“หมู นั่นหมูจริงๆ เสียด้วย ตัวมันใหญ่มากเลย” ฉินเจียวได้ส่งเสียงแหลมของตนร้องออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยสักนิด
“ถอยไป หลบไป ฉันเป็นแม่ของมู่หาน ฉันจะเข้าไปหาลูกชายฉัน” ฉินเจียวทั้งผลักทั้งดันคนรอบข้างให้แหวกทางให้กับตน โดยมีจิวเหลียนหญิงร่างใหญ่เป็นผู้ช่วย
ซูเหยาเมื่อเธอมองเห็นภาพนี้เธอถึงกับเบะปากใส่คนทั้งสอง ‘ช่วยหาก็ไม่ได้ช่วย คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างเดียว’ เธอคิด
เมื่อเธอเห็นแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยเดินมาแล้ว ซูเหยาจึงได้หลบฉากเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านไปหาเด็กน้อยน่ารัก ที่ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ และได้กินข้าวกันหรือยัง
แต่เมื่อเธอมาถึงบ้าน เธอก็ได้ยืนช็อกกับสภาพประตูหน้าบ้านของตนไปแล้ว เพราะประตูได้ถูกเปิดออกโดยมีร่องรอยการจามด้วยขวานตัดไม้ซึ่งน่าจะมีขนาดใหญ่
เมื่อซูเหยาได้เห็นสภาพบ้านแบบนี้ ตอนนี้ใจเธอถึงกับหล่นวูบไปเลยทีเดียว เด็กน้อยลูกทั้งสองจะเป็นอย่างไร
“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิงอยู่ที่ไหนกัน ได้ยินเสียงน้าไหม พวกหนูอยู่ไหน” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าแตกตื่นมีน้ำตาคลอเธอร้องเรียกหาเด็กน้อยเสียงดัง
“ฮือๆ กลัวแล้วๆ” เสียงสั่นเล็กๆ ร้องด้วยความหวาดกลัวซ้ำๆอย่างคนเสียขวัญ ดังอยู่ที่มุมครัวข้างตู้เก็บอาหาร ซูเหยาเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ นี้ เธอจำได้ว่าเป็นของเสี่ยวเฟยอย่างแน่นอน
“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิง” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปกอดเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว เพราะสภาพของเด็กน้อยตอนนี้ทั้งสองกอดกันกลม ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
“ไม่เป็นไรนะเด็กดี น้ามาแล้ว ไม่ร้องแล้วนะโอ๋ๆ” ซูเหยากอดเด็กทั้งคู่ พร้อมกับเอามือลูบหัวลูบหลังพูดจาปลอบประโลมเด็กทั้งสองอย่างอ่อนโยน
เด็กน้อยทั้งสองที่กำลังตกใจ เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนที่พูดกับเขาช้าๆ ซ้ำๆ พวกเขาก็ค่อยๆ คลายสะอื้นลง แต่ว่าก็ยังไม่ถึงกับนิ่งเงียบเสียทีเดียว
ซูเหยาเมื่อเธอรับรู้ได้ว่าเด็กน้อยในอ้อมแขนดีขึ้นมากแล้ว เธอจึงค่อยๆ คลายวงแขนของตนออกอย่างช้าๆ
ตอนนี้เด็กน้อยสองคนได้เงยหน้าที่ยังมีน้ำตาเปรอะแก้ม และดวงตาสีแดงที่บอบช้ำจากการร้องไห้จ้องมองมาที่ ซูเหยา
“น้าเหยา ย่า..ย่า ป้ามาเอาของไปหมดเลย พวกเขาเอาไปหมดแล้ว” เสี่ยวผิงเมื่อเธอเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นใครที่โอบกอดเธอ
เจ้าตัวน้อยก็โถมตัวเอาแขนเล็กๆ โอบรอบคอซูเหยา พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอู้ๆ อี้ๆ แต่ซูเหยาก็ยังพอฟังเข้าใจ ‘ย่าตัวร้าย ป้าชั่วช้ารอฉันก่อน’ ซูเหยาพูดในใจด้วยความโกรธ
“น้าเหยาผ..ผมขอโทษ ที่รักษาของไว้ไม่ได้ฮือๆ” เด็กน้อยเสี่ยวเฟยกล่าวขอโทษซูเหยา พร้อมร้องไห้ออกมาอย่างเสียใจ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องนะ พวกหนูไม่ผิดหรอก ผิดที่คนพวกนั้น หนูสองคนโดนคนพวกนั้นทำร้ายตรงไหนหรือเปล่า” ซูเหยาลูบหัวเด็กชายตัวน้อย และถามขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
