เด็กทั้งสองที่นั่งรออยู่บนเตียงภายในห้องต่างก็เฝ้ามองไปที่ประตูห้องของตนอย่างใจจดจ่อว่าแม่เลี้ยงของตนจะทำตามที่พูดไว้จริงหรือไม่
“พี่ชายน้าเหยาจะเอาเสื้อผ้ามาให้เราสองคนจริงๆ เหรอ”น้องสาวตัวน้อยถามพี่ชายอย่างไม่แน่ใจ แต่แววตาแฝงไว้ด้วยความคาดหวัง
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” พี่ชายที่แก่กว่าหนึ่งปีพูดออกมาพร้อมกับส่ายหัวให้กับคำถามของน้อง
“เสี่ยวเฟยเปิดประตูห้องให้น้าที” เสียงซูเหยาดังขึ้นจากหน้าประตูในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังสนทนากัน
เมื่อเสี่ยวเฟยได้ยินเสียงของแม่เลี้ยง เขาก็รีบกุลีกุจอลงจากเตียงมาเปิดประตูให้กับซูเหยาอย่างรวดเร็ว เพราะเขากลัวว่าถ้าหากว่าทำอะไรช้าเกินไปก็อาจจะโดนตีได้
เมื่อประตูเปิดแล้วเด็กชายตัวน้อยก็มองไปที่ซูเหยาด้วยหน้าตาที่แสดงความตกใจ เพราะเขาเห็นสิ่งของมากมายที่แม่เลี้ยงได้ถืออยู่ในมือ
“นะ..น้าเหยาผะ..ผมช่วยครับ” เด็กน้อยถามออกไปด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว
“ได้สิจ๊ะ เสี่ยวเฟยช่วยน้าถือถุงเล็กนี่ก็แล้วกันนะมันไม่ค่อยหนัก” ซูเหยาก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของเด็กน้อยเธอจึงยื่นถุงขนมส่งให้
“น้าเหยาคะ แล้วจะให้หนูช่วยถืออะไรบ้างไหม” เด็กหญิงตัวน้อยที่ได้ลงจากเตียงก็มายืนอยู่ข้างพี่ชายแล้วถามออกมาด้วยเช่นกัน
“เสี่ยวผิงก็ถือถุงนี้แล้วกันเล็กๆ ไม่หนักด้วย” ซูเหยาก็หยิบถุงเล็กอีกถุงส่งให้เด็กหญิง ซึ่งของในถุงนั้นเป็นผ้ามัดผมและที่ติดผมสำหรับเด็กผู้หญิง
เด็กน้อยก็รับไปถือไว้ด้วยความเต็มใจ เมื่อซูเหยาถือของเดินผ่านประตูห้องนอนของเด็กๆ มาแล้ว เธอก็แทบอยากจะด่าพ่อและวิญญาณเจ้าของร่างเดิมอีกครั้ง
‘พ่อของเด็กนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ แม้จะทำงานก็เถอะ แต่ความเอาใจใส่ลูกๆ ไม่มีบ้างเลยหรือไงกัน ให้ลูกนอนที่นอนมีผ้าเก่าๆ ปูแค่ผืนเดียว
นางเหยาคนเดิมก็ช่างใจร้ายกับเด็กเหลือเกิน ทั้งที่ตัวเองถูกเลี้ยงด้วยความรักมาแท้ๆ ทำไมหล่อนถึงไม่มีจิตใจเผื่อแผ่ให้เด็กตัวเล็กๆ เสียบ้าง’ ซูเหยาสบถอยู่ในใจเมื่อเห็นสภาพห้องและเตียงของเด็กน้อย
ตอนนี้มู่เฟยและมู่ผิงต่างก็พากันยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นไม่มีผิด พวกเขาไม่กล้าเดินหน้าและไม่กล้าส่งเสียง เนื่องจากหวาดกลัวสีหน้าของซูเหยาในยามนี้
“เสี่ยวเฟย” ซูเหยาเรียกเด็กชายด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังอย่างลืมตัว
จึงทำเสี่ยวเฟยผู้น่าสงสารที่ถูกเรียกชื่อถึงกับสะดุ้งตกใจ จนปล่อยถุงที่เขาถืออยู่ลงสู่พื้นดินด้านล่างภายในห้องเสียงดัง ทำให้ของที่อยู่ในถุงนั้นได้กระจายออกมาเกลื่อนกลาดรอบบริเวณปากถุง
ซูเหยาเมื่อได้ยินเสียงของหล่น เธอจึงได้เอี้ยวตัวหันมามองด้วยความสงสัย และก็ต้องตกใจกับสภาพของเสี่ยวเฟยที่ยืนตัวสั่นใบหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวจนมีน้ำตาไหลออกมา
ผิงตัวน้อยเมื่อเห็นสภาพพี่ชาย เธอก็ยืนตัวสั่นพร้อมกับกำถุงที่อยู่ในมือแน่น เพราะเธอกลัวว่าจะทำของตกเหมือนพี่ชายและอาจจะทำให้ซูเหยาโกรธ
ซูเหยาไม่ได้สนใจสิ่งของเหล่านั้น เธอรีบวางของในมือลงอย่างลวกๆ บนเตียง พร้อมกับที่เธอก็รีบเข้ามาดูอาการของเสี่ยวเฟยที่ตอนนี้สภาพดูแย่มาก
“เสี่ยวเฟย...เสี่ยวเฟย” ซูเหยาร้องเรียกเด็กชายพร้อมกับที่เธอกำลังพยายามจับบ่าของเด็กน้อยเพื่อที่จะเขย่าให้รู้สึกตัว
“อย่ะ..อย่าตีผมฮือๆ ผมขอโทษ ขอโทษ” เสี่ยวเฟยรีบยกมือขึ้นปัดป้องมือของซูเหยาพร้อมกับถอยหลังแล้วตะโกนออกมาอย่างหลับหูหลับตา
ซูเหยาเมื่อเธอเห็นอาการของเด็กน้อยเป็นแบบนี้เธอก็รู้สึกสงสารจับใจ จึงได้คว้าตัวเด็กน้อยเข้ามากอดพร้อมกับปลอบประโลมเด็กชายผู้น่าสงสารคนนี้
“ไม่ร้องนะเด็กดี ต่อไปนี้จะไม่มีใครทำอะไรหนูได้ แม้แต่น้าเองก็จะไม่ตีหนูโดยไม่มีเหตุผลอีกแล้วเงียบนะคะ” ซูเหยาน้ำตาคลอในระหว่างที่ตัวเองกอดและพูดปลอบเด็กชาย
เสี่ยวผิงตัวน้อยเมื่อเห็นสภาพพี่ชายร้องไห้ เธอเองก็ร้องไห้ตามพร้อมกับที่ตัวเองก็ยังยืนตัวสั่นอยู่โดยไม่กระดุกกระดิกอีกทั้งยังกำสิ่งที่ถือไว้แน่นขึ้นไปอีกอย่างลืมตัว
โดยที่เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บจากการที่เล็บยาวของตนได้แทงลงไปในเนื้อจนมีเลือดซึมออกมา
เสี่ยวเฟยที่อยู่ในอ้อมกอดของซูเหยาที่ตอนแรกร่างกายของเขายังคงสั่นเทาด้วยความกลัว แต่เมื่อเขาไม่ได้ถูกแม่เลี้ยงตีหรือดุด่าว่ากล่าวเหมือนที่ผ่านมา ร่างกายของเขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงมากขึ้น
