ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ร้องไห้ตามซูเหยาออกมาเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าน้าเหยาที่ดีกับเขาคนนี้ร้องไห้เสียใจแล้วพวกเขาอาจจะอดตายได้
เสียงของคนทั้งสามร้องไห้ระงมอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสียงดัง “มันเกิดอะไรขึ้นเงียบก่อนค่อยๆ พูด” ฉีอันพูดขึ้นห้ามปรามการร้องไห้ของสามแม่ลูกออกมาเสียงดัง
คนทั้งสามที่ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร พวกเขาก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น
“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย บอกตาฉีอันไปเลยลูกว่าใครเข้าไปทำอะไรในบ้านของเรา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยน
เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาถามเขาก็คือฉีอันผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านตงไห่จากความทรงจำของร่างนี้
“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง การกระทำของลูกชายหญิงได้ทำให้มู่หานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย พร้อมคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับคนสามคนในบ้านของเขากัน เขาคิดอย่างงุนงง
“ย่ากับป้าสะใภ้มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเรา แต่ว่าน้าเหยาได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตู เพราะอาจจะเป็นคนไม่ดีพวกเราก็ไม่เปิด
พอสักพักเราสองคนก็ได้ยินเสียงดังออกมาทางหน้าประตูอีกเป็นเสียงที่ดังมาก เราสองคนที่อยู่ในห้องกำลังจะเดินออกมาดู แต่ก็ได้เห็นย่าและป้าสะใภ้เข้ามาในบ้านของเราแล้ว
พวกเขาชี้หน้าพวกเรา พร้อมดุด่าเราสองคน และก็จะเข้ามาถอดเสื้อผ้าที่ผมกับน้องใส่อยู่ แต่ผมกับน้องไม่ยอม ผมจึงได้กัดเข้าไปที่มือของย่า
เขาก็ยกมือขึ้นจะตีผม..ผมฮือๆ..ก็หนีด้วยความตกใจ เพราะเป็นห่วงน้อง ผิงน้อยเองก็กัดป้าสะใภ้เหมือนกัน
จะ..จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้าของเราสองคน และเขาก็หอบเอาของพวกเราไป เมื่อย่ากับป้าสะใภ้ไปแล้วผมกับน้องก็กลัวจนร้องไห้
ตะ..แต่ว่าพวกเขาก็กลับมากันอีก ครั้งนี้พวกเขาเอาอ่างมาใส่กับข้าว ข้าวสารที่อยู่ในครัวไปหมดเลย เราสองคนก็วิ่งตามเข้าไปในครัว พวกเราช่วยกันดึงเสื้อของป้ากับย่าเพื่อไม่ให้เอาของไป
แต่สุดท้ายฮึกๆ พะ..พวกเขาก็เอาไปหมดเลย” มู่เฟยเล่าเรื่องราวออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นและน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บใจ
ฉีอันและชาวบ้านที่ได้ฟังในสิ่งที่เด็กน้อยเล่าออกมา พวกเขาก็รู้สึกสะท้านในอก โดยเฉพาะมู่หานที่เขาเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงที่เขาเรียกแม่มาตั้งแต่เด็กจะโหดร้ายได้มากขนาดนี้
ชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านได้มองไปที่ฉินเจียวและจิวเหลียนด้วยสายตาประณามในการกระทำที่เหมือนโจรของทั้งคู่
“เด็กนั่นโกหก” ขิงแก่ก็ยังเป็นขิงแก่ที่พยายามจะกลับดำเป็นขาว
“ถ้าผู้ใหญ่บ้านไม่เชื่อ ไปดูสภาพบ้านของฉันตอนนี้ได้เลย และถ้าหากว่าสองคนนั้นบอกไม่ได้เป็นคนทำ ฉันจะไปแจ้งทางการว่าบ้านฉันมีโจรเข้าบ้าน” ซูเหยาพูดออกมาอย่างไม่ยินยอม
“ทะ..ทางการ แกจะบ้าหรือไง ถ้าอย่างนั้นฉันก็ติดคุกนะสิ”จิวเหลียนพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักด้วยความกลัว
