หน้าตาของเฟิ่งหลิงหลงเหมาะกับสีโทนอ่อน เมื่อเปลี่ยนมาสวมชุดที่สีเข้มเช่นนี้ แม้ไม่ถึงกับอัปลักษณ์ แต่ให้ความรู้สึกที่ขัดกัน มองอย่างไรก็ไม่สบายตาเวลานี้ มีคนไม่น้อยเห็นชุดที่เฟิ่งหลิงหลงสวมแล้ว สีหน้าของพวกเขาแตกต่างกันออกไปบนที่นั่งของจวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อ อวิ๋นจิ่นเซ่ออดไม่ได้ที่จะมองกระโปรงแดงของตัวเอง นางเบะปากแล้วมองบน หลังจากนางรำในงานร่ายรำไปสองช่วง คำนับอย่างสง่างาม ก็ถอยออกไปแล้วต่อไปก็ถึงเวลามอบของขวัญตามลำดับที่นั่งโดยเริ่มจากเหล่าขุนนาง หลังจากนั้นก็เป็นองค์หญิง สุดท้ายจึงเป็นท่านอ๋องทั้งหลาย และมีขันทีคอยประกาศอยู่ข้างๆ“เสนาบดีกรมโยธาธิการมอบรูปปั้นผู่ตู้[1]ทองคำหนึ่งองค์ ไข่มุกทะเลใต้หนึ่งเม็ด ไข่มุกราตรีเขาอูซานห้าเม็ด…”“เสนาบดีกรมพิธีการมอบ…”เฟิ่งเชียนอวี่มองดูกล่องผ้าแพรเหล่านั้นถูกส่งขึ้นไป ฟังแล้วรู้สึกว่าล้ำค่าทุกชิ้นเลย นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ“เมื่อไรที่ข้าฉลองวันเกิด ได้รับของขวัญล้ำค่ามากมายเช่นนี้ก็ดีสิ”จากนั้นนางมองไปทางตงฟางจิ่ง เลิกคิ้วแล้วกล่าว “ไม่ทราบว่าของขวัญที่ท่านอ๋องเตรียมคืออะไร?”ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย “ภาพอักษร”นางเลิกคิ้ว
“ท่านอ๋อง เมื่อครู่ข้าดื่มเยอะไปหน่อย ดังนั้นต้องไปทำธุระส่วนตัวสักครู่ เชิญท่านตามสบาย”เฟิ่งเชียนอวี่หัวเราะแหะๆ เรื่องเช่นนี้ปล่อยให้ตงฟางจิ่งขายหน้าคนเดียวก็พอ ทว่ากำลังจะลุกขึ้น ก็ถูกตงฟางจิ่งคว้าแขนเอาไว้“เรื่องทำธุระส่วนตัว ไปเมื่อไรก็ได้ อีกสักครู่ก็ถึงจวนอ๋องหกถวายของขวัญแล้ว เจ้าเป็นพระชายาของข้า การถวายของขวัญเป็นเรื่องสำคัญ จะขาดพระชายาได้อย่างไร”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”นางสามารถมั่นใจได้ ผู้ชายชาติชั่วคนนี้จงใจแน่นอนเฟิ่งเชียนอวี่หายใจเข้าลึกๆ เริ่มออกแรงปัดแขนของเขาอย่างลับๆ “ท่านอ๋อง ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เรื่องสำคัญอย่างการถวายของขวัญ ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องคนเดียวก็พอแล้ว” ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย “พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ดั่งคำที่ว่าสามีภรรยาร่างเดียวกัน ข้างกายข้าจะขาดใครก็ได้ แต่ห้ามขาดพระชายา”เวลานี้เอง เสียงแหลมของขันทีที่ประกาศดังขึ้น“จวนอ๋องหกถวายของขวัญ…”ปัดโธ่ พลาดเวลาที่ดีที่สุดไปแล้ว คราวนี้อยากไปก็ไปไม่ได้แล้วเฟิ่งเชียนอวี่สะบัดแขนออกอย่างไม่สบอารมณ์ จ้องเขาแล้วกัดฟันกล่าว “ท่านอ๋องพอใจแล้วกระมัง”ตงฟางจิ่งเหลือบมองนางแวบหนึ่งแล้วลุกขึ้น “ไปเถอะ พร