และตอนนี้เขาก็รู้สึกอบอุ่นมากด้วยที่ได้รับอ้อมกอดแบบนี้ เขารู้สึกว่ามันช่างเป็นอะไรที่อบอุ่นและทำให้เขารู้สึกปลอดภัย เนื่องจากตั้งแต่แม่ของเขาตายก็ไม่เคยมีใครมากอดพวกเขาอีกเลย
ซูเหยาเมื่อรับรู้ว่าร่างกายของเด็กชายได้ผ่อนคลายลงแล้วเธอก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก จึงได้คลายอ้อมกอดของตัวเองออก และจับไหล่ของเด็กชายด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเบามือของตนให้ได้มากที่สุด
“เสี่ยวเฟยเป็นอะไรบอกน้าได้ไหมครับ” ซูเหยาถามกับเด็กชายเมื่อได้สบตากันแล้ว
“ผะ..ผม”เด็กชายตัวน้อยที่ตอนนี้ดวงตายังแดงอยู่จากการร้องไห้ก็เริ่มที่จะมีน้ำตาเอ่อออกมาอีกครั้ง
“ไม่ต้องกลัว น้าไม่ได้จะทำโทษเสี่ยวเฟย” ซูเหยาเมื่อเห็นอาการของเด็กน้อยเธอจึงพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น
“ผมขอโทษครับ ผมตกใจที่น้าเหยาเรียกผมเสียงดัง” เด็กชายกลั้นใจพูดออกมารวดเดียวจนจบ
“น้าขอโทษ ต่อไปนี้น้าจะพยายามไม่ลืมตัวและเรียกหนูเสียงดังอีก เราดีกันแล้วนะ” ซูเหยาก็ยังค่อยๆ พูดออกมาอย่างใจเย็นพร้อมกับยื่นนิ้วก้อยของตนออกมาด้านหน้าเด็กชาย
“น้าเหยาทำอะไรครับ” เด็กชายตัวน้อยเอียงคออย่างน่ารักทั้งๆ ที่น้ำตายังเปียกชุ่ม ถามออกมาด้วยความสงสัย
‘น่ารักเกินไปแล้ว นางเหยาแกมันใจยักษ์ทำกับเด็กน้อยน่ารักแบบนี้ได้ยังไงย่ะ โชคดีนะที่ฉันไม่เจอวิญญาณของหล่อน’ ตอนนี้ซูเหยาตกอยู่ในความคิดของตนอีกครั้ง
“น้าเหยา..น้าเหยาครับ” เด็กชายเรียกแม่เลี้ยงเสียงดังด้วยความตกใจเมื่อเห็นอาการนิ่งเงียบของซูเหยา
“อะ..อ๋อ นิ้วก้อยหมายถึงดีกัน เสี่ยวเฟยต้องเอานิ้วก้อยของหนูมาเกี่ยวกับน้าแบบนี้ หมายถึงว่าเราดีกันแล้วนะ” ซูเหยาพูดพร้อมกับจับนิ้วก้อยของเด็กชายมาเกี่ยวนิ้วก้อยเรียวสวยของตัวเอง
“ครับ ผมจะจำไว้” เมื่อเด็กชายพูดจบเขาก็ยิ้มกว้างออกมา ซูเหยาเองก็ยิ้มให้กับลูกเลี้ยงตัวน้อยของตนเช่นกัน เมื่อทั้งสองแยกออกจากกันแล้ว มู่เฟยก็ได้เห็นสภาพของน้องสาวเขาถึงกับลนลานวิ่งเข้ามาหาน้องน้อยด้วยความตกใจ
ซูเหยาเมื่อเห็นอาการของมู่เฟยเธอจึงได้หันกลับไปมองด้านหลัง ซึ่งเธอเองก็ถึงกับยืนช็อคไปแล้วเหมือนกัน
‘นางเหยา’ เธอตะโกนเรียกจิกร่างวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมอย่างโมโหในใจ
“เสี่ยวเฟยหนูหลบน้าก่อน น้าจะดูผิงน้อยเอง” ซูเหยารีบบอกเสี่ยวเฟยที่ยืนขวางหน้าตัวเองอยู่
“ผิงน้อยปล่อยถุงนี่ก่อนนะคะ ตอนนี้มือของหนูมีเลือดเต็มเลย” ซูเหยาพูดกับเสี่ยวผิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ตก.. ไม่ตก” ผิงน้อยพูดสองคำนี้ ย้ำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างคนขวัญเสีย
“ไม่ตกค่ะ หนูไม่ต้องกลัวนะ น้าไม่ตีหนูหรอก อย่ากลัวนะคะ” ซูเหยาเมื่อแกะมือของผิงน้อยได้แล้ว เธอก็กอดเด็กน้อยพร้อมพูดปลอบโยน
“ผิงผิงน้องไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่จะทายาให้ พี่จะเป่าเพี้ยงๆ ให้ด้วย” มู่เฟยพี่ชายตัวน้อยก็พูดปลอบน้องสาวพร้อมจับมือน้องขึ้นมาเป่า
“อือ” ตอนนี้ผิงน้อยเริ่มที่จะพอรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้วเล็กน้อย
“เสี่ยวผิง เสี่ยวผิงหนูไม่เป็นอะไรนะ ไม่ต้องกลัวไม่มีใครโดนทำโทษทั้งนั้น ไม่ต้องกลัวนะ” ซูเหยายังคงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับเจ้าตัวน้อย
เธอกอดและเรียกชื่อเด็กน้อยซ้ำๆ และในที่สุดสวรรค์ก็คงจะเห็นความจริงใจของเธอขึ้นมาบ้าง เนื่องจากตอนนี้เด็กน้อยได้มีการตอบสนองขึ้นมาแล้ว
“น้าเหยา พี่ชาย” ผิงน้อยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ผิงน้อยหนูเป็นยังไงบ้าง รู้สึกเจ็บตรงไหนนอกจากมืออีกบอกน้า น้าจะพาไปหาหมอ” ซูเหยาเมื่อเธอเห็นว่าลูกเลี้ยงมีอาการปกติแล้ว เธอจึงได้ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บมือ” เจ้าตัวเล็กตอบออกมาเบาๆ พร้อมกับนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
"เสี่ยวเฟยหนูไปเอาน้ำสะอาดใส่อ่างแล้วยกมาให้น้าที น้าจะทำแผลให้ผิงน้อย” ซูเหยาหันมาพูดกับเด็กชายที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ครับ” เสี่ยวเฟยรีบขานรับพร้อมกับที่ตัวเขาก็วิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวน้าจะอุ้มผิงน้อยไปวางบนเตียงนะ” ซูเหยาบอกกับเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อืม” เด็กหญิงตัวน้อยขานรับคำเบาๆ พร้อมใบหน้าเหยเกจากความเจ็บ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีน้ำตาคลอที่กระบอกตาอย่างน่าสงสาร ซูเหยาเมื่อเห็นอาการของเด็กหญิงตัวน้อยเธอก็รู้สึกสงสารจับใจ
