ทุกคนที่มามุงดูการชำแหละหมูในครั้งนี้ ก็ได้กลายเป็นว่าได้หันมาสนใจกับเรื่องครอบครัวบ้านมู่แทนเสียแล้ว พวกเขาถือว่าเรื่องชาวบ้านคือแหล่งของความบันเทิงชั้นดี
“เอาล่ะ ทั้งสองฝ่ายก็มาปั๊มลายมือหรือลงลายมือชื่อได้” เสียงฉีอันที่ทำการเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยบอกกับทั้งสองฝ่าย
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้หนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือเรียบร้อย ซูเหยาได้อ่านตัวหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัดว่าต่อไปนี้บ้านของมู่หาน รวมทั้งตัวคนในครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนบ้านใหญ่มู่ทุกคน
หากมีใครมาละเมิดหรือกระทำการล่วงเกินครอบครัวของอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายสามารถแจ้งทางการได้ทันที ลงชื่อทั้งสองฝ่ายครบถ้วน พยานก็เป็นคนในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้
“มู่หานเราไปเก็บข้าวของกันเถอะ เด็กๆ ไปกัน น้าจะพาพวกหนูไปอยู่บ้านใหม่” ซูเหยาพูดกับมู่หาน แล้วนั่งยองๆ พูดกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋ว
ตอนนี้เธอได้เอาหวีออกมารวบผมให้เด็กน้อย รวมถึงได้จัดการแต่งกายของทั้งสองให้เรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ดูดีเหมือนเมื่อเช้าสักเท่าไร แต่ยังคงเรียบร้อยกว่าตอนมาที่แห่งนี้ในตอนแรก
“ขอบคุณทุกคนที่เป็นพยานให้กับครอบครัวของเราในวันนี้ค่ะ” ซูเหยาพูดกับชาวบ้าน
เมื่อการแสดงดีๆ จบลงชาวบ้านเหล่านั้นก็ได้หันไปดูการชำแหละหมูต่อไป เพื่อที่จะได้ซื้อเก็บไว้ให้คนในครอบครัวกิน
สี่คนพ่อแม่ลูกก็เดินกลับอดีตบ้านหลังน้อยของตน เพื่อจะได้ไปเก็บของใช้ที่ยังคงเหลืออยู่ โดยที่ซูเหยาไม่คิดจะสนใจหมูป่าที่มู่หานได้มีส่วนร่วมในการหาเลยสักนิด
หลังจากที่ซูเหยากับสมาชิกทั้งสามกลับมาถึงบ้านของตัวเอง พวกเขาได้มองสภาพห้องของตนด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า ใช่จ้าแบบว่างเปล่าจริงๆ เพราะของใช้ทั้งในห้องของเธอและในห้องของเด็กๆ รวมทั้งในครัวมันได้ถูกยกเค้าไปหมดแล้ว
“อยากได้ของฉันใช่ไหม ถามเจ้าของหรือยัง” ซูเหยากัดฟันกรอด พูดออกมาด้วยความเดือดดาล
“มู่หานไปแจ้งทางการว่าบ้านเรามีขโมย ถ้ายังไม่มีคนเอาของมาคืนตอนนี้ คุณไปได้เลย” ซูเหยาร้องตะโกนแผดเสียงขึ้นอย่างเสียงดัง
“ทะ..ทางการ เร็วเข้าเอาของของมันไปคืน ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับของบ้านมัน” ฉินเจียวพูดขึ้นอย่างลนลาน
“ทำไมคนบ้านฉันมันถึงได้มีคนนิสัยขี้ขโมยแบบนี้ ไปเลยนะเอาของไปคืนอาของแกเดี๋ยวนี้” มู่จางที่เพิ่งจะเดินกลับมาถึงบ้านพูดกับหลานชายหญิงด้วยท่าทางโกรธจัด
“เอาไป พวกฉันเอาของหล่อนมาคืนหมดแล้ว” จิวเหลียนที่ได้หอบข้าวของออกมามากมายเอามากองไว้ตรงหน้าของ ซูเหยา
“ที่นอน ผ้าห่ม หมอนเอามาด้วย” ซูเหยาเมื่อดูของแล้วยังไม่ครบเธอจึงถามออกมา
เธอยินดียกให้คนอื่นดีกว่าที่จะมอบให้กับคนเห็นแก่ตัวแบบคนบ้านนี้ ซูเหยาคิดในใจ ทางด้านมู่หานที่กำลังเก็บเอกสารของตนกับซูเหยาและลูกๆ อยู่ภายในห้องนอน ก็ได้หาไม้ขุดลงไปในดินข้างตู้เก็บเสื้อผ้า ในนั้นมีกล่องเก่าๆ อยู่ใบหนึ่ง
มู่หานได้เปิดกล่องใบนั้นดู ก็พบว่าเงินที่เขาแอบเก็บสะสมมาหลายปีก็ยังพอมีอยู่บ้าง เงินนี้เขาคิดไว้ว่าจะเอาไว้สร้างบ้าน
เด็กน้อยสองคนก็มาช่วยน้าเหยาของเขาเก็บสิ่งของที่คนบ้านนั้นเอามาคืน เท่าที่แขนเล็กๆ จะอำนวย
