“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้าน
ทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม
“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป
“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพ
สมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก
“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน
“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจ
ยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้น
ซูเหยากับเด็กสองคนที่กำลังรอมู่หานอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ก็ได้เห็นพ่อของร่างนี้เดินนำหน้าบรรดาพี่ชายของเธอเข้ามา แล้วจึงตามมาด้วยมู่หาน
“ให้ลูกและหลานกินข้าวกันก่อนค่อยคุยกันทีเดียว” หว่านชิงพูดออกมา ก่อนที่สามีและลูกชายทั้งสามจะถามอะไรออกมาเสียก่อน
เมื่อเธอเห็นสีหน้าที่ไม่เก็บอาการของคนทั้งสี่ ซูเหยาเองก็เห็นใบหน้าที่แสดงถึงความรัก ความห่วงใยของพ่อและพี่ชายทั้งสามที่ฉายชัดออกมาได้อย่างชัดเจน
“ได้ถ้าอย่างนั้นลูกก็กินข้าวก่อนเถอะ พ่อกับพี่ๆ จะไปรอที่ห้องโถง” ซูป๋อเป็นคนกล่าว ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินนำลูกชายทั้งสามออกไปรอลูกสาวตามที่บอกไว้
และหลังจากที่สมาชิกสี่คนของซูเหยากินข้าวเสร็จแล้ว เธอจึงได้พามู่หานออกไปกับเธอ โดยได้รบกวนผู้เป็นแม่ให้ช่วยดูแลลูกชายหญิงทั้งสอง
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นลูก/น้องเล่าออกมาให้หมด” พ่อและพี่ชายสามคนถามลูก/น้องสาวคนเล็กของบ้านอย่างสงสัย เมื่อซูเหยากับมู่หานเดินเข้ามานั่งอยู่กับพวกเขา ซูเหยาจึงได้เล่าเรื่องทุกอย่างออกมา
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ลูกกับมู่หานก็ตัดขาดจากบ้านหลังนั้นเรียบร้อยแล้ว” ซูป๋อถามออกมาอีกครั้งเมื่อฟังเรื่องทั้งหมดจบลง
“เรื่องสร้างบ้านไม่ต้องห่วงหรอก ลูกจะเอาใหญ่แค่ไหนก็ได้พ่อกับพี่ๆ จะจัดการให้” ซูป๋อบอกกับลูกสาวอีกครั้ง เพราะทุกวันนี้เขากับลูกชายทำอาชีพเป็นช่างสร้างบ้านกันอยู่แล้ว
แต่ซูเหยาก็ยังคงไม่พูดอะไร เนื่องจากเธออยากจะบอกเรื่องการปฏิวัติให้กับครอบครัวรับรู้ด้วย แต่ตอนนี้เธอคิดว่าควรจะต้องปรับความเข้าใจกับพี่สะใภ้ทั้งสองของตนเสียก่อนเพราะการปรองดองอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีคือดีที่สุด
“พี่สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองฉันต้องขอโทษที่ในอดีตฉันทำตัวไม่ดีกับพี่เอาไว้ ต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนใหม่ หวังว่าพี่ทั้งสองจะไม่โกรธเคืองและยกโทษให้กับฉัน” ซูเหยาหันไปพูดกับพี่สะใภ้ทั้งสองพร้อมกับโค้งตัวคำนับ
