สายตาต่างๆ พากันมองไปที่ตัวเฟิ่งหลิงหลง นอกจากทุกคนตกใจแล้ว ยังอดไม่ได้ที่จะปิดจมูกด้วยสีหน้ารังเกียจคุณหนูผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นยิ่งพากันอุทาน และถึงขั้นลุกออกจากที่นั่ง พากันถอยหลังทีละคน“สวรรค์ เฟิ่งหลิงหลงไปกินอะไรมาเนี่ย เหม็นจัง”“คิดไม่ถึงจริงๆ เฟิ่งหลิงหลงปกติดูเย็นชาและเย่อหยิ่งเช่นนั้น กลับเสียมารยาทเช่นนี้ในที่สาธารณะ”“ไม่ไหวแล้ว เหม็นมาก น่าขยะแขยง ข้าจะอ้วกแล้ว”เมื่อคำพูดที่ไม่น่าฟังเหล่านี้เข้าหู ราวกับมีมีดแทงใส่ร่างกายเฟิ่งหลิงหลงอย่างแรง ทำให้นางอับอายมากแต่ตอนนี้นางไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากมายเช่นนั้น เพราะนางปวดท้องมาก ปวดจนจะตายอยู่แล้วเวลานี้เอง ไม่รู้ว่าใครพูดขึ้น“ดูจากท่าทางคุณหนูใหญ่เฟิ่ง คงจะไม่ได้ขี้แตกแล้วกระมัง”ในที่สุดเฟิ่งหลิงหลงก็ทนไม่ไหวแล้ว พลันเหลือกตาเป็นลมไปโดยตรงงานเลี้ยงพระราชวังดีๆ งานหนึ่ง แรกเริ่มก็เพราะเฟิ่งหลิงหลงทำให้ฮ่องเต้เทียนหยวนไม่พอใจ ปรากฏว่าเมื่อถึงตอนท้าย เฟิ่งหลิงหลงก็มาเป็นเช่นนี้อีกงานเลี้ยงพระราชวังดีๆ ต้องมาพัง สีหน้าฮ่องเต้เทียนหยวนเคร่งขรึมมาก เขาพ่นลมออกจากจมูกอย่างเย็นชา ในที่สุดก็ไม่เกรงใจอีกแล้ว สั่งให้คนล
จวนตระกูลเฟิ่ง‘ปัง’ เสียงดังสนั่น ภายในเรือนหลังหนึ่งของเรือนส่วนหลังเละเทะไปหมดเฟิ่งหลิงหลงสวมชุดชั้นในสีขาว เส้นผมกระจัดกระจาย สีหน้าซีดเซียว เบ้าตาแดงก่ำ คอเสื้อเปื้อนน้ำตา เรียกได้ว่าร้องไห้อย่างอนาถ“ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมด”ภายในห้อง สาวใช้เล็กใหญ่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างสั่นเทานางหลิ่วรีบมาทางนี่ “ลูกแม่ นี่เจ้าจะทำอะไร นี่เป็นยาที่หมอจ่ายให้เจ้า เจ้าทุบทิ้งทำไม”“ท่านแม่ ลูกควรทำอย่างไร ลูกจบสิ้นแล้ว”ในงานเลี้ยงพระราชวังเมื่อวาน นางขายหน้าเช่นนั้น นางไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตัวเองกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงอย่างสมบูรณ์แล้วทุกครั้งที่นึกถึงตรงนี้ เฟิ่งหลิงหลงก็รู้สึกอับอายจนอยากตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ตอนนี้นางไม่กล้าออกจากบ้านด้วยซ้ำ“ถุยๆ พูดเหลวไหลอะไร จบสิ้นอะไร”นางหลิ่วตบแขนนางอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็กอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างปวดใจ “ลูกแม่ พวกเราไม่คิดฟุ้งซ่านนะ”“เมื่อนานวันเข้า ก็จะไม่มีใครจำเรื่องเมื่อวานได้แล้ว”เฟิ่งหลิงหลงส่ายศีรษะฉับพลัน “ไม่มีทาง ตอนนี้ชื่อเสียงของลูกป่นปี้หมดแล้ว ท่านแม่ ทำอย่างไรดี ฮือๆ…”นางหลิ่วลำบากใจมากเช่นกัน นางก็รู้ว่าคำปลอบใจของตั