“เด็กดี หิวกันไหม อดทนหน่อยนะ เมื่อเราออกไปจากบ้านนี้แล้วน้าจะหยิบขนมออกมาให้กิน” ซูเหยาพูดกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยน
“ครับ/ค่ะ” เด็กทั้งสองตอบรับพร้อมกัน
มู่หานที่ได้มาเห็นภาพนี้ เขาก็ถึงกับไม่อยากจะเชื่อสายตา นี่ใช่ซูเหยาภรรยาที่มีแต่คนบอกกับเขาว่าเป็นคนใจร้ายต่อลูกๆ ของเขาจริงเหรอ
“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ” ซูเหยาพูดขึ้นเมื่อเธอถือห่อผ้าไว้ในมือ ส่วนที่นอนก็คงจะต้องตัดใจ เพราะจะเอาเข้ามิติตอนนี้ก็ไม่ได้ แต่ช่างมันเถอะคิดว่ายอมทิ้งของเก่าเพื่อชีวิตใหม่ก็แล้วกัน
“น้าเหยาพวกเราจะไปไหนกันหรือครับ/คะ” เด็กน้อยถาม ซูเหยาด้วยความสงสัย
“ไปบ้านยายกัน คุณยายใจดีมากใช่ไหมล่ะ” ซูเหยาบอกกับเด็กตัวน้อยสองคนที่มองเธอตาแป๋ว
“ใช่ครับบ้านตายายมีแต่คนใจดี” เด็กชายก็พูดตามความคิดออกมา ซึ่งเด็กหญิงก็พยักหน้าเห็นด้วย
บ้านเดิมของซูเหยาตามนิยายได้บรรยายเอาไว้ว่า เป็นครอบครัวที่พอมีฐานะ เพราะสามารถส่งลูกทั้งสี่รวมถึง ซูเหยาเรียนจนจบชั้นมัธยมปลายได้
ซูเหยาเองก็เรียนจบเช่นกัน แต่พอจบเธอก็มาแต่งงานกับ มู่หานทันที จึงทำให้พ่อ แม่ พี่ชายเป็นห่วงมาก เพราะมู่หานเป็นพ่อหม้ายมีลูกติด
แต่แม้ว่าครอบครัวจะคัดค้านอย่างไร เจ้าตัวก็ยังคงแต่งออกมาจนได้ และครอบครัวของร่างนี้ก็ไม่มีใครไม่ชอบเด็กน้อยทั้งสองเลยสักคน ยกเว้นก็แต่คนที่เป็นแม่เลี้ยงอย่าง ซูเหยาคนเก่า
บ้านเดิมของซูเหยาเป็นบ้านที่อยู่ใกล้กับตัวอำเภอ มีพื้นที่ไม่กว้างเหมือนกับหมู่บ้านต่งไห่ที่ซูเหยาได้อยู่ในเวลานี้ ตามนิยายได้ระบุเอาไว้ว่าช่วงเกิดการปฏิวัติหมู่บ้านเดิมของแม่ ซูเหยาจะโดนเพ่งเล็งมากเป็นพิเศษ
‘ไม่ได้การแล้ว เธอจะต้องเตือนครอบครัวของตนให้เก็บของเข้าห้องลับไว้ดีๆ และให้ทำตัวธรรมดาเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนพวกทหารแดงหิ้วไปได้’ ซูเหยาคิดด้วยความกังวลใจ
ซูเหยาได้พาสมาชิกของตนเดินเท้าออกจากหมู่บ้านมาเรื่อยๆ ‘อยากเอารถมอเตอร์ไซค์มาใช้จัง’ ซูเหยาคิดอย่างท้อใจกับการที่ตนจะต้องเดินเท้าซึ่งกว่าจะถึง เนื่องจากระยะทางจากหมู่บ้านเข้าตัวอำเภอใช้เวลาในการเดินทางด้วยเท้าถึงสองชั่วโมง
แต่สวรรค์คงจะเห็นใจซูเหยาหรือไม่ก็เด็กๆ ตัวน้อย ท่านถึงได้ให้ซูเหยาได้เจอรถไถที่ตามหลังพวกเธออยู่ไม่ไกลเท่าไร “มู่หานคุณรีบเรียกรถเร็วเข้า” ซูเหยารีบบอกมู่หานผู้มีใบหน้าเฉยชา
เมื่อมู่หานเห็นรถเข้ามาใกล้ เขาก็ทำตามที่ภรรยาในนามบอกทันที หลังจากที่รถไถจอด สี่คนพ่อแม่ลูกก็ได้พากันขึ้นรถที่ยังพอมีที่ว่างให้นั่งได้ ซูเหยาเห็นว่าเมื่อใกล้จะถึงหมู่บ้านของตนเธอ จึงได้พาสมาชิกอีกสามชีวิตลง
เมื่อชำระค่าเดินทางเรียบร้อย ซูเหยาก็อาศัยความทรงจำของเจ้าของร่างเก่า เพื่อพาอีกสามชีวิตเดินไปยังบ้านเดิม จากจุดที่ลงรถเดินเข้าซอยมาไม่ไกล คนทั้งสี่ก็มายืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
“มีใครอยู่ไหมคะ” ซูเหยาร้องเรียกคนที่อยู่ในบ้านเสียงดัง โดยมีมู่หานกับเจ้าตัวน้อยเป็นคนเคาะประตู
“เหยาเหยาลูกแม่” หว่านชิงเรียกลูกสาวด้วยน้ำเสียงแสดงความดีใจ เมื่อเธอเปิดประตูออกมาแล้วพบว่าเป็นใครยืนอยู่ด้านนอก
“หนูคิดถึงแม่ที่สุด” ซูเหยาพูดจบเธอก็โผเข้าไปกอดแม่เพราะแม่ของร่างนี้เหมือนแม่ของเธอที่จากไปตอนเธออายุยี่สิบไม่มีผิด น้ำตาของซูเหยาไหลออกมาโดยทันที
“ไม่ต้องร้องนะเด็กโง่ เข้าบ้านกันก่อนเร็วเข้า” หว่านชิงได้บอกลูกเขยกับเด็กตัวน้อยทั้งสอง ที่มองมาที่เธอพร้อมกับส่งยิ้มน่ารักมาให้
