ซูเหยาคิดไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับที่เธอก็เอามีดยาวที่จับไว้ในมือกวาดไปที่พงหญ้ารก เพื่อเป็นการไล่สัตว์ร้ายมีพิษก่อนที่เธอจะเดินต่อไป
ก็เธอนะเป็นนางร้ายนะ ดังนั้นถ้าจะหวังให้โชคช่วยแบบนางเอกนะเหรอไม่มีทางหรอก ดังนั้นจะต้องทำเองจากสองมือเพียงอย่างเดียว
เมื่อเธอก้าวเดินไปตามสัญลักษณ์ที่มู่หานทำไว้ ในที่สุดเธอก็เหมือนได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก ซึ่งเธอคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องเป็นพวกของมู่หานอย่างแน่นอน
“โอ้ย ช่วยฉันด้วยมีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ” ซูเหยาแสร้งทำหกล้มนั่งกุมขอเท้าของตนด้วยท่าทางที่แสดงความเจ็บปวดน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร
‘รางวัลนักแสดงต้องมาแล้วล่ะ แสดงได้เนียนขนาดนี้’ เธอคิดขึ้นในใจ และที่ซูเหยาต้องร้องเรียกคนเหล่านั้นให้ออกมาตรงนี้ ก็เพราะว่าตามนิยายที่ได้บรรยายเอาไว้ว่าหลังจากที่ มู่หานได้ตกลงไปในหลุมดักสัตว์เก่า และเพื่อนช่วยเขาขึ้นมาได้แล้ว ก็จะมีหมูป่าที่ไม่มองอะไรเลยพุ่งตกลงไปในหลุมกับดักยังไงล่ะ
เธอเดาเอาว่าช่วงเวลาและสถานที่อาจจะเป็นที่นี่ เพราะตอนนี้เธอไม่ได้ยินเสียงว่าพวกเขาจะเดินไปไหนกันต่อ เอาเป็นว่าเธอเดามาจากนิยายล้วนๆ
เพราะความตั้งใจเดิมของเธอคือการมาช่วยพระเอกของเรื่อง แต่ถ้าได้หมูป่ากลับไปด้วยก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ก็แล้วกัน
ซูเหยายังคงก้มหน้าร้องไห้ ทำเป็นเจ็บปวดแล้วตะโกนต่อไป เพื่อให้พวกเขาได้ออกมาช่วยเธอโดยเร็ว
“เสียงใครมาร้องเรียกให้ช่วยอยู่แถวนี้กัน” หนึ่งในกลุ่มคนของมู่หานพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“ผมว่าเสียงมันช่างคุ้นหูมากเลยนะ เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน” ชายคนที่มู่หานจะต้องเป็นคนช่วยพูดขึ้น
“ผมว่าเสียงนี้เหมือนกับซูเหยาภรรยาของผม ถ้าอย่างนั้นผมขอออกไปดูก่อนนะครับ” มู่หานบอกกับทุกคนที่อยู่ด้วยกันในตอนนี้ พร้อมกับที่เขาก็เดินแยกตัวออกมา
“พวกเราจะไปด้วย เผื่อว่ามีอะไรที่สามารถช่วยได้ก็จะได้ช่วยๆ กันไป” เสียงคนที่มาด้วยกันพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง
ดังนั้นตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็ได้พากันเดินห่างออกมาจากหลุมมรณะนั้นเรียบร้อย ตามแผนที่ซูเหยาได้คิดไว้ไม่มีผิด ที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าการคาดเดาของตนนั้นถูกต้อง
“ซูเหยาคุณเป็นอะไรไป แล้วคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วลูก ๆอยู่กับใคร” มู่หานถามซูเหยาออกมาเป็นชุดเนื่องจากเขาเป็นห่วงลูกๆ มาก
“มู่หานนายก็ใจเย็นหน่อยไม่ได้หรือยังไง นายไม่เห็นเหรอว่าเมียตัวเองบาดเจ็บ” เพื่อนของมู่หานพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปทางข้อเท้าของซูเหยาที่เธอแกล้งเอามือบีบนวดน้ำตาคลอ
“อู๊ดๆ” ตุ๊บ! ในระหว่างที่พวกคนด้านนอกต่างกำลังพูดคุยกันและมู่หานดูอาการของซูเหยาอยู่ พวกเขาต่างก็พากันได้ยินเสียงหมูป่าร้อง พร้อมกับเสียงดังเหมือนกับว่ามันตกลงจากที่สูงอย่างไรอย่างนั้น
