“จริงเหรอนิภา ฉันก็กลับมาอยู่ที่บ้านแล้วเหมือนกัน เพิ่งมาถึงวันนี้นี่แหละ แต่ยังไม่ได้ขนของมา คงต้องใช้เวลาอีกสักเดือนแหละถึงจะลงตัว อ้อ เมื่อกี้ฉันเจอพี่สาวเธอด้วยนะ เขาก็กลับมาอยู่บ้านเหมือนกันเหรอ” นภาธรอดไม่ได้ที่จะถามถึงหญิงสาวที่ทักทายเธอตอนเข้ามาในงาน
“อ้อ พี่นิสาน่ะเหรอ เขาคงอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก เขาชอบชีวิตในเมืองน่ะ” อรุณนิภาตอบ ใบหน้าไม่ได้ยินดียินร้ายที่ได้พูดเรื่องพี่สาวนัก
“งั้นเหรอ แต่เขาดูสวยมากเลยนะ ต่างจากที่ฉันเคยเห็นตอนเด็ก จนแทบจำไม่ได้ แล้วตอนนี้เธอทำงานอะไรอยู่เหรอนิภา ตอนนั้นเห็นว่าเรียนจบแฟชั่นดีไซน์ใช่ป่ะ” นภาธรถามพลางสังเกตว่าเพื่อนดูอ่อนหวานเรียบร้อย แตกต่างจากพี่สาวที่ดูทันสมัยเป็นสาวสังคม ราวกับไม่ได้เป็นพี่น้องกัน
“ใช่ ฉันน่ะเรียนจบแฟชั่นดีไซน์ ตอนเรียนจบก็ทำงานสายที่เรียนมาอยู่พักนึงแต่ชีวิตพลิกผันบริษัทปิดกิจการ สมัครงานสายที่เรียนมาอยู่สองสามเดือนแต่ไม่ได้งาน เลยลองไปสมัครเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตระหว่างรองานใหม่ กลับได้งานเฉยเลย พอได้งานก็เลยทำมาเรื่อย ๆ ไม่ได้ย้ายไปทำงานอื่นเลยมาสามปีแล้ว แต่ตอนนี้พ่ออายุมากแล้ว อยู่คนเดียวด้วย เลยคิดว่าจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนพ่อ” อรุณนิภาว่า
“ดีเลย ฉันก็จะกลับมาอยู่บ้านแล้วเหมือนกัน ต่อไปเราคงได้เจอกันบ่อย สินะ ดีใจจัง นึกว่าต้องกลับมาอยู่เหงา ๆ ที่บ้านแล้วสิ”
“ฉันได้ข่าวว่าพี่ชายเธอเปิดธุรกิจใหญ่โตไม่ใช่เหรอนภา” บัณฑิตาถาม
“ใหญ่โตอะไรกันยายแบม ก็เพิ่งเปิดได้ไม่นานหรอก ฉันถึงโดนเรียกกลับมาให้ช่วยงานที่บริษัทเขานี่แหละ แต่ก็คงไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอก เพราะฉันก็ตั้งใจจะออกจากงานมาทำธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว พวกเขาแค่เห็นว่าฉันอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รายได้มากมาย ยังขอเงินที่บ้านใช้อยู่เป็นประจำนั่นแหละ จึงเรียกให้กลับมา”
“แหม ก็เห็นพี่ชายคนโตเธอก็รวยมาก มีสวนทุเรียนตั้งสามร้อยไร่เชียว ฉันนี่อิจฉาชีวิตพี่ชลจริง ๆ ถ้าฉันรู้ว่าทำสวนจะรุ่งขนาดนี้ ตอนนั้นฉันไม่ไปเรียนเสียก็ดี จะได้เอาเวลามาทุ่มทำสวนทุเรียนเหมือนพี่ชายเธอ ป่านนี้คงรวยไปแล้ว”
เดชาเอ่ยอย่างเสียดาย เพราะเขาเอาเวลาไปทุ่มเทในมหาวิทยาลัยอยู่หลายปี พอกลับมาบ้านถึงได้รู้ว่าเพื่อน ๆ บางคนที่ไม่ได้เรียนต่อตอนนี้ร่ำรวยจากการทำไร่ทำสวนก็มากมาย เพียงแค่มันไม่ดูโก้เหมือนกับคนไปเรียนในเมืองเท่านั้น
“เฮ้ย กับข้าวมาเสิร์ฟแล้ว ไวน์ก็มาด้วย มากินกันไปคุยกันไปก็แล้วกัน คืนนี้พวกเธออยู่กันดึกได้ใช่ไหม นาน ๆ เจอกันทีดื่มกันหน่อยแล้วกันเนอะ” เดชาว่าพลางหยิบไวน์แดงที่พนักงานนำใส่ถาดมาเสิร์ฟยื่นให้เพื่อนคนละแก้ว
