หลังจากที่ซูเหยาตัดเล็บให้ทั้งสองคนเสร็จ เธอก็ได้หาผ้าเก่าๆ มาโกยเอาเศษเล็บที่กองไว้ใส่ใบไม้ใบใหญ่ที่เสี่ยวเฟยได้ไปหามาจากด้านนอก แล้วให้เด็กชายเอาไปทิ้งไว้ที่โคนต้นไม้ เพราะที่นี่ไม่มีถังขยะเหมือนกับโลกที่เธอจากมา
ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าคนที่นี่เขาจัดการกับเศษขยะกันยังไง ส่วนห้องน้ำก็เป็นส้วมหลุมที่อยู่ห่างไกลจากบ้าน เพราะเธอเพิ่งจะไปเข้ามา โดยที่กลิ่นมันช่างสุดจะทานทน
เมื่อเสี่ยวเฟยเข้ามา เธอก็ได้เข้าไปต้มน้ำร้อนในครัว โดยมีผิงน้อยที่ถูกทำแผลที่มือเดินตามเธอมาด้วย
“พวกหนูสองคนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวน้ามา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยเพราะเธอตั้งใจจะเข้าไปจัดการเตียงของเด็กๆและจะเอาเครื่องนอนออกมาด้วย
พอเธอกลับเข้ามาในห้องของเด็กๆ อีกครั้ง เธอก็ได้รื้อผ้าที่ปูทับหญ้าแห้งเก่าๆ อยู่ออก และจับสิ่งที่เธอรื้อออกยัดใส่ถุงขยะที่เธอเตรียมไว้
ตอนนี้ซูเหยาถึงกับจามออกมาอย่างแรงจากความฉุนและฝุ่นละอองที่ปลิวไสวผสมกับหญ้าแห้ง เธอเรียกอุปกรณ์ทำความสะอาดทุกอย่างออกมาอย่างมากมาย รวมทั้งน้ำยาทำความสะอาดและฆ่าเชื้อด้วย
ในระหว่างที่เธอกำลังทำความสะอาดอยู่ในห้อง ด้านนอกที่สองพี่น้องตัวเล็กนั่งอยู่ เด็กน้อยสองพี่น้องก็เชื่อฟังแม่เลี้ยงของตนเป็นอย่างดี โดยที่พวกเขาไม่ได้ขยับตัวไปไหนตามที่ซูเหยาต้องการ จนกระทั่งพวกเขารู้สึกว่าแม่เลี้ยงของตนหายไปนาน
“พี่ชายน้าเหยาทำไมยังไม่มาอีก พวกเราไปดูได้หรือเปล่า”ผิงน้อยถามพี่ชายเนื่องจากเธอเป็นห่วงน้าเหยาคนใหม่คนนี้
“แต่ว่าน้าเหยาให้เรารอที่นี่นะ เราลองรอกันอีกหน่อยเถอะ”พี่ชายที่ไม่อยากขัดคำสั่ง พูดออกมาอย่างลังเล
ซูเหยาใช้เวลาในการจัดห้องของเด็กทั้งสองอยู่สักพัก จนเธอเห็นว่าทุกอย่างสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบดีแล้ว จึงได้นำของที่ต้องการทิ้งเก็บเข้าไปในมิติรอเอาไว้ก่อน เธอคิดว่าค่อยนำไปฝั่งหรือเผาทีหลัง
รวมทั้งอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลายที่เธอซื้อออกมาเพื่อใช้ทำความสะอาดก็ถูกเก็บเข้าไปในมิติด้วย เพื่อที่จะได้นำออกมาใช้ได้ในภายหลัง ซึ่งการเก็บนี้เธอก็เพิ่งรับรู้ได้ด้วยความบังเอิญ เพราะเธอเผลอพูดว่าเก็บเมื่อพูดจบของชิ้นนั้นก็หายเข้าไปในมิติจริงๆ
แต่เจ้าเสียงโมโนโทนก็ดังขึ้นด้วยถ้อยคำที่ว่าเก็บเข้ามาได้แต่ไม่คืนเงิน เพราะได้ทำการใช้สินค้านั้นไปแล้ว เธอถึงกับกรอกตามองบนเพราะเธอก็ไม่ได้อยากจะได้เงินคืนเสียหน่อย เพราะไหนๆ ก็ซื้อมาแล้วก็เอาไว้ใช้ประโยชน์ยาวๆ ไปเลยจะดีกว่าไหม
เมื่อเธอออกมาจากห้องของเด็กๆ เธอก็รีบเดินไปดูน้ำที่ได้ต้มไว้ในห้องครัว ก็เห็นเด็กน้อยนั่งกันอย่างกระสับกระส่าย
“พวกหนูเป็นอะไร ทำไมไม่นั่งกันให้ดีๆ ล่ะ” ซูเหยาถามด้วยความอยากรู้
“น้าเหยามาแล้ว” สองพี่น้องร้องขึ้นมาพร้อมๆ กันด้วยความดีใจ พร้อมกับวิ่งเข้ามาหาเธอ แต่เด็กทั้งสองก็ยังทิ้งระยะห่างอยู่เล็กน้อย
“เอาล่ะเรามาสระผมกันเถอะ” ซูเหยาพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมาเมื่อเห็นอาการของเด็กน้อยที่มีต่อตน
ซูเหยาได้ผสมน้ำลงในอ่างเมื่อเธอเห็นว่าน้ำพอดีแล้วเธอจึงได้ลงมือสระผมให้คนน้องก่อน โดยยาสระผมเด็กที่เธอนำออกมาแม้เด็กน้อยจะสงสัยแต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
เพราะตอนนี้พวกเขาเชื่อกันแล้วว่าน้าเหยาคนนี้ต้องเป็นนางฟ้าเข้ามาอยู่ในร่างน้าเหยาคนเดิมตามคนที่เรียกตนเองว่าแม่ในฝันมาบอกเขากับน้องอย่างแน่นอน
เพราะสิ่งของแปลกๆ และการกระทำของน้าเหยาคนนี้นั้นแตกต่างจากคนเดิมอย่างสิ้นเชิง และเขากับน้องในตอนนี้ก็ได้รับรู้แล้วว่าความสุขนั้นเป็นยังไง
“เสี่ยวเฟยมานี่เร็ว” ซูเหยากวักมือเรียกคนเป็นพี่ชายมาสระผมบ้าง เพราะเจ้าตัวเล็กที่สระเสร็จแล้วก็มายืนเช็ดผมข้างเธอในตอนนี้
จากน้ำที่เธอได้ต้มไว้จนเต็มหม้อใบใหญ่ที่เธอได้เรียกออกมานั้นน้ำเหลือไม่มากแล้ว เพราะผมของเด็กสองคนนี้สกปรกและดำมาก จนต้องสระถึงหกเจ็ดน้ำเลยทีเดียว ส่วนยาสระผมเด็กก็แทบจะหมดขวดเหมือนกัน เนื่องจากผมที่ยาวมากๆ ของเด็กน้อย
“ต่อไปนี้ทั้งสองคนจะต้องสระผมให้บ่อยขึ้นเข้าใจไหม” ซูเหยากล่าวกับเด็กน้อยที่กำลังใช้ผ้าสลับกันเช็ดผมของตัวเองอยู่