เฟิ่งเชียนอวี่ได้ยินแล้วประหลาดใจจนทำเสียง “จุๆ” พลางมองตงฟางจิ่งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า“ท่านอ๋อง เป็นองค์ชายแบบท่านนี่มันร้ายกาจจริงๆ”นางได้ยินมานานแล้ว คนที่ฮ่องเต้เทียนหยวนโปรดปรานที่สุดก็คืออ๋องหกผู้ขี้โรคตงฟางจิ่งคนนี้ กระทั่งราษฎรในเมืองหลวงก็รู้เรื่องนี้แต่จนถึงวันนี้ เฟิ่งเชียนอวี่จึงจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่า โปรดปรานเพียงใดกันแน่เยี่ยม เฟิ่งเชียนอวี่มองตงฟางจิ่งอย่างยิ้มแย้ม ค่อนข้างพอใจสังคมยุคโบราณ ในฐานะที่เป็นองค์ชายคนหนึ่ง การได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้นั้นสำคัญมาก แม้แต่นางที่เป็นคนยุคปัจจุบันก็ยังรู้ถึงความสำคัญของมันฮ่องเต้ชอบลูกชายคนที่หกของตัวเอง นางที่เป็นสะใภ้หกคนนี้ ก็ย่อมถูกรักด้วยเช่นกันกระมังเฟิ่งเชียนอวี่นั่งฝันหวาน ยิ้มราวกับเป็นคนบ้า“พระชายา เจ้าน้ำลายไหลแล้ว”อะไรนะ?นางหวนคืนสติฉับพลัน มองดูสายตาที่รังเกียจอย่างชัดเจนของตงฟางจิ่ง รีบลูบมุมปาก พบว่าแห้งสนิท มีน้ำลายเสียที่ไหน?“ท่านอ๋อง แกล้งคนสนุกมากเลยหรือ?” เฟิ่งเชียนอวี่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ตงฟางจิ่งขมวดคิ้ว กล่าวอย่างเย็นชา “ก็แค่เตือนเจ้า อย่ายิ้มอย่างโง่เขลาเช่นนั้น อัปลักษณ์มาก”เฟิ
ตงฟางจิ่งลุกขึ้นยืน “เสด็จพ่อ ช่วงนี้พระชายาของหม่อมฉันเป็นหวัด สุขภาพไม่ดีนัก เรื่องถวายการระบำ เกรงว่าจะทำให้เสด็จพ่อผิดหวังแล้ว และหวังว่าเสด็จพ่อจะไม่กล่าวโทษ”อ่ะฮะ?เฟิ่งเชียนอวี่มองเขาอย่างประหลาดใจ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหมอนี่จะช่วยตนแก้สถานการณ์?เวลานี้เอง สายตาที่เย็นชาของตงฟางจิ่งมองมา นางเข้าใจในทันที รีบยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปาก ไอสองสามทีอย่างให้ความร่วมมือเฟิ่งหลิงหลงเอ่ยปากแล้ว ย่อมไม่ปล่อยให้เฟิ่งเชียนอวี่รอดตัวง่ายเช่นนี้“ฝ่าบาท ตอนนี้เป็นช่วงเข้าหน้าร้อน อากาศอบอุ่น ก็แค่ระบำหนึ่งบทเพลง คิดว่าคงไม่กระทบต่อสุขภาพของพระชายาอ๋องหกเพคะ”นางกล่าวพลางมองไปทางเฟิ่งเชียนอวี่แวบหนึ่ง “พระชายาอ๋องหก วันคล้ายวันราชสมภพของฝ่าบาทเป็นเรื่องสำคัญ ข้าคิดว่าท่านต้องยินดีถวายศิลปะแก่ฝ่าบาทแน่นอน ท่านว่าล่ะ?”เชี่ย ผู้หญิงชั่วคนนี้ไม่ยอมจบใช่ไหมเฟิ่งเชียนอวี่ลดแขนลงอย่างไม่สบอารมณ์ หรี่ตามองการแสดงออกที่ไร้อารมณ์ของนาง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จู่ๆ ก็ยิ้มอย่างสง่างามแล้วคำนับฮ่องเต้“เสด็จพ่อ แม้สุขภาพของหม่อมฉันไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สามารถระบำอวยพรเสด็จพ่อ เป็นวาสนาของห