เพราะถ้าเป็นเด็กคนอื่นที่ได้รับบาดเจ็บแบบนี้คงจะร้องไห้โยเยไปแล้ว แต่ว่าเด็กคนนี้กับไม่ปริเสียงออกมาให้ได้ยินแม้เพียงสักเล็กน้อยก็ไม่มี ซึ่งมันย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับเด็กเล็กอย่างแน่นอน
“ผิงน้อยถ้าหนูเจ็บหนูจะร้องไห้ออกมาดังๆ ก็ได้นะ มันจะดีกับตัวหนูเอง” ซูเหยาพูดกับเด็กน้อยเมื่อเธอได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับได้อุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งบนเตียง
“ถ้าหนูร้องไห้ออกมาเสียงดัง หนูจะไม่โดนตีเหรอคะ” ผิงน้อยเมื่อนั่งดีแล้วถามแม่เลี้ยงออกมาด้วยความสงสัย
“หนูไม่ได้ร้องแบบไม่มีเหตุผลนี่นะ การอดทนมันก็เป็นเรื่องดีแต่ถ้าเราเจ็บเราก็ต้องร้องหรือพูดออกมา ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีใครรู้เข้าใจไหม”
มู่เฟยตอนนี้เขาได้ใช้แขนผอมบางเล็กๆ พยายามยกอ่างน้ำเข้ามาด้วยความระมัดระวัง
“น้าเหยาน้ำครับ” มู่เฟยได้เรียกซูเหยาเมื่อเขาเดินเข้ามาถึงข้างเตียง
“ขอบใจครับ แต่คราวหลังหนูไม่ต้องใส่น้ำมาเยอะนะ เอาที่แค่หนูถือไหวก็พอ และอะไรที่มันหนักเกินตัวเราก็อย่าไปทำรู้หรือเปล่า” ซูเหยาพูดกับเด็กชายเมื่อเธอเห็นน้ำในอ่างที่มีจนเกือบเต็ม
“แล้วผมจะไม่โดนลงโทษหรือครับถ้าทำแบบนั้น” พี่ชายก็ถามคำถามที่เหมือนกับน้องสาวออกมาไม่มีผิด
“น้ารับรองได้ว่าถ้าพวกหนูเป็นเด็กดีไม่ได้ทำความผิดโดยไม่มีเหตุผล พวกหนูจะไม่โดนลงโทษอย่างแน่นอน และต่อไปนี้ถ้ามีใครมาใช้งานให้มาบอกน้าก่อนทุกครั้ง
น้าจะดูว่าพวกหนูสามารถช่วยได้หรือไม่ แล้วนับจากนี้ไปถ้าใครมารังแกหนูสองคนโดยไม่มีเหตุผลก็มาบอกน้า เดี๋ยวน้าจะไปจัดการให้เอง” ซูเหยาพูดกับเด็กสองคนส่วนมือก็ทำความสะอาดแผลให้กับผิงน้อยไปด้วย
โชคดีนะที่ในห้างของเธอมีร้านขายยาทุกชนิด แม้กระทั่งสมุนไพร ‘ใช่แล้วสมุนไพรที่นี่จะมีร้านรับซื้อไหมนะ คงจะต้องถามพ่อของเด็กๆ เสียแล้ว’ เธอคิดพร้อมกับดูบาดแผลของเจ้าตัวน้อยไปด้วย
“ดูท่าแล้ววันนี้สองคนจะต้องอยู่บ้านแล้วล่ะ เพราะหากผิงน้อยขึ้นเขาในสภาพนี้ไม่ดีแน่ เดี๋ยวจะมีไข้เอาได้” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อย
“เสี่ยวเฟย หนูก็ขึ้นมานั่งบนเตียงด้วย น้าจะตัดเล็บที่ยาวและสกปรกให้ พอตัดเล็บเสร็จน้าจะพาพวกหนูไปสระผมแล้วก็เช็ดตัว เพราะจะให้อาบน้ำอากาศก็เย็นเกินไป”
เมื่อเด็กชายได้ยินคำพูดของซูเหยาเขาก็รีบปีนขึ้นเก้าอี้ตัวเล็กด้านล่างขึ้นมานั่งด้านข้างน้องสาวอย่างเชื่อฟัง ตอนนี้สองพี่น้องรับรู้อย่างแน่ชัดแล้วว่าน้าเหยาจะไม่ตีพวกเขาเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มาอย่างแน่นอน
ซูเหยาได้ใช้กรรไกรตัดเล็บที่เหมาะสำหรับเด็กน้อยทั้งสอง เพื่อตัดเล็บให้กับทั้งคู่ โดยเริ่มจากผิงน้อยก่อนเป็นคนแรก ผิงน้อยกับเสี่ยวเฟยได้มองการกระทำของซูเหยาอย่างตั้งใจเพราะเขารู้สึกแปลกใจเจ้าสิ่งเล็กๆ ที่อยู่ในมือของแม่เลี้ยง
“มันคืออะไรหรือคะ/ครับ” สองพี่น้องถามซูเหยาออกมาด้วยความอยากรู้
“เขาเรียกว่ากรรไกรตัดเล็บจ้ะ เอาไว้ใช้สำหรับตัดเล็บทั้งเล็บมือและเล็บเท้า เหมือนที่น้าตัดให้หนูยังไงล่ะคะ” ซูเหยาตอบเด็กน้อยพร้อมกับชูกรรไกรตัดเล็บให้เด็กน้อยทั้งสองดู
“ผมใช้เจ้านี่ตัดเล็บเองได้ไหมครับ” มู่เฟยถามกับซูเหยาอย่างคาดหวังในคำตอบ
“ได้สิน้าจะสอนให้นะ ตอนนี้น้าขอตัดให้ผิงน้อยก่อน” ซูเหยารับปากมู่เฟย พร้อมกับที่เธอก็เริ่มตัดเล็บเท้าให้เด็กน้อยด้วยความตั้งใจ เพราะเธอกลัวจะพลาดโดนเนื้อของเจ้าตัวเล็กเอาได้
ในระหว่างที่ซูเหยาตัดเล็บให้เด็กหญิงอยู่ มู่เฟยก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้เก็บสิ่งของที่ทำตก เขาจึงได้ลงจากเตียงไปเก็บสิ่งของเหล่านั้นขึ้นมาเช็ดกับเสื้อตัวเองที่ละชิ้น แล้วก็ใส่กลับลงไปในถุงตามเดิม
“เสี่ยวเฟยคราวหลังหนูต้องไปหาผ้าอย่างอื่นที่ไม่ใช้แล้วมาเช็ดสิ่งของนะครับ ห้ามใช้เสื้อที่ใส่อยู่เช็ด เพราะจะทำให้เสื้อของเราสกปรก และมันอาจจะทำให้เราป่วยได้จากสิ่งที่เรามองไม่เห็น ที่เรียกว่าเชื้อโรคได้” ซูเหยาที่ทำการตัดเล็บให้เจ้าตัวน้อยเสร็จแล้วพูดออกมา
“เชื้อโรคคืออะไรหรือครับ/คะ” ครั้งนี้เด็กน้อยสองคนก็ทำตัวเป็นเจ้าหนูจำไมอีกครั้งด้วยความสงสัยปนความอยากรู้
ซูเหยาจึงได้อธิบายให้เด็กน้อยทั้งสองฟัง โดยที่ทั้งสองก็ฟังอย่างตั้งใจพร้อมกับพยักหน้ารับ บางครั้งก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก บางครั้งก็ทำหน้าซีดเผือดเพราะตกใจ
“เข้าใจกันหรือยังคะว่าต่อไปนี้พวกหนูจะต้องทำยังไง” ซูเหยาถามกับเด็กๆ เมื่อเธอพูดจบลง
“เข้าใจแล้วครับ/ค่ะ” ทั้งสองตอบรับออกมาเสียงดัง