ครั้งนี้หลิวซูเร่งเร้าต่อ ไม่ได้ตามใจนาง“พระชายา ท่านอ๋องมาแล้ว กำลังรอท่านกินอาหารเช้าด้วยกัน ท่านรีบลุกดีกว่าเจ้าค่ะ”ฮืม?ตงฟางจิ่งมาแล้ว?เฟิ่งเชียนอวี่ตื่นตัวขึ้นหลายส่วน เปิดตาที่พร่ามัวขึ้น บิดขี้เกียจทีหนึ่ง หน้าทั้งใบย่นทันทีเชี่ย เกิดอะไรขึ้น เวลานี้เอง นางรู้สึกเพียงร่างกายไร้เรี่ยวแรงและปวดเมื่อย อีกทั้งยังรู้สึกปวดท้องเล็กน้อย ตื่นตัวเกินกว่าครึ่งทันทีคงไม่ได้เพราะผ้าเช็ดหน้าผืนเมื่อวาน ตัวเองก็พลาดท่าแล้วกระมัง?เป็นไปไม่ได้นี่นา นางกินยาถอนพิษแล้ว ของเล่นเช่นนั้นไม่มีผลต่อนางจึงจะถูกสิเฟิ่งเชียนอวี่กอดหมอนลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก สีหน้าอมทุกข์ รู้สึกไม่สบายตัวไปเลย“หลิวซู เหมือนข้าจะป่วยแล้ว”เมื่อหลิวซูได้ยินก็ตกใจจนสะดุ้ง รีบยกมืออังหน้าผากของนาง จากนั้นก็สงสัย “พระชายา หน้าผากท่านก็ไม่ร้อนนี่นา อุ่นปกติ”นางโบกมือ “ไม่ได้เป็นไข้ แต่มันรู้สึกไม่สบาย พูดแล้วเจ้าก็ไม่เข้าใจ”พลันเฟิ่งเชียนอวี่ดึงผ้าห่มออก หลิวซูเบิกตากว้างทันที มองไปตรงที่ที่หนึ่ง “พระชายา”อะไรอีก?นางขมวดคิ้ว ก้มมองตามสายตาของหลิวซู พลันถึงกับสูดลมเย็นเข้าปอดไปทีหนึ่งทันทีนี่มันบ้า
เฟิ่งเชียนอวี่ยังอยู่ด้านหลังฉาก สวมใส่ผ้าอนามัยแบบโบราณด้วยความงุ่มง่าม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะอาดสดชื่น คนถึงได้ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกได้“พระชายา ท่านอ๋องยังรอท่านอยู่อีก” หลิวซูพูดเตือนออกมานางเม้มปาก ก่อนจะลูบท้องแล้วเดินออกไปและไม่รู้ว่าตงฟางจิ่งถูกลมแบบไหนพัดมาตั้งแต่เช้า ถึงวิ่งมาทานอาหารเช้าที่เรือนของนางในศาลาลานบ้านตงฟางจิ่งกำลังนั่งดื่มชาในชุดคลุมสีขาวอยู่ตรงนั้น บนโต๊ะหินมีชามโจ๊กและเครื่องเคียงมากมายพร้อมกับของว่างวางเอาไว้เฟิ่งเชียนอวี่เบิกตากว้างจ้องมองไป แล้ววิ่งก้าวใหญ่สามก้าวรวบเป็นสองก้าวไปตงฟางจิ่งเมื่อเห็นเข้าก็ขมวดคิ้วออกมา “วิ่งกระโดดไปมาเหมือนอะไรกัน? เจ้าจะไม่อาจเดินดีๆ ได้หรืออย่างไร?”นางไม่ได้ใส่ใจ รีบนับจานบนโต๊ะอย่างเร็ว จากนั้นชี้ไปยังจานหนึ่งในนั้น มองไปที่หลิวซู “นี่คืออะไร?”“พระชายา นี่คือซุปบ๊วยเขียวทอง”“ถ้าเช่นนั้นอันนี้เล่า?”“นี่คือเถียนเหอจิน”“ยังมีอันนี้?”“นี่เป็นขนมดอกชบาและแปะก๊วย”เฟิ่งเชียนอวี่หยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกัดไปคำหนึ่ง เนื้อสัมผัสกรอบและนุ่มเอาชนะต่อมรับรสของนางได้อาหารในสมัยโบราณอาจจะไม่ได้เข้มข้นแ