“แกจะบ้าหรือไง พวกเราไม่ได้เป็นคนทำ แกจะกลัวอะไร” ฉินเจียวก็ยังคงจะแถต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นมู่เฟยคุณไปแจ้งทางการ ฉันกับลูกๆ จะรออยู่ที่บ้าน เพราะว่าเผื่อมีใครคิดจะเข้าไปทำลายหลักฐาน ยังไงซะรอยนิ้วมือคนทำมันก็ต้องยังอยู่ ถ้าทางการมาตรวจยังไงก็ต้องเจออย่างแน่นอน” ซูเหยาพูดข่มขู่ออกมา
รอยนิ้วมืออะไรสมัยนี้ยังไม่มีการตรวจด้วยซ้ำ แต่การหลอกคนชั่วถือว่าไม่ผิด
“กะ..แกไม่ต้องมาพูดขู่ ทางการเขาจะรู้ได้ยังไงว่าใครทำ”ตอนนี้ขิงแก่ก็เริ่มที่จะร้อนตัวออกมาเองเสียแล้ว ซึ่งชาวบ้านก็ได้แต่พากันส่ายหน้าให้กับการกระทำที่ไร้ยางอายนี้
“ก็ทำไมเขาจะตรวจไม่เจอ ฉันเพิ่งจะได้ยินข่าวมาจากพี่ชายสดๆ ร้อนๆ ว่าในเมืองได้เกิดเหตุการณ์ขโมยขึ้น และได้ทิ้งรอยนิ้วมือไว้ทั่วไปหมด
ทางการได้เครื่องมือมาใหม่ใช้เวลาไม่นานเขาก็จับผู้ร้ายคนนั้นได้ ตอนนี้เจ้าคนนั้นก็ได้รับโทษโดนตัดมือไปแล้วเพราะริเป็นโจร หากไม่เชื่อจะรอให้ทางการมาตรวจสอบก็ได้ เดี๋ยวก็จะได้รู้กันว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” ซูเหยาโกหกตาใสออกมา พร้อมคิดว่าต้องแถค่ะ งานนี้ต้องแถ แม้สีข้างจะถลอกก็ตาม
เหล่าชาวบ้านที่อยู่แต่ในหุบเขา พวกเขาไม่เคยย่างก้าวเข้าไปในเมือง ตอนนี้พวกเขาต่างพากันหน้าซีดกับเรื่องที่ซูเหยาเล่าออกมาแล้ว โดยเฉพาะคนทำผิดสองคนที่เริ่มแข้งขาอ่อนแรง
หน้าซีดขาว เหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้าและไรผมด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้คงจะมีเพียงสองคนที่รู้ว่าเรื่องรอยนิ้วมือไม่มีจริงก็คือมู่หานกับฉีอันผู้ใหญ่บ้าน
“ใช่ตามที่ซูเหยาบอกนั่นแหละ ข้าเข้าเมืองไปก็ได้ยินเขาพูดกันให้ใหญ่โต” ฉีอันได้กล่าวสนับสนุนออกมา เพราะจะได้มีคนหวาดกลัวและจะได้ไม่คิดฉกชิงของผู้อื่น
เมื่อคราวนี้ได้ยินออกมาจากปากของผู้ใหญ่บ้าน ทั้งผมหงอกผมดำก็พากันหวาดกลัวกันมากขึ้นไปอีก
“แล้วหล่อนต้องการอะไร” คนผมหงอกถามมาทางซูเหยาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
‘สำเร็จ เหยื่อติดกับ’ ซูเหยากล่าวในใจแต่ใบหน้าก็ยังคงแสดงท่าทางทุกข์ใจออกมาเหมือนกำลังคิดมาก
“แม่สามีกับพี่สะใภ้ไม่ได้ทำไม่ใช่เหรอคะ แล้วจะอยากรู้ไปทำไมกัน สู้ให้ฉันไปแจ้งทางการให้เขามาตรวจสอบดีกว่า” ซูเหยาพูดออกมาอย่างหน้าซื่อตาใส
“ฉันกับสะใภ้ใหญ่เอาไปเอง ว่ามาแกจะเอายังไง” ฉินเจียวยอมรับออกมาพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งอาย ทางจิวเหลียนเองก็รู้สึกอับอายมากไม่ต่างกัน
“หนึ่งร้อยหยวน ถ้าไม่ได้ฉันจะไปแจ้งทางการเดี๋ยวนี้” ซูเหยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด คนผมดำเมื่อได้ยินเธอแทบจะเป็นลม เพราะเธอมีเงินอยู่หนึ่งร้อยห้าสิบหยวน
ถ้าต้องเสียไปหนึ่งร้อยหยวนก็แทบจะหมดตัว แต่ถ้าไม่เสียเธอก็ต้องถูกตัดมือ ในระหว่างที่ขิงแก่กำลังลังเลใจ
“มู่หานไปอำเภอ” ซูเหยาได้เอ่ยเรียกมู่หานเสียงดัง คิดจะยื้อเวลาเหรอไม่มีทาง
“ฉันจะไปเอาเงินมาให้เดี๋ยวนี้” ฉินเจียวรีบพูดออกมาอย่างลนลาน พร้อมกับรีบผละออกจากกลุ่มคนในทันที
“อย่านานนะคะ ถ้านานเกินครึ่งชั่วโมงฉันจะไปแจ้งทางการเอง” ซูเหยาได้พูดตะโกนตามหลังขิงแก่ที่แทบจะเดินขาพันกันด้วยความชอบใจ