“ได้เลย ๆ ฉันไม่ได้ดื่มนานแล้ว วันนี้ไม่เมาไม่กลับ” นภาธรว่าพลางยกแก้วไวน์ชนกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนาน กินกันไปบ้าง ดื่มกันไปบ้าง จนกระทั่งใกล้เที่ยงคืนเข้าไปทุกที อรุณนิภาหันมองรอบโต๊ะก่อนจะหันมาถามนภาธร
“เออ แล้วนภากลับยังไงน่ะ เริ่มเมาแล้วด้วย” เพราะตนเองนั้นไม่ได้ดื่มมากนัก เพียงแค่จิบ ๆ เท่านั้น จึงยังแทบไม่มีอาการมึนเมา
“อ้อ ไม่เป็นไรนิภา ฉันนนนน่ะ ขับรถมา” คนถูกถามตอบเสียงยานคาง มือก็โบกไปมาว่าไม่ต้องห่วง
“เฮ้ย ไม่ได้นะ เธอจะขับรถกลับเองไม่ได้ มันอันตราย ก็รู้อยู่ว่าที่นี่โค้งเยอะแยะ เมาขนาดนี้ขับรถกลับไม่ได้หรอก” อรุณนิภาว่า เพราะหลังจากดูมาพักใหญ่แล้วคนที่ครองสติได้ดีที่สุดในโต๊ะตอนนี้ก็มีเพียงเธอ ก้องเกียรติ และผกาแก้วเท่านั้น ก้องเกียรติแทบไม่ดื่มเลยด้วยซ้ำ เพราะบอกว่าต้องเป็นคนขับรถพาเพื่อนอีกสองคนกลับบ้านจึงจิบไวน์ไปไม่ถึงครึ่งแก้วตอนชนแก้วด้วยกันครั้งแรก หลังจากนั้นเขาก็ขอไม่ดื่มต่ออีก
ขณะที่ตัวเธอก็ติดรถผกาแก้วมาเช่นกัน ผกาแก้วจึงไม่ดื่มเพราะเป็นคนขับรถ ส่วนตัวเธอนั้นไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว จึงเพียงแค่จิบไปเพียงไม่กี่ครั้ง ส่วนบัณฑิตากับพริมาก็มาพร้อมกับผกาแก้ว จึงดื่มกันได้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงว่าจะต้องขับรถกลับเช่นกัน
“ให้แก้วขับไปส่งก็ได้นั่งเบียด ๆ กันหน่อยก็คงจะได้แหละ” ผกาแก้วว่า ขณะที่นภาธรยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วส่ายไปมาเอ่ยว่า
“ไม่ต้อง ๆ ฉันเกรงใจ มัน...คนละทาง เดี๋ยวฉันโทร. เรียกพี่ชายยย..ฉันมารับ” ว่าเสียงอ้อแอ้ ก่อนจะคว้าสมาร์ตโฟนในกระเป๋าแสนแพงขึ้นมา
“อะไรนะ พี่คีรินไม่อยู่บ้าน ไปงานแต่งงานเพื่อนที่กรุงเทพฯ พายายฤดีไปด้วยอี๊กกก โอ๊ยยย พี่ชลก็ไม่อยู่บ้านเนี่ย แล้วน้องจะกลับยังไง เมาแล้วเนี่ย” เธอเอ่ยเสียงอ้อแอ้ จากตั้งใจว่าจะกลับมาเซอร์ไพรส์จึงไม่ได้บอกใครก่อนว่าจะกลับ พอมาถึงพี่ชายทั้งสองคนก็ไม่อยู่บ้านกันทั้งคู่
“อ้อ จะส่งคนมารับเหรอ ได้ ๆ น้องภารออยู่ที่งานเลี้ยงศิษย์เก่าที่โรงแรมนี่แหละ ทำไมขึ้นกรุงเทพฯ กันหมดเลย ไม่บอกกันสักคำ ไม่มีครายยยรักน้องเลยยย” ว่าเสียงยานคางอย่างเคย ก่อนจะทำตาปรือ ๆ แล้ววางสายลง
“เรียบร้อยแล้วนิภา รับรองคราวนี้กินต่อได้อีกยาววววว เอ๊า ชนนนนน” ยกแก้วไวน์ขึ้นชนกับเพื่อนต่อเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอคนมารับ
อรุณนิภาได้แต่มองเพื่อนสนิทตอนเรียนมัธยมต้นแล้วส่ายหน้าไปมา เมื่อนึกถึงท่าทางสวยหวานที่เดินมาราวนางหงส์ตอนเข้างาน แต่ตอนนี้สภาพดูไม่เต็มร้อยนัก