“แม่ยายสวัสดีครับ คุณยายสวัสดีครับ/ค่ะ” คนทั้งสามต่างทักทายแม่ของซูเหยาออกมาอย่างสุภาพ หว่านชิงก็พูดทักทายลูกเขยและหลานชายหญิงออกมาเช่นกัน
“มีอะไรค่อยไปคุยกันในบ้านเถอะ เด็กๆ น่าจะเหนื่อยแย่แล้ว” หว่านชิงที่เห็นข้าวของที่ลูกสาว ลูกเขยถือมาแม้เธอจะสงสัยแต่ว่าหากจะถามอะไรตอนนี้คงไม่เหมาะนัก
“ค่ะ/ครับ” ทุกคนตอบรับอย่างเชื่อฟัง หลังจากที่ทุกคนเข้ามานั่งห้องโถงภายในบ้าน เสียงท้องของเจ้าตัวเล็กทั้งสองก็ดังขึ้น เจ้าตัวเล็กจึงรีบเอามืดปิดท้องของตนพร้อมยิ้มเขินออกมา
“หิวกันหรือเปล่า ไปกินข้าวกันก่อน เดี๋ยวค่อยออกมาคุยกัน” หว่านชิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เจ้าตัวรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อย
“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้านทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพสมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้นซูเหยากับเด็กสอง
อยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้มีคนต้องการซื้อ” ซูป๋อรีบถามลูกสาวออกมาด้วยความรีบร้อน“ห๊ะ! พ่อว่ามีคนมาขอซื้ออาหารเช้าของบ้านเราอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนี้จะรออะไรล่ะคะ ก็ขายไปเลยสิคะพ่อ” ซูเหยาร้องขึ้นด้วยความตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอคิดว่ามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านก็ขายสิคะถูกไหมล่ะ“พ่อคะ พ่อไปบอกกับคนที่ต้องการซื้อว่าให้รอสักครู่นะคะรับรองหนูมีพอให้กับทุกคนแน่นอน” ซูเหยาพูดออกมาดีนะที่เธอมีมิติ เพราะมิติที่ว่าใจร้ายก็ยังใจดีกับเธอบ้าง เธอเพิ่งได้รู้จากเจ้าของเสียงไร้อารมณ์ในมิติว่า ถ้าเป็นของที่เธอลงมือทำเองจะสามารถเพิ่มได้จนถึงหนึ่งร้อยชิ้นโดยเธอต้องใส่สินค้าในตะกร้ารอขาย แล้วหลังจากนั้นก็กดเพิ่มจำนวนเอา แต่ได้เพียงอย่างละร้อยชิ้นต่อวันเท่านั้นซึ่งแค่นี้มันก็ดีมากแล้ว สำหรับการที่เธอจะต้องอยู่ในยุคที่อดอยากแบบตอนนี้ ที่กำลังจะเป็นปีอดอยากของแท้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าของจริงดังนั้นการขายอาหารเช้าหน้าบ้านจึงได้เกิดขึ้น โดยเธอได้สั่งให้มู่หานกับพี่ชายอีกสองคนไปช่วยกันยกโต๊ะ
“คุณ เรื่องที่ดินที่บ้านในหมู่บ้านตงไห่เป็นอย่างไรบ้างเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ” หว่านชิงถามกับสามีเมื่อได้อยู่ในห้องโถงของบ้าน หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว“เรียบร้อยคุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ลูกของเราไปไหนอย่างนั้นเหรอ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็หายไปเลย” ซูป๋อถามกับภรรยาถึงลูกสาว“ก็ไปคุยกับมู่หานยังไงล่ะคะ เพราะเรื่องที่ลูกเล่าให้เราฟังเธอยังไม่ได้บอกกับสามี” หว่านชิงได้ตอบข้อสงสัยของสามีออกมา“ฮ่าๆ นี่ก็แสดงว่าครอบครัวอย่างพวกเราสำคัญเป็นที่หนึ่งในใจลูกใช่ไหมที่รัก” ซูป๋อหัวเราะพร้อมกับหันไปถามกับภรรยาคู่ทุกข์ของตนเสียงหวานซึ่งก็ได้รับค้อนงามๆ จากภรรยาเข้าให้ เพราะพูดอะไรไม่รู้จักอายลูกและหลานที่ต่างหันมามองพวกเขา“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย เอาขนมอีกไหม ป้าจะไปเอามาให้ หนูสองคนอยากกินอะไรบอกป้าทั้งสองคนได้เลยนะ” ฟางหรงและลี่มี่ถามเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่กับตนด้วยความอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะ/ครับ” เด็กน้อยได้แต่กล่าวขอบคุณออกมาเสียงเบา ด้วยความเขินอาย“เสี่ย