“ทุกคนคิดว่ามันจะใช่ไหม” คนที่มู่หานจะต้องช่วยเหลือถามออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
ทุกคนก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างพร้อมเพียง พร้อมกับที่พวกเขาสามคนก็ได้ค่อยๆ เดินย่องๆ ไปยังที่จุดเดิมที่ได้เดินออกมาก่อนหน้านี้
“คุณก็เดินไปกับพวกเขาด้วยสิคะ เผื่อเป็นหมูป่าเราจะได้มีส่วนแบ่งด้วย อีกอย่างเด็กๆ ก็จะได้มีเนื้อกินด้วย” ซูเหยารีบไล่พระเอกของเรื่องออกไปทันที
เธอคิดว่าพระเอกในเรื่องนี้สมกับที่นักเขียนได้บรรยายอวยเอาไว้เสียเหลือเกิน เพราะเขาหน้าตาดีมาก หน้าหวานคล้ายกับผู้หญิงในบางมุม แต่ก็ยังคงมีความดุดันแบบผู้ชาย
คิ้วเข้ม ตาเรียวยาวดุ ปากหยักหนาได้รูปน่าสัมผัส (เอ๊ะ ไม่ใช่สิหลงประเด็นนะเหยา ห้ามหลงรักเขาเด็ดขาดเผื่อเขาเจอนางเอกขึ้นมา เดี๋ยวเธอจะช้ำเข้าใจไหม)
มู่หานเมื่อได้ยินสิ่งที่ซูเหยาพูดเขาก็ไม่ได้แย้งอะไร แต่ว่าเขาค่อนข้างที่จะแปลกใจที่วันนี้ภรรยาของตนได้เกิดห่วงลูกๆของเขาออกมา ทั้งๆ ที่ยามปกติแม้จะเอ่ยถึงสักคำเธอก็ไม่เคยพูดถึง
แถมซ้ำบางครั้งยังเอาแต่ด่าทอและตีลูกเขา ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เขาได้ยินมาจากแม่ของเขาทั้งสิ้น และอีกเรื่องที่เขาแปลกใจก็คือวันนี้ซูเหยาได้เดินเข้าป่า
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็นั่งรอผมอยู่ตรงนี้นะ ผมจะไปดูให้แน่ใจก่อน ถ้าใช่หมูจริงๆ เราคงจะได้มีเนื้อไว้กินกันบ้าง” มู่หานได้กล่าวย้ำกับภรรยาที่เขายังไม่เคยได้ร่วมหลับนอนด้วยกันเลยสักครั้ง
“ได้คุณรีบไปเถอะ” ซูเหยาได้กล่าวเร่งสามีในนามของร่างนี้อีกครั้ง
มู่หานเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ต้องการให้ตนอยู่ด้วยจริงๆ เขาจึงได้รีบวิ่งกลับไปยังทางที่เขาเพิ่งจะเดินจากมายังไม่นานนักทันที
ซูเหยาเมื่อเธอมั่นใจอย่างแน่นอนแล้วว่าคนพวกนั้นได้พากันไปดูหมูเซ่อตกหลุมกันหมดแล้ว เธอก็ได้ลุกยืนขึ้นโดยไม่แกล้งทำเป็นบาดเจ็บอีกต่อไป
เธอค่อยๆ เดินออกมาจากจุดที่แกล้งล้มเมื่อสักครู่ เพื่อที่จะได้หาสิ่งมีค่าที่อยู่ในดิน และความโชคดีก็ได้เข้ามาสู่เธออีกครั้ง ‘โอ้ซูเหยาเธอช่างโชคดีเสียจริง’
ซูเหยาได้เดินมาเจอกับเห็ดหลินจือแดง ที่พากันแข่งกันออกดอกหรือยังไงไม่ทราบได้ มีทั้งดอกเล็กดอกใหญ่ให้เธอเห็นละลานตา
‘มาเก็บฉันซิ ฉันเต็มใจไปกับเธอ’ ซูเหยาเหมือนรู้สึกได้ยินเสียงเห็ดหลินจือแดงพูดกับเธออย่างนี้ และดวงตาของ ซูเหยาก็เปล่งประกายระยิบระยับอย่างยินดี
‘เงินจ๋า เงินจ๋า ฉันกำลังจะมีเธอไว้ในครอบครองแล้วจ้ะ’ ซูเหยาร้องขึ้นอยู่ในใจด้วยความยินดี
“หมู นั่นหมูจริงๆ เสียด้วย ตัวมันใหญ่มากเลย” ฉินเจียวได้ส่งเสียงแหลมของตนร้องออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยสักนิด“ถอยไป หลบไป ฉันเป็นแม่ของมู่หาน ฉันจะเข้าไปหาลูกชายฉัน” ฉินเจียวทั้งผลักทั้งดันคนรอบข้างให้แหวกทางให้กับตน โดยมีจิวเหลียนหญิงร่างใหญ่เป็นผู้ช่วยซูเหยาเมื่อเธอมองเห็นภาพนี้เธอถึงกับเบะปากใส่คนทั้งสอง ‘ช่วยหาก็ไม่ได้ช่วย คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างเดียว’ เธอคิดเมื่อเธอเห็นแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยเดินมาแล้ว ซูเหยาจึงได้หลบฉากเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านไปหาเด็กน้อยน่ารัก ที่ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ และได้กินข้าวกันหรือยังแต่เมื่อเธอมาถึงบ้าน เธอก็ได้ยืนช็อกกับสภาพประตูหน้าบ้านของตนไปแล้ว เพราะประตูได้ถูกเปิดออกโดยมีร่องรอยการจามด้วยขวานตัดไม้ซึ่งน่าจะมีขนาดใหญ่เมื่อซูเหยาได้เห็นสภาพบ้านแบบนี้ ตอนนี้ใจเธอถึงกับหล่นวูบไปเลยทีเดียว เด็กน้อยลูกทั้งสองจะเป็นอย่างไร“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิงอยู่ที่ไหนกัน ได้ยินเสียงน้าไหม พวกหนูอยู่ไหน” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าแตกตื่น
ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ร้องไห้ตามซูเหยาออกมาเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าน้าเหยาที่ดีกับเขาคนนี้ร้องไห้เสียใจแล้วพวกเขาอาจจะอดตายได้เสียงของคนทั้งสามร้องไห้ระงมอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสียงดัง “มันเกิดอะไรขึ้นเงียบก่อนค่อยๆ พูด” ฉีอันพูดขึ้นห้ามปรามการร้องไห้ของสามแม่ลูกออกมาเสียงดังคนทั้งสามที่ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร พวกเขาก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย บอกตาฉีอันไปเลยลูกว่าใครเข้าไปทำอะไรในบ้านของเรา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยนเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาถามเขาก็คือฉีอันผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านตงไห่จากความทรงจำของร่างนี้“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง การกระทำของลูกชายหญิงได้ทำให้มู่หานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย พร้อมคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับคนสามคนในบ้านของเขากัน เขาคิดอย่างงุนงง“ย่ากับป้าสะใภ้มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเรา แต่ว่าน้าเหยาได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตู เพราะอาจจะเป็นคนไม่ดีพวกเราก็ไม่เปิดพ
ในระหว่างที่ซูเหยาได้รอฉินเจียวเอาเงินมาให้ตนอยู่ เธอก็ได้หันไปพูดกับมู่หานที่กำลังสำรวจลูกชายหญิงของตน“ฉันต้องการแยกออกมาจากบ้านมู่อย่างเด็ดขาด คุณทำให้ได้ไหม” ซูเหยาพูดพร้อมกับมองหน้าสามีในนามของตน ที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาประสานสายตากับเธอแล้วอย่างหนักแน่น“ผมเองก็เคยคิดจะแยกบ้านออกมาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อที่ดินและเงินสำหรับสร้างบ้าน ไหนจะที่นาอีก ถ้าเราย้ายออกมาจะหาเงินที่ไหนไปเช่าที่ทำกินกัน” มู่หานเขาพรั่งพรูคำพูดในสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ออกมา“คุณตอบฉันได้ไหมตอนนี้ปีอะไร” ซูเหยาถามในสิ่งที่ตนสงสัย เนื่องจากในนิยายไม่ได้กล่าวเอาไว้ เธอรู้แต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกที่อ้างอิงมาจากเดิมเพียงเท่านั้น“คุณเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าโดนแม่และพี่สะใภ้ตีหัวหรอกนะแม้แต่วันเดือนปีก็หลงลืมเสียหมด