๒เช้าอันวุ่นวาย ปรัชญาตื่นขึ้นมาตอนเช้า เขาก้มมองร่างสวยที่นอนอยู่ข้างเตียง เห็นว่ายังไม่ตื่นจึงรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมือซึ่งตอนนี้ก็เจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาต้องรีบออกไปเปิดออฟฟิศเนื่องจากลูกค้าที่นัดไว้จะเข้ามาตอนแปดโมงเช้า เขาแต่งตัวเรียบร้อยก็มองหญิงสาวที่นอนอยู่อย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจไม่ปลุก เพราะเชื่อว่าหากเธอตื่นขึ้นมา น่าจะมีปัญหาอื่นตามมาอีกมาก และอาจจะทำให้เขาต้องเสียเวลาที่นัดกับลูกค้าไว้“เอากระเป๋าไปตากแดดให้หน่อยละกัน ยังเปียกอยู่เลย” ว่าแล้วก็ก้มลงหยิบกระเป๋าเดินออกไปหน้าบ้านแล้วปิดประตู ก่อนจะนำกระเป๋าใบสวยไปแขวนห้อยไว้กับราวที่แขวนดอกพิททูเนียซึ่งบานสะพรั่งอยู่หน้ากระท่อม“ตรงนี้แหละน่าจะโดนแดดหน่อย” ว่าแล้วก็รีบออกไปจากกระท่อม ผ่านหน้าบ้านของนภดลที่พักกับมารดาก็ไม่เห็นรถของเขาจอดอยู่ จึงรีบเดินผ่านไปยังบ้านของคีริน เขารีบขึ้นไปชั้นบนเปิดประตูออฟฟิศ เปิดแอร์ไว้เรียบร้อยเพื่อรอต้อนรับลูกค้าที่นัดจะเข้ามาเซ็นสัญญากันวันนี้ ก่อนจะชงกาแฟแล้วเดินออกมายืนริมระเบียง ก้มมองลงไปด้านล่าง“พี่คียังไม่มาอีก ไหนบอกว่าจะมาถึงเช้า” เขาพึมพำไปพลางด
ขณะคนที่กำลังถูกพูดถึงขยับตัวอย่างขี้เกียจ ก่อนจะตบศีรษะตัวเองเบา ๆ ทั้งที่ยังไม่ลืมตา อาการเมาแฮงค์กำเริบทันทีที่รู้สึกตัว ตามด้วยอาการมึนหัววิงเวียนผะอืดผะอม ก่อนจะลืมตาขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งของพื้นที่นอนอยู่ แต่เธอก็ต้องหลับตาลงอีกครั้งเมื่อมีแสงสีขาวสาดส่องเข้าตาอย่างกะทันหันมือบางลูบลงบนที่นอนแม้จะปูผ้านวมแต่ก็ไม่ได้นุ่มเหมือนนอนบนฟูกอย่างที่เคยนอน แถมกลิ่นผ้านวมก็เป็นกลิ่นหอมในแบบที่ไม่คุ้นเคย มันไม่ใช่กลิ่นกุหลาบที่เธอชอบใช้ แต่เป็นกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อน ๆหญิงสาวตั้งสติที่ยังมึนงงแล้วลืมตาขึ้นก่อนจะกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อรอบข้างไม่คุ้นตาสักนิด เธอนอนอยู่ข้างเตียง บนพื้นปูด้วยผ้านวมสีเทา ผ้าห่มลายสก็อตสีน้ำตาลเข้มสลับขาว เธอลุกขึ้นนั่งหันไปทางฝั่งซ้ายมือเป็นเตียงนอนขนาดห้าฟุตซึ่งปูไว้อย่างดี ด้วยผ้านวมสีเทาเข้ม ลักษณะการปูเหมือนกับการปูเตียงแบบโรงแรม บนเตียงเรียบตึงราวกับไม่มีใครเคยนอนมาก่อน ทุกอย่างในห้องสะอาดสะอ้านไม่มีสิ่งใดเกะกะสายตาฝั่งขวามือเป็นหน้าต่างกระจกที่แสงจากข้างนอกส่องจ้าเข้ามา ผนังส่วนที่ติดกับกระจกเป็นตู้และชั้นวางของทำด้วยไม้เป็นแบบบิลต์อินติดผนัง ทุกอย่าง