ในระหว่างที่ซูเหยากำลังหมดสติอยู่นั้นเหมือนเธอจะได้ยินเสียงเล็กๆ บางอย่างดังอยู่ที่ข้างหูของตน“ระบบได้เจอผู้ที่เหมาะสมแล้ว ท่านต้องการที่จะเชื่อมต่อกับระบบหรือไม่” เสียงเล็กๆ นั้นได้ถามกับซูเหยาออกมาอย่างเฉยชา“ระบบอย่างนั้นเหรอ นี่ฉันกำลังฝันถึงเรื่องอะไรอยู่ สงสัยตัวเราน่าจะอ่านนิยายมากไปอย่างแน่นอน” ซูเหยาโต้ตอบกับเสียงที่ได้ยินที่เธอคิดว่าเป็นความฝัน“ระบบขอถามอีกครั้ง ท่านยินดีจะเชื่อมต่อกับระบบหรือไม่ หากท่านไม่เชื่อมต่อ ระบบขอเตือนว่าวิญญาณของท่านจะต้องสูญสลายไปเพราะตอนนี้ท่านเป็นร่างที่เกือบจะตายอย่างสมบูรณ์แล้ว” เสียงเล็กๆ ของระบบได้ดังขึ้นอีกครั้งอย่างเย็นชาเหมือนเดิม“อะไรนะฉันเกือบจะตายแล้วอย่างนั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไง ฉันยังอ่านนิยายเรื่องที่ซื้อมาล่าสุดยังไม่จบเลยนะ ฮือๆ” เสียงซูเหยาร้องไห้ด้วยความคร่ำครวญ“100..99..98..97..” ในระหว่างที่ซูเหยาร้องไห้อยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงเล็กๆ นับเวลาถอยหลังลงเรื่อยๆ อย่างใจเย็น จนตอนนี้เธอได้ยินเสียงนับเวลาเหลือแค่สิบแล้ว เธอจึงเริ่มที่จะลนลาน“ตกลงๆ ฉันยินยอมรับการเชื่อมต่อกับระบบ” ซูเหยารีบร้องตะโกนออกมาอย่างเสียงดัง เพราะเธอคิ
เด็กชายมองไปทางน้องสาวด้วยความห่วงใย เพราะเขากลัวว่าถ้าหากเขาวิ่งไปหยิบของด้านนอกแล้วน้องสาวอาจจะถูกรังแกเหมือนที่ผ่านมา“ไปเถอะ น้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ เอาตะกร้าใบใหญ่หน่อยนะ” ซูเหยาพูดกับเด็กชายออกมาอีกรอบซึ่งตอนนี้มู่เฟยได้วิ่งปรู๊ดออกจากห้องนอนของแม่เลี้ยงไปแล้วอย่างรวดเร็ว ส่วนผิงผิงเด็กหญิงตัวน้อยก็จ้องมองไปยังขนมในตู้ของซูเหยาด้วยความอยากกินจนน้ำลายสอ“ผิงผิง มาเอาไปกินรอพี่ชายก่อนสิจ้ะ” ซูเหยาได้กวักมือเรียกเด็กตัวน้อยให้เข้ามาหาตนเพื่อที่จะได้มาเอาขนมซึ่งผิงผิงเองก็กำลังจะเดินเข้าไปหาแม่เลี้ยงอยู่แล้ว แต่ว่าเธอกลับนึกถึงภาพอันโหดร้ายที่เธอเคยถูกตีขึ้นมาได้เสียก่อนจนทำให้เธอส่ายหัวปฏิเสธออกมาด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับน้ำตาคลอด้วยซูเหยาเมื่อได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ เป็นแบบนี้เธอก็ได้แต่รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ“ไม่ต้องกลัวนะ ต่อไปนี้น้าจะไม่ตีพวกหนูแล้ว” ซูเหยาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง เพราะเธอในตอนนี้ยังไม่ฟื้นไข้ดีนักหนึ่งผู้ใหญ่ หนึ่งเด็กน้อยจ้องตากันอยู่สักพัก พวกเธอก็ได้ยินเสียงวิ่งที่มาจากด้านนอก ซึ่งเป็นเสียงฝีเท้าของมู่เฟยนั่นเองที่ได้กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับตะกร้าไม้ไผ่
เด็กทั้งสองที่นั่งรออยู่บนเตียงภายในห้องต่างก็เฝ้ามองไปที่ประตูห้องของตนอย่างใจจดจ่อว่าแม่เลี้ยงของตนจะทำตามที่พูดไว้จริงหรือไม่“พี่ชายน้าเหยาจะเอาเสื้อผ้ามาให้เราสองคนจริงๆ เหรอ”น้องสาวตัวน้อยถามพี่ชายอย่างไม่แน่ใจ แต่แววตาแฝงไว้ด้วยความคาดหวัง“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” พี่ชายที่แก่กว่าหนึ่งปีพูดออกมาพร้อมกับส่ายหัวให้กับคำถามของน้อง“เสี่ยวเฟยเปิดประตูห้องให้น้าที” เสียงซูเหยาดังขึ้นจากหน้าประตูในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังสนทนากันเมื่อเสี่ยวเฟยได้ยินเสียงของแม่เลี้ยง เขาก็รีบกุลีกุจอลงจากเตียงมาเปิดประตูให้กับซูเหยาอย่างรวดเร็ว เพราะเขากลัวว่าถ้าหากว่าทำอะไรช้าเกินไปก็อาจจะโดนตีได้เมื่อประตูเปิดแล้วเด็กชายตัวน้อยก็มองไปที่ซูเหยาด้วยหน้าตาที่แสดงความตกใจ เพราะเขาเห็นสิ่งของมากมายที่แม่เลี้ยงได้ถืออยู่ในมือ“นะ..น้าเหยาผะ..ผมช่วยครับ” เด็กน้อยถามออกไปด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว“ได้สิจ๊ะ เสี่ยวเฟยช่วยน้าถือถุงเล็กนี่ก็แล้วกันนะมันไม่ค่อยหนัก” ซูเหยาก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของเด็กน้อยเธอจึงยื่นถุงขนมส่งให้“น้าเหยาคะ แล้วจะให้หนูช่วยถืออะไรบ้างไหม” เด็กหญิงตัวน้อยที่ได้ลงจากเตียงก็มายืนอยู่ข้า