“เอาล่ะถ้าเก็บของเสร็จแล้ว เสี่ยวเฟยก็ขึ้นมานั่งได้แล้วจะได้มาตัดเล็บ” ซูเหยาเรียกเด็กชายที่กำลังวางถุงใส่ของบนเตียง ก่อนที่ตัวเขาจะปีนเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งข้างน้องสาว
“ทำแบบนี้นะคะ และต้องค่อยๆ เพราะถ้าตัดลึกเกินไปมันจะไปงับเอาหนังของเรา และจะทำให้เรามีเลือดออกได้” ซูเหยาค่อยๆ สอนเด็กชายให้ใช้กรรไกรตัดเล็บ
ตอนนี้มู่เฟยเขาได้ใช้กรรไกรตัดเล็บทำการตัดเล็บของตัวเองแล้ว เขาค่อยๆ ทำตามที่ซูเหยาสอนอย่างตั้งใจ
“โอ้ย” เด็กชายร้องขึ้น ทำให้ซูเหยาที่กำลังเตรียมผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าให้เด็กทั้งสองอยู่ถึงกับตกใจ
“พี่ชายเลือดออก” ผิงน้อยที่ก้มมองนิ้วที่มู่เฟยตัดค้างไว้ร้องขึ้นมาเสียงดัง
“ไม่เป็นไรแค่นี้เองเดี๋ยวก็หาย น้าจะทำแผลและตัดที่เหลือให้เอง ครั้งต่อไปหนูค่อยหัดตัดใหม่นะ” ซูเหยารีบมาดูแผลให้กับเสี่ยวเฟยที่นั่งน้ำตาคลอจากความเจ็บ
“เพี้ยงๆ เดี๋ยวก็หายค่ะ” ผิงน้อยก็เข้ามาเป่าแผลให้พี่ชายเหมือนอย่างที่พี่ชายเคยทำให้ตัวเอง ซึ่งซูเหยาเมื่อเห็นภาพนี้ก็ถึงกับยิ้มออกมาให้กับความรักของทั้งสองคน
หลังจากที่ซูเหยาตัดเล็บให้ทั้งสองคนเสร็จ เธอก็ได้หาผ้าเก่าๆ มาโกยเอาเศษเล็บที่กองไว้ใส่ใบไม้ใบใหญ่ที่เสี่ยวเฟยได้ไปหามาจากด้านนอก แล้วให้เด็กชายเอาไปทิ้งไว้ที่โคนต้นไม้ เพราะที่นี่ไม่มีถังขยะเหมือนกับโลกที่เธอจากมาซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าคนที่นี่เขาจัดการกับเศษขยะกันยังไง ส่วนห้องน้ำก็เป็นส้วมหลุมที่อยู่ห่างไกลจากบ้าน เพราะเธอเพิ่งจะไปเข้ามา โดยที่กลิ่นมันช่างสุดจะทานทนเมื่อเสี่ยวเฟยเข้ามา เธอก็ได้เข้าไปต้มน้ำร้อนในครัว โดยมีผิงน้อยที่ถูกทำแผลที่มือเดินตามเธอมาด้วย“พวกหนูสองคนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวน้ามา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยเพราะเธอตั้งใจจะเข้าไปจัดการเตียงของเด็กๆและจะเอาเครื่องนอนออกมาด้วยพอเธอกลับเข้ามาในห้องของเด็กๆ อีกครั้ง เธอก็ได้รื้อผ้าที่ปูทับหญ้าแห้งเก่าๆ อยู่ออก และจับสิ่งที่เธอรื้อออกยัดใส่ถุงขยะที่เธอเตรียมไว้ตอนนี้ซูเหยาถึงกับจามออกมาอย่างแรงจากความฉุนและฝุ่นละอองที่ปลิวไสวผสมกับหญ้าแห้ง เธอเรียกอุปกรณ์ทำความสะอาดทุกอย่างออกมาอย่างมากมาย รวมทั้งน้ำยาทำความสะอาดและฆ่าเชื้อด้วยในระหว่างที่เธอกำลังทำความสะอาดอยู่ในห้อง ด้านนอกที่สองพี่น้องตัวเล็กนั่งอยู่ เด็กน้อยสองพี่น้
ด้านเพื่อนของมู่หานที่ตอนนี้แต่ละคนได้เดินกลับมายังที่ตัวเองเคยยืนอยู่กันเมื่อครู่นี้ ตอนนี้พวกเขาก็พากันยืนอ้าปากตาค้างด้วยความตกใจกันทุกคนเมื่อพวกเขาได้มองลงไปในหลุมที่พวกเขาไม่เคยเห็นในครั้งแรก “หลุมนี้มาได้ยังไงกัน นี่พวกเราโชคดีมากเลยนะที่ได้เดินออกไปดูตามเสียงของซูเหยา เพราะถ้าเราอยู่” ชายคนที่ได้อยู่ในกลุ่มพูดกับคนในกลุ่มพร้อมกับกลืนน้ำลายลงด้วยความหวาดเสียว“มีอะไรกันหรือเปล่า ทำไมพวกนายถึงได้ยืนนิ่งกันแบบนี้” มู่หานถามคนที่อยู่ในกลุ่มด้วยความสงสัย พร้อมกับที่เขาก็ได้เดินเข้ามายังที่คนพวกนี้มุง“หมูป่า หมูป่าจริงเสียด้วย ว่าแต่ทำไมถึงมีหลุมกับดักอยู่ที่นี่กัน” มู่หานพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจและตัวเขาได้เดินตรวจสภาพรอบปากหลุมลึกนั้นอย่างระมัดระวัง ส่วนเจ้าหมูเซ่อที่ตกลงไปในหลุมยามนี้มันได้เงียบเสียงของมันลงไปนานแล้ว เนื่องจากมันได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก“หมูมันน่าจะตายแล้ว พวกเรามาช่วยกันหาวิธีเอามันขึ้นมาจากหลุมกันเถอะ” ชายรูปร่างเตี้ยที่เป็นชาวบ้านที่มาด้วยกันพูดขึ้น“ก็ดีเ
ซูเหยาคิดไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับที่เธอก็เอามีดยาวที่จับไว้ในมือกวาดไปที่พงหญ้ารก เพื่อเป็นการไล่สัตว์ร้ายมีพิษก่อนที่เธอจะเดินต่อไปก็เธอนะเป็นนางร้ายนะ ดังนั้นถ้าจะหวังให้โชคช่วยแบบนางเอกนะเหรอไม่มีทางหรอก ดังนั้นจะต้องทำเองจากสองมือเพียงอย่างเดียวเมื่อเธอก้าวเดินไปตามสัญลักษณ์ที่มู่หานทำไว้ ในที่สุดเธอก็เหมือนได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก ซึ่งเธอคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องเป็นพวกของมู่หานอย่างแน่นอน“โอ้ย ช่วยฉันด้วยมีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ” ซูเหยาแสร้งทำหกล้มนั่งกุมขอเท้าของตนด้วยท่าทางที่แสดงความเจ็บปวดน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร‘รางวัลนักแสดงต้องมาแล้วล่ะ แสดงได้เนียนขนาดนี้’ เธอคิดขึ้นในใจ และที่ซูเหยาต้องร้องเรียกคนเหล่านั้นให้ออกมาตรงนี้ ก็เพราะว่าตามนิยายที่ได้บรรยายเอาไว้ว่าหลังจากที่ มู่หานได้ตกลงไปในหลุมดักสัตว์เก่า และเพื่อนช่วยเขาขึ้นมาได้แล้ว ก็จะมีหมูป่าที่ไม่มองอะไรเลยพุ่งตกลงไปในหลุมกับดักยังไงล่ะเธอเดาเอาว่าช่วงเวลาและสถานที่อาจจะเป็นที่นี่ เพราะตอนนี้เธอไม่ได้ยินเสียงว่าพวกเข