เมื่อเธอตัดสินใจดีแล้ว เพราะพี่สะใภ้ทั้งสองของร่างนี้ก็เป็นคนดี และได้ตัดขาดจากครอบครัวบ้านเดิมอย่างเด็ดขาดแล้ว สะใภ้ใหญ่ฟางหรงกับสะใภ้รองลี่มี่ถึงกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกับการเปลี่ยนแปลงของน้องสามีในยามนี้
เพราะตั้งแต่ที่เธอสองคนแต่งเข้ามาในครอบครัวซู ก็มีแต่ ซูเหยาคนเดียวที่ดูถูกพวกเธอสารพัดว่าไม่มีการศึกษาบ้าง ผู้หญิงบ้านนอกบ้าง
บ้านเดิมของพวกเธอสองคนห่างไกลจากที่นี่ไปไกลมาก และก็เป็นหมู่บ้านในหุบเขาที่มีสภาพความเป็นอยู่ยากจนเธอกับลี่มี่ได้หนีออกจากบ้าน เพราะจะโดนขายโดยพ่อแม่แท้ๆ
เธอสองคนได้หนีมาจนถึงเมืองนี้ และรับจ้างทำงานหลายอย่าง จนได้มาเจอกับสามี ตอนที่ซูเหยาเห็นเธอสองคนหล่อนก็มองพวกเธอด้วยความรังเกียจ
สามีก็ได้แต่ปลอบใจ บอกว่าเพราะน้องยังเด็กและถูกตามใจจนเคยตัว อย่าถือสาน้องเล็กเลย พวกเธอสามคนมักจะปะทะกันเป็นประจำ แต่มาวันนี้พวกเธอกลับได้รับคำขอโทษ
“พี่ฟางหรงคะพี่ยินดียกโทษให้ฉันไหม เพราะพี่สะใภ้รองได้กล่าวยกโทษให้เธอแล้ว” ซูเหยาถามกับพี่สะใภ้คนโตออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ดะ..ได้สิ พี่เองก็ผิดเหมือนกัน” ฟางหรงที่กำลังคิดเรื่องอดีตก็พูดออกมาอย่างยินดี เพราะเธอและลี่มี่ก็ไม่มีที่ไหนให้ไปนอกจากอยู่บ้านหลังนี้
ถ้าทุกคนในบ้านอยู่ด้วยความสามัคคีกันได้ ย่อมที่จะดีกับทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน ส่วนบ้านเดิมที่เลวร้ายแบบนั้นชาตินี้ทั้งชาติเธอก็ไม่คิดจะกลับไป
“พี่ชายใหญ่ไปตามแม่ออกมาฟังด้วยเถอะค่ะ ฉันจะได้พูดทีเดียว” ซูเหยากล่าวออกมาหลังจากเมื่อเธอได้ปรับความเข้าใจกับพี่สะใภ้ทั้งสองแล้ว ซูเฉินหลงหายไปไม่นานก็มีหว่านชิงกับเด็กน้อยเดินตามมาด้วย
“หนูมีเรื่องสำคัญมากๆ จะบอก ดังนั้นทุกคนต้องไปปิดประตูหน้าต่างให้หมดทุกบาน แล้วอย่าเพิ่งแย้งอะไรออกมาโดยเด็ดขาด” ซูเหยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจังไม่มีวี่แววล้อเล่นใดๆ ทั้งสิ้น
“สำคัญมากเลยเหรอลูก” หลินหว่านชิงถามออกมาด้วยความกังวล
“แม่คะตอนนี้ตายายและลุงอยู่ต่างประเทศกันใช่ไหมค่ะ” ซูเหยาถามแม่ เนื่องจากในนิยายได้บรรยายเรื่องครอบครัวของซูเหยาไว้สั้นๆ ว่าคนในครอบครัวได้พากันอพยพไปอยู่ต่างประเทศช่วงก่อนเกิดการปฏิวัติ แล้วเกิดเรือล่มทำให้ทุกคนสูญหายไปกับทะเล