หลังจากที่ซูเหยาตัดเล็บให้ทั้งสองคนเสร็จ เธอก็ได้หาผ้าเก่าๆ มาโกยเอาเศษเล็บที่กองไว้ใส่ใบไม้ใบใหญ่ที่เสี่ยวเฟยได้ไปหามาจากด้านนอก แล้วให้เด็กชายเอาไปทิ้งไว้ที่โคนต้นไม้ เพราะที่นี่ไม่มีถังขยะเหมือนกับโลกที่เธอจากมาซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าคนที่นี่เขาจัดการกับเศษขยะกันยังไง ส่วนห้องน้ำก็เป็นส้วมหลุมที่อยู่ห่างไกลจากบ้าน เพราะเธอเพิ่งจะไปเข้ามา โดยที่กลิ่นมันช่างสุดจะทานทนเมื่อเสี่ยวเฟยเข้ามา เธอก็ได้เข้าไปต้มน้ำร้อนในครัว โดยมีผิงน้อยที่ถูกทำแผลที่มือเดินตามเธอมาด้วย“พวกหนูสองคนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวน้ามา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยเพราะเธอตั้งใจจะเข้าไปจัดการเตียงของเด็กๆและจะเอาเครื่องนอนออกมาด้วยพอเธอกลับเข้ามาในห้องของเด็กๆ อีกครั้ง เธอก็ได้รื้อผ้าที่ปูทับหญ้าแห้งเก่าๆ อยู่ออก และจับสิ่งที่เธอรื้อออกยัดใส่ถุงขยะที่เธอเตรียมไว้ตอนนี้ซูเหยาถึงกับจามออกมาอย่างแรงจากความฉุนและฝุ่นละอองที่ปลิวไสวผสมกับหญ้าแห้ง เธอเรียกอุปกรณ์ทำความสะอาดทุกอย่างออกมาอย่างมากมาย รวมทั้งน้ำยาทำความสะอาดและฆ่าเชื้อด้วยในระหว่างที่เธอกำลังทำความสะอาดอยู่ในห้อง ด้านนอกที่สองพี่น้องตัวเล็กนั่งอยู่ เด็กน้อยสองพี่น้
ด้านเพื่อนของมู่หานที่ตอนนี้แต่ละคนได้เดินกลับมายังที่ตัวเองเคยยืนอยู่กันเมื่อครู่นี้ ตอนนี้พวกเขาก็พากันยืนอ้าปากตาค้างด้วยความตกใจกันทุกคนเมื่อพวกเขาได้มองลงไปในหลุมที่พวกเขาไม่เคยเห็นในครั้งแรก “หลุมนี้มาได้ยังไงกัน นี่พวกเราโชคดีมากเลยนะที่ได้เดินออกไปดูตามเสียงของซูเหยา เพราะถ้าเราอยู่” ชายคนที่ได้อยู่ในกลุ่มพูดกับคนในกลุ่มพร้อมกับกลืนน้ำลายลงด้วยความหวาดเสียว“มีอะไรกันหรือเปล่า ทำไมพวกนายถึงได้ยืนนิ่งกันแบบนี้” มู่หานถามคนที่อยู่ในกลุ่มด้วยความสงสัย พร้อมกับที่เขาก็ได้เดินเข้ามายังที่คนพวกนี้มุง“หมูป่า หมูป่าจริงเสียด้วย ว่าแต่ทำไมถึงมีหลุมกับดักอยู่ที่นี่กัน” มู่หานพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจและตัวเขาได้เดินตรวจสภาพรอบปากหลุมลึกนั้นอย่างระมัดระวัง ส่วนเจ้าหมูเซ่อที่ตกลงไปในหลุมยามนี้มันได้เงียบเสียงของมันลงไปนานแล้ว เนื่องจากมันได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก“หมูมันน่าจะตายแล้ว พวกเรามาช่วยกันหาวิธีเอามันขึ้นมาจากหลุมกันเถอะ” ชายรูปร่างเตี้ยที่เป็นชาวบ้านที่มาด้วยกันพูดขึ้น“ก็ดีเ
“คุณ เรื่องที่ดินที่บ้านในหมู่บ้านตงไห่เป็นอย่างไรบ้างเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ” หว่านชิงถามกับสามีเมื่อได้อยู่ในห้องโถงของบ้าน หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว“เรียบร้อยคุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ลูกของเราไปไหนอย่างนั้นเหรอ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็หายไปเลย” ซูป๋อถามกับภรรยาถึงลูกสาว“ก็ไปคุยกับมู่หานยังไงล่ะคะ เพราะเรื่องที่ลูกเล่าให้เราฟังเธอยังไม่ได้บอกกับสามี” หว่านชิงได้ตอบข้อสงสัยของสามีออกมา“ฮ่าๆ นี่ก็แสดงว่าครอบครัวอย่างพวกเราสำคัญเป็นที่หนึ่งในใจลูกใช่ไหมที่รัก” ซูป๋อหัวเราะพร้อมกับหันไปถามกับภรรยาคู่ทุกข์ของตนเสียงหวานซึ่งก็ได้รับค้อนงามๆ จากภรรยาเข้าให้ เพราะพูดอะไรไม่รู้จักอายลูกและหลานที่ต่างหันมามองพวกเขา“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย เอาขนมอีกไหม ป้าจะไปเอามาให้ หนูสองคนอยากกินอะไรบอกป้าทั้งสองคนได้เลยนะ” ฟางหรงและลี่มี่ถามเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่กับตนด้วยความอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะ/ครับ” เด็กน้อยได้แต่กล่าวขอบคุณออกมาเสียงเบา ด้วยความเขินอาย“เสี่ย
อยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้มีคนต้องการซื้อ” ซูป๋อรีบถามลูกสาวออกมาด้วยความรีบร้อน“ห๊ะ! พ่อว่ามีคนมาขอซื้ออาหารเช้าของบ้านเราอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนี้จะรออะไรล่ะคะ ก็ขายไปเลยสิคะพ่อ” ซูเหยาร้องขึ้นด้วยความตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอคิดว่ามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านก็ขายสิคะถูกไหมล่ะ“พ่อคะ พ่อไปบอกกับคนที่ต้องการซื้อว่าให้รอสักครู่นะคะรับรองหนูมีพอให้กับทุกคนแน่นอน” ซูเหยาพูดออกมาดีนะที่เธอมีมิติ เพราะมิติที่ว่าใจร้ายก็ยังใจดีกับเธอบ้าง เธอเพิ่งได้รู้จากเจ้าของเสียงไร้อารมณ์ในมิติว่า ถ้าเป็นของที่เธอลงมือทำเองจะสามารถเพิ่มได้จนถึงหนึ่งร้อยชิ้นโดยเธอต้องใส่สินค้าในตะกร้ารอขาย แล้วหลังจากนั้นก็กดเพิ่มจำนวนเอา แต่ได้เพียงอย่างละร้อยชิ้นต่อวันเท่านั้นซึ่งแค่นี้มันก็ดีมากแล้ว สำหรับการที่เธอจะต้องอยู่ในยุคที่อดอยากแบบตอนนี้ ที่กำลังจะเป็นปีอดอยากของแท้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าของจริงดังนั้นการขายอาหารเช้าหน้าบ้านจึงได้เกิดขึ้น โดยเธอได้สั่งให้มู่หานกับพี่ชายอีกสองคนไปช่วยกันยกโต๊ะ
“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้านทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพสมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้นซูเหยากับเด็กสอง
ทุกคนที่มามุงดูการชำแหละหมูในครั้งนี้ ก็ได้กลายเป็นว่าได้หันมาสนใจกับเรื่องครอบครัวบ้านมู่แทนเสียแล้ว พวกเขาถือว่าเรื่องชาวบ้านคือแหล่งของความบันเทิงชั้นดี“เอาล่ะ ทั้งสองฝ่ายก็มาปั๊มลายมือหรือลงลายมือชื่อได้” เสียงฉีอันที่ทำการเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยบอกกับทั้งสองฝ่ายตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้หนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือเรียบร้อย ซูเหยาได้อ่านตัวหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัดว่าต่อไปนี้บ้านของมู่หาน รวมทั้งตัวคนในครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนบ้านใหญ่มู่ทุกคนหากมีใครมาละเมิดหรือกระทำการล่วงเกินครอบครัวของอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายสามารถแจ้งทางการได้ทันที ลงชื่อทั้งสองฝ่ายครบถ้วน พยานก็เป็นคนในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้“มู่หานเราไปเก็บข้าวของกันเถอะ เด็กๆ ไปกัน น้าจะพาพวกหนูไปอยู่บ้านใหม่” ซูเหยาพูดกับมู่หาน แล้วนั่งยองๆ พูดกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋วตอนนี้เธอได้เอาหวีออกมารวบผมให้เด็กน้อย รวมถึงได้จัดการแต่งกายของทั้งสองให้เรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ดูดีเหมือนเมื่อเช้าสักเท่าไร แต่ยังคงเรียบร้อยกว่าตอนมาที่แห่งนี้ในตอนแรก