“ผิงน้อยปล่อยน้าก่อนลูก มาให้น้าดูร่างกายพวกหนูก่อนว่ามีบาดแผลตรงไหนหรือเปล่า” ซูเหยาบอกกับเด็กหญิงตัวน้อยพร้อมค่อยๆ จับแขนเล็กๆ บอบบางออกจากรอบคอของตนอย่างช้าๆ
เมื่อแขนของผิงน้อยออกจากรอบคอของตนมาได้แล้ว เธอก็ได้จับให้เจ้าตัวน้อยยืนตัวตรง ต่อมาเธอก็ค่อยๆ จับไหล่ของเสี่ยวเฟย เพื่อประคองให้เจ้าตัวน้อยลุกขึ้น
เมื่อเด็กน้อยยืนอยู่ด้านหน้าของเธอแล้ว เธอก็ใช้สายตามองสำรวจร่างของเด็กน้อยทั้งสอง ต่อมาเธอก็ค่อยๆ เปิดเสื้อของเด็กน้อยสำรวจดูตามแขนและลำตัว และก็มาถกขากางเกงของเด็กน้อยดูตามขาว่ามีร่องรอยใดๆ หรือเปล่า เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยไม่มีร่องรอยของการบาดเจ็บ เธอถึงรู้สึกโล่งใจ
“พวกนั้นตีหนูสองคนหรือเปล่า” ซูเหยาได้ถามเด็กน้อยที่ต่างก็ยืนนิ่งให้เธอสำรวจพวกเขา
“ไม่ครับ พอผมเข้าไปขวาง ย่าก็ยกมือขึ้นจะตี แต่ผมรีบหลบออกมา ส่วนเสี่ยวผิงก็รีบหลบป้าสะใภ้วิ่งมาหาผมเหมือนกัน” เสี่ยวเฟยตอบแม่เลี้ยงตามความจริง
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหาผู้ใหญ่บ้านกัน น้าจะไปเอาเรื่องคนพวกนั้น หนูทนอยู่สภาพนี้ไปก่อนนะ เพราะถ้าเราอยากได้รับความเป็นธรรมจากการถูกรังแกก็ต้องไปสภาพนี้แหละ” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสอง และเธอก็ค่อยๆ ยืนขึ้น พร้อมจับมือเด็กน้อยออกไปนอกบ้าน
‘อยากได้ของบ้านซูเหยาคนนี้อย่างนั้นเหรอ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกนะหึหึ’ ซูเหยาคิดอย่างชั่วร้าย
สามคนผู้ใหญ่หนึ่ง เด็กอีกสองพากันเดินจูงมือมาที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ที่ตอนนี้ได้มีชาวบ้านมากหน้าหลายตายืนอยู่ด้วยกันหลายคน
‘ดีทีเดียวพยานเยอะดี’ ซูเหยาคิด เธอมองไปที่เด็กสองคนที่เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าหลุดลุ่ยผมเผ้ายุ่งเหยิง ต้องเล่นละครฉากใหญ่สักหน่อยแล้ว
“เด็กๆ ได้เวลาที่พวกเราจะต้องไปทวงข้าวของคืนแล้วล่ะ” ซูเหยาพูดกับเด็กๆ
“ฮือๆ ช่วยด้วยค่ะผู้ใหญ่บ้าน ช่วยเสี่ยวเฟยเสี่ยวผิงด้วย” ซูเหยาร้องไห้พร้อมกับตะโกนเสียงดัง
ชาวบ้านที่กำลังดูการชำแหละหมูอยู่ด้วยความสนใจ เมื่อได้ยินน้ำเสียงของซูเหยาที่พูดพร้อมกับร้องไห้ พวกเขาต่างก็พากันหันมามองทางต้นเสียงเป็นตาเดียว
และพวกเขาก็ได้เห็นสภาพของเด็กน้อยสองคนที่ตาแดงช้ำน้ำตาคลอหน่วย เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมเผ้ายุ่งเหยิง มีซูเหยาจับจูงมืออยู่กันคนละฝั่ง
“เกิดอะไรขึ้นอาเฟย อาผิง บอกพ่อใครทำอะไรลูกกัน” มู่หานเมื่อเขาเห็นสภาพลูกชายหญิงของตนก็รีบวิ่งเข้ามาถามลูกน้อยด้วยความเป็นห่วง
“ยะ.. ย่า” เสี่ยวเฟยตอบพร้อมเอานิ้วชี้ผอมของตนชี้ไปยัง ฉินเจียวที่อยู่ในกลุ่ม “ป้าสะใภ้” เสี่ยวผิงก็ทำตามพี่ชายเช่นกัน
ด้านฉินเจียวกับจิวเหลียนที่ตอนนี้ก็ได้พยายามจะหลบสายตาจากผู้คนที่มองมา ด้วยความอับอาย
“ผู้ใหญ่บ้านต้องให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวของฉัน และก็เด็กสองคนนี้นะคะ พวกเขาเอาข้าวของในบ้านของพวกเราไปหมดเลย
พะ.. พวกเขาทำตัวกันยิ่งกว่าโจรเสียอีกฮือๆ ไม่เหลือแม้แต่ข้าวให้พวกเราสี่คนพ่อแม่ลูกไว้กินด้วย
และพวกเราจะมีชีวิตอยู่กันได้ยังไงให้ผ่านหน้าหนาวที่จะมาถึงนี้ได้กัน ถ้าผู้ใหญ่บ้านไม่ให้ความเป็นธรรมกับฉัน ฉันจะไปร้องเรียนทางการในอำเภอ” ซูเหยาร้องไห้คร่ำครวญพร้อมพูดออกมา
ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ร้องไห้ตามซูเหยาออกมาเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าน้าเหยาที่ดีกับเขาคนนี้ร้องไห้เสียใจแล้วพวกเขาอาจจะอดตายได้เสียงของคนทั้งสามร้องไห้ระงมอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสียงดัง “มันเกิดอะไรขึ้นเงียบก่อนค่อยๆ พูด” ฉีอันพูดขึ้นห้ามปรามการร้องไห้ของสามแม่ลูกออกมาเสียงดังคนทั้งสามที่ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร พวกเขาก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย บอกตาฉีอันไปเลยลูกว่าใครเข้าไปทำอะไรในบ้านของเรา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยนเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาถามเขาก็คือฉีอันผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านตงไห่จากความทรงจำของร่างนี้“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง การกระทำของลูกชายหญิงได้ทำให้มู่หานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย พร้อมคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับคนสามคนในบ้านของเขากัน เขาคิดอย่างงุนงง“ย่ากับป้าสะใภ้มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเรา แต่ว่าน้าเหยาได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตู เพราะอาจจะเป็นคนไม่ดีพวกเราก็ไม่เปิดพ
ในระหว่างที่ซูเหยาได้รอฉินเจียวเอาเงินมาให้ตนอยู่ เธอก็ได้หันไปพูดกับมู่หานที่กำลังสำรวจลูกชายหญิงของตน“ฉันต้องการแยกออกมาจากบ้านมู่อย่างเด็ดขาด คุณทำให้ได้ไหม” ซูเหยาพูดพร้อมกับมองหน้าสามีในนามของตน ที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาประสานสายตากับเธอแล้วอย่างหนักแน่น“ผมเองก็เคยคิดจะแยกบ้านออกมาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อที่ดินและเงินสำหรับสร้างบ้าน ไหนจะที่นาอีก ถ้าเราย้ายออกมาจะหาเงินที่ไหนไปเช่าที่ทำกินกัน” มู่หานเขาพรั่งพรูคำพูดในสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ออกมา“คุณตอบฉันได้ไหมตอนนี้ปีอะไร” ซูเหยาถามในสิ่งที่ตนสงสัย เนื่องจากในนิยายไม่ได้กล่าวเอาไว้ เธอรู้แต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกที่อ้างอิงมาจากเดิมเพียงเท่านั้น“คุณเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าโดนแม่และพี่สะใภ้ตีหัวหรอกนะแม้แต่วันเดือนปีก็หลงลืมเสียหมด ปีนี้เป็นปี 1965 ยังไงล่ะ” มู่หานบอกกับภรรยาสาวในนามซูเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่หานพูด เธอถึงกับอยากจะต่อว่าระบบเสียจริง ที่บังคับส่งเธอมาอยู่ในช่วงก่อนปีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า“ฉันมีเงิน คุณรีบไปขอซื้อที่ดินกับลุงผู้ใหญ่บ้านซะในตอ
“หล่อนเป็นบ้าหรือไง ฉันจะบอกว่าแท้จริงแล้วมู่หานเป็นหลานชายของฉัน เขาเป็นลูกของพี่มู่ไห่ พี่ชายของฉันที่ตรอมใจเพราะแม่ของมู่หานหนีไปต่างหาก” เสียงดังที่ออกมาจากปากของมู่จางทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับงุนงงในเรื่องนี้‘โอ้ ที่แท้เรื่องราวที่นักเขียนไม่ได้ระบุไว้กำลังจะถูกเปิดเผย’ ซูเหยาคิด และเธอรู้สึกว่ากำลังเป็นผู้ชมละครเรื่องหนึ่งที่มีปมอยู่แบบชิดขอบสนาม“คุณโกหก” ฉินเจียวเองก็ยังไม่ยอมแพ้ จึงได้แผดเสียงออกมา ถ้าเป็นเรื่องจริงการที่เธอถูกตบก็เพราะไปด่าบรรพบุรุษของเขาแน่ๆ“ไหนนายบอกว่ามู่ไห่กับครอบครัวไปทำงานที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันมากลายเป็นแบบนี้” ฉีอันเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้จึงได้ถามออกมา“ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าพี่ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนละหมู่บ้าน