ในระหว่างที่ซูเหยาได้รอฉินเจียวเอาเงินมาให้ตนอยู่ เธอก็ได้หันไปพูดกับมู่หานที่กำลังสำรวจลูกชายหญิงของตน“ฉันต้องการแยกออกมาจากบ้านมู่อย่างเด็ดขาด คุณทำให้ได้ไหม” ซูเหยาพูดพร้อมกับมองหน้าสามีในนามของตน ที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาประสานสายตากับเธอแล้วอย่างหนักแน่น“ผมเองก็เคยคิดจะแยกบ้านออกมาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อที่ดินและเงินสำหรับสร้างบ้าน ไหนจะที่นาอีก ถ้าเราย้ายออกมาจะหาเงินที่ไหนไปเช่าที่ทำกินกัน” มู่หานเขาพรั่งพรูคำพูดในสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ออกมา“คุณตอบฉันได้ไหมตอนนี้ปีอะไร” ซูเหยาถามในสิ่งที่ตนสงสัย เนื่องจากในนิยายไม่ได้กล่าวเอาไว้ เธอรู้แต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกที่อ้างอิงมาจากเดิมเพียงเท่านั้น“คุณเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าโดนแม่และพี่สะใภ้ตีหัวหรอกนะแม้แต่วันเดือนปีก็หลงลืมเสียหมด ปีนี้เป็นปี 1965 ยังไงล่ะ” มู่หานบอกกับภรรยาสาวในนามซูเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่หานพูด เธอถึงกับอยากจะต่อว่าระบบเสียจริง ที่บังคับส่งเธอมาอยู่ในช่วงก่อนปีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า“ฉันมีเงิน คุณรีบไปขอซื้อที่ดินกับลุงผู้ใหญ่บ้านซะในตอ
“หล่อนเป็นบ้าหรือไง ฉันจะบอกว่าแท้จริงแล้วมู่หานเป็นหลานชายของฉัน เขาเป็นลูกของพี่มู่ไห่ พี่ชายของฉันที่ตรอมใจเพราะแม่ของมู่หานหนีไปต่างหาก” เสียงดังที่ออกมาจากปากของมู่จางทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับงุนงงในเรื่องนี้‘โอ้ ที่แท้เรื่องราวที่นักเขียนไม่ได้ระบุไว้กำลังจะถูกเปิดเผย’ ซูเหยาคิด และเธอรู้สึกว่ากำลังเป็นผู้ชมละครเรื่องหนึ่งที่มีปมอยู่แบบชิดขอบสนาม“คุณโกหก” ฉินเจียวเองก็ยังไม่ยอมแพ้ จึงได้แผดเสียงออกมา ถ้าเป็นเรื่องจริงการที่เธอถูกตบก็เพราะไปด่าบรรพบุรุษของเขาแน่ๆ“ไหนนายบอกว่ามู่ไห่กับครอบครัวไปทำงานที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันมากลายเป็นแบบนี้” ฉีอันเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้จึงได้ถามออกมา“ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าพี่ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนละหมู่บ้าน และตอนนั้นพี่มู่ไห่ก็ไปอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้กลับมา มีอยู่วันหนึ่งได้มีคนมาบอกกับผมว่ามู่ไห่ต้องการพบ ผมก็เลยได้ตามชายคนนั้นไปและก็เห็นสภาพพี่ชายผมไม่สู้ดีนัก เขาได้ฝากเด็กที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่เดือนเอาไว้กับผม ซึ่งก็คือมู่หานนี่แหละตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความอัปยศของตน เขาจึงบอกกับผมว่าให้บอกกับทุกคนว่าได้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้
ทุกคนที่มามุงดูการชำแหละหมูในครั้งนี้ ก็ได้กลายเป็นว่าได้หันมาสนใจกับเรื่องครอบครัวบ้านมู่แทนเสียแล้ว พวกเขาถือว่าเรื่องชาวบ้านคือแหล่งของความบันเทิงชั้นดี“เอาล่ะ ทั้งสองฝ่ายก็มาปั๊มลายมือหรือลงลายมือชื่อได้” เสียงฉีอันที่ทำการเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยบอกกับทั้งสองฝ่ายตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้หนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือเรียบร้อย ซูเหยาได้อ่านตัวหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัดว่าต่อไปนี้บ้านของมู่หาน รวมทั้งตัวคนในครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนบ้านใหญ่มู่ทุกคนหากมีใครมาละเมิดหรือกระทำการล่วงเกินครอบครัวของอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายสามารถแจ้งทางการได้ทันที