“ใช่ลูก ตากับยายแก่แล้วคงไม่กลับมาแล้วล่ะ” หว่านชิงตอบกลับลูกสาวด้วยความสงสัย
“เรื่องที่หนูบอกมันสำคัญมากถึงกับตายได้เลย หากมีคนแพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไป” ซูเหยาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
“มู่หาน คุณพาเด็กๆ ออกไปก่อนนะคะ แล้วคืนนี้ฉันค่อยบอกกับคุณ” ซูเหยาบอกกับสามีในนาม
“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิง หนูออกไปกินขนมกับพ่อก่อนนะ เดี๋ยวน้าจะออกไปหาทีหลัง” ซูเหยาหันมาพูดกับเด็กทั้งสองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซึ่งผิดกับที่พูดกับคนเป็นพ่อลิบลับ
“ครับ/ค่ะ” เด็กน้อยตอบรับอย่างเชื่อฟัง
“หนูจะบอกกับทุกคนว่าปีหน้าจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้น โดยทางรัฐจะล้มล้างวัฒนธรรมเก่าๆ ในอดีตทั้งหมดเครื่องประดับต่างๆ จะไม่มีค่า
อาหารจะขาดแคลน ไม่ให้มีการทำอาชีพอิสระ ค้าขายไม่ได้ ทุกอย่างจะถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และห้ามนับถือเทพรวมทั้งโชคลางต่างๆ ทั้งหมดด้วย
ดังนั้นหนูอยากให้ครอบครัวของเราเก็บของเก่าหรือของมีค่าทั้งหมดทุกอย่างเอาไว้ในห้องลับของบ้าน และถ้าเป็นไปได้ให้ปิดบ้านหลังนี้ไปก่อน
แล้วย้ายไปอยู่ยังชนบทเป็นระยะเวลาสิบเอ็ดปี” ซูเหยากลั้นใจพูดออกมา พร้อมกับมองหน้าคนในครอบครัวตอนนี้
“พ่อว่าแล้วเห็นเพื่อนพ่อบางคนเริ่มซื้อที่ในชนบทเพื่อไปปลูกบ้านหลังคามุงหญ้ากัน พ่อเองนึกสงสัย เมื่อลองถามก็ได้คำตอบว่าเปลี่ยนบรรยากาศ”
ซูป๋อแม้จะตกใจที่ได้ยินจากปากลูกสาว แต่เขาคิดว่าเรื่องที่ลูกพูดมีความเป็นไปได้มากทีเดียว
“ว่าแต่หนูรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน มีใครมาบอกกับลูกหรือเปล่า” ซูป๋อแม้เขาจะมีความระแคะระคายมาก่อน แต่เขาก็อยากถามกับลูกออกมาให้แน่ใจ เผื่อคนที่มาบอกคิดไม่ดีจะได้หาทางป้องกันเอาไว้
“หากหนูจะบอกว่าเจ้าแม่หวังหมู่มาเข้าฝันบอกหนู ทุกคนจะเชื่อหนูไหมคะ” ซูเหยาพูดออกมาเพราะเธอรู้ว่าครอบครัวนี้นับถือเทพเจ้า
“เชื่อ” ทุกคนตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“แต่เมื่อไรที่เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ ทุกคนห้ามลืมว่าจะต้องไม่ทำตัวนับถือเทพเจ้านะคะ ไม่อย่างนั้นเราจะโดนทหารแดงจับ” ซูเหยากล่าวย้ำออกมาให้คนในครอบครัวฟังอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้แม่ว่าให้พ่อและพี่ๆ ของลูกไปซื้อที่ดินในหมู่บ้านของลูกไว้ก่อนดีกว่า แล้วเราก็ค่อยๆ ทยอยไปสร้างบ้าน หากมีใครถามก็บอกว่าแม่อยากจะมาอยู่กับลูกและหลานๆ” หวานชิงพูดความคิดของตน