และตอนนั้นพี่มู่ไห่ก็ไปอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้กลับมา มีอยู่วันหนึ่งได้มีคนมาบอกกับผมว่ามู่ไห่ต้องการพบ ผมก็เลยได้ตามชายคนนั้นไปและก็เห็นสภาพพี่ชายผมไม่สู้ดีนัก เขาได้ฝากเด็กที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่เดือนเอาไว้กับผม ซึ่งก็คือมู่หานนี่แหละตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความอัปยศของตน เขาจึงบอกกับผมว่าให้บอกกับทุกคนว่าได้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้
ทุกคนที่มามุงดูการชำแหละหมูในครั้งนี้ ก็ได้กลายเป็นว่าได้หันมาสนใจกับเรื่องครอบครัวบ้านมู่แทนเสียแล้ว พวกเขาถือว่าเรื่องชาวบ้านคือแหล่งของความบันเทิงชั้นดี“เอาล่ะ ทั้งสองฝ่ายก็มาปั๊มลายมือหรือลงลายมือชื่อได้” เสียงฉีอันที่ทำการเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยบอกกับทั้งสองฝ่ายตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้หนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือเรียบร้อย ซูเหยาได้อ่านตัวหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัดว่าต่อไปนี้บ้านของมู่หาน รวมทั้งตัวคนในครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนบ้านใหญ่มู่ทุกคนหากมีใครมาละเมิดหรือกระทำการล่วงเกินครอบครัวของอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายสามารถแจ้งทางการได้ทันที ลงชื่อทั้งสองฝ่ายครบถ้วน พยานก็เป็นคนในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้“มู่หานเราไปเก็บข้าวของกันเถอะ เด็กๆ ไปกัน น้าจะพาพวกหนูไปอยู่บ้านใหม่” ซูเหยาพูดกับมู่หาน แล้วนั่งยองๆ พูดกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋วตอนนี้เธอได้เอาหวีออกมารวบผมให้เด็กน้อย รวมถึงได้จัดการแต่งกายของทั้งสองให้เรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ดูดีเหมือนเมื่อเช้าสักเท่าไร แต่ยังคงเรียบร้อยกว่าตอนมาที่แห่งนี้ในตอนแรก
“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้านทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพสมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้นซูเหยากับเด็กสอง
อยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้มีคนต้องการซื้อ” ซูป๋อรีบถามลูกสาวออกมาด้วยความรีบร้อน“ห๊ะ! พ่อว่ามีคนมาขอซื้ออาหารเช้าของบ้านเราอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนี้จะรออะไรล่ะคะ ก็ขายไปเลยสิคะพ่อ” ซูเหยาร้องขึ้นด้วยความตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอคิดว่ามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านก็ขายสิคะถูกไหมล่ะ“พ่อคะ พ่อไปบอกกับคนที่ต้องการซื้อว่าให้รอสักครู่นะคะรับรองหนูมีพอให้กับทุกคนแน่นอน” ซูเหยาพูดออกมาดีนะที่เธอมีมิติ เพราะมิติที่ว่าใจร้ายก็ยังใจดีกับเธอบ้าง เธอเพิ่งได้รู้จากเจ้าของเสียงไร้อารมณ์ในมิติว่า ถ้าเป็นของที่เธอลงมือทำเองจะสามารถเพิ่มได้จนถึงหนึ่งร้อยชิ้นโดยเธอต้องใส่สินค้าในตะกร้ารอขาย แล้วหลังจากนั้นก็กดเพิ่มจำนวนเอา แต่ได้เพียงอย่างละร้อยชิ้นต่อวันเท่านั้นซึ่งแค่นี้มันก็ดีมากแล้ว สำหรับการที่เธอจะต้องอยู่ในยุคที่อดอยากแบบตอนนี้ ที่กำลังจะเป็นปีอดอยากของแท้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าของจริงดังนั้นการขายอาหารเช้าหน้าบ้านจึงได้เกิดขึ้น โดยเธอได้สั่งให้มู่หานกับพี่ชายอีกสองคนไปช่วยกันยกโต๊ะ