“หมู นั่นหมูจริงๆ เสียด้วย ตัวมันใหญ่มากเลย” ฉินเจียวได้ส่งเสียงแหลมของตนร้องออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยสักนิด“ถอยไป หลบไป ฉันเป็นแม่ของมู่หาน ฉันจะเข้าไปหาลูกชายฉัน” ฉินเจียวทั้งผลักทั้งดันคนรอบข้างให้แหวกทางให้กับตน โดยมีจิวเหลียนหญิงร่างใหญ่เป็นผู้ช่วยซูเหยาเมื่อเธอมองเห็นภาพนี้เธอถึงกับเบะปากใส่คนทั้งสอง ‘ช่วยหาก็ไม่ได้ช่วย คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างเดียว’ เธอคิดเมื่อเธอเห็นแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยเดินมาแล้ว ซูเหยาจึงได้หลบฉากเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านไปหาเด็กน้อยน่ารัก ที่ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ และได้กินข้าวกันหรือยังแต่เมื่อเธอมาถึงบ้าน เธอก็ได้ยืนช็อกกับสภาพประตูหน้าบ้านของตนไปแล้ว เพราะประตูได้ถูกเปิดออกโดยมีร่องรอยการจามด้วยขวานตัดไม้ซึ่งน่าจะมีขนาดใหญ่เมื่อซูเหยาได้เห็นสภาพบ้านแบบนี้ ตอนนี้ใจเธอถึงกับหล่นวูบไปเลยทีเดียว เด็กน้อยลูกทั้งสองจะเป็นอย่างไร“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิงอยู่ที่ไหนกัน ได้ยินเสียงน้าไหม พวกหนูอยู่ไหน” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าแตกตื่น
ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ร้องไห้ตามซูเหยาออกมาเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าน้าเหยาที่ดีกับเขาคนนี้ร้องไห้เสียใจแล้วพวกเขาอาจจะอดตายได้เสียงของคนทั้งสามร้องไห้ระงมอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสียงดัง “มันเกิดอะไรขึ้นเงียบก่อนค่อยๆ พูด” ฉีอันพูดขึ้นห้ามปรามการร้องไห้ของสามแม่ลูกออกมาเสียงดังคนทั้งสามที่ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร พวกเขาก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย บอกตาฉีอันไปเลยลูกว่าใครเข้าไปทำอะไรในบ้านของเรา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยนเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาถามเขาก็คือฉีอันผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านตงไห่จากความทรงจำของร่างนี้“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง การกระทำของลูกชายหญิงได้ทำให้มู่หานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย พร้อมคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับคนสามคนในบ้านของเขากัน เขาคิดอย่างงุนงง“ย่ากับป้าสะใภ้มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเรา แต่ว่าน้าเหยาได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตู เพราะอาจจะเป็นคนไม่ดีพวกเราก็ไม่เปิดพ
ในระหว่างที่ซูเหยาได้รอฉินเจียวเอาเงินมาให้ตนอยู่ เธอก็ได้หันไปพูดกับมู่หานที่กำลังสำรวจลูกชายหญิงของตน“ฉันต้องการแยกออกมาจากบ้านมู่อย่างเด็ดขาด คุณทำให้ได้ไหม” ซูเหยาพูดพร้อมกับมองหน้าสามีในนามของตน ที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาประสานสายตากับเธอแล้วอย่างหนักแน่น“ผมเองก็เคยคิดจะแยกบ้านออกมาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อที่ดินและเงินสำหรับสร้างบ้าน ไหนจะที่นาอีก ถ้าเราย้ายออกมาจะหาเงินที่ไหนไปเช่าที่ทำกินกัน” มู่หานเขาพรั่งพรูคำพูดในสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ออกมา“คุณตอบฉันได้ไหมตอนนี้ปีอะไร” ซูเหยาถามในสิ่งที่ตนสงสัย เนื่องจากในนิยายไม่ได้กล่าวเอาไว้ เธอรู้แต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกที่อ้างอิงมาจากเดิมเพียงเท่านั้น“คุณเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าโดนแม่และพี่สะใภ้ตีหัวหรอกนะแม้แต่วันเดือนปีก็หลงลืมเสียหมด ปีนี้เป็นปี 1965 ยังไงล่ะ” มู่หานบอกกับภรรยาสาวในนามซูเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่หานพูด เธอถึงกับอยากจะต่อว่าระบบเสียจริง ที่บังคับส่งเธอมาอยู่ในช่วงก่อนปีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า“ฉันมีเงิน คุณรีบไปขอซื้อที่ดินกับลุงผู้ใหญ่บ้านซะในตอ