ในฐานะที่เป็นนายหญิงของจวนตระกูลเฟิ่ง กลับพูดจาหยาบคายเหมือนแม่ค้าปากตลาด ช่างน่าขำจริงๆพลันหัวใจนางหลิ่วสั่นสะท้าน ไม่กล้าพูดอีกแล้ว แต่ในใจยิ่งเกลียดชังเฟิ่งเชียนอวี่จนกัดฟันแน่นภายในห้องเปลี่ยนชุดฝั่งตะวันออกชุดระบำของเฟิ่งเชียนอวี่เป็นชุดกระโปรงรุ้งเจ็ดสี สีสันสดใส งดงามอย่างยิ่งเหลิ่งหนิงกำลังช่วยนางเปลี่ยนชุด สีหน้ากังวลเล็กน้อย “พระชายา ทำไมท่านถึงตอบตกลงเฟิ่งหลิงหลงนั่นล่ะ? แค่ดูก็ดูว่าเป็นกับดัก”เฟิ่งเชียนอวี่โบกมือ “เดี๋ยวก่อน เจ้าเบาหน่อย กระโปรงนี้ทำมาจากไหม เจ้าดึงแรงเช่นนั้น ระวังดึงขาดเสียล่ะ”เหลิ่งหนิงเบะปาก “แต่งงามเช่นนี้มีประโยชน์อะไร? ถึงเวลาระบำไม่ได้ ก็ขายหน้าอยู่ดี”เฟิ่งเชียนอวี่ยังไม่ทันพูด เหลิ่งหานก็ตบศีรษะของเหลิ่งหนิงทีหนึ่ง“เจ้าพูดเช่นนี้กับพระชายาได้อย่างไร”เหลิ่งหนิงเบะปาก นางไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย จากนั้นก็กลอกตาหนึ่งรอบ ดวงตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง “พระชายา อีกเดี๋ยวตอนเฟิ่งหลิงหลงดีดพิณ ข้าทำสายพิณของนางขาดดีหรือไม่?”“ความคิดนี้เข้าท่า จะขายหน้าก็ต้องขายหน้าด้วยกัน”มุมปากเฟิ่งเชียนอวี่กระตุก “มันก็ไม่ถึงขั้นนั้น”เหล
ตอนนั้น เพื่อนนักศึกษาคณะอื่นหัวเราะเยาะพวกนางว่า คณะแพทยศาสตร์เป็นหนอนหนังสือ วันๆ ไม่หมกตัวอยู่ในห้องเรียนก็ห้องวิจัยเฟิ่งเชียนอวี่ในตอนนั้น ในฐานะที่เป็นดาวประจำคณะแพทย์ ทั้งคณะมอบหมายหน้าที่สำคัญให้นาง นางไม่มีทางเลือก ได้แต่กัดฟันลุยแล้วในเมื่อนางตัดสินใจที่จะทำ ย่อมต้องอยากทำให้ดีที่สุดด้วยเส้นสายของครอบครัว เฟิ่งเชียนอวี่ได้เชิญครูสอนระบำโบราณที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งมาสอนและช่วยออกแบบท่าเต้นให้ตัวเองในมุมมองของเฟิ่งเชียนอวี่ นั่นเป็นสองเดือนที่ทำตัวเหลวไหลที่สุดในชีวิตวัยเรียนของนาง เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับระบำโบราณแต่ดีที่ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดีปัจจุบัน วิญญาณข้ามภพมาอยู่ในร่างเฟิ่งเชียนอวี่โบราณ ตอนนี้รู้สึกขอบคุณสองเดือนที่ผ่านมาจริงๆ ทำให้นางไม่ถึงกับต้องขายหน้าในงานเลี้ยงพระราชวัง และไม่เป็นไปดั่งใจของใครบางคนตอนที่นางเรียนเต้น ไม่มีพื้นฐานเลยสักนิด มันลำบากมากจริงๆ เฉพาะด้านความยืดหยุ่นทางร่างกาย ก็ทำเอานางร้องไห้แล้วและตอนนี้เฟิ่งเชียนอวี่ก็รู้สึกปลื้มปีติอย่างคาดคิดไม่ถึง นางสังเกตตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ร่างกายร่างนี้ของตัวเองมีความยืดหยุ่นสูงมากเมื่อเป็นเช่นนี