เสียงกรีดร้องยาวเหยียดดังระดับร้อยยี่สิบเดซิเบล ทำให้คนที่อยู่บ้านใกล้กันถึงกับสะดุ้งเฮือก คีรินหันไปตามเสียง ก่อนจะหันมาหาชายหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังตักข้าวเข้าปาก ปรัชญาตกใจถึงกับปล่อยช้อนหลุดมือหล่นลงไปในจาน“ฉิบหายละพี่คี เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขาร้องทำไมอ่ะ”“ไม่รู้ นายไปดูหน่อย คงตกใจที่ตื่นมาแล้วไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนละมั้ง” คีรินเอ่ยเสียงเรียบ ๆ ราวกับคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างดี“ครับ” ปรัชญาตอบก่อนจะหันไปหาหทัยรัตน์“เดี๋ยวผมมากินต่อนะครับแม่ อย่าเพิ่งเก็บ” ว่าแล้ววางจานอาหารที่เหลือครึ่งจานไว้บนโต๊ะกลางของโซฟา ก่อนจะรีบเผ่นพรวดกลับไปยังกระท่อมของตัวเอง“เกิดอะไรขึ้นคุณ” เขาถามหญิงสาวที่นั่งอยู่กับกองผ้านวมแล้วส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นไม่หยุด มือก็ทุบหมอนทุบผ้าห่มไปด้วย พอเห็นหน้าเขา เธอก็ลุกพรวดขึ้นมาชี้นิ้วใส่แล้วถามเสียงดังลั่น“นาย ไอ้หน้าวอก นายทำอะไรฉันเมื่อคืนนี้ ทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่ นายข่มขืนฉันใช่ไหม” ปรัชญาอ้าปากค้าง ตาเหลือกลานอย่างตกใจกับข้อกล่าวหา เขากลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตั้งสติตอบ“บ้า ผมไปทำอะไรคุณ ก็พี่คีให้ผมไปรับคุณมา แล้วกุญแจบ้านก็ไม่มี เขาให้ผมเอาคุณมานอนที่นี่
“ของแพงขนาดนั้นมันต้องทนกว่าของราคาถูก ๆ สิ จะพังง่าย ๆ ได้ยังไงใช่มั้ย ใจเย็น ๆ น่า ไม่ต้องร้อง เดี๋ยวผมไปเอามาให้ดู” เขาว่าแล้วก็เดินไปหยิบ“เนี่ย มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย ดูสิ” เขาว่าพลางยื่นกระเป๋าให้นภาธรยื่นมือสั่นเทาไปรับกระเป๋าแสนรัก เธอสัมผัสมันอย่างแผ่วเบาราวกับว่าหากรุนแรงกว่านี้มันจะบุบสลายไปกับมือ“ผมก็แค่เอาน้ำฉีด ๆ ตรงที่เปื้อนเท่านั้นเอง แล้วผมก็ไม่มีวิธีไหนที่จะทำความสะอาดกระเป๋าเปื้อนอ้วกให้ดีกว่านี้แล้วด้วย นอกจากเอาน้ำล้าง มันเปียกผมก็เอามาตาก แล้วมันจะอะไรนักหนา” ว่าเสียงหงุดหงิด อีกคนมีท่าทีอ่อนลง เอ่ยเบา ๆ ว่า“นายก็ไม่ต้องเอามาตากแดดก็ได้นี่ มันบอบบางมาก เดี๋ยวสีซีด เอาวางตากลมก็ได้ เดี๋ยวก็แห้งเอง นี่ดีนะ ฮือ ๆ ที่น้องกระเป๋าไม่เป็นอะไรมาก”พูดเสียงอุบอิบ ก่อนจะเอากระเป๋ามากอดแนบอกอย่างถนอม ปรัชญามองแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมาเอ่ยว่า“อือ ไม่เป็นอะไรมากก็ดี ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว หน้าตาดูไม่ได้เลยอย่างกับหมีแพนด้า ขี้มูกขี้ตาเกรอะกรัง กลิ่นละมุดหึ่งไปทั้งตัว ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ขี้เมาหยำเป ใครได้ไปเป็นเมียเนี่ยซวยตายเลย ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนนั่นแหละ เด