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เฟิ่งเชียนอวี่กลับเหมือนได้ระบายออกมา ทันใดนั้นอารมณ์ก็เปลี่ยนไปดีขึ้นมา แล้วเริ่มทานอาหารอย่างมีความสุขตงฟางจิ่งหลับตาลง ลอบพูดกับตนเองในใจว่า หญิงสาวคนนี้ช่างแปลกประหลาดนัก หากว่ามาโมโหนางก็คงจะไม่คู่ควร เพราะท้ายที่สุดแล้วคนที่โมโหก็มีเพียงแค่ตนเองเท่านั้นทันใดนั้น ปลายจมูกเขาก็ขยับขึ้นมาเล็กน้อย จับจ้องนางขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะขมวดคิ้วออกมา “บนกายเจ้ามีกลิ่นคาวเลือดมาจากที่ใดกัน เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่ที่เพิ่งจะกินโจ๊กเข้าไปอีกเพียงนิดก็แทบจะพ่นออกมา กระแอมอยู่ครั้งไม่ง่ายเลยที่กลับมาหายใจได้คล่องขึ้น ก่อนจะตบไปที่หน้าอกด้วยใบหน้าแปลกประหลาดเจ้าหมอนี่มีจมูกสนัขหรืออย่างไรกัน นี่ก็ได้กลิ่นด้งบ?นางดมไปยังเสื้อผ้าด้วยความระมัดระวัง ก็ได้กลิ่นเพียงแค่กลิ่นหอมน่าพึงพอใจเท่านั้นเฟิ่งเชียนอวี่เหลือบมองเขาอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “ท่านอ๋องได้กลิ่นผิดไปแล้วกระมัง จะไปมีกลิ่นคาวเลือดจากที่ไหนได้ตงฟางจิ่งหรี่ตาลง เขาไวต่อกลิ่นเลือดมาก ไม่มีทางที่จะได้กลิ่นผิดไป ก่อนจะมองไปยังหลิวซูแล้วออกคำสั่ง “ไปเชิญท่านหมอมา”สีหน้าของเฟิ่งเชียนอวี่เปลี่ยนไป ไม่คิด
“ไม่ต้อง”เฟิ่งเชียนอวี่โบกมือออกมา เพียงแค่สิวเม็ดเดียวเท่านั้น จะต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนที่ไหนกันนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พวกเจ้าไปช่วยข้าเตรียมของเหล่านี้ ว่านหางจระเข้ กุหลาบ น้ำผึ้ง น้ำมันสน...”หลิวซูไม่เข้าใจ แต่ก็ยังออกไปเตรียมมา มอบเรื่องการแต่งกายให้อิ้งเสวี่ยหลังจากกินอาหารเสร็จ เฟิ่งเชียนอวี่ก็เริ่มศึกษาเตรียมทำมาส์กหน้าที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นและกำจัดสิวด้วยตนเองนางบดยาในโถด้วยความสนใจ ก่อนจะมองเห็นด้านในกลายเป็นกลุ่มก้อนสีเขียว ดมอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนสดชื่นออกมา แล้วพยักหน้าด้วยความพอใจเฟิ่งเชียนอวี่หยิบขึ้นมาตักไปชั้นหนึ่ง ก่อนจะเริ่มทาไปทั่วใบหน้าในเวลานี้ หลิวซูก็ถือชาหอมเดินเข้ามา “พระชายา ลองชิมชานี้เถอะ บ่าวตั้งใจชงมันกับน้ำค้างที่เก็บรวบรวมมาในตอนเช้าเชียวนะเจ้า...”นางยังไม่ทันได้พูดจบ ก็พบใบหน้าอันน่าสังเวชของเฟิ่งเชียนอวี่ที่เต็มไปด้วยโคลนสีเขียว ก็รีบกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจออกมาทันที ชาเขียวกระจัดกระจายไปทั่วพื้นห้องหนังสือของเรือนหน้า ตงฟางจิ่งกำลังฝึกเขียนพู่กันอยู่หูและดวงตาของเขาที่ไม่ธรรมดาก็ได้ยินเสียงนี้เข้า ท่าทางการเขียนที่เดิม