สายตาต่างๆ พากันมองไปที่ตัวเฟิ่งหลิงหลง นอกจากทุกคนตกใจแล้ว ยังอดไม่ได้ที่จะปิดจมูกด้วยสีหน้ารังเกียจคุณหนูผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นยิ่งพากันอุทาน และถึงขั้นลุกออกจากที่นั่ง พากันถอยหลังทีละคน“สวรรค์ เฟิ่งหลิงหลงไปกินอะไรมาเนี่ย เหม็นจัง”“คิดไม่ถึงจริงๆ เฟิ่งหลิงหลงปกติดูเย็นชาและเย่อหยิ่งเช่นนั้น กลับเสียมารยาทเช่นนี้ในที่สาธารณะ”“ไม่ไหวแล้ว เหม็นมาก น่าขยะแขยง ข้าจะอ้วกแล้ว”เมื่อคำพูดที่ไม่น่าฟังเหล่านี้เข้าหู ราวกับมีมีดแทงใส่ร่างกายเฟิ่งหลิงหลงอย่างแรง ทำให้นางอับอายมากแต่ตอนนี้นางไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากมายเช่นนั้น เพราะนางปวดท้องมาก ปวดจนจะตายอยู่แล้วเวลานี้เอง ไม่รู้ว่าใครพูดขึ้น“ดูจากท่าทางคุณหนูใหญ่เฟิ่ง คงจะไม่ได้ขี้แตกแล้วกระมัง”ในที่สุดเฟิ่งหลิงหลงก็ทนไม่ไหวแล้ว พลันเหลือกตาเป็นลมไปโดยตรงงานเลี้ยงพระราชวังดีๆ งานหนึ่ง แรกเริ่มก็เพราะเฟิ่งหลิงหลงทำให้ฮ่องเต้เทียนหยวนไม่พอใจ ปรากฏว่าเมื่อถึงตอนท้าย เฟิ่งหลิงหลงก็มาเป็นเช่นนี้อีกงานเลี้ยงพระราชวังดีๆ ต้องมาพัง สีหน้าฮ่องเต้เทียนหยวนเคร่งขรึมมาก เขาพ่นลมออกจากจมูกอย่างเย็นชา ในที่สุดก็ไม่เกรงใจอีกแล้ว สั่งให้คนล
จวนตระกูลเฟิ่ง‘ปัง’ เสียงดังสนั่น ภายในเรือนหลังหนึ่งของเรือนส่วนหลังเละเทะไปหมดเฟิ่งหลิงหลงสวมชุดชั้นในสีขาว เส้นผมกระจัดกระจาย สีหน้าซีดเซียว เบ้าตาแดงก่ำ คอเสื้อเปื้อนน้ำตา เรียกได้ว่าร้องไห้อย่างอนาถ“ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมด”ภายในห้อง สาวใช้เล็กใหญ่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างสั่นเทานางหลิ่วรีบมาทางนี่ “ลูกแม่ นี่เจ้าจะทำอะไร นี่เป็นยาที่หมอจ่ายให้เจ้า เจ้าทุบทิ้งทำไม”“ท่านแม่ ลูกควรทำอย่างไร ลูกจบสิ้นแล้ว”ในงานเลี้ยงพระราชวังเมื่อวาน นางขายหน้าเช่นนั้น นางไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตัวเองกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงอย่างสมบูรณ์แล้วทุกครั้งที่นึกถึงตรงนี้ เฟิ่งหลิงหลงก็รู้สึกอับอายจนอยากตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ตอนนี้นางไม่กล้าออกจากบ้านด้วยซ้ำ“ถุยๆ พูดเหลวไหลอะไร จบสิ้นอะไร”นางหลิ่วตบแขนนางอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็กอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างปวดใจ “ลูกแม่ พวกเราไม่คิดฟุ้งซ่านนะ”“เมื่อนานวันเข้า ก็จะไม่มีใครจำเรื่องเมื่อวานได้แล้ว”เฟิ่งหลิงหลงส่ายศีรษะฉับพลัน “ไม่มีทาง ตอนนี้ชื่อเสียงของลูกป่นปี้หมดแล้ว ท่านแม่ ทำอย่างไรดี ฮือๆ…”นางหลิ่วลำบากใจมากเช่นกัน นางก็รู้ว่าคำปลอบใจของตั