“เครื่องสำอางพวกนั้น ข้าว่าจะเรียกว่าเครื่องสำอางก็คงจะได้ ทว่าไม่อาจจะเทียบกับที่ข้าทำได้เลย ขอเพียงแค่ข้าสามารถเปิดร้านได้ จะต้องทำเงินได้อย่างแน่นอน”ตงฟางจิ่งหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “ที่พระชายาเรียกว่าตนเองทำนั้น ก็คือโคลนสีเขียวที่เจ้าศึกษามันเมื่อไม่กี่วันนี้ในเรือนเจ้าอย่างนั้นหรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่โต้แย้งทันที “โคลนเขียวอะไรกัน นั่นเขาเรียกว่ามาสก์หน้า มาสก์หน้า ท่านไม่เข้าใจก็อย่าเรียกมั่วๆ ไป”ตงฟางจิ่งเองก็คร้านจะแก้ไขมัน อย่างไรเสียเขาก็มองว่า ของสีเขียวนั่นไม่รู้ว่าเป็นของเล่นบ้าอะไร หากว่ามีคนซื้อก็คงจะเรียกได้ว่าถูกผีหลอกเข้าแล้ว “หากว่าข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเปิดเล่า?”เฟิ่งเชียนอวี่คิดเอาไว้แล้วว่าขาจะต้องมาไม้นี้ ก็ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ส่งเสียงฮึมฮัมออกมา ก่อนจะพูดออกมาอย่างได้ใจว่า “ท่านอ๋อง ท่านอาจจะลืมเรื่องหนึ่งไปแล้ว”“จำได้ในตอนนั้น ที่ข้ารักษาพิษเหมันต์ให้ท่านั้น ท่านบอกว่าจะรับปากคำขอของข้าสี่ข้อ ข้าให้ไปหนึ่งข้อเพื่อแลกกับการออกนอกจวนอย่างอิสระแล้ว ตอนนี้ข้าจะใช้ข้อที่สอง ข้าจะเปิดร้าน”นางพูดออกมาทีละคำทีละตัวอักษรตงฟางจิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนไปนัก ครั้งน
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโอกาสทางการค้าเฟิ่งเชียนอวี่พิมพ์ลงเป็นแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว ความคิดของนางผุดขึ้นมา โผล่ขึ้นมาอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้นางตื่นเต้นเป็นอย่างมากและจากที่ใคร่ครวญแล้ว สินค้าเครื่องสำอาง ในตอนแรกเริ่มไม่ควรมีหลากหลายประเภท ให้แบ่งตามประเภทผิวสองประเภท ผิวแห้งและผิวมันอย่างละหนึ่งชุด จากนั้นค่อยเลือกสินค้าอีกสองสามชิ้นในนั้นก็พอแล้วเมื่อกำหนดประเภทแล้ว ก็จำเป็นต้องซื้อวัตถุดิบจำนวนมากในการผลิตสินค้าเหล่านี้ นอกจากนี้แล้ว ด้วยแรงของนางเพียงคนเดียว จะต้องไม่เพียงพอต่อความต้องการของร้านได้เช่นนั้นก็ต้องรับสมัครคน...หลังจากที่เฟิ่งเชียนอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ หากว่าไม่ทำก็ไม่รู้ ทำไปแล้วถึงได้ค้นพบ การเปิดร้านจะต้องมีสิ่งที่ใคร่ครวญเยอะมากจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนางบ่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมจำนนแล้วต่อสู้กันต่อไป แล้วลอบปลอบใจตัวเองเงียบๆความลำบากในตอนนี้ ก็เพื่อที่ต่อไปจะทำเงินได้มากยิ่งกว่านี้ ต่อให้จะเหนื่อยล้า ก็เป็นเพียงแค่ความเหนื่อยในตอนเริ่มต้น รอเมื่อกิจการดำเนินไปด้วยดีแล้ว นางก็สามารถวางมือแล้วนอนรอเก็บเงินที่บ้านได้ว