“เอาล่ะพวกหนูเข้าห้องไปก่อน น้าจะไปเทน้ำทิ้งแล้วจะเตรียมข้าวกลางวันไว้ให้ เพราะน้าจะเข้าป่า” ซูเหยาบอกกับพี่น้องที่ได้หันมองเธอเป็นตาเดียว
“ผม/หนูไปด้วย” เด็กทั้งสองบอกออกมาอย่างรีบร้อน
“ไม่ได้หรอกเพราะมือของผิงน้อยบาดเจ็บ หากเข้าป่าไปอาจจะไปถูกเชื้อโรคในป่าได้ เอาไว้เราค่อยไปกันวันหลังนะ”ซูเหยาเอ่ยปฏิเสธออกมาพร้อมอธิบายเหตุผล
“อืม” เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าพร้อมกับทำสีหน้าสลดลงแล้วก็พากันเดินเข้าห้องนอนของตน
“พี่ชายห้องของเรามีตู้ด้วย ที่นอนก็ใหม่” มู่ผิงพูดออกมาอย่างตื่นเต้นที่เธอได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของห้องที่ตนนอนกับพี่ชาย
“น้าเหยาต้องเป็นนางฟ้าแน่ๆ ใช่ไหมผิงผิง” มู่เฟยพูดกับน้องสาวออกมาอย่างดีใจ พร้อมกับที่เด็กน้อยสองคนก็พากันกอดคอร้องไห้
ทั้งสองร้องไห้กันอยู่สักพัก ก็พยายามปรับอารมณ์ของตัวเองแล้วก็เปิดตู้ไม้ใบขนาดกลางที่อยู่ด้านข้างพวกเขา ก็เห็นเสื้อผ้าใหม่อยู่หลายตัว ที่ได้แยกฝั่งเอาไว้ว่าของใครเป็นของใคร
มู่เฟยและมู่ผิงก็เลยหยิบเสื้อผ้าเหล่านั้นมาใส่ และเขาก็ได้ลองเปิดตู้เล็กด้านข้างก็เห็นเป็นรองเท้าที่มีขนาดเท่ากับพวกเขาทั้งสองเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาก็มีน้ำตาไหลออกมาด้วยความดีใจอีกครั้ง
“พี่ชายแล้วน้าเหยาคนนี้จะอยู่กับพวกเราตลอดไหม” ผิงผิงยังคงถามพี่ในเรื่องที่ตนสงสัย เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้มันเหมือนเป็นความฝันที่เธอกลัวว่าสักวันมันจะจบลง
“พี่ก็ไม่รู้ แต่พี่คิดว่าถ้าเราเป็นเด็กดีเชื่อฟังน้าเหยาก็คงจะไม่ทิ้งพวกเราไปแน่ๆ” พี่ชายพูดพร้อมกับลูบหัวน้องสาวอย่างปลอบโยน
ซูเหยาที่ยืนฟังอยู่นานเธอก็คิดว่าเด็กสองคนนี้ช่างฉลาดเสียจริง เพราะถึงแม้ว่าจะเห็นของแปลกหลายอย่างก็ไม่ถาม อีกทั้งยังคิดว่าเธอเป็นนางฟ้า
แต่ว่าการที่เด็กๆ คิดกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะจะยอมให้เธอทนเห็นเด็กๆ อดด้วยนะเหรอ ขอบอกเลยว่าเหยาไม่ทนนะคะ เหยาทนไม่ได้
เพราะมีให้กินก็ต้องกินค่ะ มีให้ใช้ก็ต้องใช้ ไหนยังจะต้องหาเงินมาสร้างบ้านที่ใกล้จะพังมิพังหลังนี้อีก แต่ว่าก่อนสร้างบ้านใหม่หาทางแยกบ้านให้ได้ก่อนดีกว่า คิดแล้วก็เพลียเหมือนกันแต่ก็นะ มาแล้วจงอยู่ไปและก็ทำให้ดีเท่านั้นพอ ซูเหยาคิดขึ้นมาอย่างปลงๆ
“เอาล่ะเด็กๆ แต่งตัวกันให้เสร็จเร็วเข้า เดี๋ยวน้าจะมัดผมให้ทั้งสองคน ส่วนของที่หนูๆ เห็นตอนนี้ก็เก็บเป็นความลับเอาไว้นะ เพราะบางคนที่คิดไม่ดีกับเราเขาอาจจะมาทำร้ายเราเอาได้เข้าใจไหม” ซูเหยาพูดขึ้นกับเด็กน้อยที่ยืนคุยกันอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า
“พวกเราสัญญาว่าจะไม่เล่าให้ใครฟังอย่างแน่นอน” มู่เฟยพูดขึ้นอย่างหนักแน่นโดยมีมู่ผิงพยักหน้ารับอยู่ด้านข้าง
“ดีมาก เสี่ยวเฟยมานั่งที่เก้าอี้ตัวนี้เร็วเข้า” ซูเหยากวักมือเรียกเด็กชายให้มานั่งเก้าอี้ที่เธอได้นำออกมาก่อนหน้า และเธอก็จับผมเด็กชายดูเมื่อเห็นว่ายังหมาด เธอก็เช็ดผมให้เด็กชายอีกครั้ง
‘เฮ้อ! คิดถึงไดร์เป่าผมจัง’ ซูเหยาคิดในใจ เธอเช็ดผมให้เด็กชายไปเรื่อยๆ ส่วนเสี่ยวผิงที่นั่งอยู่ข้างกันก็ค่อยๆ เช็ดผมตัวเองรอ
“เอาล่ะผมของเสี่ยวเฟยเรียบร้อยแล้ว” ซูเหยาพูดขึ้นเมื่อเธอมัดผมของเด็กชายเกล้าขึ้นไว้กลางหัว พร้อมกับใช้ผ้ามัดผมผูกไว้ให้อย่างเรียบร้อยเหมือนกับที่เธอเห็นตามซีรี่ส์ที่เคยดู
“เสี่ยวผิงตาหนูแล้ว มานี่เร็ว” ซูเหยาเมื่อพอใจกับผลงานของคนพี่แล้วเธอก็เรียกผิงตัวน้อยมาหา และให้นั่งต่อจากที่เสี่ยวเฟยนั่งเมื่อสักครู่
“ผมของผิงน้อยแห้งแล้ว เก่งมากที่เช็ดผมเองเป็น เด็กดีแบบนี้น้ามีขนมให้ด้วย” ซูเหยาพูดพร้อมกับหยิบขนมปังส่งให้เด็กน้อยสองชิ้น
“หนูแบ่งให้พี่ชายด้วยได้ไหมคะ พี่ชายก็เป็นเด็กดีเหมือนกัน” ผิงน้อยถามออกมาอย่างใสซื่อ
“ได้อยู่แล้ว เพราะของที่น้าให้แล้วก็ถือว่าเป็นของหนู หนูจะทำยังไงก็ได้ แต่ว่าต้องคิดให้ดีก่อน” ซูเหยากล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ที่เธอหยิบออกมาสองชิ้นก็เพื่อจะดูว่าเด็กน้อยจะทำยังไงและเด็กหญิงก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกผิดหวังเลย
“ผมของผิงน้อยก็เสร็จแล้วเหมือนกัน เป็นยังไงชอบไหม” ซูเหยาถามกับเด็กน้อยเมื่อเธอได้มองที่กระจกด้านหน้า มันช่างเป็นกระจกที่สะท้อนภาพออกมาได้ชัดเจนมาก