“ก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพ่อไปกับมู่หานนะ ลูกก็เอาเด็กๆ มาอยู่กับแม่ที่นี่เลยแล้วกัน และเราค่อยกลับไปหมู่บ้านนั้นพร้อมกัน จะได้ไม่มีใครมารังแกลูกกับหลานอีก” ซูป๋อสั่งความกับลูกสาว
“ถ้าอย่างนั้นแม่กับหนูก็ช่วยกันเก็บของเถอะค่ะ แต่ถ้าแม่ไว้ใจหนู หนูจะเป็นคนเก็บเอาไว้ให้ พอหลังจากสิบเอ็ดปีหนูจะเอาของทั้งหมดที่เก็บไปออกมาคืน” ซูเหยาพูดกับแม่ตามตรง
ของมีค่าจะเก็บไว้ที่ไหนปลอดภัยที่สุด ก็เก็บเอาไว้ในมิตินะสิ แต่เธอไม่คิดจะบอกเรื่องมิติเด็ดขาด ขอเก็บไว้เป็นความลับกับตัวเองนะดีแล้ว
อยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้มีคนต้องการซื้อ” ซูป๋อรีบถามลูกสาวออกมาด้วยความรีบร้อน“ห๊ะ! พ่อว่ามีคนมาขอซื้ออาหารเช้าของบ้านเราอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนี้จะรออะไรล่ะคะ ก็ขายไปเลยสิคะพ่อ” ซูเหยาร้องขึ้นด้วยความตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอคิดว่ามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านก็ขายสิคะถูกไหมล่ะ“พ่อคะ พ่อไปบอกกับคนที่ต้องการซื้อว่าให้รอสักครู่นะคะรับรองหนูมีพอให้กับทุกคนแน่นอน” ซูเหยาพูดออกมาดีนะที่เธอมีมิติ เพราะมิติที่ว่าใจร้ายก็ยังใจดีกับเธอบ้าง เธอเพิ่งได้รู้จากเจ้าของเสียงไร้อารมณ์ในมิติว่า ถ้าเป็นของที่เธอลงมือทำเองจะสามารถเพิ่มได้จนถึงหนึ่งร้อยชิ้นโดยเธอต้องใส่สินค้าในตะกร้ารอขาย แล้วหลังจากนั้นก็กดเพิ่มจำนวนเอา แต่ได้เพียงอย่างละร้อยชิ้นต่อวันเท่านั้นซึ่งแค่นี้มันก็ดีมากแล้ว สำหรับการที่เธอจะต้องอยู่ในยุคที่อดอยากแบบตอนนี้ ที่กำลังจะเป็นปีอดอยากของแท้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าของจริงดังนั้นการขายอาหารเช้าหน้าบ้านจึงได้เกิดขึ้น โดยเธอได้สั่งให้มู่หานกับพี่ชายอีกสองคนไปช่วยกันยกโต๊ะ
“คุณ เรื่องที่ดินที่บ้านในหมู่บ้านตงไห่เป็นอย่างไรบ้างเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ” หว่านชิงถามกับสามีเมื่อได้อยู่ในห้องโถงของบ้าน หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว“เรียบร้อยคุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ลูกของเราไปไหนอย่างนั้นเหรอ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็หายไปเลย” ซูป๋อถามกับภรรยาถึงลูกสาว“ก็ไปคุยกับมู่หานยังไงล่ะคะ เพราะเรื่องที่ลูกเล่าให้เราฟังเธอยังไม่ได้บอกกับสามี” หว่านชิงได้ตอบข้อสงสัยของสามีออกมา“ฮ่าๆ นี่ก็แสดงว่าครอบครัวอย่างพวกเราสำคัญเป็นที่หนึ่งในใจลูกใช่ไหมที่รัก” ซูป๋อหัวเราะพร้อมกับหันไปถามกับภรรยาคู่ทุกข์ของตนเสียงหวานซึ่งก็ได้รับค้อนงามๆ จากภรรยาเข้าให้ เพราะพูดอะไรไม่รู้จักอายลูกและหลานที่ต่างหันมามองพวกเขา“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย เอาขนมอีกไหม ป้าจะไปเอามาให้ หนูสองคนอยากกินอะไรบอกป้าทั้งสองคนได้เลยนะ” ฟางหรงและลี่มี่ถามเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่กับตนด้วยความอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะ/ครับ” เด็กน้อยได้แต่กล่าวขอบคุณออกมาเสียงเบา ด้วยความเขินอาย“เสี่ย
กิจการค้าขายอาหารเช้าของบ้านซูที่ได้เกิดจากความไม่ตั้งใจเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นกิจการการค้าอย่างสมบูรณ์ไปแล้วโดยที่ซูเหยาก็ตั้งขายหน้าบ้านแม่ของตนนั่นแหละ เพราะยังไงก็มีคนสัญจรไปมาเยอะ และลูกค้าเองก็รู้แล้วว่าบ้านของเธอขายอะไร“วันนี้หลังจากขายของเสร็จ พวกเราก็ไปดูที่ดินในหมู่บ้านตงไห่กันเถอะ ว่าลูกต้องการสร้างบ้านแบบไหน แล้วจะล้อมกำแพงยังไง เพราะนี่ก็เดือนสิบเอ็ดแล้วหน้าหนาวแบบนี้คนว่างงานเยอะ พวกเราจะได้มีคนช่วยสร้าง จะได้เสร็จเร็วขึ้น” ซูป๋อพูดกับลูกสาวที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างขอความคิดเห็น“ตกลงค่ะ เราก็พากันไปทั้งหมดบ้านนี่แหละ เพราะของบ้านเราตอนนี้ ก็ไม่มีอะไรเหลือให้กับคนที่คิดไม่ดีเข้ามาขโมยได้อยู่แล้ว” ซูเหยาพูดออกมาอย่างเห็นด้วยกับพ่อดังนั้นการจ้างเกวียนเดินทางเข้าหมู่บ้านตงไห่จึงเกิดขึ้นครอบครัวซูได้เหมาเกวียนถึงสองคันเลยทีเดียว ซูเหยาคิดว่ามันช่างไม่สะดวกเหมือนรถยนต์ในยุคปัจจุบันเลยแต่ว่าก็ยังดีกว่าเดินล่ะนะ ถ้าเดินก็คงเดินกันน่องโป่ง แต่ว่าเธอก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่วันแรกได้เดิน
การกระทำของหว่านชิงก็ได้ทำให้ลูกสะใภ้ทั้งสองและลูกเขยต่างพากันงุนงงกับการกระทำเช่นนี้ เจ้าตัวเล็กสองคนเมื่อเห็นยายผู้ใจดีคำนับไปทางนั้นเด็กน้อยสองคนก็ทำตามเพราะพวกเขาคิดว่าจะต้องเกี่ยวกับน้าเหยาที่เป็นเทพธิดานางฟ้าอย่างแน่นอน ซูเหยาตัวต้นเรื่องก็ได้แต่ขอโทษแม่ของร่างนี้ในใจเมื่อเกวียนทั้งสองเล่มเดินไปไกลแล้ว มู่หานที่กำลังเหม่อมองเกวียนจากไป เมื่อเขาหันมาอีกทีก็ได้มีจักรยานมาจอดอยู่ด้านหลังของเขาแล้ว“จะ..