยก่อนที่จะไปสร้างกระท่อมหลังน้อยแยกไปอยู่ต่างหาก หลังจากที่เจ้าของบ้านแต่งงานไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน“คุณ ๆ ถึงบ้านแล้ว” เขาเขย่าร่างบางที่หลับคอพับคออ่อนอยู่ข้าง ๆ แต่สาวเจ้าเหมือนจะไม่รู้สึกตัว“คุณ ๆ กุญแจบ้านล่ะ มีหรือเปล่า” เขาถาม เพราะคิดว่าเธอน่าจะมีกุญแจบ้านพี่ชายเก็บไว้บ้าง ถึงได้บอกให้เขาไปรับกลับ เพราะกุญแจที่เขาเคยใช้ก็คืนให้กับคีรินไปแล้ว มีเพียงกุญแจในส่วนของออฟฟิศเท่านั้นที่คีรินให้เขาเก็บไว้“กุญแจอะรายยย ม่ายยยมี จะนอนนน” ทำเสียงหงุดหงิดพลางปัดมือเขาที่กำลังเขย่าแขนปลุกให้
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำนั่งดูข่าวอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่ทำด้วยปีกไม้ แม้เป็นห้องขนาดเล็กแต่ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เขาดูข่าวต่อมาอย่างตั้งใจเมื่อได้ยินเสียงประกาศจากผู้ประกาศข่าวชายว่า“มาถึงข่าววงการรับเหมาก่อสร้างกันต่อครับ วงการรับเหมาก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ ตอนนี้กำลังเจอปัญหาวิกฤตซ้อนวิกฤตจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเนื่องจากโควิด 19จนกระทั่งถึงวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาเหล็กและวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ราคาสูงขึ้นมากกว่าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น เป็นผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท เอส.เค.คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน) ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักจากการรับเหมางานหลายโครงการจากหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งข่าวนี้ก็ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก”“อีกไม่นานแล้วครับคุณพ่อ พวกเขาจะได้รับการชดใช้” ชายหนุ่มพึมพำมองภาพที่เคลื่อนไหวอยู่บนจอแล้วยกมุมปากขึ้นอย่างสาแก่ใจ เมื่อข่าวนั้นจบลง ก่อนจะกดรีโมทปิดโทรทัศน์แล้วเปิดประตูเข้าห้องนอนเขาล้มตัวนอนเพียงไม่นาน เสียงสมาร์ตโฟนที่อยู่บนหัวเตียงก็ดังขึ้น จึงเอื้อมมือไปควานหาต้นเสียงที่สั่นครืด ๆ อยู่บนตู้ข้างหัวเตียง แล้วหยีตาเพื่อดูหน้าจอให้ชัดว
แท้จริงแล้วเธอไม่ได้อยากจะคบหากับคนแบบนิสากรนัก เพียงแค่ถ้าหญิงสาวมีเงินซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมของเธอสักใบ ก็ถือว่าคุ้มกับค่านามบัตรใบละห้าบาทก็เท่านั้น เพราะความต้องการส่วนหนึ่งของเธอที่มาที่นี่ก็เพื่อเข้าสังคมกับเพื่อน ๆ เผื่อจะได้มีคอนเนกชันใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมธุรกิจที่ทำอยู่เนื่องจากวางแผนว่าจะกลับมาอยู่ที่บ้านนานแล้ว จึงควรจะมาทำความสนิทสนมกับเพื่อน ๆ ไว้บ้าง เพราะเธอรู้ว่ามีเพื่อนหลาย ๆ คนที่ไปเรียนกรุงเทพฯ และกลับมาอยู่ที่บ้านกันค่อนข้างมาก เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นี่ก็ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนในอดีตแล้ว“นภา ๆ ทางนี้ ๆ” นภาธรหันไปยังเสียงเรียก เห็นกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมทั้งชายและหญิงกวักมือเรียกอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง เธอจึงเดินรัวเท้าเข้าไปหา“บิว แบม แก้ว นิภา ดีใจจังได้เจอพวกเธอ เด พงศ์ อ้าว พี่ก้องก็มาด้วยเหรอคะ ดีใจจังที่ได้เจอ” เธอทักทายเพื่อนทั้งหกคนรวมทั้ง ก้องเกียรติที่เป็นรุ่นพี่เธอสองปี ซึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้วทุกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมัธยมต้นมาด้วยกัน เสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นของกลุ่มเพื่อนที่แย่งกันพูดคุยก็เริ่มดังขึ้นเพื่อนสาวของเธอต่างอยู่
๑ นางหงส์หญิงสาวร่างเพรียวบางในชุดเดรสยาวสำหรับออกงานสีชมพูนู้ด สะพายกระเป๋าใบเล็กสีชมพูเข้มดูโดดเด่น เดินอย่างมั่นใจเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรู วันนี้ทางโรงเรียนจัดงานเลี้ยงศิษย์เก่า นภาธรจึงมาร่วมงานตามที่ได้รับบัตรเชิญ ร่างสวยชะงักเมื่อมีเสียงเรียกอยู่ด้านหลัง“อ้าว นั่นน้องนภาใช่ไหมจ๊ะ” นภาธรหันไปมอง เธอย่นคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาวสวยคุ้นตา ทว่ายังจำไม่ค่อยได้นัก เพราะไม่ได้กลับบ้านต่างจังหวัดนานแล้ว ทำให้บางทีก็หลงลืมคนที่เคยรู้จักไปบ้างแต่ที่กลับมาคราวนี้ก็เนื่องจากพี่ชายคนรองเพิ่งโทร. ไปบอกเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ว่าบ้านของเธอสร้างเสร็จแล้วให้กลับมาดู เผื่อว่าต้องการจะให้แก้ไขอะไรจะได้รีบทำ เมื่อได้รับบัตรเชิญที่ทางโรงเรียนส่งไปให้ในช่วงเวลาเดียวกัน เธอก็ตัดสินใจกลับมาร่วมงานเลี้ยงศิษย์เก่าในวันนี้ทันที ด้วยคิดถึงเพื่อนเก่าที่เคยเรียนมาด้วยกันเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ไปหาบิดาและมารดาที่บ้านของชลธร ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตก่อน เพราะอยู่ใกล้กับโรงแรมที่จัดงานเลี้ยงมากกว่าก่อนจะนอนหลับพักผ่อนแล้วตื่นมาตอนบ่าย ๆ อาบน้ำแต่งตัวแล้วมางานเลี้ยงต่อโดยที่ยังไม่ได้เข้าไปดูบ้านของตัวเ