“ชอบค่ะ ขอบคุณนะคะ” เด็กน้อยมองตัวเองในกระจกพร้อมกับยิ้มออกมา
ตอนนี้ซูเหยาก็ได้เห็นหน้าตาตัวเองชัดเจนแล้ว หน้าตาของร่างนี้เป็นหน้าตาที่เหมือนกับเธอตอนอายุสิบแปดเหมือนกันไม่มีผิด คิ้วสวยได้รูป จมูกโด่งรั้นนิดๆ ปากกระจับอมชมพู
ดวงตาเรียวยาวแววตาสดใส แต่ถ้าหากเธอทำหน้านิ่งๆ ใบหน้านี้ก็ติดออกจะดูดุเล็กน้อย แต่ถ้าได้แย้มยิ้มก็ทำให้คนลุ่มหลงได้
‘เอ๋แล้วทำไมชาติก่อนฉันถึงไม่เคยมีแฟนกันล่ะ’ หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วสักหน่อย เธอคิดไร้สาระขึ้นมาอีกครั้ง
“น้าเหยาคะ เป็นอะไรไป” ผิงน้อยเมื่อเห็นอาการเหม่อของ ซูเหยาจึงได้ถามออกมา มู่เฟยเองก็ได้มองไปทางซูเหยาอย่างกังวลเช่นกัน
“น้าไม่เป็นไรจ้ะ น้าเตรียมอาหารเอาไว้แล้ว ถ้าหิวก็ไปกินได้เลย กินให้อิ่มนะ ถ้าเหลือก็เก็บไว้แต่ถ้าไม่เหลือก็ไม่เป็นไร
และก็หากมีใครมาเคาะประตูเรียกที่ไม่ใช่พ่อหรือน้าห้ามเปิดเด็ดขาด ไม่ว่าเขาจะทุบประตูเสียงดังหรือว่าเขาจะตะโกนด่าทอ ก็ทำเป็นนิ่งเสีย”
ซูเหยากล่าวย้ำกับเด็กตัวเล็กทั้งสองคน ที่ตอนนี้ดูดีขึ้นมากจากการอาบน้ำและสวมเสื้อผ้าใหม่
ที่เธอกล่าวย้ำกับเด็กน้อยก็เพราะว่าย่ามหาภัยตัวร้ายกับป้าสะใภ้ตัวดีคิดวางแผนที่จะขายเด็กน้อย หากอ้างอิงตามในนิยายยังไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก แต่ว่าเธอก็ควรจะป้องกันเอาไว้ก่อน
“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองรับคำออกมาเสียงดังฟังชัด
“ปิดประตูบ้านได้ จำไว้นะว่าห้ามเปิดไม่ว่าเขาจะมาหลอกเราแบบไหนก็ตาม ห้ามหลงเชื่อให้ใครเข้าบ้าน” ซูเหยายังไม่วายกล่าวย้ำออกมาอีกครั้ง
ตอนนี้เธอได้สะพายตะกร้าไม้ไผ่ไว้ด้านหลัง พร้อมกับในมือก็กำมีดยาวเอาไว้แน่น เมื่อของพร้อมเธอก็ก้าวเดินออกจากบ้านมุ่งหน้าไปป่าที่พ่อของเด็กทั้งสองไป
ซูเหยาคิดว่าจะพยายามเก็บสมุนไพรมีค่าตามที่นิยายได้บรรยายไว้มาให้หมด ก่อนที่นางเอกโลกสวยจะมาเจอ นางเอกก็ควรจะมีโชคแบบนางเอก
แต่ตอนนี้เหยามาแล้ว ของบางอย่างฉันขอเอามาสร้างตัวเพื่อเลี้ยงดูเด็กๆ ก่อนก็แล้วกัน และเมื่อไรที่นางเอกมาแล้ว มู่หานกับเขาเกิดถูกตาต้องใจกันซูเหยาก็คิดว่าจะหย่าให้โดยไม่ลังเล
เพราะเธอไม่คิดจะขวางบุพเพของใคร มีเงินซะอย่างอยู่สวยๆ รวยๆ ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ชายเข้ามาในชีวิตแต่ก่อนไปเธอจะต้องปูทางให้เด็กน้อยเสียก่อน
ในระหว่างที่เธอกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เธอก็ได้เดินขึ้นเขามาแล้ว โดยมีอุปกรณ์สำหรับเดินเขาเป็นตัวช่วยในครั้งนี้
ชุดที่ซูเหยาสวมก็เป็นเสื้อคอจีนแขนยาวบุนวมติดกระดุมป้ายมาด้านข้างกับกางเกงแยกชิ้นกัน โดยกางเกงที่เธอสวมเป็นเหมือนกางเกงกระโปรงตัวยาวที่หากมองผ่านๆ ก็คล้ายกับยุคสมัยนี้อยู่ไม่น้อย
ส่วนผมเธอก็เกล้าขึ้นไปปักด้วยปิ่นไม้ธรรมดา รองเท้าเธอสวมรองเท้าสำหรับเดินเขาสีดำซึ่งรูปแบบอาจจะแตกต่างกับผู้หญิงคนอื่นที่นิยมสวมรองเท้าผ้า
ซึ่งเธอเองก็คิดว่าใครอยากจะคิดยังไงก็ช่างเขาเถอะ เธอสะดวกแบบนี้ ใครอยากจะมองรองเท้าก็ให้เขามองไปก็แล้วกัน
“โชคดีนะที่เราอ่านมาจนใกล้จะจบแล้ว เลยรู้ว่าของดีอยู่ตรงไหน” ซูเหยาพูดขึ้นกับตัวเองอีกครั้งเมื่อเดินเข้าป่าลึกมาเรื่อยๆ
ป่าในยามนี้ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์จากน้ำตกที่มีน้ำมากเปรียบเสมือนเส้นเลือดขนาดใหญ่ที่เลี้ยงทุกชีวิต
ในระหว่างที่เธอเดิน เธอก็ได้ใช้สายตาสำรวจรอบๆ ด้านไปด้วย เพราะเธอรู้ว่าตอนนี้เธอเริ่มเดินเข้ามายังป่าชั้นกลางแล้ว
เธอจำได้ว่าไม่ไกลจากตรงนี้จะมีหญ้าหนอน แต่ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืนจากที่เธอนั่งพักเหนื่อยอยู่ เธอก็ได้ยินเสียงไก่เหมือนกับกำลังคุยเขี่ย เธอจึงได้ย่องไปดูและก็เห็นจริงๆ เธอคิดจะจับไก่พวกนี้ไปเลี้ยงไว้ที่บ้าน
แต่ว่าเมื่อคิดว่ายังอยู่ในพื้นที่เดียวกับคนบ้านนั้นเธอก็เลยล้มเลิกไป จะให้ฆ่ามันเพื่อเอาเนื้อก็ไม่ดี เพราะต้องแบ่งไปให้คนบ้านนั้นอีกเหมือนกัน
“เจ้าไก่ทั้งหลายถือว่าแกโชคดีที่มาเจอฉันในวันนี้ ดังนั้นก่อนที่ฉันจะได้แยกบ้านออกมาฉันจะปล่อยแกไปก่อนก็แล้วกัน” ซูเหยาพูดกับไก่ที่ตนเห็น
สุดท้ายเธอก็เลยมาจบที่หญ้าหนอนที่มีอยู่มากมายให้เธอได้เก็บ เธอก็เลือกเอาแต่เฉพาะที่ใช้ได้เท่านั้น นอกนั้นก็ทิ้งเอาไว้เพื่อให้มันเติบโตกันต่อไป