อวิ๋นจิ่นเซ่อถูกเรียกว่าเผด็จการ ครอบงำ เพราะถึงแม้ว่าชายหนุ่มบนพื้นจะร้องขอชีวิต นางก็ไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้โดยง่าย แส้ในมือเหวี่ยงไปมาอย่างยืดหยุ่น ก่อนจะกระแทกไปยังเขาอย่างแรงสองสามครั้ง ถึงได้หยุดลงชายหนุ่มบนพื้นถูกเด็กรับใช้ยกขึ้นแล้ววิ่งไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าไม่ได้เห็นความครื้นเครงแล้ว ชาวบ้านที่อยู่รอบข้างต่างก็พากันล่าถอยและสลายตัวออกไปเฟิ่งเชียนอวี่มองไปยังอวิ๋นจิ่นเซ่ออย่างประหลาดใจ จู่ๆ สายตาของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นหันมามองตรงมา ทั้งสองคนสบตากันหัวใจของนางเต้นรัว และเมื่อเห็นว่าอวิ๋นจิ่นเซ่อยังเดินตรงมายังนาง ก็เปิดพัดขึ้นมาปิดใบหน้าของนางกว่าครึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วบ่นพึมพำออกมา“นางเดินมาทำไม? คงไม่ใช่ว่าจำข้าได้ใช่หรือไม่? ไม่ควรนะ พวกเราทั้งสองคนไม่ได้คุ้นเคยกัน”อวิ๋นจิ่นเซ่อมายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของนาง สองมือประสานเอาไว้ตรงหน้าอก จับจ้องใบหน้านางมองยังนางด้วยสีหน้าแปลกประหลาดเฟิ่งเชียนอวี่กระแอมออกมาเบาๆ “คุณหนูท่านนี้ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”“ข้ามักจะรู้สึกว่า ใบหน้าของเจ้าดูคุ้นเคย พวกเราสองคนเคยพบกันที่ไหนมาก่อนใช่หรือไม่?”อวิ๋นจิ่นเซ่อพูดออกมาอย่าค
นางยักไหล่ออกมา “ใช่แล้ว”หา?อวิ๋นจิ่นเซ่อมองไปยังเฟิ่งเชียนอวี่อย่างตกตะลึง นางเพียงแค่พูดออกไปก็เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายกลับพยักหน้าออกมา ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา“พาข้าไปด้วยเถอะ ข้าเองก็อยากไปด้วย ไม่ได้ไปนานมากแล้ว” หลิวซูและเหลิ่งหนิงทั้งสองคนกลับตกใจ พวกนางคิดว่าพระชายาเพียงแค่อยากจะออกมาเดินเล่นเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะยังคิดไปหอนางโลมอีก?“ไม่ได้นะเจ้าคะพระชายา ท่านอ๋องรู้เข้าจะต้องโมโหเป็นอย่างมาก”เหลิ่งหนิงเองก็พูดออกมาอย่างยากลำบาก “ใช่แล้วพระชายา ไม่อย่างนั้น พวกเราอย่าไปกันเลย”เฟิ่งเชียนอวี่โบกมือออกมา “วางใจเถอะ ครั้งนี้ข้าไปก็เพราะว่าก็มีเรื่องสำคัญ ไม่ไปเที่ยวเล่น”หอนางโลมเดิมทีก็ไม่ใช่สถานที่ถูกต้องนัก ไปที่นั่นแล้วจะมีเรื่องสำคัญอะไร? ในใจของเหลิ่งหนิงและหลิวซูลอบโต้แย้ง“สาวใช้สองคนอย่างพวกเจ้าทำไมถึงได้พูดจาไร้สาระเช่นนี้ ก็แค่หอนางโลมเท่านั้น กลัวว่าพระชายาของพวกเจ้าจะถูกกินเข้าอย่างนั้นหรือ”อวิ๋นจิ่นเซ่อพูดออกมา แล้วคว้ามือเฟิ่งเชียนอวี่เข้า นำนางเดินมุ่งไปยังตรอกดอกไม้“ไปๆ ไม่ต้องไปสนใจพวกนาง”“เจ้าคงจะไม่รู้ ครั้งที่แล้วในงานเลี้ยงที่วัง
แม่เล้าตื่นตกใจ แล้วคิดที่จะเรียกคนโดยไม่รู้ตัว ทว่าเมื่อเห็นอวิ๋นจิ่นเซ่อก็แข็งค้างไป รีบหลบหลีกไปตัวสั่นด้วยความกลัว“ที่แท้ก็เป็นคุณหนูอวิ๋น ท่านมาได้อย่างไรกัน”ชื่อเสียงอวิ๋นจิ่นเซ่อดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง นางก่อเรื่องวุ่นวายมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีใครไม่รู้จักนางเฟิ่งเชียนอวี่มองไปก็ถอนหายใจออกมา ดูสิ ช่างเป็นดาวชั่วร้ายจริงๆนางเดินก้าวเข้าไป ด้านนอกของหออิ๋งชุนดูหดหู่ ส่วนด้านในนั้นก็ตกแต่งไม่ได้ดีไปกว่านัก โต๊ะเก้าอี้สามารถมองเห็นร่องรอยของความเก่าได้เฟิ่งเชียนอวี่จ้องมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีโต๊ะเก้าอีกจำนวนมากถูกทับซ้อนด้วยกัน ด้านบนนั้นยังมีสัมภาระจำนวนมากอยู่ จึงถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “เถ้าแก่เนี้ย ท่านกำลังจะตกแต่งใหม่อย่างนั้นหรือ?”แม่เล้าของหออิ๋งชุนเมื่อได้ยินเข้าก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “การค้าของหอแย่ลงไปทุกปี คนของข้าก็แทบจะไม่มีข้าวกินแล้ว แล้วจะยังมีเงินที่ไหนมาตกแต่งปรับปรุงใหม่กัน”“ข้าตั้งใจจะขายหอนี้แล้ว ผู้จะรับช่วงต่อกำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา เครื่องเรือนจำพวกนี้ ล้วนแต่จะขายไปด้วยกัน คงพอจะได้สักเล็กน้อย”ดวงตาของเฟิ่งเชียนอวี่เป็นประก
หา?แม่เล้าตื่นตกใจขึ้นมา “คุณชาย? ท่านต้องการจะซื้อหออิ๋งชุน?”“ใช่แล้ว ทุกอย่างในหอนี่ รวมทั้งแม่นางทั้งหลายนี้ด้วย เสนอราคามาคราวเดียวเถอะ หากว่าราคาเหมาะสม พวกเราก็จ่ายเงินแลกเปลี่ยนสินค้ากันทันที”ไม่นานแม่เล้าก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่งดังเดิม เดิมทีนางวางแผนที่จะขายหออิ๋งชุนในราคาถูกอยู่แล้ว เพราะอย่างไรแล้วราคาของอาคารสีแดงก็อยู่ที่นั่น ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งที่แย่ที่สุดตรงท้ายถนน ต้องมีคนต้องการจึงจะสามารถขายในราคาสูงไม่คิดเลยว่า วันนี้จะมีเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งมาหาถึงประตู แน่นอนว่านางย่อมต้องมีความสุขทว่า...แม่เล้าก็ยังเหลือบมองไปยังอวิ๋นจิ่นเซ่ออย่างระมัดระวังอวิ๋นจิ่นเซ่อหรี่ตา “ดูอะไร ข้าขอเตือนเจ้า หากว่าเจ้ากล้าตั้งราคาสูง ก็ระวังว่าแส้ของข้ามันจะไม่มีตามองดู”มุมปากของเฟิ่งเชียนอวี่โค้งงอขึ้น จิบชาเข้าไปคำหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่า นำอวิ๋นจิ่นเซ่อมาเจรจาการค้า เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว“มิกล้า มิกล้า”แม่เล้าที่เพิ่งจะมีความคิดอื่นที่ขึ้นมาก็หดกลับไปในทันที ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “คุณชายท่านนี้ ถ้าเช่นนั้น ก็สามพันตำลึงเป็นอย่างไร?”“เพียงแค่หอผุพังนี้ของ
ผู้หญิงที่มาจากหอนางโลม นอกจากชาติกำเนิดต่ำต้อย ด้านอื่นๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เฟิ่งเชียนอวี่ต้องการอยู่ในสถานที่อบายมุข พบเจอแขกมากมายหลากหลายทุกวัน ความสามารถในการสังเกตสีหน้าและคำพูดต้องดีมากแน่นอนอีกทั้งตอนที่เฟิ่งเชียนอวี่เดินตลาดในช่วงที่ผ่านมา นางยังค้นพบอีกหนึ่งเรื่องเนื่องจากผู้หญิงโบราณมีฐานะต่ำ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีผู้หญิงออกมาทำการค้าขาย เรื่องเช่นนี้พบเจอน้อยมากกระทั่งร้านขายเครื่องแป้งสำหรับผู้หญิงในเมืองหลวง ผู้ดูแล บริกร และอื่นๆ ล้วนเป็นผู้ชายทั้งหมดแต่ในมุมมองของเฟิ่งเชียนอวี่ ร้านเครื่องสำอาง ให้ผู้หญิงที่หน้าตางดงามมาดำเนินกิจการจึงจะดีกว่าผู้หญิงหอนางโลม เดิมทีก็อาศัยหน้าตาดึงดูดแขนเพื่อหาลูกค้าให้ตัวเอง สำหรับเรื่องนี้ ย่อมไม่เก็บเอามาใส่ใจอีกทั้งเรื่องเข้มงวดบางอย่างของชายหญิงโบราณ สำหรับผู้หญิงหอนางโลม ก็ค่อนข้างเปิดใจและสะดวกกว่าผู้หญิงหอนางโลมแต่งตัวทุกวัน ก็ย่อมแต่งหน้าเป็นด้วยเช่นกัน แม้ของที่ขายในวันข้างหน้าของร้านนาง อาจจะไม่ใช่เครื่องแป้งดั้งเดิมที่พวกนางคุ้นเคยแต่เรื่องการแต่งหน้า สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มีพื้นฐาน แค่เรียนรู้หน่อย ก็สามารถชำนาญ
ดังนั้น หงเวยอายุสามสิบกว่าแล้ว ก็ยังไม่มีลูกสักคนด้วยเหตุนี้ ต่อให้หงเวยรังเกียจอาหญิงของอวิ๋นจิ่นเซ่อ แต่อี๋เหนียงคนอื่นๆ ในเรือนส่วนหลังถูกหงเวยควบคุม ไม่มีใครมีลูกสักคน นี่ก็นับว่าให้เกียรติภรรยาของตัวเองมากแล้วดังนั้น จวนเจิ้นกว๋อกงก็พูดอะไรไม่ได้เพราะเรื่องนี้ อาหญิงของอวิ๋นจิ่นเซ่อทรมานใจนัก ทั้งรู้สึกผิดและเสียใจ กลับทำอะไรไม่ได้เลยเฟิ่งเชียนอวี่ฟังจนเพลิน นี่ถือว่าเป็นเรื่องซุบซิบหลังบ้านเวอร์ชันโบราณอวิ๋นจิ่นเซ่อถอนหายใจ “เชียนอวี่ เจ้าว่านักพรตเฟิ่งท่านนั้น จะสามารถรักษาโรคอาหญิงของข้าได้หรือไม่?”“ได้”เฟิ่งเชียนอวี่กล่าวอย่างมั่นใจ “วางใจเถอะ ทักษะการแพทย์ของนักพรตเฟิ่งสูงส่ง เขารักษาได้แน่นอน กลับไปแล้วข้าจะลองช่วยเจ้าคุยกับเขาดู”“จริงหรือ เยี่ยมไปเลย”“เชียนอวี่ เจ้าว่านักพรตเฟิ่งท่านนั้นชอบอะไร ในเมื่อเขาเป็นนักพรต ต้องชอบของอย่างพวกพระคัมภีร์แน่ๆ หรือพวกตำราต้นฉบับกระมัง”มุมปากเฟิ่งเชียนอวี่กระตุก รีบห้ามทันที“อย่า เขาไม่ชอบของพวกนี้เลยสักนิด”ล้อเล่นอะไร พระคัมภีร์ก็มา นางจะเอาไปทำอะไร? เอาไปสวดมนต์ สวดส่งวิญญาณหรือ?“เช่นนั้นนักพรตเฟิ่งชอบอะไร?”