ลงชื่อทั้งสองฝ่ายครบถ้วน พยานก็เป็นคนในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้“มู่หานเราไปเก็บข้าวของกันเถอะ เด็กๆ ไปกัน น้าจะพาพวกหนูไปอยู่บ้านใหม่” ซูเหยาพูดกับมู่หาน แล้วนั่งยองๆ พูดกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋วตอนนี้เธอได้เอาหวีออกมารวบผมให้เด็กน้อย รวมถึงได้จัดการแต่งกายของทั้งสองให้เรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ดูดีเหมือนเมื่อเช้าสักเท่าไร แต่ยังคงเรียบร้อยกว่าตอนมาที่แห่งนี้ในตอนแรก
“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้านทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพสมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้นซูเหยากับเด็กสอง
อยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้มีคนต้องการซื้อ” ซูป๋อรีบถามลูกสาวออกมาด้วยความรีบร้อน“ห๊ะ! พ่อว่ามีคนมาขอซื้ออาหารเช้าของบ้านเราอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนี้จะรออะไรล่ะคะ ก็ขายไปเลยสิคะพ่อ” ซูเหยาร้องขึ้นด้วยความตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอคิดว่ามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านก็ขายสิคะถูกไหมล่ะ“พ่อคะ พ่อไปบอกกับคนที่ต้องการซื้อว่าให้รอสักครู่นะคะรับรองหนูมีพอให้กับทุกคนแน่นอน” ซูเหยาพูดออกมาดีนะที่เธอมีมิติ เพราะมิติที่ว่าใจร้ายก็ยังใจดีกับเธอบ้าง เธอเพิ่งได้รู้จากเจ้าของเสียงไร้อารมณ์ในมิติว่า ถ้าเป็นของที่เธอลงมือทำเองจะสามารถเพิ่มได้จนถึงหนึ่งร้อยชิ้นโดยเธอต้องใส่สินค้าในตะกร้ารอขาย แล้วหลังจากนั้นก็กดเพิ่มจำนวนเอา แต่ได้เพียงอย่างละร้อยชิ้นต่อวันเท่านั้นซึ่งแค่นี้มันก็ดีมากแล้ว สำหรับการที่เธอจะต้องอยู่ในยุคที่อดอยากแบบตอนนี้ ที่กำลังจะเป็นปีอดอยากของแท้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าของจริงดังนั้นการขายอาหารเช้าหน้าบ้านจึงได้เกิดขึ้น โดยเธอได้สั่งให้มู่หานกับพี่ชายอีกสองคนไปช่วยกันยกโต๊ะ
“คุณ เรื่องที่ดินที่บ้านในหมู่บ้านตงไห่เป็นอย่างไรบ้างเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ” หว่านชิงถามกับสามีเมื่อได้อยู่ในห้องโถงของบ้าน หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว“เรียบร้อยคุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ลูกของเราไปไหนอย่างนั้นเหรอ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็หายไปเลย” ซูป๋อถามกับภรรยาถึงลูกสาว“ก็ไปคุยกับมู่หานยังไงล่ะคะ เพราะเรื่องที่ลูกเล่าให้เราฟังเธอยังไม่ได้บอกกับสามี” หว่านชิงได้ตอบข้อสงสัยของสามีออกมา“ฮ่าๆ นี่ก็แสดงว่าครอบครัวอย่างพวกเราสำคัญเป็นที่หนึ่งในใจลูกใช่ไหมที่รัก” ซูป๋อหัวเราะพร้อมกับหันไปถามกับภรรยาคู่ทุกข์ของตนเสียงหวานซึ่งก็ได้รับค้อนงามๆ จากภรรยาเข้าให้ เพราะพูดอะไรไม่รู้จักอายลูกและหลานที่ต่างหันมามองพวกเขา“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย เอาขนมอีกไหม ป้าจะไปเอามาให้ หนูสองคนอยากกินอะไรบอกป้าทั้งสองคนได้เลยนะ” ฟางหรงและลี่มี่ถามเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่กับตนด้วยความอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะ/ครับ” เด็กน้อยได้แต่กล่าวขอบคุณออกมาเสียงเบา ด้วยความเขินอาย“เสี่ย