“หล่อนเป็นบ้าหรือไง ฉันจะบอกว่าแท้จริงแล้วมู่หานเป็นหลานชายของฉัน เขาเป็นลูกของพี่มู่ไห่ พี่ชายของฉันที่ตรอมใจเพราะแม่ของมู่หานหนีไปต่างหาก” เสียงดังที่ออกมาจากปากของมู่จางทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับงุนงงในเรื่องนี้‘โอ้ ที่แท้เรื่องราวที่นักเขียนไม่ได้ระบุไว้กำลังจะถูกเปิดเผย’ ซูเหยาคิด และเธอรู้สึกว่ากำลังเป็นผู้ชมละครเรื่องหนึ่งที่มีปมอยู่แบบชิดขอบสนาม“คุณโกหก” ฉินเจียวเองก็ยังไม่ยอมแพ้ จึงได้แผดเสียงออกมา ถ้าเป็นเรื่องจริงการที่เธอถูกตบก็เพราะไปด่าบรรพบุรุษของเขาแน่ๆ“ไหนนายบอกว่ามู่ไห่กับครอบครัวไปทำงานที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันมากลายเป็นแบบนี้” ฉีอันเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้จึงได้ถามออกมา“ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าพี่ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนละหมู่บ้าน และตอนนั้นพี่มู่ไห่ก็ไปอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้กลับมา มีอยู่วันหนึ่งได้มีคนมาบอกกับผมว่ามู่ไห่ต้องการพบ ผมก็เลยได้ตามชายคนนั้นไปและก็เห็นสภาพพี่ชายผมไม่สู้ดีนัก เขาได้ฝากเด็กที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่เดือนเอาไว้กับผม ซึ่งก็คือมู่หานนี่แหละตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความอัปยศของตน เขาจึงบอกกับผมว่าให้บอกกับทุกคนว่าได้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้
ทุกคนที่มามุงดูการชำแหละหมูในครั้งนี้ ก็ได้กลายเป็นว่าได้หันมาสนใจกับเรื่องครอบครัวบ้านมู่แทนเสียแล้ว พวกเขาถือว่าเรื่องชาวบ้านคือแหล่งของความบันเทิงชั้นดี“เอาล่ะ ทั้งสองฝ่ายก็มาปั๊มลายมือหรือลงลายมือชื่อได้” เสียงฉีอันที่ทำการเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยบอกกับทั้งสองฝ่ายตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้หนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือเรียบร้อย ซูเหยาได้อ่านตัวหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัดว่าต่อไปนี้บ้านของมู่หาน รวมทั้งตัวคนในครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนบ้านใหญ่มู่ทุกคนหากมีใครมาละเมิดหรือกระทำการล่วงเกินครอบครัวของอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายสามารถแจ้งทางการได้ทันที ลงชื่อทั้งสองฝ่ายครบถ้วน พยานก็เป็นคนในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้“มู่หานเราไปเก็บข้าวของกันเถอะ เด็กๆ ไปกัน น้าจะพาพวกหนูไปอยู่บ้านใหม่” ซูเหยาพูดกับมู่หาน แล้วนั่งยองๆ พูดกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋วตอนนี้เธอได้เอาหวีออกมารวบผมให้เด็กน้อย รวมถึงได้จัดการแต่งกายของทั้งสองให้เรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ดูดีเหมือนเมื่อเช้าสักเท่าไร แต่ยังคงเรียบร้อยกว่าตอนมาที่แห่งนี้ในตอนแรก
“คุณ เรื่องที่ดินที่บ้านในหมู่บ้านตงไห่เป็นอย่างไรบ้างเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ” หว่านชิงถามกับสามีเมื่อได้อยู่ในห้องโถงของบ้าน หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว“เรียบร้อยคุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ลูกของเราไปไหนอย่างนั้นเหรอ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็หายไปเลย” ซูป๋อถามกับภรรยาถึงลูกสาว“ก็ไปคุยกับมู่หานยังไงล่ะคะ เพราะเรื่องที่ลูกเล่าให้เราฟังเธอยังไม่ได้บอกกับสามี” หว่านชิงได้ตอบข้อสงสัยของสามีออกมา“ฮ่าๆ นี่ก็แสดงว่าครอบครัวอย่างพวกเราสำคัญเป็นที่หนึ่งในใจลูกใช่ไหมที่รัก” ซูป๋อหัวเราะพร้อมกับหันไปถามกับภรรยาคู่ทุกข์ของตนเสียงหวานซึ่งก็ได้รับค้อนงามๆ จากภรรยาเข้าให้ เพราะพูดอะไรไม่รู้จักอายลูกและหลานที่ต่างหันมามองพวกเขา“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย เอาขนมอีกไหม ป้าจะไปเอามาให้ หนูสองคนอยากกินอะไรบอกป้าทั้งสองคนได้เลยนะ” ฟางหรงและลี่มี่ถามเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่กับตนด้วยความอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะ/ครับ” เด็กน้อยได้แต่กล่าวขอบคุณออกมาเสียงเบา ด้วยความเขินอาย“เสี่ย
อยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้มีคนต้องการซื้อ” ซูป๋อรีบถามลูกสาวออกมาด้วยความรีบร้อน“ห๊ะ! พ่อว่ามีคนมาขอซื้ออาหารเช้าของบ้านเราอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนี้จะรออะไรล่ะคะ ก็ขายไปเลยสิคะพ่อ” ซูเหยาร้องขึ้นด้วยความตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอคิดว่ามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านก็ขายสิคะถูกไหมล่ะ“พ่อคะ พ่อไปบอกกับคนที่ต้องการซื้อว่าให้รอสักครู่นะคะรับรองหนูมีพอให้กับทุกคนแน่นอน” ซูเหยาพูดออกมาดีนะที่เธอมีมิติ เพราะมิติที่ว่าใจร้ายก็ยังใจดีกับเธอบ้าง เธอเพิ่งได้รู้จากเจ้าของเสียงไร้อารมณ์ในมิติว่า ถ้าเป็นของที่เธอลงมือทำเองจะสามารถเพิ่มได้จนถึงหนึ่งร้อยชิ้นโดยเธอต้องใส่สินค้าในตะกร้ารอขาย แล้วหลังจากนั้นก็กดเพิ่มจำนวนเอา แต่ได้เพียงอย่างละร้อยชิ้นต่อวันเท่านั้นซึ่งแค่นี้มันก็ดีมากแล้ว สำหรับการที่เธอจะต้องอยู่ในยุคที่อดอยากแบบตอนนี้ ที่กำลังจะเป็นปีอดอยากของแท้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าของจริงดังนั้นการขายอาหารเช้าหน้าบ้านจึงได้เกิดขึ้น โดยเธอได้สั่งให้มู่หานกับพี่ชายอีกสองคนไปช่วยกันยกโต๊ะ
“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้านทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพสมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้นซูเหยากับเด็กสอง
ทุกคนที่มามุงดูการชำแหละหมูในครั้งนี้ ก็ได้กลายเป็นว่าได้หันมาสนใจกับเรื่องครอบครัวบ้านมู่แทนเสียแล้ว พวกเขาถือว่าเรื่องชาวบ้านคือแหล่งของความบันเทิงชั้นดี“เอาล่ะ ทั้งสองฝ่ายก็มาปั๊มลายมือหรือลงลายมือชื่อได้” เสียงฉีอันที่ทำการเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยบอกกับทั้งสองฝ่ายตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้หนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือเรียบร้อย ซูเหยาได้อ่านตัวหนังสือออกมาเสียงดังฟังชัดว่าต่อไปนี้บ้านของมู่หาน รวมทั้งตัวคนในครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคนบ้านใหญ่มู่ทุกคนหากมีใครมาละเมิดหรือกระทำการล่วงเกินครอบครัวของอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายสามารถแจ้งทางการได้ทันที ลงชื่อทั้งสองฝ่ายครบถ้วน พยานก็เป็นคนในหมู่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้“มู่หานเราไปเก็บข้าวของกันเถอะ เด็กๆ ไปกัน น้าจะพาพวกหนูไปอยู่บ้านใหม่” ซูเหยาพูดกับมู่หาน แล้วนั่งยองๆ พูดกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋วตอนนี้เธอได้เอาหวีออกมารวบผมให้เด็กน้อย รวมถึงได้จัดการแต่งกายของทั้งสองให้เรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ดูดีเหมือนเมื่อเช้าสักเท่าไร แต่ยังคงเรียบร้อยกว่าตอนมาที่แห่งนี้ในตอนแรก
“หล่อนเป็นบ้าหรือไง ฉันจะบอกว่าแท้จริงแล้วมู่หานเป็นหลานชายของฉัน เขาเป็นลูกของพี่มู่ไห่ พี่ชายของฉันที่ตรอมใจเพราะแม่ของมู่หานหนีไปต่างหาก” เสียงดังที่ออกมาจากปากของมู่จางทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับงุนงงในเรื่องนี้‘โอ้ ที่แท้เรื่องราวที่นักเขียนไม่ได้ระบุไว้กำลังจะถูกเปิดเผย’ ซูเหยาคิด และเธอรู้สึกว่ากำลังเป็นผู้ชมละครเรื่องหนึ่งที่มีปมอยู่แบบชิดขอบสนาม“คุณโกหก” ฉินเจียวเองก็ยังไม่ยอมแพ้ จึงได้แผดเสียงออกมา ถ้าเป็นเรื่องจริงการที่เธอถูกตบก็เพราะไปด่าบรรพบุรุษของเขาแน่ๆ“ไหนนายบอกว่ามู่ไห่กับครอบครัวไปทำงานที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันมากลายเป็นแบบนี้” ฉีอันเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้จึงได้ถามออกมา“ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าพี่ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนละหมู่บ้าน และตอนนั้นพี่มู่ไห่ก็ไปอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้กลับมา มีอยู่วันหนึ่งได้มีคนมาบอกกับผมว่ามู่ไห่ต้องการพบ ผมก็เลยได้ตามชายคนนั้นไปและก็เห็นสภาพพี่ชายผมไม่สู้ดีนัก เขาได้ฝากเด็กที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่เดือนเอาไว้กับผม ซึ่งก็คือมู่หานนี่แหละตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความอัปยศของตน เขาจึงบอกกับผมว่าให้บอกกับทุกคนว่าได้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้
ในระหว่างที่ซูเหยาได้รอฉินเจียวเอาเงินมาให้ตนอยู่ เธอก็ได้หันไปพูดกับมู่หานที่กำลังสำรวจลูกชายหญิงของตน“ฉันต้องการแยกออกมาจากบ้านมู่อย่างเด็ดขาด คุณทำให้ได้ไหม” ซูเหยาพูดพร้อมกับมองหน้าสามีในนามของตน ที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาประสานสายตากับเธอแล้วอย่างหนักแน่น“ผมเองก็เคยคิดจะแยกบ้านออกมาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อที่ดินและเงินสำหรับสร้างบ้าน ไหนจะที่นาอีก ถ้าเราย้ายออกมาจะหาเงินที่ไหนไปเช่าที่ทำกินกัน” มู่หานเขาพรั่งพรูคำพูดในสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ออกมา“คุณตอบฉันได้ไหมตอนนี้ปีอะไร” ซูเหยาถามในสิ่งที่ตนสงสัย เนื่องจากในนิยายไม่ได้กล่าวเอาไว้ เธอรู้แต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกที่อ้างอิงมาจากเดิมเพียงเท่านั้น“คุณเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าโดนแม่และพี่สะใภ้ตีหัวหรอกนะแม้แต่วันเดือนปีก็หลงลืมเสียหมด ปีนี้เป็นปี 1965 ยังไงล่ะ” มู่หานบอกกับภรรยาสาวในนามซูเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่หานพูด เธอถึงกับอยากจะต่อว่าระบบเสียจริง ที่บังคับส่งเธอมาอยู่ในช่วงก่อนปีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า“ฉันมีเงิน คุณรีบไปขอซื้อที่ดินกับลุงผู้ใหญ่บ้านซะในตอ
ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ร้องไห้ตามซูเหยาออกมาเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าน้าเหยาที่ดีกับเขาคนนี้ร้องไห้เสียใจแล้วพวกเขาอาจจะอดตายได้เสียงของคนทั้งสามร้องไห้ระงมอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสียงดัง “มันเกิดอะไรขึ้นเงียบก่อนค่อยๆ พูด” ฉีอันพูดขึ้นห้ามปรามการร้องไห้ของสามแม่ลูกออกมาเสียงดังคนทั้งสามที่ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร พวกเขาก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย บอกตาฉีอันไปเลยลูกว่าใครเข้าไปทำอะไรในบ้านของเรา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยนเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาถามเขาก็คือฉีอันผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านตงไห่จากความทรงจำของร่างนี้“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง การกระทำของลูกชายหญิงได้ทำให้มู่หานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย พร้อมคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับคนสามคนในบ้านของเขากัน เขาคิดอย่างงุนงง“ย่ากับป้าสะใภ้มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเรา แต่ว่าน้าเหยาได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตู เพราะอาจจะเป็นคนไม่ดีพวกเราก็ไม่เปิดพ
“หมู นั่นหมูจริงๆ เสียด้วย ตัวมันใหญ่มากเลย” ฉินเจียวได้ส่งเสียงแหลมของตนร้องออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยสักนิด“ถอยไป หลบไป ฉันเป็นแม่ของมู่หาน ฉันจะเข้าไปหาลูกชายฉัน” ฉินเจียวทั้งผลักทั้งดันคนรอบข้างให้แหวกทางให้กับตน โดยมีจิวเหลียนหญิงร่างใหญ่เป็นผู้ช่วยซูเหยาเมื่อเธอมองเห็นภาพนี้เธอถึงกับเบะปากใส่คนทั้งสอง ‘ช่วยหาก็ไม่ได้ช่วย คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างเดียว’ เธอคิดเมื่อเธอเห็นแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยเดินมาแล้ว ซูเหยาจึงได้หลบฉากเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านไปหาเด็กน้อยน่ารัก ที่ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ และได้กินข้าวกันหรือยังแต่เมื่อเธอมาถึงบ้าน เธอก็ได้ยืนช็อกกับสภาพประตูหน้าบ้านของตนไปแล้ว เพราะประตูได้ถูกเปิดออกโดยมีร่องรอยการจามด้วยขวานตัดไม้ซึ่งน่าจะมีขนาดใหญ่เมื่อซูเหยาได้เห็นสภาพบ้านแบบนี้ ตอนนี้ใจเธอถึงกับหล่นวูบไปเลยทีเดียว เด็กน้อยลูกทั้งสองจะเป็นอย่างไร“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิงอยู่ที่ไหนกัน ได้ยินเสียงน้าไหม พวกหนูอยู่ไหน” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าแตกตื่น
ซูเหยาคิดไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับที่เธอก็เอามีดยาวที่จับไว้ในมือกวาดไปที่พงหญ้ารก เพื่อเป็นการไล่สัตว์ร้ายมีพิษก่อนที่เธอจะเดินต่อไปก็เธอนะเป็นนางร้ายนะ ดังนั้นถ้าจะหวังให้โชคช่วยแบบนางเอกนะเหรอไม่มีทางหรอก ดังนั้นจะต้องทำเองจากสองมือเพียงอย่างเดียวเมื่อเธอก้าวเดินไปตามสัญลักษณ์ที่มู่หานทำไว้ ในที่สุดเธอก็เหมือนได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก ซึ่งเธอคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องเป็นพวกของมู่หานอย่างแน่นอน“โอ้ย ช่วยฉันด้วยมีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ” ซูเหยาแสร้งทำหกล้มนั่งกุมขอเท้าของตนด้วยท่าทางที่แสดงความเจ็บปวดน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร‘รางวัลนักแสดงต้องมาแล้วล่ะ แสดงได้เนียนขนาดนี้’ เธอคิดขึ้นในใจ และที่ซูเหยาต้องร้องเรียกคนเหล่านั้นให้ออกมาตรงนี้ ก็เพราะว่าตามนิยายที่ได้บรรยายเอาไว้ว่าหลังจากที่ มู่หานได้ตกลงไปในหลุมดักสัตว์เก่า และเพื่อนช่วยเขาขึ้นมาได้แล้ว ก็จะมีหมูป่าที่ไม่มองอะไรเลยพุ่งตกลงไปในหลุมกับดักยังไงล่ะเธอเดาเอาว่าช่วงเวลาและสถานที่อาจจะเป็นที่นี่ เพราะตอนนี้เธอไม่ได้ยินเสียงว่าพวกเข