๑ นางหงส์หญิงสาวร่างเพรียวบางในชุดเดรสยาวสำหรับออกงานสีชมพูนู้ด สะพายกระเป๋าใบเล็กสีชมพูเข้มดูโดดเด่น เดินอย่างมั่นใจเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรู วันนี้ทางโรงเรียนจัดงานเลี้ยงศิษย์เก่า นภาธรจึงมาร่วมงานตามที่ได้รับบัตรเชิญ ร่างสวยชะงักเมื่อมีเสียงเรียกอยู่ด้านหลัง“อ้าว นั่นน้องนภาใช่ไหมจ๊ะ” นภาธรหันไปมอง เธอย่นคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาวสวยคุ้นตา ทว่ายังจำไม่ค่อยได้นัก เพราะไม่ได้กลับบ้านต่างจังหวัดนานแล้ว ทำให้บางทีก็หลงลืมคนที่เคยรู้จักไปบ้างแต่ที่กลับมาคราวนี้ก็เนื่องจากพี่ชายคนรองเพิ่งโทร. ไปบอกเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ว่าบ้านของเธอสร้างเสร็จแล้วให้กลับมาดู เผื่อว่าต้องการจะให้แก้ไขอะไรจะได้รีบทำ เมื่อได้รับบัตรเชิญที่ทางโรงเรียนส่งไปให้ในช่วงเวลาเดียวกัน เธอก็ตัดสินใจกลับมาร่วมงานเลี้ยงศิษย์เก่าในวันนี้ทันที ด้วยคิดถึงเพื่อนเก่าที่เคยเรียนมาด้วยกันเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ไปหาบิดาและมารดาที่บ้านของชลธร ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตก่อน เพราะอยู่ใกล้กับโรงแรมที่จัดงานเลี้ยงมากกว่าก่อนจะนอนหลับพักผ่อนแล้วตื่นมาตอนบ่าย ๆ อาบน้ำแต่งตัวแล้วมางานเลี้ยงต่อโดยที่ยังไม่ได้เข้าไปดูบ้านของตัวเ
แท้จริงแล้วเธอไม่ได้อยากจะคบหากับคนแบบนิสากรนัก เพียงแค่ถ้าหญิงสาวมีเงินซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมของเธอสักใบ ก็ถือว่าคุ้มกับค่านามบัตรใบละห้าบาทก็เท่านั้น เพราะความต้องการส่วนหนึ่งของเธอที่มาที่นี่ก็เพื่อเข้าสังคมกับเพื่อน ๆ เผื่อจะได้มีคอนเนกชันใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมธุรกิจที่ทำอยู่เนื่องจากวางแผนว่าจะกลับมาอยู่ที่บ้านนานแล้ว จึงควรจะมาทำความสนิทสนมกับเพื่อน ๆ ไว้บ้าง เพราะเธอรู้ว่ามีเพื่อนหลาย ๆ คนที่ไปเรียนกรุงเทพฯ และกลับมาอยู่ที่บ้านกันค่อนข้างมาก เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นี่ก็ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนในอดีตแล้ว“นภา ๆ ทางนี้ ๆ” นภาธรหันไปยังเสียงเรียก เห็นกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมทั้งชายและหญิงกวักมือเรียกอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง เธอจึงเดินรัวเท้าเข้าไปหา“บิว แบม แก้ว นิภา ดีใจจังได้เจอพวกเธอ เด พงศ์ อ้าว พี่ก้องก็มาด้วยเหรอคะ ดีใจจังที่ได้เจอ” เธอทักทายเพื่อนทั้งหกคนรวมทั้ง ก้องเกียรติที่เป็นรุ่นพี่เธอสองปี ซึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้วทุกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมัธยมต้นมาด้วยกัน เสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นของกลุ่มเพื่อนที่แย่งกันพูดคุยก็เริ่มดังขึ้นเพื่อนสาวของเธอต่างอยู่