ปีนี้เป็นปี 1965 ยังไงล่ะ” มู่หานบอกกับภรรยาสาวในนามซูเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่หานพูด เธอถึงกับอยากจะต่อว่าระบบเสียจริง ที่บังคับส่งเธอมาอยู่ในช่วงก่อนปีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า“ฉันมีเงิน คุณรีบไปขอซื้อที่ดินกับลุงผู้ใหญ่บ้านซะในตอ
“หล่อนเป็นบ้าหรือไง ฉันจะบอกว่าแท้จริงแล้วมู่หานเป็นหลานชายของฉัน เขาเป็นลูกของพี่มู่ไห่ พี่ชายของฉันที่ตรอมใจเพราะแม่ของมู่หานหนีไปต่างหาก” เสียงดังที่ออกมาจากปากของมู่จางทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับงุนงงในเรื่องนี้‘โอ้ ที่แท้เรื่องราวที่นักเขียนไม่ได้ระบุไว้กำลังจะถูกเปิดเผย’ ซูเหยาคิด และเธอรู้สึกว่ากำลังเป็นผู้ชมละครเรื่องหนึ่งที่มีปมอยู่แบบชิดขอบสนาม“คุณโกหก” ฉินเจียวเองก็ยังไม่ยอมแพ้ จึงได้แผดเสียงออกมา ถ้าเป็นเรื่องจริงการที่เธอถูกตบก็เพราะไปด่าบรรพบุรุษของเขาแน่ๆ“ไหนนายบอกว่ามู่ไห่กับครอบครัวไปทำงานที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันมากลายเป็นแบบนี้” ฉีอันเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้จึงได้ถามออกมา“ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าพี่ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนละหมู่บ้าน และตอนนั้นพี่มู่ไห่ก็ไปอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้กลับมา มีอยู่วันหนึ่งได้มีคนมาบอกกับผมว่ามู่ไห่ต้องการพบ ผมก็เลยได้ตามชายคนนั้นไปและก็เห็นสภาพพี่ชายผมไม่สู้ดีนัก เขาได้ฝากเด็กที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่เดือนเอาไว้กับผม ซึ่งก็คือมู่หานนี่แหละตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความอัปยศของตน เขาจึงบอกกับผมว่าให้บอกกับทุกคนว่าได้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้
ทุกคนที่มามุงดูการชำแหละหมูในครั้งนี้ ก็ได้กลายเป็นว่าได้หันมาสนใจกับเรื่องครอบครัวบ้านมู่แทนเสียแล้ว พวกเขาถือว่าเรื่องชาวบ้านคือแหล่งของความบันเทิงชั้นดี“เอาล่ะ ทั้งสองฝ่ายก็มาปั๊มลายมือหรือลงลายมือชื่อได้” เสียงฉีอันที่ทำการเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยบอกกับทั้งสองฝ่ายตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้หนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือเรียบร้อย ซูเหยาได้อ่านตัวหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัดว่าต่อไปนี้บ้านของมู่หาน รวมทั้งตัวคนในครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนบ้านใหญ่มู่ทุกคนหากมีใครมาละเมิดหรือกระทำการล่วงเกินครอบครัวของอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายสามารถแจ้งทางการได้ทันที ลงชื่อทั้งสองฝ่ายครบถ้วน พยานก็เป็นคนในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้“มู่หานเราไปเก็บข้าวของกันเถอะ เด็กๆ ไปกัน น้าจะพาพวกหนูไปอยู่บ้านใหม่” ซูเหยาพูดกับมู่หาน แล้วนั่งยองๆ พูดกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋วตอนนี้เธอได้เอาหวีออกมารวบผมให้เด็กน้อย รวมถึงได้จัดการแต่งกายของทั้งสองให้เรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ดูดีเหมือนเมื่อเช้าสักเท่าไร แต่ยังคงเรียบร้อยกว่าตอนมาที่แห่งนี้ในตอนแรก