จักรยาน มาได้ยังไงครับ” มู่หานพูดตะกุกตะกัก ถามออกมาด้วยความสงสัยหน้าตาตื่น“คุณขี่ ฉันจะนั่ง เมื่อใกล้ถึงหมู่บ้านก็ค่อยจอด” ซูเหยาไม่คิดจะอธิบายอะไรให้กับมู่หานฟังทั้งสิ้น แต่เมื่อถูกถามก็ต้องตอบ“ฉันขอเจ้าแม่มาค่ะ คุณเชื่อไหม” ซูเหยาพูดออกมาอย่างใส่ซื่อ ตอนนี้มีอะไรก็อ้างชื่อเจ้าแม่ไปก่อนก็แล้วกัน“ช..เชื่อครับ ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกันเถอะ เผื่อเจ้าแม่เปลี่ยนใจเอาจักรยานคืนคุณจะเหนื่อย” มู่หานรีบละล่ำละลักพูดกับภรรยาโดยซูเหยาได้เอาหมวกออกมาให้มู่หานและตัวเองใส่ด้วยเป็นหมวกที่มีผ้าโป
“นั่นพ่อจะไปไหน” มู่อันถามพ่อเมื่อเห็นว่าพ่อกำลังก้าวออกจากบ้าน“ไปช่วยมู่หานสร้างบ้านนะ ลูกจะไปด้วยกันไหม” มู่จางถามกับลูกชายคนเล็กเขารู้ดีว่ามู่อันกับมู่หานมีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด และเจ้าลูกคนเล็กก็แอบช่วยหลานๆ เวลาที่ตนอยู่บ้าน“ไปครับ ผมจะชวนอาซิงไปด้วย” มู่อันตอบพ่อพร้อมกับเดินไปบอกภรรยาที่ทำงานตั้งแต่เช้ายังไม่ได้หยุดพักเขายืนมองร่างผอมแห้งมีแต่หนังหุ้มกระดูกของภรรยาด้วยความสงสาร เขาอยากจะแยกบ้าน แต่ก็ยังเป็นห่วงพ่ออยู่ ก็เลยจำต้องทนอยู่แบบนี้“อาซิงเราไปช่วยพี่สามกันเถอะ” มู่อันเรียกภรรยาที่กำลังนั่งเหม่อเช็ดน้ำตาและเหงื่อ“ค่ะ” ซือซิงตอบรับน้ำเสียงแผ่วเบาทั้งสามก็ได้พากันเดินออกจากบ้าน โดยละเลยเสียงที่บ่นด่าตามหลังด้วยถ้อยคำแสนหยาบคายไม่น่าฟังเหล่านั้น“ปู่ อามู่อัน อาสะใภ้ สวัสดีครับ/ค่ะ” เสียงเล็กๆ ของเจ้าลูกชิ้นสองพี่น้องที่กำลังนั่งเล่นอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ทักทายผู้มาเยือนทั้งสามอย่างน่ารัก“หลานๆ สบายดีหรือเปล่า กินอิ่มนอนหลับกั
การกระทำของครอบครัวซูเหยา ทำให้คนในหมู่บ้านตงไห่ต่างพากันแปลกใจ กับการที่คนตระกูลนี้มาสร้างบ้านอยู่ที่นี่และสร้างเป็นบ้านดิน ไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป ทั้งที่เขานั้นมีบ้านอยู่ใกล้กับตัวอำเภอกันอยู่แล้ว“ซูป๋อฉันถามนายจริงๆ เถอะ นึกยังไงถึงจะมาอยู่ในหมู่บ้านที่กันดารแบบนี้” ฉีอันถามกับซูป๋อซึ่งเป็นสหายเก่ากันมาก่อน“ฉันกับครอบครัวอยากย้ายมาอยู่ใกล้ๆ ลูกสาวเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก ส่วนบ้านในเมืองก็แค่ปิดไว้ชั่วคราว” ซูป๋อตอบออกมาตามที่ได้พูดคุยกับครอบครัวเอาไว้“และทำไมนายต้องสร้างบ้านดินเหมือนกับชาวบ้านเขาด้วย ครอบครัวนายเป็นช่างน่าจะทำบ้านที่ดีกว่านี้ได้นี่” ฉีอันที่ยังไม่หยุดความสงสัยถามออกมาอีก“ครอบครัวเราตกลงกันไว้ว่าอยากจะทำให้เหมือนกับชาวบ้านนะครับลุงฉี” เสียงซูเฉินพี่ชายคนโตของบ้านซูเป็นคนตอบ โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีเลยสักนิด‘โอ้การแสดงของคนบ้านนี้เยี่ยมยอดกันทุกคนเลยแฮะ’ ซูเหยาเมื่อได้ยินการพูดคุยของครอบครัวตัวเองกับผู้ใหญ่บ้านเธอถึงกับอึ้