หลังจากนั้นซูเหยาก็เดินไปเรื่อยๆ ตามสัญลักษณ์เล็กๆ ที่นิยายได้บรรยายเอาไว้ว่าเมื่อเวลาเข้าป่ามู่หานมักจะทำเครื่องหมายเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองหลงทาง
เธอเดินมาเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง เพราะเธอกลัวว่าเดินอยู่ดีๆ จะมีแขกไม่ได้รับเชิญออกมาเผชิญหน้าด้วย อย่างเช่นสัตว์จำพวกหมู่ป่าหรือหมีป่าที่ช่วงนี้พวกมันก็น่าจะมาหาอาหารสะสมไว้ช่วงหน้าหนาวที่กำลังมาเยือน
ด้านเพื่อนของมู่หานที่ตอนนี้แต่ละคนได้เดินกลับมายังที่ตัวเองเคยยืนอยู่กันเมื่อครู่นี้ ตอนนี้พวกเขาก็พากันยืนอ้าปากตาค้างด้วยความตกใจกันทุกคนเมื่อพวกเขาได้มองลงไปในหลุมที่พวกเขาไม่เคยเห็นในครั้งแรก “หลุมนี้มาได้ยังไงกัน นี่พวกเราโชคดีมากเลยนะที่ได้เดินออกไปดูตามเสียงของซูเหยา เพราะถ้าเราอยู่” ชายคนที่ได้อยู่ในกลุ่มพูดกับคนในกลุ่มพร้อมกับกลืนน้ำลายลงด้วยความหวาดเสียว“มีอะไรกันหรือเปล่า ทำไมพวกนายถึงได้ยืนนิ่งกันแบบนี้” มู่หานถามคนที่อยู่ในกลุ่มด้วยความสงสัย พร้อมกับที่เขาก็ได้เดินเข้ามายังที่คนพวกนี้มุง“หมูป่า หมูป่าจริงเสียด้วย ว่าแต่ทำไมถึงมีหลุมกับดักอยู่ที่นี่กัน” มู่หานพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจและตัวเขาได้เดินตรวจสภาพรอบปากหลุมลึกนั้นอย่างระมัดระวัง ส่วนเจ้าหมูเซ่อที่ตกลงไปในหลุมยามนี้มันได้เงียบเสียงของมันลงไปนานแล้ว เนื่องจากมันได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก“หมูมันน่าจะตายแล้ว พวกเรามาช่วยกันหาวิธีเอามันขึ้นมาจากหลุมกันเถอะ” ชายรูปร่างเตี้ยที่เป็นชาวบ้านที่มาด้วยกันพูดขึ้น“ก็ดีเ
ซูเหยาคิดไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับที่เธอก็เอามีดยาวที่จับไว้ในมือกวาดไปที่พงหญ้ารก เพื่อเป็นการไล่สัตว์ร้ายมีพิษก่อนที่เธอจะเดินต่อไปก็เธอนะเป็นนางร้ายนะ ดังนั้นถ้าจะหวังให้โชคช่วยแบบนางเอกนะเหรอไม่มีทางหรอก ดังนั้นจะต้องทำเองจากสองมือเพียงอย่างเดียวเมื่อเธอก้าวเดินไปตามสัญลักษณ์ที่มู่หานทำไว้ ในที่สุดเธอก็เหมือนได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก ซึ่งเธอคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องเป็นพวกของมู่หานอย่างแน่นอน“โอ้ย ช่วยฉันด้วยมีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ” ซูเหยาแสร้งทำหกล้มนั่งกุมขอเท้าของตนด้วยท่าทางที่แสดงความเจ็บปวดน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร‘รางวัลนักแสดงต้องมาแล้วล่ะ แสดงได้เนียนขนาดนี้’ เธอคิดขึ้นในใจ และที่ซูเหยาต้องร้องเรียกคนเหล่านั้นให้ออกมาตรงนี้ ก็เพราะว่าตามนิยายที่ได้บรรยายเอาไว้ว่าหลังจากที่ มู่หานได้ตกลงไปในหลุมดักสัตว์เก่า และเพื่อนช่วยเขาขึ้นมาได้แล้ว ก็จะมีหมูป่าที่ไม่มองอะไรเลยพุ่งตกลงไปในหลุมกับดักยังไงล่ะเธอเดาเอาว่าช่วงเวลาและสถานที่อาจจะเป็นที่นี่ เพราะตอนนี้เธอไม่ได้ยินเสียงว่าพวกเข
“หมู นั่นหมูจริงๆ เสียด้วย ตัวมันใหญ่มากเลย” ฉินเจียวได้ส่งเสียงแหลมของตนร้องออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยสักนิด“ถอยไป หลบไป ฉันเป็นแม่ของมู่หาน ฉันจะเข้าไปหาลูกชายฉัน” ฉินเจียวทั้งผลักทั้งดันคนรอบข้างให้แหวกทางให้กับตน โดยมีจิวเหลียนหญิงร่างใหญ่เป็นผู้ช่วยซูเหยาเมื่อเธอมองเห็นภาพนี้เธอถึงกับเบะปากใส่คนทั้งสอง ‘ช่วยหาก็ไม่ได้ช่วย คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างเดียว’ เธอคิดเมื่อเธอเห็นแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยเดินมาแล้ว ซูเหยาจึงได้หลบฉากเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านไปหาเด็กน้อยน่ารัก ที่ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ และได้กินข้าวกันหรือยังแต่เมื่อเธอมาถึงบ้าน เธอก็ได้ยืนช็อกกับสภาพประตูหน้าบ้านของตนไปแล้ว เพราะประตูได้ถูกเปิดออกโดยมีร่องรอยการจามด้วยขวานตัดไม้ซึ่งน่าจะมีขนาดใหญ่เมื่อซูเหยาได้เห็นสภาพบ้านแบบนี้ ตอนนี้ใจเธอถึงกับหล่นวูบไปเลยทีเดียว เด็กน้อยลูกทั้งสองจะเป็นอย่างไร“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิงอยู่ที่ไหนกัน ได้ยินเสียงน้าไหม พวกหนูอยู่ไหน” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าแตกตื่น
ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ร้องไห้ตามซูเหยาออกมาเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าน้าเหยาที่ดีกับเขาคนนี้ร้องไห้เสียใจแล้วพวกเขาอาจจะอดตายได้เสียงของคนทั้งสามร้องไห้ระงมอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสียงดัง “มันเกิดอะไรขึ้นเงียบก่อนค่อยๆ พูด” ฉีอันพูดขึ้นห้ามปรามการร้องไห้ของสามแม่ลูกออกมาเสียงดังคนทั้งสามที่ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร พวกเขาก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย บอกตาฉีอันไปเลยลูกว่าใครเข้าไปทำอะไรในบ้านของเรา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยนเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาถามเขาก็คือฉีอันผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านตงไห่จากความทรงจำของร่างนี้“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง การกระทำของลูกชายหญิงได้ทำให้มู่หานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย พร้อมคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับคนสามคนในบ้านของเขากัน เขาคิดอย่างงุนงง“ย่ากับป้าสะใภ้มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเรา แต่ว่าน้าเหยาได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตู เพราะอาจจะเป็นคนไม่ดีพวกเราก็ไม่เปิดพ
ในระหว่างที่ซูเหยาได้รอฉินเจียวเอาเงินมาให้ตนอยู่ เธอก็ได้หันไปพูดกับมู่หานที่กำลังสำรวจลูกชายหญิงของตน“ฉันต้องการแยกออกมาจากบ้านมู่อย่างเด็ดขาด คุณทำให้ได้ไหม” ซูเหยาพูดพร้อมกับมองหน้าสามีในนามของตน ที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาประสานสายตากับเธอแล้วอย่างหนักแน่น“ผมเองก็เคยคิดจะแยกบ้านออกมาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อที่ดินและเงินสำหรับสร้างบ้าน ไหนจะที่นาอีก ถ้าเราย้ายออกมาจะหาเงินที่ไหนไปเช่าที่ทำกินกัน” มู่หานเขาพรั่งพรูคำพูดในสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ออกมา“คุณตอบฉันได้ไหมตอนนี้ปีอะไร” ซูเหยาถามในสิ่งที่ตนสงสัย เนื่องจากในนิยายไม่ได้กล่าวเอาไว้ เธอรู้แต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกที่อ้างอิงมาจากเดิมเพียงเท่านั้น“คุณเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าโดนแม่และพี่สะใภ้ตีหัวหรอกนะแม้แต่วันเดือนปีก็หลงลืมเสียหมด ปีนี้เป็นปี 1965 ยังไงล่ะ” มู่หานบอกกับภรรยาสาวในนามซูเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่หานพูด เธอถึงกับอยากจะต่อว่าระบบเสียจริง ที่บังคับส่งเธอมาอยู่ในช่วงก่อนปีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า“ฉันมีเงิน คุณรีบไปขอซื้อที่ดินกับลุงผู้ใหญ่บ้านซะในตอ
“หล่อนเป็นบ้าหรือไง ฉันจะบอกว่าแท้จริงแล้วมู่หานเป็นหลานชายของฉัน เขาเป็นลูกของพี่มู่ไห่ พี่ชายของฉันที่ตรอมใจเพราะแม่ของมู่หานหนีไปต่างหาก” เสียงดังที่ออกมาจากปากของมู่จางทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับงุนงงในเรื่องนี้‘โอ้ ที่แท้เรื่องราวที่นักเขียนไม่ได้ระบุไว้กำลังจะถูกเปิดเผย’ ซูเหยาคิด และเธอรู้สึกว่ากำลังเป็นผู้ชมละครเรื่องหนึ่งที่มีปมอยู่แบบชิดขอบสนาม“คุณโกหก” ฉินเจียวเองก็ยังไม่ยอมแพ้ จึงได้แผดเสียงออกมา ถ้าเป็นเรื่องจริงการที่เธอถูกตบก็เพราะไปด่าบรรพบุรุษของเขาแน่ๆ“ไหนนายบอกว่ามู่ไห่กับครอบครัวไปทำงานที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันมากลายเป็นแบบนี้” ฉีอันเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้จึงได้ถามออกมา“ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าพี่ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนละหมู่บ้าน และตอนนั้นพี่มู่ไห่ก็ไปอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้กลับมา มีอยู่วันหนึ่งได้มีคนมาบอกกับผมว่ามู่ไห่ต้องการพบ ผมก็เลยได้ตามชายคนนั้นไปและก็เห็นสภาพพี่ชายผมไม่สู้ดีนัก เขาได้ฝากเด็กที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่เดือนเอาไว้กับผม ซึ่งก็คือมู่หานนี่แหละตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความอัปยศของตน เขาจึงบอกกับผมว่าให้บอกกับทุกคนว่าได้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้