“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้านทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพสมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้นซูเหยากับเด็กสอง
อยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้มีคนต้องการซื้อ” ซูป๋อรีบถามลูกสาวออกมาด้วยความรีบร้อน“ห๊ะ! พ่อว่ามีคนมาขอซื้ออาหารเช้าของบ้านเราอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนี้จะรออะไรล่ะคะ ก็ขายไปเลยสิคะพ่อ” ซูเหยาร้องขึ้นด้วยความตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอคิดว่ามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านก็ขายสิคะถูกไหมล่ะ“พ่อคะ พ่อไปบอกกับคนที่ต้องการซื้อว่าให้รอสักครู่นะคะรับรองหนูมีพอให้กับทุกคนแน่นอน” ซูเหยาพูดออกมาดีนะที่เธอมีมิติ เพราะมิติที่ว่าใจร้ายก็ยังใจดีกับเธอบ้าง เธอเพิ่งได้รู้จากเจ้าของเสียงไร้อารมณ์ในมิติว่า ถ้าเป็นของที่เธอลงมือทำเองจะสามารถเพิ่มได้จนถึงหนึ่งร้อยชิ้นโดยเธอต้องใส่สินค้าในตะกร้ารอขาย แล้วหลังจากนั้นก็กดเพิ่มจำนวนเอา แต่ได้เพียงอย่างละร้อยชิ้นต่อวันเท่านั้นซึ่งแค่นี้มันก็ดีมากแล้ว สำหรับการที่เธอจะต้องอยู่ในยุคที่อดอยากแบบตอนนี้ ที่กำลังจะเป็นปีอดอยากของแท้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าของจริงดังนั้นการขายอาหารเช้าหน้าบ้านจึงได้เกิดขึ้น โดยเธอได้สั่งให้มู่หานกับพี่ชายอีกสองคนไปช่วยกันยกโต๊ะ
“คุณ เรื่องที่ดินที่บ้านในหมู่บ้านตงไห่เป็นอย่างไรบ้างเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ” หว่านชิงถามกับสามีเมื่อได้อยู่ในห้องโถงของบ้าน หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว“เรียบร้อยคุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ลูกของเราไปไหนอย่างนั้นเหรอ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็หายไปเลย” ซูป๋อถามกับภรรยาถึงลูกสาว“ก็ไปคุยกับมู่หานยังไงล่ะคะ เพราะเรื่องที่ลูกเล่าให้เราฟังเธอยังไม่ได้บอกกับสามี” หว่านชิงได้ตอบข้อสงสัยของสามีออกมา“ฮ่าๆ นี่ก็แสดงว่าครอบครัวอย่างพวกเราสำคัญเป็นที่หนึ่งในใจลูกใช่ไหมที่รัก” ซูป๋อหัวเราะพร้อมกับหันไปถามกับภรรยาคู่ทุกข์ของตนเสียงหวานซึ่งก็ได้รับค้อนงามๆ จากภรรยาเข้าให้ เพราะพูดอะไรไม่รู้จักอายลูกและหลานที่ต่างหันมามองพวกเขา“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย เอาขนมอีกไหม ป้าจะไปเอามาให้ หนูสองคนอยากกินอะไรบอกป้าทั้งสองคนได้เลยนะ” ฟางหรงและลี่มี่ถามเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่กับตนด้วยความอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะ/ครับ” เด็กน้อยได้แต่กล่าวขอบคุณออกมาเสียงเบา ด้วยความเขินอาย“เสี่ย
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