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำนั่งดูข่าวอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่ทำด้วยปีกไม้ แม้เป็นห้องขนาดเล็กแต่ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เขาดูข่าวต่อมาอย่างตั้งใจเมื่อได้ยินเสียงประกาศจากผู้ประกาศข่าวชายว่า“มาถึงข่าววงการรับเหมาก่อสร้างกันต่อครับ วงการรับเหมาก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ ตอนนี้กำลังเจอปัญหาวิกฤตซ้อนวิกฤตจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเนื่องจากโควิด 19จนกระทั่งถึงวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาเหล็กและวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ราคาสูงขึ้นมากกว่าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น เป็นผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท เอส.เค.คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน) ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักจากการรับเหมางานหลายโครงการจากหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งข่าวนี้ก็ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก”“อีกไม่นานแล้วครับคุณพ่อ พวกเขาจะได้รับการชดใช้” ชายหนุ่มพึมพำมองภาพที่เคลื่อนไหวอยู่บนจอแล้วยกมุมปากขึ้นอย่างสาแก่ใจ เมื่อข่าวนั้นจบลง ก่อนจะกดรีโมทปิดโทรทัศน์แล้วเปิดประตูเข้าห้องนอนเขาล้มตัวนอนเพียงไม่นาน เสียงสมาร์ตโฟนที่อยู่บนหัวเตียงก็ดังขึ้น จึงเอื้อมมือไปควานหาต้นเสียงที่สั่นครืด ๆ อยู่บนตู้ข้างหัวเตียง แล้วหยีตาเพื่อดูหน้าจอให้ชัดว
ปรัชญามองรถของตัวเองที่นภดลขับออกไป ก่อนจะขึ้นรถของหญิงสาวคู่อริที่ไม่รู้ว่าเคยเป็นศัตรูกันตั้งแต่ชาติปางไหน ที่เจอกันทีไรก็ต้องเขม่นใส่กันทุกที แถมวันนี้ก็ไม่รู้เป็นดวงซวยอะไรของเขาที่ต้องมารับเธอกลับชายหนุ่มขับรถมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ของคีรินที่ใช้ชั้นล่างเป็นที่พักอาศัยของเจ้าของบ้านและใช้ชั้นบนเป็นออฟฟิศรับงานด้านออกแบบอาคารและระบบพลังงานทดแทน โดยมีบันไดวนซึ่งอยู่ด้านหน้าฝั่งซ้ายของตัวบ้านขึ้นไปยังออฟฟิศทางฝั่งปีกซ้ายของบ้าน ส่วนฝั่งปีกขวาชั้นบนเป็นส่วนห้องรับรองแขก ซึ่งเขาเคยใช้พื้นที่ตรงนั้นอาศัยก่อนที่จะไปสร้างกระท่อมหลังน้อยแยกไปอยู่ต่างหาก หลังจากที่เจ้าของบ้านแต่งงานไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน“คุณ ๆ ถึงบ้านแล้ว” เขาเขย่าร่างบางที่หลับคอพับคออ่อนอยู่ข้าง ๆ แต่สาวเจ้าเหมือนจะไม่รู้สึกตัว“คุณ ๆ กุญแจบ้านล่ะ มีหรือเปล่า” เขาถาม เพราะคิดว่าเธอน่าจะมีกุญแจบ้านพี่ชายเก็บไว้บ้าง ถึงได้บอกให้เขาไปรับกลับ เพราะกุญแจที่เขาเคยใช้ก็คืนให้กับคีรินไปแล้ว มีเพียงกุญแจในส่วนของออฟฟิศเท่านั้นที่คีรินให้เขาเก็บไว้“กุญแจอะรายยย ม่ายยยมี จะนอนนน” ทำเสียงหงุดหงิดพลางปัดมือเขาที่กำลังเขย่าแขนปลุกให้