ทุกคนที่มามุงดูการชำแหละหมูในครั้งนี้ ก็ได้กลายเป็นว่าได้หันมาสนใจกับเรื่องครอบครัวบ้านมู่แทนเสียแล้ว พวกเขาถือว่าเรื่องชาวบ้านคือแหล่งของความบันเทิงชั้นดี“เอาล่ะ ทั้งสองฝ่ายก็มาปั๊มลายมือหรือลงลายมือชื่อได้” เสียงฉีอันที่ทำการเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยบอกกับทั้งสองฝ่ายตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้หนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือเรียบร้อย ซูเหยาได้อ่านตัวหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัดว่าต่อไปนี้บ้านของมู่หาน รวมทั้งตัวคนในครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนบ้านใหญ่มู่ทุกคนหากมีใครมาละเมิดหรือกระทำการล่วงเกินครอบครัวของอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายสามารถแจ้งทางการได้ทันที ลงชื่อทั้งสองฝ่ายครบถ้วน พยานก็เป็นคนในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้“มู่หานเราไปเก็บข้าวของกันเถอะ เด็กๆ ไปกัน น้าจะพาพวกหนูไปอยู่บ้านใหม่” ซูเหยาพูดกับมู่หาน แล้วนั่งยองๆ พูดกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋วตอนนี้เธอได้เอาหวีออกมารวบผมให้เด็กน้อย รวมถึงได้จัดการแต่งกายของทั้งสองให้เรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ดูดีเหมือนเมื่อเช้าสักเท่าไร แต่ยังคงเรียบร้อยกว่าตอนมาที่แห่งนี้ในตอนแรก
“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้านทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพสมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้นซูเหยากับเด็กสอง
“คุณ เรื่องที่ดินที่บ้านในหมู่บ้านตงไห่เป็นอย่างไรบ้างเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ” หว่านชิงถามกับสามีเมื่อได้อยู่ในห้องโถงของบ้าน หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว“เรียบร้อยคุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ลูกของเราไปไหนอย่างนั้นเหรอ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็หายไปเลย” ซูป๋อถามกับภรรยาถึงลูกสาว“ก็ไปคุยกับมู่หานยังไงล่ะคะ เพราะเรื่องที่ลูกเล่าให้เราฟังเธอยังไม่ได้บอกกับสามี” หว่านชิงได้ตอบข้อสงสัยของสามีออกมา“ฮ่าๆ นี่ก็แสดงว่าครอบครัวอย่างพวกเราสำคัญเป็นที่หนึ่งในใจลูกใช่ไหมที่รัก” ซูป๋อหัวเราะพร้อมกับหันไปถามกับภรรยาคู่ทุกข์ของตนเสียงหวานซึ่งก็ได้รับค้อนงามๆ จากภรรยาเข้าให้ เพราะพูดอะไรไม่รู้จักอายลูกและหลานที่ต่างหันมามองพวกเขา“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย เอาขนมอีกไหม ป้าจะไปเอามาให้ หนูสองคนอยากกินอะไรบอกป้าทั้งสองคนได้เลยนะ” ฟางหรงและลี่มี่ถามเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่กับตนด้วยความอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะ/ครับ” เด็กน้อยได้แต่กล่าวขอบคุณออกมาเสียงเบา ด้วยความเขินอาย“เสี่ย
อยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้มีคนต้องการซื้อ” ซูป๋อรีบถามลูกสาวออกมาด้วยความรีบร้อน“ห๊ะ! พ่อว่ามีคนมาขอซื้ออาหารเช้าของบ้านเราอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนี้จะรออะไรล่ะคะ ก็ขายไปเลยสิคะพ่อ” ซูเหยาร้องขึ้นด้วยความตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอคิดว่ามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านก็ขายสิคะถูกไหมล่ะ“พ่อคะ พ่อไปบอกกับคนที่ต้องการซื้อว่าให้รอสักครู่นะคะรับรองหนูมีพอให้กับทุกคนแน่นอน” ซูเหยาพูดออกมาดีนะที่เธอมีมิติ เพราะมิติที่ว่าใจร้ายก็ยังใจดีกับเธอบ้าง เธอเพิ่งได้รู้จากเจ้าของเสียงไร้อารมณ์ในมิติว่า ถ้าเป็นของที่เธอลงมือทำเองจะสามารถเพิ่มได้จนถึงหนึ่งร้อยชิ้นโดยเธอต้องใส่สินค้าในตะกร้ารอขาย แล้วหลังจากนั้นก็กดเพิ่มจำนวนเอา แต่ได้เพียงอย่างละร้อยชิ้นต่อวันเท่านั้นซึ่งแค่นี้มันก็ดีมากแล้ว สำหรับการที่เธอจะต้องอยู่ในยุคที่อดอยากแบบตอนนี้ ที่กำลังจะเป็นปีอดอยากของแท้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าของจริงดังนั้นการขายอาหารเช้าหน้าบ้านจึงได้เกิดขึ้น โดยเธอได้สั่งให้มู่หานกับพี่ชายอีกสองคนไปช่วยกันยกโต๊ะ