“คุณ เรื่องที่ดินที่บ้านในหมู่บ้านตงไห่เป็นอย่างไรบ้างเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ” หว่านชิงถามกับสามีเมื่อได้อยู่ในห้องโถงของบ้าน หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว“เรียบร้อยคุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ลูกของเราไปไหนอย่างนั้นเหรอ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็หายไปเลย” ซูป๋อถามกับภรรยาถึงลูกสาว“ก็ไปคุยกับมู่หานยังไงล่ะคะ เพราะเรื่องที่ลูกเล่าให้เราฟังเธอยังไม่ได้บอกกับสามี” หว่านชิงได้ตอบข้อสงสัยของสามีออกมา“ฮ่าๆ นี่ก็แสดงว่าครอบครัวอย่างพวกเราสำคัญเป็นที่หนึ่งในใจลูกใช่ไหมที่รัก” ซูป๋อหัวเราะพร้อมกับหันไปถามกับภรรยาคู่ทุกข์ของตนเสียงหวานซึ่งก็ได้รับค้อนงามๆ จากภรรยาเข้าให้ เพราะพูดอะไรไม่รู้จักอายลูกและหลานที่ต่างหันมามองพวกเขา“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย เอาขนมอีกไหม ป้าจะไปเอามาให้ หนูสองคนอยากกินอะไรบอกป้าทั้งสองคนได้เลยนะ” ฟางหรงและลี่มี่ถามเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่กับตนด้วยความอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะ/ครับ” เด็กน้อยได้แต่กล่าวขอบคุณออกมาเสียงเบา ด้วยความเขินอาย“เสี่ย
ในระหว่างที่ซูเหยากำลังหมดสติอยู่นั้นเหมือนเธอจะได้ยินเสียงเล็กๆ บางอย่างดังอยู่ที่ข้างหูของตน“ระบบได้เจอผู้ที่เหมาะสมแล้ว ท่านต้องการที่จะเชื่อมต่อกับระบบหรือไม่” เสียงเล็กๆ นั้นได้ถามกับซูเหยาออกมาอย่างเฉยชา“ระบบอย่างนั้นเหรอ นี่ฉันกำลังฝันถึงเรื่องอะไรอยู่ สงสัยตัวเราน่าจะอ่านนิยายมากไปอย่างแน่นอน” ซูเหยาโต้ตอบกับเสียงที่ได้ยินที่เธอคิดว่าเป็นความฝัน“ระบบขอถามอีกครั้ง ท่านยินดีจะเชื่อมต่อกับระบบหรือไม่ หากท่านไม่เชื่อมต่อ ระบบขอเตือนว่าวิญญาณของท่านจะต้องสูญสลายไปเพราะตอนนี้ท่านเป็นร่างที่เกือบจะตายอย่างสมบูรณ์แล้ว” เสียงเล็กๆ ของระบบได้ดังขึ้นอีกครั้งอย่างเย็นชาเหมือนเดิม“อะไรนะฉันเกือบจะตายแล้วอย่างนั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไง ฉันยังอ่านนิยายเรื่องที่ซื้อมาล่าสุดยังไม่จบเลยนะ ฮือๆ” เสียงซูเหยาร้องไห้ด้วยความคร่ำครวญ“100..99..98..97..” ในระหว่างที่ซูเหยาร้องไห้อยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงเล็กๆ นับเวลาถอยหลังลงเรื่อยๆ อย่างใจเย็น จนตอนนี้เธอได้ยินเสียงนับเวลาเหลือแค่สิบแล้ว เธอจึงเริ่มที่จะลนลาน“ตกลงๆ ฉันยินยอมรับการเชื่อมต่อกับระบบ” ซูเหยารีบร้องตะโกนออกมาอย่างเสียงดัง เพราะเธอคิ
“คุณ เรื่องที่ดินที่บ้านในหมู่บ้านตงไห่เป็นอย่างไรบ้างเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ” หว่านชิงถามกับสามีเมื่อได้อยู่ในห้องโถงของบ้าน หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว“เรียบร้อยคุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ลูกของเราไปไหนอย่างนั้นเหรอ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็หายไปเลย” ซูป๋อถามกับภรรยาถึงลูกสาว“ก็ไปคุยกับมู่หานยังไงล่ะคะ เพราะเรื่องที่ลูกเล่าให้เราฟังเธอยังไม่ได้บอกกับสามี” หว่านชิงได้ตอบข้อสงสัยของสามีออกมา“ฮ่าๆ นี่ก็แสดงว่าครอบครัวอย่างพวกเราสำคัญเป็นที่หนึ่งในใจลูกใช่ไหมที่รัก” ซูป๋อหัวเราะพร้อมกับหันไปถามกับภรรยาคู่ทุกข์ของตนเสียงหวานซึ่งก็ได้รับค้อนงามๆ จากภรรยาเข้าให้ เพราะพูดอะไรไม่รู้จักอายลูกและหลานที่ต่างหันมามองพวกเขา“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย เอาขนมอีกไหม ป้าจะไปเอามาให้ หนูสองคนอยากกินอะไรบอกป้าทั้งสองคนได้เลยนะ” ฟางหรงและลี่มี่ถามเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่กับตนด้วยความอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะ/ครับ” เด็กน้อยได้แต่กล่าวขอบคุณออกมาเสียงเบา ด้วยความเขินอาย“เสี่ย
อยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้มีคนต้องการซื้อ” ซูป๋อรีบถามลูกสาวออกมาด้วยความรีบร้อน“ห๊ะ! พ่อว่ามีคนมาขอซื้ออาหารเช้าของบ้านเราอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนี้จะรออะไรล่ะคะ ก็ขายไปเลยสิคะพ่อ” ซูเหยาร้องขึ้นด้วยความตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอคิดว่ามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านก็ขายสิคะถูกไหมล่ะ“พ่อคะ พ่อไปบอกกับคนที่ต้องการซื้อว่าให้รอสักครู่นะคะรับรองหนูมีพอให้กับทุกคนแน่นอน” ซูเหยาพูดออกมาดีนะที่เธอมีมิติ เพราะมิติที่ว่าใจร้ายก็ยังใจดีกับเธอบ้าง เธอเพิ่งได้รู้จากเจ้าของเสียงไร้อารมณ์ในมิติว่า ถ้าเป็นของที่เธอลงมือทำเองจะสามารถเพิ่มได้จนถึงหนึ่งร้อยชิ้นโดยเธอต้องใส่สินค้าในตะกร้ารอขาย แล้วหลังจากนั้นก็กดเพิ่มจำนวนเอา แต่ได้เพียงอย่างละร้อยชิ้นต่อวันเท่านั้นซึ่งแค่นี้มันก็ดีมากแล้ว สำหรับการที่เธอจะต้องอยู่ในยุคที่อดอยากแบบตอนนี้ ที่กำลังจะเป็นปีอดอยากของแท้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าของจริงดังนั้นการขายอาหารเช้าหน้าบ้านจึงได้เกิดขึ้น โดยเธอได้สั่งให้มู่หานกับพี่ชายอีกสองคนไปช่วยกันยกโต๊ะ
“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้านทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพสมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้นซูเหยากับเด็กสอง
ทุกคนที่มามุงดูการชำแหละหมูในครั้งนี้ ก็ได้กลายเป็นว่าได้หันมาสนใจกับเรื่องครอบครัวบ้านมู่แทนเสียแล้ว พวกเขาถือว่าเรื่องชาวบ้านคือแหล่งของความบันเทิงชั้นดี“เอาล่ะ ทั้งสองฝ่ายก็มาปั๊มลายมือหรือลงลายมือชื่อได้” เสียงฉีอันที่ทำการเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยบอกกับทั้งสองฝ่ายตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้หนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือเรียบร้อย ซูเหยาได้อ่านตัวหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัดว่าต่อไปนี้บ้านของมู่หาน รวมทั้งตัวคนในครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนบ้านใหญ่มู่ทุกคนหากมีใครมาละเมิดหรือกระทำการล่วงเกินครอบครัวของอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายสามารถแจ้งทางการได้ทันที ลงชื่อทั้งสองฝ่ายครบถ้วน พยานก็เป็นคนในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้“มู่หานเราไปเก็บข้าวของกันเถอะ เด็กๆ ไปกัน น้าจะพาพวกหนูไปอยู่บ้านใหม่” ซูเหยาพูดกับมู่หาน แล้วนั่งยองๆ พูดกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋วตอนนี้เธอได้เอาหวีออกมารวบผมให้เด็กน้อย รวมถึงได้จัดการแต่งกายของทั้งสองให้เรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ดูดีเหมือนเมื่อเช้าสักเท่าไร แต่ยังคงเรียบร้อยกว่าตอนมาที่แห่งนี้ในตอนแรก