ในระหว่างที่ซูเหยากำลังหมดสติอยู่นั้นเหมือนเธอจะได้ยินเสียงเล็กๆ บางอย่างดังอยู่ที่ข้างหูของตน“ระบบได้เจอผู้ที่เหมาะสมแล้ว ท่านต้องการที่จะเชื่อมต่อกับระบบหรือไม่” เสียงเล็กๆ นั้นได้ถามกับซูเหยาออกมาอย่างเฉยชา“ระบบอย่างนั้นเหรอ นี่ฉันกำลังฝันถึงเรื่องอะไรอยู่ สงสัยตัวเราน่าจะอ่านนิยายมากไปอย่างแน่นอน” ซูเหยาโต้ตอบกับเสียงที่ได้ยินที่เธอคิดว่าเป็นความฝัน“ระบบขอถามอีกครั้ง ท่านยินดีจะเชื่อมต่อกับระบบหรือไม่ หากท่านไม่เชื่อมต่อ ระบบขอเตือนว่าวิญญาณของท่านจะต้องสูญสลายไปเพราะตอนนี้ท่านเป็นร่างที่เกือบจะตายอย่างสมบูรณ์แล้ว” เสียงเล็กๆ ของระบบได้ดังขึ้นอีกครั้งอย่างเย็นชาเหมือนเดิม“อะไรนะฉันเกือบจะตายแล้วอย่างนั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไง ฉันยังอ่านนิยายเรื่องที่ซื้อมาล่าสุดยังไม่จบเลยนะ ฮือๆ” เสียงซูเหยาร้องไห้ด้วยความคร่ำครวญ“100..99..98..97..” ในระหว่างที่ซูเหยาร้องไห้อยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงเล็กๆ นับเวลาถอยหลังลงเรื่อยๆ อย่างใจเย็น จนตอนนี้เธอได้ยินเสียงนับเวลาเหลือแค่สิบแล้ว เธอจึงเริ่มที่จะลนลาน“ตกลงๆ ฉันยินยอมรับการเชื่อมต่อกับระบบ” ซูเหยารีบร้องตะโกนออกมาอย่างเสียงดัง เพราะเธอคิ
เด็กชายมองไปทางน้องสาวด้วยความห่วงใย เพราะเขากลัวว่าถ้าหากเขาวิ่งไปหยิบของด้านนอกแล้วน้องสาวอาจจะถูกรังแกเหมือนที่ผ่านมา“ไปเถอะ น้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ เอาตะกร้าใบใหญ่หน่อยนะ” ซูเหยาพูดกับเด็กชายออกมาอีกรอบซึ่งตอนนี้มู่เฟยได้วิ่งปรู๊ดออกจากห้องนอนของแม่เลี้ยงไปแล้วอย่างรวดเร็ว ส่วนผิงผิงเด็กหญิงตัวน้อยก็จ้องมองไปยังขนมในตู้ของซูเหยาด้วยความอยากกินจนน้ำลายสอ“ผิงผิง มาเอาไปกินรอพี่ชายก่อนสิจ้ะ” ซูเหยาได้กวักมือเรียกเด็กตัวน้อยให้เข้ามาหาตนเพื่อที่จะได้มาเอาขนมซึ่งผิงผิงเองก็กำลังจะเดินเข้าไปหาแม่เลี้ยงอยู่แล้ว แต่ว่าเธอกลับนึกถึงภาพอันโหดร้ายที่เธอเคยถูกตีขึ้นมาได้เสียก่อนจนทำให้เธอส่ายหัวปฏิเสธออกมาด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับน้ำตาคลอด้วยซูเหยาเมื่อได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ เป็นแบบนี้เธอก็ได้แต่รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ“ไม่ต้องกลัวนะ ต่อไปนี้น้าจะไม่ตีพวกหนูแล้ว” ซูเหยาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง เพราะเธอในตอนนี้ยังไม่ฟื้นไข้ดีนักหนึ่งผู้ใหญ่ หนึ่งเด็กน้อยจ้องตากันอยู่สักพัก พวกเธอก็ได้ยินเสียงวิ่งที่มาจากด้านนอก ซึ่งเป็นเสียงฝีเท้าของมู่เฟยนั่นเองที่ได้กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับตะกร้าไม้ไผ่
“คุณ เรื่องที่ดินที่บ้านในหมู่บ้านตงไห่เป็นอย่างไรบ้างเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ” หว่านชิงถามกับสามีเมื่อได้อยู่ในห้องโถงของบ้าน หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว“เรียบร้อยคุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ลูกของเราไปไหนอย่างนั้นเหรอ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็หายไปเลย” ซูป๋อถามกับภรรยาถึงลูกสาว“ก็ไปคุยกับมู่หานยังไงล่ะคะ เพราะเรื่องที่ลูกเล่าให้เราฟังเธอยังไม่ได้บอกกับสามี” หว่านชิงได้ตอบข้อสงสัยของสามีออกมา“ฮ่าๆ นี่ก็แสดงว่าครอบครัวอย่างพวกเราสำคัญเป็นที่หนึ่งในใจลูกใช่ไหมที่รัก” ซูป๋อหัวเราะพร้อมกับหันไปถามกับภรรยาคู่ทุกข์ของตนเสียงหวานซึ่งก็ได้รับค้อนงามๆ จากภรรยาเข้าให้ เพราะพูดอะไรไม่รู้จักอายลูกและหลานที่ต่างหันมามองพวกเขา“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย เอาขนมอีกไหม ป้าจะไปเอามาให้ หนูสองคนอยากกินอะไรบอกป้าทั้งสองคนได้เลยนะ” ฟางหรงและลี่มี่ถามเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่กับตนด้วยความอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะ/ครับ” เด็กน้อยได้แต่กล่าวขอบคุณออกมาเสียงเบา ด้วยความเขินอาย“เสี่ย
อยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้มีคนต้องการซื้อ” ซูป๋อรีบถามลูกสาวออกมาด้วยความรีบร้อน“ห๊ะ! พ่อว่ามีคนมาขอซื้ออาหารเช้าของบ้านเราอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนี้จะรออะไรล่ะคะ ก็ขายไปเลยสิคะพ่อ” ซูเหยาร้องขึ้นด้วยความตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอคิดว่ามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านก็ขายสิคะถูกไหมล่ะ“พ่อคะ พ่อไปบอกกับคนที่ต้องการซื้อว่าให้รอสักครู่นะคะรับรองหนูมีพอให้กับทุกคนแน่นอน” ซูเหยาพูดออกมาดีนะที่เธอมีมิติ เพราะมิติที่ว่าใจร้ายก็ยังใจดีกับเธอบ้าง เธอเพิ่งได้รู้จากเจ้าของเสียงไร้อารมณ์ในมิติว่า ถ้าเป็นของที่เธอลงมือทำเองจะสามารถเพิ่มได้จนถึงหนึ่งร้อยชิ้นโดยเธอต้องใส่สินค้าในตะกร้ารอขาย แล้วหลังจากนั้นก็กดเพิ่มจำนวนเอา แต่ได้เพียงอย่างละร้อยชิ้นต่อวันเท่านั้นซึ่งแค่นี้มันก็ดีมากแล้ว สำหรับการที่เธอจะต้องอยู่ในยุคที่อดอยากแบบตอนนี้ ที่กำลังจะเป็นปีอดอยากของแท้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าของจริงดังนั้นการขายอาหารเช้าหน้าบ้านจึงได้เกิดขึ้น โดยเธอได้สั่งให้มู่หานกับพี่ชายอีกสองคนไปช่วยกันยกโต๊ะ
“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้านทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพสมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้นซูเหยากับเด็กสอง
ทุกคนที่มามุงดูการชำแหละหมูในครั้งนี้ ก็ได้กลายเป็นว่าได้หันมาสนใจกับเรื่องครอบครัวบ้านมู่แทนเสียแล้ว พวกเขาถือว่าเรื่องชาวบ้านคือแหล่งของความบันเทิงชั้นดี“เอาล่ะ ทั้งสองฝ่ายก็มาปั๊มลายมือหรือลงลายมือชื่อได้” เสียงฉีอันที่ทำการเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยบอกกับทั้งสองฝ่ายตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้หนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือเรียบร้อย ซูเหยาได้อ่านตัวหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัดว่าต่อไปนี้บ้านของมู่หาน รวมทั้งตัวคนในครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนบ้านใหญ่มู่ทุกคนหากมีใครมาละเมิดหรือกระทำการล่วงเกินครอบครัวของอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายสามารถแจ้งทางการได้ทันที ลงชื่อทั้งสองฝ่ายครบถ้วน พยานก็เป็นคนในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้“มู่หานเราไปเก็บข้าวของกันเถอะ เด็กๆ ไปกัน น้าจะพาพวกหนูไปอยู่บ้านใหม่” ซูเหยาพูดกับมู่หาน แล้วนั่งยองๆ พูดกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋วตอนนี้เธอได้เอาหวีออกมารวบผมให้เด็กน้อย รวมถึงได้จัดการแต่งกายของทั้งสองให้เรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ดูดีเหมือนเมื่อเช้าสักเท่าไร แต่ยังคงเรียบร้อยกว่าตอนมาที่แห่งนี้ในตอนแรก