“หล่อนเป็นบ้าหรือไง ฉันจะบอกว่าแท้จริงแล้วมู่หานเป็นหลานชายของฉัน เขาเป็นลูกของพี่มู่ไห่ พี่ชายของฉันที่ตรอมใจเพราะแม่ของมู่หานหนีไปต่างหาก” เสียงดังที่ออกมาจากปากของมู่จางทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับงุนงงในเรื่องนี้‘โอ้ ที่แท้เรื่องราวที่นักเขียนไม่ได้ระบุไว้กำลังจะถูกเปิดเผย’ ซูเหยาคิด และเธอรู้สึกว่ากำลังเป็นผู้ชมละครเรื่องหนึ่งที่มีปมอยู่แบบชิดขอบสนาม“คุณโกหก” ฉินเจียวเองก็ยังไม่ยอมแพ้ จึงได้แผดเสียงออกมา ถ้าเป็นเรื่องจริงการที่เธอถูกตบก็เพราะไปด่าบรรพบุรุษของเขาแน่ๆ“ไหนนายบอกว่ามู่ไห่กับครอบครัวไปทำงานที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันมากลายเป็นแบบนี้” ฉีอันเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้จึงได้ถามออกมา“ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าพี่ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนละหมู่บ้าน และตอนนั้นพี่มู่ไห่ก็ไปอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้กลับมา มีอยู่วันหนึ่งได้มีคนมาบอกกับผมว่ามู่ไห่ต้องการพบ ผมก็เลยได้ตามชายคนนั้นไปและก็เห็นสภาพพี่ชายผมไม่สู้ดีนัก เขาได้ฝากเด็กที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่เดือนเอาไว้กับผม ซึ่งก็คือมู่หานนี่แหละตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความอัปยศของตน เขาจึงบอกกับผมว่าให้บอกกับทุกคนว่าได้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้
ในระหว่างที่ซูเหยาได้รอฉินเจียวเอาเงินมาให้ตนอยู่ เธอก็ได้หันไปพูดกับมู่หานที่กำลังสำรวจลูกชายหญิงของตน“ฉันต้องการแยกออกมาจากบ้านมู่อย่างเด็ดขาด คุณทำให้ได้ไหม” ซูเหยาพูดพร้อมกับมองหน้าสามีในนามของตน ที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาประสานสายตากับเธอแล้วอย่างหนักแน่น“ผมเองก็เคยคิดจะแยกบ้านออกมาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อที่ดินและเงินสำหรับสร้างบ้าน ไหนจะที่นาอีก ถ้าเราย้ายออกมาจะหาเงินที่ไหนไปเช่าที่ทำกินกัน” มู่หานเขาพรั่งพรูคำพูดในสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ออกมา“คุณตอบฉันได้ไหมตอนนี้ปีอะไร” ซูเหยาถามในสิ่งที่ตนสงสัย เนื่องจากในนิยายไม่ได้กล่าวเอาไว้ เธอรู้แต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกที่อ้างอิงมาจากเดิมเพียงเท่านั้น“คุณเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าโดนแม่และพี่สะใภ้ตีหัวหรอกนะแม้แต่วันเดือนปีก็หลงลืมเสียหมด ปีนี้เป็นปี 1965 ยังไงล่ะ” มู่หานบอกกับภรรยาสาวในนามซูเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่หานพูด เธอถึงกับอยากจะต่อว่าระบบเสียจริง ที่บังคับส่งเธอมาอยู่ในช่วงก่อนปีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า“ฉันมีเงิน คุณรีบไปขอซื้อที่ดินกับลุงผู้ใหญ่บ้านซะในตอ
ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ร้องไห้ตามซูเหยาออกมาเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าน้าเหยาที่ดีกับเขาคนนี้ร้องไห้เสียใจแล้วพวกเขาอาจจะอดตายได้เสียงของคนทั้งสามร้องไห้ระงมอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสียงดัง “มันเกิดอะไรขึ้นเงียบก่อนค่อยๆ พูด” ฉีอันพูดขึ้นห้ามปรามการร้องไห้ของสามแม่ลูกออกมาเสียงดังคนทั้งสามที่ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร พวกเขาก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย บอกตาฉีอันไปเลยลูกว่าใครเข้าไปทำอะไรในบ้านของเรา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยนเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาถามเขาก็คือฉีอันผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านตงไห่จากความทรงจำของร่างนี้“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง การกระทำของลูกชายหญิงได้ทำให้มู่หานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย พร้อมคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับคนสามคนในบ้านของเขากัน เขาคิดอย่างงุนงง“ย่ากับป้าสะใภ้มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเรา แต่ว่าน้าเหยาได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตู เพราะอาจจะเป็นคนไม่ดีพวกเราก็ไม่เปิดพ
“หมู นั่นหมูจริงๆ เสียด้วย ตัวมันใหญ่มากเลย” ฉินเจียวได้ส่งเสียงแหลมของตนร้องออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยสักนิด“ถอยไป หลบไป ฉันเป็นแม่ของมู่หาน ฉันจะเข้าไปหาลูกชายฉัน” ฉินเจียวทั้งผลักทั้งดันคนรอบข้างให้แหวกทางให้กับตน โดยมีจิวเหลียนหญิงร่างใหญ่เป็นผู้ช่วยซูเหยาเมื่อเธอมองเห็นภาพนี้เธอถึงกับเบะปากใส่คนทั้งสอง ‘ช่วยหาก็ไม่ได้ช่วย คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างเดียว’ เธอคิดเมื่อเธอเห็นแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยเดินมาแล้ว ซูเหยาจึงได้หลบฉากเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านไปหาเด็กน้อยน่ารัก ที่ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ และได้กินข้าวกันหรือยังแต่เมื่อเธอมาถึงบ้าน เธอก็ได้ยืนช็อกกับสภาพประตูหน้าบ้านของตนไปแล้ว เพราะประตูได้ถูกเปิดออกโดยมีร่องรอยการจามด้วยขวานตัดไม้ซึ่งน่าจะมีขนาดใหญ่เมื่อซูเหยาได้เห็นสภาพบ้านแบบนี้ ตอนนี้ใจเธอถึงกับหล่นวูบไปเลยทีเดียว เด็กน้อยลูกทั้งสองจะเป็นอย่างไร“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิงอยู่ที่ไหนกัน ได้ยินเสียงน้าไหม พวกหนูอยู่ไหน” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าแตกตื่น
ซูเหยาคิดไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับที่เธอก็เอามีดยาวที่จับไว้ในมือกวาดไปที่พงหญ้ารก เพื่อเป็นการไล่สัตว์ร้ายมีพิษก่อนที่เธอจะเดินต่อไปก็เธอนะเป็นนางร้ายนะ ดังนั้นถ้าจะหวังให้โชคช่วยแบบนางเอกนะเหรอไม่มีทางหรอก ดังนั้นจะต้องทำเองจากสองมือเพียงอย่างเดียวเมื่อเธอก้าวเดินไปตามสัญลักษณ์ที่มู่หานทำไว้ ในที่สุดเธอก็เหมือนได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก ซึ่งเธอคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องเป็นพวกของมู่หานอย่างแน่นอน“โอ้ย ช่วยฉันด้วยมีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ” ซูเหยาแสร้งทำหกล้มนั่งกุมขอเท้าของตนด้วยท่าทางที่แสดงความเจ็บปวดน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร‘รางวัลนักแสดงต้องมาแล้วล่ะ แสดงได้เนียนขนาดนี้’ เธอคิดขึ้นในใจ และที่ซูเหยาต้องร้องเรียกคนเหล่านั้นให้ออกมาตรงนี้ ก็เพราะว่าตามนิยายที่ได้บรรยายเอาไว้ว่าหลังจากที่ มู่หานได้ตกลงไปในหลุมดักสัตว์เก่า และเพื่อนช่วยเขาขึ้นมาได้แล้ว ก็จะมีหมูป่าที่ไม่มองอะไรเลยพุ่งตกลงไปในหลุมกับดักยังไงล่ะเธอเดาเอาว่าช่วงเวลาและสถานที่อาจจะเป็นที่นี่ เพราะตอนนี้เธอไม่ได้ยินเสียงว่าพวกเข