“มู่หาน คุณรีบพาพ่อสามีไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ ถ้าอาการท่านเป็นหนักมากกว่านี้จะยิ่งแย่เอาได้” ซูเหยาบอกกับสามีในนามด้วยความร้อนใจ“ตะ..แต่เราไม่มีเงินเลยครับ” มู่อันก้มหน้าพูดออกมาด้วยความละอายใจ ซือซิงที่เห็นท่าทางสามีแบบนี้ก็กุมมือของเขาเพื่อเป็นการปลอบโยน“คุณเอาเงินนี่ไป รีบพาท่านไปรักษา” ซูเหยาพูดขึ้นพร้อมกับยื่นถุงเงินของเธอให้กับมู่หาน“มันไม่มากเกินไปเหรอ” มู่หานเมื่อเปิดปากถุงเงินดู เขาถึงกับตกใจรีบถามละล่ำละลักกับซูเหยา“เอาไปเถอะ คุณจ้างเกวียนในหมู่บ้านไปได้เลย อะไรที่ควรจ่ายก็ต้องจ่ายอย่าได้คิดมาก เงินทองสำคัญก็จริง แต่ชีวิตคนสำคัญกว่าจำไว้” ซูเหยาพูดย้ำกับมู่หานออกมา เพราะเธอกลัวว่าเขาจะประหยัดไม่เข้าเรื่อง“น้องสามีไปด้วยก็แล้วกัน ส่วนน้องสะใภ้เข้าไปในครัวกับพี่เถอะ ไปกินข้าวไม่ต้องห่วงเขาทั้งสามหรอก” ซูเหยาพูดกับน้องสะใภ้ที่เอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเองอย่างลังเล“ไปค่ะคุณอา อาหารที่คุณยายและน้าเหยาทำอร่อยมากๆ” เจ้าตัวน้อยพูดขึ้นพร้อมจับมืออาสะใภ้เล็กขอ
“มันก็จริงนะ ว่าแต่พ่อคุณกับน้องชายไม่ได้กลับมาด้วยเหรอคะ” ซูเหยาถามสามีออกมาด้วยความสงสัย“ผมต้องขอบคุณ คุณมากๆ เลย ที่ให้เงินผมพาพ่อไปหาหมอตอนนี้พ่อต้องนอนอยู่โรงพยาบาล มู่อันก็เลยอาสาเฝ้าไข้ที่นั่นครับ” มู่หานกล่าวกับภรรยาออกมาด้วยความซึ้งใจในระหว่างที่สามีกับภรรยากำลังสนทนากันอยู่ด้านใน ด้านนอกห้องครัวก็ได้มีเสียงแหลมสูง ซึ่งซูเหยาจำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร เธอจึงได้ดึงมือมู่หานเดินออกมาอย่างรวดเร็ว“นังสะใภ้ตัวดี แกคิดว่าหลบอยู่ที่นี่แล้วฉันจะลากแกกลับไปทำงานไม่ได้หรือไง” เสียงแหลมสูงของฉินเจียวพูดขึ้น พร้อมกับใช้นิ้วชี้หน้าซือซิงด้วยความโมโห“สะใภ้ใหญ่ไปลากตัวมันกลับบ้านไปทำงานเดี๋ยวนี้ มันอยู่ในบ้านมู่ก็ต้องทำงานให้บ้านมู่ จะมาหลบอู้อยู่ที่นี่ได้ยังไง” ฉินเจียวส่งเสียงแสดงความมีอำนาจของตนสั่งสะใภ้คนโปรด“หยุดเดี๋ยวนี้ หากใครเข้าไปใกล้น้องสะใภ้อีกก้าวเดียวอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ” เสียงซูเหยาตะโกนขึ้นอย่างเสียงดัง (เอาเซ่คิดว่าเสียงดังเป็นคนเดียวหรือไง ว่าแล้วก็เริ่มจะเจ็บคอ)&ldqu
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