“หล่อนเป็นบ้าหรือไง ฉันจะบอกว่าแท้จริงแล้วมู่หานเป็นหลานชายของฉัน เขาเป็นลูกของพี่มู่ไห่ พี่ชายของฉันที่ตรอมใจเพราะแม่ของมู่หานหนีไปต่างหาก” เสียงดังที่ออกมาจากปากของมู่จางทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับงุนงงในเรื่องนี้‘โอ้ ที่แท้เรื่องราวที่นักเขียนไม่ได้ระบุไว้กำลังจะถูกเปิดเผย’ ซูเหยาคิด และเธอรู้สึกว่ากำลังเป็นผู้ชมละครเรื่องหนึ่งที่มีปมอยู่แบบชิดขอบสนาม“คุณโกหก” ฉินเจียวเองก็ยังไม่ยอมแพ้ จึงได้แผดเสียงออกมา ถ้าเป็นเรื่องจริงการที่เธอถูกตบก็เพราะไปด่าบรรพบุรุษของเขาแน่ๆ“ไหนนายบอกว่ามู่ไห่กับครอบครัวไปทำงานที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันมากลายเป็นแบบนี้” ฉีอันเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้จึงได้ถามออกมา“ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าพี่ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนละหมู่บ้าน และตอนนั้นพี่มู่ไห่ก็ไปอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้กลับมา มีอยู่วันหนึ่งได้มีคนมาบอกกับผมว่ามู่ไห่ต้องการพบ ผมก็เลยได้ตามชายคนนั้นไปและก็เห็นสภาพพี่ชายผมไม่สู้ดีนัก เขาได้ฝากเด็กที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่เดือนเอาไว้กับผม ซึ่งก็คือมู่หานนี่แหละตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความอัปยศของตน เขาจึงบอกกับผมว่าให้บอกกับทุกคนว่าได้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้
ในระหว่างที่ซูเหยาได้รอฉินเจียวเอาเงินมาให้ตนอยู่ เธอก็ได้หันไปพูดกับมู่หานที่กำลังสำรวจลูกชายหญิงของตน“ฉันต้องการแยกออกมาจากบ้านมู่อย่างเด็ดขาด คุณทำให้ได้ไหม” ซูเหยาพูดพร้อมกับมองหน้าสามีในนามของตน ที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาประสานสายตากับเธอแล้วอย่างหนักแน่น“ผมเองก็เคยคิดจะแยกบ้านออกมาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อที่ดินและเงินสำหรับสร้างบ้าน ไหนจะที่นาอีก ถ้าเราย้ายออกมาจะหาเงินที่ไหนไปเช่าที่ทำกินกัน” มู่หานเขาพรั่งพรูคำพูดในสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ออกมา“คุณตอบฉันได้ไหมตอนนี้ปีอะไร” ซูเหยาถามในสิ่งที่ตนสงสัย เนื่องจากในนิยายไม่ได้กล่าวเอาไว้ เธอรู้แต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกที่อ้างอิงมาจากเดิมเพียงเท่านั้น“คุณเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าโดนแม่และพี่สะใภ้ตีหัวหรอกนะแม้แต่วันเดือนปีก็หลงลืมเสียหมด ปีนี้เป็นปี 1965 ยังไงล่ะ” มู่หานบอกกับภรรยาสาวในนามซูเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่หานพูด เธอถึงกับอยากจะต่อว่าระบบเสียจริง ที่บังคับส่งเธอมาอยู่ในช่วงก่อนปีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า“ฉันมีเงิน คุณรีบไปขอซื้อที่ดินกับลุงผู้ใหญ่บ้านซะในตอ
ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ร้องไห้ตามซูเหยาออกมาเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าน้าเหยาที่ดีกับเขาคนนี้ร้องไห้เสียใจแล้วพวกเขาอาจจะอดตายได้เสียงของคนทั้งสามร้องไห้ระงมอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสียงดัง “มันเกิดอะไรขึ้นเงียบก่อนค่อยๆ พูด” ฉีอันพูดขึ้นห้ามปรามการร้องไห้ของสามแม่ลูกออกมาเสียงดังคนทั้งสามที่ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร พวกเขาก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย บอกตาฉีอันไปเลยลูกว่าใครเข้าไปทำอะไรในบ้านของเรา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยนเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาถามเขาก็คือฉีอันผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านตงไห่จากความทรงจำของร่างนี้“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง การกระทำของลูกชายหญิงได้ทำให้มู่หานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย พร้อมคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับคนสามคนในบ้านของเขากัน เขาคิดอย่างงุนงง“ย่ากับป้าสะใภ้มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเรา แต่ว่าน้าเหยาได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตู เพราะอาจจะเป็นคนไม่ดีพวกเราก็ไม่เปิดพ
“หมู นั่นหมูจริงๆ เสียด้วย ตัวมันใหญ่มากเลย” ฉินเจียวได้ส่งเสียงแหลมของตนร้องออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยสักนิด“ถอยไป หลบไป ฉันเป็นแม่ของมู่หาน ฉันจะเข้าไปหาลูกชายฉัน” ฉินเจียวทั้งผลักทั้งดันคนรอบข้างให้แหวกทางให้กับตน โดยมีจิวเหลียนหญิงร่างใหญ่เป็นผู้ช่วยซูเหยาเมื่อเธอมองเห็นภาพนี้เธอถึงกับเบะปากใส่คนทั้งสอง ‘ช่วยหาก็ไม่ได้ช่วย คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างเดียว’ เธอคิดเมื่อเธอเห็นแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยเดินมาแล้ว ซูเหยาจึงได้หลบฉากเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านไปหาเด็กน้อยน่ารัก ที่ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ และได้กินข้าวกันหรือยังแต่เมื่อเธอมาถึงบ้าน เธอก็ได้ยืนช็อกกับสภาพประตูหน้าบ้านของตนไปแล้ว เพราะประตูได้ถูกเปิดออกโดยมีร่องรอยการจามด้วยขวานตัดไม้ซึ่งน่าจะมีขนาดใหญ่เมื่อซูเหยาได้เห็นสภาพบ้านแบบนี้ ตอนนี้ใจเธอถึงกับหล่นวูบไปเลยทีเดียว เด็กน้อยลูกทั้งสองจะเป็นอย่างไร“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิงอยู่ที่ไหนกัน ได้ยินเสียงน้าไหม พวกหนูอยู่ไหน” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าแตกตื่น
ซูเหยาคิดไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับที่เธอก็เอามีดยาวที่จับไว้ในมือกวาดไปที่พงหญ้ารก เพื่อเป็นการไล่สัตว์ร้ายมีพิษก่อนที่เธอจะเดินต่อไปก็เธอนะเป็นนางร้ายนะ ดังนั้นถ้าจะหวังให้โชคช่วยแบบนางเอกนะเหรอไม่มีทางหรอก ดังนั้นจะต้องทำเองจากสองมือเพียงอย่างเดียวเมื่อเธอก้าวเดินไปตามสัญลักษณ์ที่มู่หานทำไว้ ในที่สุดเธอก็เหมือนได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก ซึ่งเธอคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องเป็นพวกของมู่หานอย่างแน่นอน“โอ้ย ช่วยฉันด้วยมีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ” ซูเหยาแสร้งทำหกล้มนั่งกุมขอเท้าของตนด้วยท่าทางที่แสดงความเจ็บปวดน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร‘รางวัลนักแสดงต้องมาแล้วล่ะ แสดงได้เนียนขนาดนี้’ เธอคิดขึ้นในใจ และที่ซูเหยาต้องร้องเรียกคนเหล่านั้นให้ออกมาตรงนี้ ก็เพราะว่าตามนิยายที่ได้บรรยายเอาไว้ว่าหลังจากที่ มู่หานได้ตกลงไปในหลุมดักสัตว์เก่า และเพื่อนช่วยเขาขึ้นมาได้แล้ว ก็จะมีหมูป่าที่ไม่มองอะไรเลยพุ่งตกลงไปในหลุมกับดักยังไงล่ะเธอเดาเอาว่าช่วงเวลาและสถานที่อาจจะเป็นที่นี่ เพราะตอนนี้เธอไม่ได้ยินเสียงว่าพวกเข