“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้านทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพสมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้นซูเหยากับเด็กสอง
ทุกคนที่มามุงดูการชำแหละหมูในครั้งนี้ ก็ได้กลายเป็นว่าได้หันมาสนใจกับเรื่องครอบครัวบ้านมู่แทนเสียแล้ว พวกเขาถือว่าเรื่องชาวบ้านคือแหล่งของความบันเทิงชั้นดี“เอาล่ะ ทั้งสองฝ่ายก็มาปั๊มลายมือหรือลงลายมือชื่อได้” เสียงฉีอันที่ทำการเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยบอกกับทั้งสองฝ่ายตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้หนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือเรียบร้อย ซูเหยาได้อ่านตัวหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัดว่าต่อไปนี้บ้านของมู่หาน รวมทั้งตัวคนในครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนบ้านใหญ่มู่ทุกคนหากมีใครมาละเมิดหรือกระทำการล่วงเกินครอบครัวของอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายสามารถแจ้งทางการได้ทันที ลงชื่อทั้งสองฝ่ายครบถ้วน พยานก็เป็นคนในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้“มู่หานเราไปเก็บข้าวของกันเถอะ เด็กๆ ไปกัน น้าจะพาพวกหนูไปอยู่บ้านใหม่” ซูเหยาพูดกับมู่หาน แล้วนั่งยองๆ พูดกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋วตอนนี้เธอได้เอาหวีออกมารวบผมให้เด็กน้อย รวมถึงได้จัดการแต่งกายของทั้งสองให้เรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ดูดีเหมือนเมื่อเช้าสักเท่าไร แต่ยังคงเรียบร้อยกว่าตอนมาที่แห่งนี้ในตอนแรก
“หล่อนเป็นบ้าหรือไง ฉันจะบอกว่าแท้จริงแล้วมู่หานเป็นหลานชายของฉัน เขาเป็นลูกของพี่มู่ไห่ พี่ชายของฉันที่ตรอมใจเพราะแม่ของมู่หานหนีไปต่างหาก” เสียงดังที่ออกมาจากปากของมู่จางทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับงุนงงในเรื่องนี้‘โอ้ ที่แท้เรื่องราวที่นักเขียนไม่ได้ระบุไว้กำลังจะถูกเปิดเผย’ ซูเหยาคิด และเธอรู้สึกว่ากำลังเป็นผู้ชมละครเรื่องหนึ่งที่มีปมอยู่แบบชิดขอบสนาม“คุณโกหก” ฉินเจียวเองก็ยังไม่ยอมแพ้ จึงได้แผดเสียงออกมา ถ้าเป็นเรื่องจริงการที่เธอถูกตบก็เพราะไปด่าบรรพบุรุษของเขาแน่ๆ“ไหนนายบอกว่ามู่ไห่กับครอบครัวไปทำงานที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันมากลายเป็นแบบนี้” ฉีอันเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้จึงได้ถามออกมา“ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าพี่ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนละหมู่บ้าน และตอนนั้นพี่มู่ไห่ก็ไปอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้กลับมา มีอยู่วันหนึ่งได้มีคนมาบอกกับผมว่ามู่ไห่ต้องการพบ ผมก็เลยได้ตามชายคนนั้นไปและก็เห็นสภาพพี่ชายผมไม่สู้ดีนัก เขาได้ฝากเด็กที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่เดือนเอาไว้กับผม ซึ่งก็คือมู่หานนี่แหละตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความอัปยศของตน เขาจึงบอกกับผมว่าให้บอกกับทุกคนว่าได้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้
ในระหว่างที่ซูเหยาได้รอฉินเจียวเอาเงินมาให้ตนอยู่ เธอก็ได้หันไปพูดกับมู่หานที่กำลังสำรวจลูกชายหญิงของตน“ฉันต้องการแยกออกมาจากบ้านมู่อย่างเด็ดขาด คุณทำให้ได้ไหม” ซูเหยาพูดพร้อมกับมองหน้าสามีในนามของตน ที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาประสานสายตากับเธอแล้วอย่างหนักแน่น“ผมเองก็เคยคิดจะแยกบ้านออกมาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อที่ดินและเงินสำหรับสร้างบ้าน ไหนจะที่นาอีก ถ้าเราย้ายออกมาจะหาเงินที่ไหนไปเช่าที่ทำกินกัน” มู่หานเขาพรั่งพรูคำพูดในสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ออกมา“คุณตอบฉันได้ไหมตอนนี้ปีอะไร” ซูเหยาถามในสิ่งที่ตนสงสัย เนื่องจากในนิยายไม่ได้กล่าวเอาไว้ เธอรู้แต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกที่อ้างอิงมาจากเดิมเพียงเท่านั้น“คุณเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าโดนแม่และพี่สะใภ้ตีหัวหรอกนะแม้แต่วันเดือนปีก็หลงลืมเสียหมด ปีนี้เป็นปี 1965 ยังไงล่ะ” มู่หานบอกกับภรรยาสาวในนามซูเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่หานพูด เธอถึงกับอยากจะต่อว่าระบบเสียจริง ที่บังคับส่งเธอมาอยู่ในช่วงก่อนปีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า“ฉันมีเงิน คุณรีบไปขอซื้อที่ดินกับลุงผู้ใหญ่บ้านซะในตอ
ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ร้องไห้ตามซูเหยาออกมาเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าน้าเหยาที่ดีกับเขาคนนี้ร้องไห้เสียใจแล้วพวกเขาอาจจะอดตายได้เสียงของคนทั้งสามร้องไห้ระงมอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสียงดัง “มันเกิดอะไรขึ้นเงียบก่อนค่อยๆ พูด” ฉีอันพูดขึ้นห้ามปรามการร้องไห้ของสามแม่ลูกออกมาเสียงดังคนทั้งสามที่ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร พวกเขาก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย บอกตาฉีอันไปเลยลูกว่าใครเข้าไปทำอะไรในบ้านของเรา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยนเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาถามเขาก็คือฉีอันผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านตงไห่จากความทรงจำของร่างนี้“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง การกระทำของลูกชายหญิงได้ทำให้มู่หานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย พร้อมคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับคนสามคนในบ้านของเขากัน เขาคิดอย่างงุนงง“ย่ากับป้าสะใภ้มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเรา แต่ว่าน้าเหยาได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตู เพราะอาจจะเป็นคนไม่ดีพวกเราก็ไม่เปิดพ
“หมู นั่นหมูจริงๆ เสียด้วย ตัวมันใหญ่มากเลย” ฉินเจียวได้ส่งเสียงแหลมของตนร้องออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยสักนิด“ถอยไป หลบไป ฉันเป็นแม่ของมู่หาน ฉันจะเข้าไปหาลูกชายฉัน” ฉินเจียวทั้งผลักทั้งดันคนรอบข้างให้แหวกทางให้กับตน โดยมีจิวเหลียนหญิงร่างใหญ่เป็นผู้ช่วยซูเหยาเมื่อเธอมองเห็นภาพนี้เธอถึงกับเบะปากใส่คนทั้งสอง ‘ช่วยหาก็ไม่ได้ช่วย คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างเดียว’ เธอคิดเมื่อเธอเห็นแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยเดินมาแล้ว ซูเหยาจึงได้หลบฉากเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านไปหาเด็กน้อยน่ารัก ที่ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ และได้กินข้าวกันหรือยังแต่เมื่อเธอมาถึงบ้าน เธอก็ได้ยืนช็อกกับสภาพประตูหน้าบ้านของตนไปแล้ว เพราะประตูได้ถูกเปิดออกโดยมีร่องรอยการจามด้วยขวานตัดไม้ซึ่งน่าจะมีขนาดใหญ่เมื่อซูเหยาได้เห็นสภาพบ้านแบบนี้ ตอนนี้ใจเธอถึงกับหล่นวูบไปเลยทีเดียว เด็กน้อยลูกทั้งสองจะเป็นอย่างไร“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิงอยู่ที่ไหนกัน ได้ยินเสียงน้าไหม พวกหนูอยู่ไหน” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าแตกตื่น
ซูเหยาคิดไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับที่เธอก็เอามีดยาวที่จับไว้ในมือกวาดไปที่พงหญ้ารก เพื่อเป็นการไล่สัตว์ร้ายมีพิษก่อนที่เธอจะเดินต่อไปก็เธอนะเป็นนางร้ายนะ ดังนั้นถ้าจะหวังให้โชคช่วยแบบนางเอกนะเหรอไม่มีทางหรอก ดังนั้นจะต้องทำเองจากสองมือเพียงอย่างเดียวเมื่อเธอก้าวเดินไปตามสัญลักษณ์ที่มู่หานทำไว้ ในที่สุดเธอก็เหมือนได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก ซึ่งเธอคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องเป็นพวกของมู่หานอย่างแน่นอน“โอ้ย ช่วยฉันด้วยมีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ” ซูเหยาแสร้งทำหกล้มนั่งกุมขอเท้าของตนด้วยท่าทางที่แสดงความเจ็บปวดน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร‘รางวัลนักแสดงต้องมาแล้วล่ะ แสดงได้เนียนขนาดนี้’ เธอคิดขึ้นในใจ และที่ซูเหยาต้องร้องเรียกคนเหล่านั้นให้ออกมาตรงนี้ ก็เพราะว่าตามนิยายที่ได้บรรยายเอาไว้ว่าหลังจากที่ มู่หานได้ตกลงไปในหลุมดักสัตว์เก่า และเพื่อนช่วยเขาขึ้นมาได้แล้ว ก็จะมีหมูป่าที่ไม่มองอะไรเลยพุ่งตกลงไปในหลุมกับดักยังไงล่ะเธอเดาเอาว่าช่วงเวลาและสถานที่อาจจะเป็นที่นี่ เพราะตอนนี้เธอไม่ได้ยินเสียงว่าพวกเข