“พระชายา ผิวของข้าน้อยดูเหมือนว่าจะดีขึ้นไม่น้อย”“ใช่เจ้าคะ อีกทั้งยังนุ่มลื่นกว่าเดิมมาก”“หย๋า พระชายา สิวตรงหน้าผากของท่านก็หายไปแล้ว”เฟิ่งเชียนอวี่มองไปยังใบหน้าประหลาดใจของพวกนางด้วยความภาคภูมิใจเหล่าสาวใช้ที่คอยทำความสะอาดอยู่ด้านนอกเรือน ต่างก็พากันลอบมองไปยังด้านใน ทั้งอยากรู้และอิจฉา“พระชายา โคลนสีเขียวของท่านยังมีอีกหรือไม่เจ้าคะ แบ่งให้พวกเราสักน้อยเถอะ” เหลิ่งหนิงที่มีบุคลิกสบายๆ ไม่ใส่ใจมากนัก และไม่รู้จักเกรงใจแม้แต่น้อยเฟิ่งเชียนอวี่กลอกตาไปมา “โคลนสีเขียวอะไรกัน นั่นเรียกว่ามาส์กหน้า”ขณะที่นางพูดออกมานั้น จู่ๆ ก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมา “จุ ทำไมข้าถึงได้ไม่คิดถึงเรื่องนี้เล่า ไม่ว่าจะที่ใด เงินของหญิงสาวก็ล้วนแต่ทำรายได้มากที่สุดอยู่แล้ว”นอกจากนี้แล้ว ที่นี่เป็นเมืองหลวง ที่ไม่ขาดก็คือภรรยาของเหล่าขุนนาง และพวกคุณหนูตระกูลมั่งคั่งที่มีเงินมากมายแต่ไม่มีที่ให้ใช้ “หากว่าข้าเปิดร้านสินค้าประทินผิว และเครื่องสำอางแล้ว การค้าจะต้องดีมากอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น เงินทองจะไหลมาเทมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกเหรอ?”เฟิ่งเชียนอวี่คิดไป ก็รา
“เครื่องสำอางพวกนั้น ข้าว่าจะเรียกว่าเครื่องสำอางก็คงจะได้ ทว่าไม่อาจจะเทียบกับที่ข้าทำได้เลย ขอเพียงแค่ข้าสามารถเปิดร้านได้ จะต้องทำเงินได้อย่างแน่นอน”ตงฟางจิ่งหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “ที่พระชายาเรียกว่าตนเองทำนั้น ก็คือโคลนสีเขียวที่เจ้าศึกษามันเมื่อไม่กี่วันนี้ในเรือนเจ้าอย่างนั้นหรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่โต้แย้งทันที “โคลนเขียวอะไรกัน นั่นเขาเรียกว่ามาสก์หน้า มาสก์หน้า ท่านไม่เข้าใจก็อย่าเรียกมั่วๆ ไป”ตงฟางจิ่งเองก็คร้านจะแก้ไขมัน อย่างไรเสียเขาก็มองว่า ของสีเขียวนั่นไม่รู้ว่าเป็นของเล่นบ้าอะไร หากว่ามีคนซื้อก็คงจะเรียกได้ว่าถูกผีหลอกเข้าแล้ว “หากว่าข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเปิดเล่า?”เฟิ่งเชียนอวี่คิดเอาไว้แล้วว่าขาจะต้องมาไม้นี้ ก็ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ส่งเสียงฮึมฮัมออกมา ก่อนจะพูดออกมาอย่างได้ใจว่า “ท่านอ๋อง ท่านอาจจะลืมเรื่องหนึ่งไปแล้ว”“จำได้ในตอนนั้น ที่ข้ารักษาพิษเหมันต์ให้ท่านั้น ท่านบอกว่าจะรับปากคำขอของข้าสี่ข้อ ข้าให้ไปหนึ่งข้อเพื่อแลกกับการออกนอกจวนอย่างอิสระแล้ว ตอนนี้ข้าจะใช้ข้อที่สอง ข้าจะเปิดร้าน”นางพูดออกมาทีละคำทีละตัวอักษรตงฟางจิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนไปนัก ครั้งน