“หล่อนเป็นบ้าหรือไง ฉันจะบอกว่าแท้จริงแล้วมู่หานเป็นหลานชายของฉัน เขาเป็นลูกของพี่มู่ไห่ พี่ชายของฉันที่ตรอมใจเพราะแม่ของมู่หานหนีไปต่างหาก” เสียงดังที่ออกมาจากปากของมู่จางทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับงุนงงในเรื่องนี้‘โอ้ ที่แท้เรื่องราวที่นักเขียนไม่ได้ระบุไว้กำลังจะถูกเปิดเผย’ ซูเหยาคิด และเธอรู้สึกว่ากำลังเป็นผู้ชมละครเรื่องหนึ่งที่มีปมอยู่แบบชิดขอบสนาม“คุณโกหก” ฉินเจียวเองก็ยังไม่ยอมแพ้ จึงได้แผดเสียงออกมา ถ้าเป็นเรื่องจริงการที่เธอถูกตบก็เพราะไปด่าบรรพบุรุษของเขาแน่ๆ“ไหนนายบอกว่ามู่ไห่กับครอบครัวไปทำงานที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันมากลายเป็นแบบนี้” ฉีอันเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้จึงได้ถามออกมา“ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าพี่ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนละหมู่บ้าน และตอนนั้นพี่มู่ไห่ก็ไปอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้กลับมา มีอยู่วันหนึ่งได้มีคนมาบอกกับผมว่ามู่ไห่ต้องการพบ ผมก็เลยได้ตามชายคนนั้นไปและก็เห็นสภาพพี่ชายผมไม่สู้ดีนัก เขาได้ฝากเด็กที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่เดือนเอาไว้กับผม ซึ่งก็คือมู่หานนี่แหละตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความอัปยศของตน เขาจึงบอกกับผมว่าให้บอกกับทุกคนว่าได้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้
ในระหว่างที่ซูเหยาได้รอฉินเจียวเอาเงินมาให้ตนอยู่ เธอก็ได้หันไปพูดกับมู่หานที่กำลังสำรวจลูกชายหญิงของตน“ฉันต้องการแยกออกมาจากบ้านมู่อย่างเด็ดขาด คุณทำให้ได้ไหม” ซูเหยาพูดพร้อมกับมองหน้าสามีในนามของตน ที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาประสานสายตากับเธอแล้วอย่างหนักแน่น“ผมเองก็เคยคิดจะแยกบ้านออกมาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อที่ดินและเงินสำหรับสร้างบ้าน ไหนจะที่นาอีก ถ้าเราย้ายออกมาจะหาเงินที่ไหนไปเช่าที่ทำกินกัน” มู่หานเขาพรั่งพรูคำพูดในสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ออกมา“คุณตอบฉันได้ไหมตอนนี้ปีอะไร” ซูเหยาถามในสิ่งที่ตนสงสัย เนื่องจากในนิยายไม่ได้กล่าวเอาไว้ เธอรู้แต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกที่อ้างอิงมาจากเดิมเพียงเท่านั้น“คุณเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าโดนแม่และพี่สะใภ้ตีหัวหรอกนะแม้แต่วันเดือนปีก็หลงลืมเสียหมด ปีนี้เป็นปี 1965 ยังไงล่ะ” มู่หานบอกกับภรรยาสาวในนามซูเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่หานพูด เธอถึงกับอยากจะต่อว่าระบบเสียจริง ที่บังคับส่งเธอมาอยู่ในช่วงก่อนปีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า“ฉันมีเงิน คุณรีบไปขอซื้อที่ดินกับลุงผู้ใหญ่บ้านซะในตอ
ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ร้องไห้ตามซูเหยาออกมาเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าน้าเหยาที่ดีกับเขาคนนี้ร้องไห้เสียใจแล้วพวกเขาอาจจะอดตายได้เสียงของคนทั้งสามร้องไห้ระงมอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสียงดัง “มันเกิดอะไรขึ้นเงียบก่อนค่อยๆ พูด” ฉีอันพูดขึ้นห้ามปรามการร้องไห้ของสามแม่ลูกออกมาเสียงดังคนทั้งสามที่ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร พวกเขาก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย บอกตาฉีอันไปเลยลูกว่าใครเข้าไปทำอะไรในบ้านของเรา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยนเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาถามเขาก็คือฉีอันผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านตงไห่จากความทรงจำของร่างนี้“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง การกระทำของลูกชายหญิงได้ทำให้มู่หานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย พร้อมคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับคนสามคนในบ้านของเขากัน เขาคิดอย่างงุนงง“ย่ากับป้าสะใภ้มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเรา แต่ว่าน้าเหยาได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตู เพราะอาจจะเป็นคนไม่ดีพวกเราก็ไม่เปิดพ
“หมู นั่นหมูจริงๆ เสียด้วย ตัวมันใหญ่มากเลย” ฉินเจียวได้ส่งเสียงแหลมของตนร้องออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยสักนิด“ถอยไป หลบไป ฉันเป็นแม่ของมู่หาน ฉันจะเข้าไปหาลูกชายฉัน” ฉินเจียวทั้งผลักทั้งดันคนรอบข้างให้แหวกทางให้กับตน โดยมีจิวเหลียนหญิงร่างใหญ่เป็นผู้ช่วยซูเหยาเมื่อเธอมองเห็นภาพนี้เธอถึงกับเบะปากใส่คนทั้งสอง ‘ช่วยหาก็ไม่ได้ช่วย คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างเดียว’ เธอคิดเมื่อเธอเห็นแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยเดินมาแล้ว ซูเหยาจึงได้หลบฉากเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านไปหาเด็กน้อยน่ารัก ที่ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ และได้กินข้าวกันหรือยังแต่เมื่อเธอมาถึงบ้าน เธอก็ได้ยืนช็อกกับสภาพประตูหน้าบ้านของตนไปแล้ว เพราะประตูได้ถูกเปิดออกโดยมีร่องรอยการจามด้วยขวานตัดไม้ซึ่งน่าจะมีขนาดใหญ่เมื่อซูเหยาได้เห็นสภาพบ้านแบบนี้ ตอนนี้ใจเธอถึงกับหล่นวูบไปเลยทีเดียว เด็กน้อยลูกทั้งสองจะเป็นอย่างไร“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิงอยู่ที่ไหนกัน ได้ยินเสียงน้าไหม พวกหนูอยู่ไหน” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าแตกตื่น
ซูเหยาคิดไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับที่เธอก็เอามีดยาวที่จับไว้ในมือกวาดไปที่พงหญ้ารก เพื่อเป็นการไล่สัตว์ร้ายมีพิษก่อนที่เธอจะเดินต่อไปก็เธอนะเป็นนางร้ายนะ ดังนั้นถ้าจะหวังให้โชคช่วยแบบนางเอกนะเหรอไม่มีทางหรอก ดังนั้นจะต้องทำเองจากสองมือเพียงอย่างเดียวเมื่อเธอก้าวเดินไปตามสัญลักษณ์ที่มู่หานทำไว้ ในที่สุดเธอก็เหมือนได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก ซึ่งเธอคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องเป็นพวกของมู่หานอย่างแน่นอน“โอ้ย ช่วยฉันด้วยมีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ” ซูเหยาแสร้งทำหกล้มนั่งกุมขอเท้าของตนด้วยท่าทางที่แสดงความเจ็บปวดน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร‘รางวัลนักแสดงต้องมาแล้วล่ะ แสดงได้เนียนขนาดนี้’ เธอคิดขึ้นในใจ และที่ซูเหยาต้องร้องเรียกคนเหล่านั้นให้ออกมาตรงนี้ ก็เพราะว่าตามนิยายที่ได้บรรยายเอาไว้ว่าหลังจากที่ มู่หานได้ตกลงไปในหลุมดักสัตว์เก่า และเพื่อนช่วยเขาขึ้นมาได้แล้ว ก็จะมีหมูป่าที่ไม่มองอะไรเลยพุ่งตกลงไปในหลุมกับดักยังไงล่ะเธอเดาเอาว่าช่วงเวลาและสถานที่อาจจะเป็นที่นี่ เพราะตอนนี้เธอไม่ได้ยินเสียงว่าพวกเข